รู้จักคำพังเพยแกว่งเท้าหาเสี้ยน ที่มาและความหมาย

คำพังเพยหมวดหมู่ ก. แกว่งเท้าหาเสี้ยน

แกว่งเท้าหาเสี้ยนหมายถึง

แกว่งเท้าหาเสี้ยน” หมายถึง การที่คนทำสิ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาหรือความเดือดร้อนให้กับตนเอง ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าการกระทำนั้นมีความเสี่ยงหรืออันตรายอยู่ เปรียบเหมือนการแกว่งเท้าไปในที่ที่มีเสี้ยน ซึ่งอาจทำให้เสี้ยนไม้ทิ่มแทงเข้าไปในเท้าได้ คำพังเพยนี้มักใช้เตือนคนที่ทำอะไรโดยไม่คิดให้รอบคอบหรือพูดจาที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง เช่น การไปยุ่งเรื่องที่ไม่ควรยุ่ง หรือการพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดจนเกิดปัญหา กล่าวคือ “รนหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเอง” นั่นเอง

ที่มาและความหมายแกว่งเท้าหาเสี้ยน

ที่มาคำพังเพยนี้

มาจากวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยก่อนที่นิยมสร้างบ้านเรือนด้วยไม้ ซึ่งเสี้ยนไม้เป็นเรื่องที่พบได้บ่อย เพราะเมื่อบ้านทำจากไม้ และเครื่องเรือนต่าง ๆ ก็มักทำจากไม้เช่นกัน การแกว่งเท้าหรือเดินไม่ระวังในบ้านที่มีเสี้ยนมาก จึงเสี่ยงต่อการโดนเสี้ยนทิ่มแทงเท้า การเปรียบเทียบนี้ใช้สะท้อนการกระทำของคนที่ทำอะไรโดยไม่คิดหรือไม่ระวัง ก่อให้เกิดปัญหาและความเดือดร้อนต่อตนเองโดยไม่จำเป็น เหมือนการแกว่งเท้าในที่ที่มีเสี้ยน

ตัวอย่างการใช้คำพังเพยนี้

  • สมชายชอบพูดจาท้าทายหัวหน้าอยู่เสมอ ทั้งที่รู้ว่าหัวหน้าเป็นคนไม่ชอบการขัดแย้งแบบเปิดเผย คนในที่ทำงานจึงเตือนเขาว่า อย่าทำเหมือนกำลังแกว่งเท้าหาเสี้ยน เพราะอาจทำให้ตัวเองเดือดร้อนได้ (แสดงถึงการทำอะไรโดยไม่คิดให้รอบคอบ)
  • เด็กชายในหมู่บ้านชอบปีนต้นไม้สูงเพื่อท้าทายความกล้าของเพื่อน ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าต้นไม้นั้นไม่แข็งแรง พ่อแม่เตือนว่าอย่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน เพราะเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ (สะท้อนการทำสิ่งเสี่ยงที่อาจเป็นอันตรายต่อตนเอง)
  • แม้รู้ว่าการวิจารณ์การทำงานของเพื่อนร่วมงานอย่างตรงไปตรงมาจะก่อให้เกิดความขัดแย้ง แต่นายแดงก็ยังทำเหมือนแกว่งเท้าหาเสี้ยน สุดท้ายเกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน (แสดงถึงการทำสิ่งที่สร้างความเดือดร้อนให้ตนเอง)
  • ลูกสาวของเขาชอบเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเพื่อน ๆ ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตน พ่อแม่เตือนว่าการทำแบบนี้เหมือนแกว่งเท้าหาเสี้ยน อาจทำให้ถูกมองไม่ดีจากเพื่อน ๆ ได้ (สะท้อนการทำสิ่งที่ไม่ควรทำและก่อให้เกิดปัญหากับตนเอง)
  • ในที่ประชุม นายก้องวิจารณ์นโยบายของผู้บริหารสูงสุดด้วยถ้อยคำรุนแรง จนคนรอบข้างเตือนว่าเขากำลังแกว่งเท้าหาเสี้ยน เพราะการกระทำนี้อาจทำให้ถูกเพ่งเล็งและส่งผลเสียต่อหน้าที่การงาน
    (การทำสิ่งที่ไม่ระวัง จนอาจก่อให้เกิดผลเสียแก่ตนเอง)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายกัน

  • หาเหาใส่หัว หมายถึง: การทำให้ตัวเองมีปัญหาหรือเดือดร้อนโดยไม่จำเป็น เช่น การไปยุ่งเรื่องของคนอื่นจนเกิดปัญหา
  • เล่นกับไฟ หมายถึง: การกระทำที่เสี่ยงต่อความเดือดร้อนหรืออันตรายต่อตนเองโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักคำพังเพยเกี่ยวแฝกมุงป่า ที่มาและความหมาย

คำพังเพยไทย ก. เกี่ยวแฝกมุงป่า

เกี่ยวแฝกมุงป่าหมายถึง

“เกี่ยวแฝกมุงป่า” หมายถึง การพยายามทำสิ่งที่ไม่มีทางสำเร็จหรือเกินกำลังของตนเอง เป็นการกระทำที่ไม่มีประโยชน์ เพราะเปรียบเสมือนการใช้หญ้าแฝกเล็กๆ ซึ่งไม่เพียงพอที่จะมุงป่ากว้างใหญ่ได้ ความหมายนี้สะท้อนถึงการทุ่มเททรัพยากรที่ไม่เหมาะสมกับขนาดของปัญหา หรือการพยายามทำสิ่งที่ยากเกินความสามารถของตนเอง กล่าวคือ “ทำอะไรเกินกำลังความสามารถของตัวเอง” นั่นเอง

ที่มาและความหมายเกี่ยวแฝกมุงป่า

ที่มาของคำพังเพยนี้

มาจากการเปรียบเทียบเปรียบเปรยในวิถีชีวิตของคนไทยในอดีต ซึ่งมีความสัมพันธ์กับธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง “แฝก” เป็นหญ้าชนิดหนึ่งที่คนไทยใช้ทำสิ่งของพื้นฐาน เช่น มุงหลังคาหรือป้องกันดินพัง เนื่องจากมีลักษณะเล็กและแข็งแรงในระดับหนึ่ง แต่เมื่อต้องนำมามุงป่าที่กว้างใหญ่ การกระทำนี้ย่อมเกินกำลังและไม่เกิดผลสำเร็จ การเลือกใช้คำนี้แสดงถึงความพยายามทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือเกินความสามารถ เปรียบเหมือนการพยายามใช้ของเล็กน้อยเพื่อจัดการกับสิ่งที่ใหญ่และซับซ้อนมากเกินไป

ในวิถีชีวิตคนไทย หญ้าแฝกมีบทบาทในวิถีการเกษตรและการรักษาหน้าดินในพื้นที่ชนบท เป็นวัสดุที่มีคุณค่าสำหรับชาวบ้าน ดังนั้นการเปรียบเทียบนี้จึงสะท้อนถึงการนำทรัพยากรเล็กน้อยไปใช้ในงานที่เกินกว่าศักยภาพของมัน และเป็นการเตือนให้คนคำนึงถึงความเหมาะสมในการใช้ทรัพยากรและการทำงานให้สัมพันธ์กับกำลังและความสามารถของตนเอง

ตัวอย่างการใช้คำพังเพยนี้

  • หัวหน้าทีมพยายามทำโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้ทรัพยากรและกำลังคนมากมาย แต่เขากลับมอบหมายงานนี้ให้กับทีมเล็กที่มีเพียงไม่กี่คน โดยไม่คำนึงถึงข้อจำกัดของทีมงาน เหมือนพยายาม “เกี่ยวแฝกมุงป่า” ที่รู้ดีว่าไม่มีทางสำเร็จ (สะท้อนการจัดการที่ขาดการวางแผนและการใช้ทรัพยากรไม่เพียงพอ)
  • เด็กนักเรียนที่ไม่เคยเข้าใจวิชาคณิตศาสตร์ตั้งใจจะทบทวนบทเรียนทั้งหมดภายในคืนเดียวก่อนสอบ โดยหวังว่าจะทำคะแนนดี ซึ่งเป็นความพยายามที่เกินกำลังและไม่มีทางสำเร็จ (การพยายามทำสิ่งที่เกินความสามารถในเวลาที่จำกัด)
  • เจ้าของกิจการพยายามเปิดสาขาใหม่ในจังหวัดที่ห่างไกลและไม่คุ้นเคยกับตลาดโดยไม่มีการวางแผนหรือการศึกษาตลาดที่เพียงพอ (แสดงถึงการขยายธุรกิจโดยไม่มีการเตรียมพร้อมหรือทรัพยากรเพียงพอ)
  • นักการเมืองพยายามสัญญากับประชาชนว่าจะทำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่โดยไม่คำนึงถึงทรัพยากรและข้อจำกัดทางกฎหมายที่มีอยู่ (การตั้งเป้าหมายที่เกินจริงและไม่สามารถทำได้ตามข้อเท็จจริง)
  • เมื่อเขาเห็นเพื่อนกำลังเผชิญปัญหาทางการเงิน จึงพยายามช่วยด้วยเงินจำนวนเล็กน้อย โดยไม่ได้คำนึงว่าปัญหานั้นใหญ่เกินกว่าจะช่วยได้เพียงลำพัง (การใช้ความพยายามที่ไม่เพียงพอในการแก้ปัญหาขนาดใหญ่)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายกัน

  • ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวมาปิดไม่มิด หมายถึง: การพยายามปิดบังเรื่องใหญ่ด้วยสิ่งที่เล็กน้อย ซึ่งไม่สามารถปิดบังความจริงได้
  • จับปลาสองมือ หมายถึง: การพยายามทำสองสิ่งพร้อมกัน แต่ไม่ประสบความสำเร็จทั้งคู่
  • ขี่ช้างจับตั๊กแตน หมายถึง: ลงทุนหรือใช้ความพยายามมากเกินกว่าผลลัพธ์ที่จะได้

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักคำพังเพยกินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง ที่มาและความหมาย

คำพังเพยหมวดหมู่ ก. กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง

กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้องหมายถึง

กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง” หมายถึง การที่คนรู้หรือเข้าใจเรื่องราวดีอยู่แล้ว แต่เลือกที่จะไม่พูดออกมา หรือแสร้งทำเป็นไม่รู้ กล่าวคือ “รู้ดีอยู่แล้วแสร้งทำเป็นไม่รู้

ที่มาและความหมายกินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง

ที่มาของคำพังเพย

มาจากการเปรียบเปรยถึงพฤติกรรมโดยที่การที่คนรู้ความจริงดีอยู่แล้ว แต่เลือกที่จะไม่พูดออกมา โดยใช้คำว่า “กินอยู่กับปาก” เพื่อสื่อถึงการรับรู้หรือมีความรู้อยู่แล้ว และ “อยากอยู่กับท้อง” หมายถึงการเก็บความรู้สึกนั้นไว้ ไม่พูดออกมา เหมือนกับการเก็บความลับไว้ในใจ เนื่องจากการพูดออกมาอาจสร้างความไม่สะดวก หรือก่อให้เกิดปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อตัวเอง จึงเลือกที่จะปิดปากเงียบแม้จะรู้อยู่เต็มอก กล่าวคือ “ความอยากที่เกิดขึ้นภายในใจ” นั่นแหละ

ตัวอย่างการใช้งาน

  • เมื่อเกิดปัญหาขัดแย้งระหว่างสองฝ่ายในการทำงาน คุณอารีย์รู้ข้อเท็จจริงทั้งหมด แต่เพราะต้องการรักษาความสัมพันธ์และไม่ต้องการสร้างศัตรู เธอจึงเลือกที่จะเงียบไว้ (รู้สถานการณ์ทั้งหมดแต่ไม่พูด เพื่อรักษาความสงบและความสัมพันธ์กับคนทั้งสองฝ่าย)
  • ตอนที่เกิดความผิดพลาดในโครงการ หัวหน้าทีมรู้อยู่เต็มอกว่าใครเป็นต้นเหตุ แต่เลือกที่จะไม่พูดและรับเรื่องไปจัดการภายในแทน เพราะไม่อยากให้เกิดการกล่าวโทษหรือสร้างความไม่พอใจ นี่แหละกินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้องจริงๆ (เลือกที่จะไม่เปิดเผยความจริง แม้รู้ว่าต้องทำเพื่อความสงบในทีม)
  • เมื่อเกิดความผิดปกติในเอกสารการเงิน พนักงานคนหนึ่งรู้ว่าใครเป็นต้นเหตุของการทุจริต แต่เลือกที่จะไม่พูดออกมาเพราะกลัวผลกระทบต่อหน้าที่การงานของตนเอง (การรู้ปัญหาแต่เลือกเงียบเพื่อลดความเสี่ยงต่อตนเอง)
  • พ่อรู้ว่าลูกชายแอบนำเงินไปใช้ในทางที่ไม่ดี แต่เลือกที่จะไม่พูดตรงๆ เพราะไม่อยากให้เกิดการทะเลาะกันในครอบครัว ความรู้สึกพ่อเหมือนกินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง (การเลือกที่จะเงียบเพื่อรักษาความสัมพันธ์ในครอบครัว)
  • ในคดีที่มีข้อโต้แย้งระหว่างสองฝ่าย ทนายรู้ดีว่าฝ่ายของลูกความทำผิด แต่กลับเลี่ยงที่จะเปิดเผยความจริงเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของลูกความ (รู้ความจริงแต่เลือกเงียบเพื่อผลประโยชน์)

สำนวน, สุภาษิต, ที่คล้ายกัน

  • มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ หมายถึง: การไม่ช่วยเหลือ แต่กลับทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
  • เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ หมายถึง: การเพิกเฉยหรือทำเป็นไม่เห็น ไม่สนใจ แม้จะรู้อยู่แล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าหรือการมีส่วนร่วมในปัญหา

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

คำพังเพยกินเหมือนหมู อยู่เหมือนหมา ที่มาและความหมาย

คำพังเพยหมวดหมู่ ก. กินเหมือนหมู อยู่เหมือนหมา

กินเหมือนหมู อยู่เหมือนหมาหมายถึง

กินเหมือนหมูอยู่เหมือนหมา” หมายถึง การใช้ชีวิตอย่างไม่มีระเบียบวินัย กินอยู่อย่างสะเปะสะปะ ไม่สนใจดูแลความสะอาดหรือความเป็นระเบียบในชีวิต กล่าวคือ “มีความเป็นอยู่อย่างสกปรก เละเทะ ไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย

ที่มาและความหมายกินเหมือนหมู อยู่เหมือนหมา

ที่มาของคำพังเพย

มาจากการสังเกตพฤติกรรมการกินและการอยู่อาศัยของหมูและสุนัข ซึ่งมักจะกินอาหารอย่างไม่ระมัดระวังและอยู่อย่างไม่มีระเบียบ เช่น หมูที่มักจะกินอย่างตะกละตะกลามและนอนในคอกที่เต็มไปด้วยโคลน หรือสุนัขที่ใช้ชีวิตอย่างสะเปะสะปะ ไม่มีที่พักพิงที่ชัดเจน สิ่งเหล่านี้ถูกนำมาเปรียบกับคนที่ใช้ชีวิตอย่างไม่เป็นระเบียบ ฟุ่มเฟือย และไม่ดูแลการกินอยู่ของตัวเอง

และยังเปรียบเปรยถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เป็นระเบียบและไร้หลักการ เหมือนกับหมูและหมาที่มักกินและอยู่ในสภาพที่ไม่สะอาดและไม่เรียบร้อย สุภาษิตนี้สะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนที่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยหรือบริโภคสิ่งต่าง ๆ อย่างมากมาย แต่กลับไม่ดูแลหรือจัดระเบียบชีวิตของตนเอง

ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • บ้านของเขาเต็มไปด้วยข้าวของวางเกลื่อน ไม่เคยจัดระเบียบเลย แถมการกินก็ไม่ระวัง เหมือนชีวิตไม่มีหลักการจริง ๆ (แสดงถึงการใช้ชีวิตที่ไร้ระเบียบและไม่สะอาด)
  • ลูกชายของเธอกินอาหารเลอะเทอะ ไม่เก็บจานชามให้เรียบร้อย ปล่อยให้คราบเปื้อนเต็มบ้าน (แสดงถึงการกินและอยู่โดยไม่ดูแลความสะอาด)
  • ในห้องของสมชายไม่มีการจัดระเบียบ หนังสือวางกระจาย อาหารเก่าก็ยังทิ้งไว้ ไม่ต่างจากการกินเหมือนหมู อยู่เหมือนหมา (แสดงถึงการอยู่อย่างไม่มีระเบียบและขาดการดูแล)
  • เธอใช้ชีวิตอย่างไม่มีวินัย อาหารกินก็เหลือทิ้ง และห้องก็เต็มไปด้วยข้าวของกระจัดกระจาย (สะท้อนการใช้ชีวิตแบบไร้ความรับผิดชอบและขาดการจัดการ)
  • พ่อเตือนลูกว่าควรปรับปรุงพฤติกรรมการกินและความเป็นระเบียบในบ้าน ไม่อย่างนั้นจะเหมือนกับคำพังเพยนี้ (การเตือนเรื่องความเป็นระเบียบในชีวิตประจำวัน)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักคำพังเพยไทยกินน้ำตาต่างข้าว ที่มาและความหมาย

คำพังเพยหมวดหมู่ ก. กินน้ำตาต่างข้าว

กินน้ำตาต่างข้าวหมายถึง

กินน้ำตาต่างข้าว” หมายถึง การที่คนต้องเผชิญกับความทุกข์อย่างมากถึงขั้นที่ไม่สามารถกินข้าวหรืออาหารได้ กลับกินแต่น้ำตาที่ไหลด้วยความโศกเศร้า เป็นการสะท้อนถึงความเสียใจหรือความลำบากใจอย่างที่สุด ซึ่งทำให้ขาดความสุขในการดำเนินชีวิต เช่น การสูญเสียบุคคลสำคัญ การเจอเหตุการณ์ที่ทำให้ใจสลาย หรือการประสบปัญหาที่ยากจะยอมรับได้ กล่าวคือ “ร้องไห้เศร้าโศกจนไม่เป็นอันกิน” นั่นเอง

ที่มาและความหมายกินน้ำตาต่างข้าว

ที่มาของคำพังเพย

คำพังเพยนี้มาจากประสบการณ์ชีวิตที่แสดงถึงความทุกข์และความลำบาก โดยเฉพาะในบริบทของการสูญเสียหรือความเสียใจอย่างหนัก ในอดีตเมื่อคนไทยพบกับเหตุการณ์ที่ทุกข์ใจหรือเศร้าโศกอย่างมาก มักจะไม่สามารถรับประทานอาหารได้ เพราะจิตใจไม่พร้อม ส่งผลให้ผู้คนเหล่านั้นแทบจะ “กินน้ำตา” แทนการกินข้าวจริงๆ น้ำตาจึงถูกใช้แทนข้าว เป็นการเปรียบเปรยถึงความโศกเศร้าและความลำบากที่ทำให้การดำเนินชีวิตเปลี่ยนไป

สะท้อนถึงความสำคัญของข้าวในวิถีชีวิตคนไทย ซึ่งข้าวไม่ใช่แค่อาหารหลัก แต่เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และความสุขในชีวิตประจำวัน ในอดีตและปัจจุบัน ข้าวถือเป็นสิ่งจำเป็นที่คนไทยต้องมีในทุกมื้อ การขาดข้าวหรือละทิ้งการกินข้าวมักหมายถึงการเจอเรื่องทุกข์ใจหรือเหตุการณ์ที่ทำให้ขาดความสุข จนถึงขั้นไม่สามารถกินข้าวได้ มีเพียงน้ำตาที่ไหลจากความเศร้าเท่านั้นที่รับได้แทนข้าวที่เคยทานตามปกติ

ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • หลังจากที่สมชายสูญเสียแม่ที่รักมาก เขารู้สึกเสียใจจนกินอะไรไม่ลง ต้องใช้ชีวิตด้วยน้ำตาแทนข้าวที่เคยกิน (แสดงถึงความเสียใจอย่างหนักจนไม่สามารถทานอาหารได้)
  • เมื่อธุรกิจที่เธอสร้างมาทั้งชีวิตพังลงในพริบตา ความเสียใจทำให้เธอแทบไม่อยากลุกจากเตียงหรือกินข้าวเลย (ความทุกข์ที่เกิดจากการสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิต)
  • หลังจากการเลิกราที่เจ็บปวด เธออยู่ในห้องและร้องไห้ทุกวันโดยแทบไม่แตะข้าวเลย (ความเศร้าจากการเลิกราที่ทำให้กินข้าวไม่ลง)
  • เมื่อสมศักดิ์ถูกไล่ออกจากงาน ความเครียดและความกังวลทำให้เขากินข้าวไม่ลงและมีแต่น้ำตาแทนมื้ออาหาร (ความเครียดและเสียใจจากการถูกไล่ออกจากงาน)
  • หลังจากการสูญเสียลูกสาวที่เป็นดวงใจ พ่อแม่ของเธอร้องไห้แทบทุกมื้ออาหาร (ความโศกเศร้าจากการสูญเสียลูกสาว)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักคำพังเพยไทยกินน้ำเห็นปลิง ที่มาและความหมาย

คำพังเพยหมวดหมู่ ก. กินน้ำเห็นปลิง

คำพังเพยกินน้ำเห็นปลิงหมายถึง

กินน้ำเห็นปลิง” หมายถึง การที่คนเรากำลังทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะดีหรือมีความสุข แต่กลับพบเจอปัญหาหรือสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ในภายหลัง เช่นเดียวกับการดื่มน้ำที่ดูสะอาดใสแต่กลับมีปลิงแอบแฝงอยู่ สำนวนนี้เตือนให้คนเราตระหนักถึงความจริงที่อาจซ่อนอยู่ภายใต้สิ่งที่ดูดีภายนอก เพราะบางครั้งสิ่งที่ดูดีหรือดูปกติอาจมีปัญหาหรือสิ่งที่ไม่คาดคิดซ่อนอยู่ กล่าวคือ “รู้สึกตะขิดตะขวงใจในสิ่งของที่มีมลทิน เหมือนเวลาจะกินน้ำแล้วเห็นปลิงอยู่ในน้ำทำให้กินไม่ลง” นั่นเอง

ที่มาและความหมายกินน้ำเห็นปลิง

ที่มาของคำพังเพย

คำพังเพยนี้มาจากประสบการณ์ของคนไทยในชนบทที่ต้องใช้น้ำจากแหล่งธรรมชาติเช่น แม่น้ำหรือบ่อ ในการดื่มกิน ในแหล่งน้ำเหล่านี้ อาจมีปลิงซึ่งเป็นสัตว์ที่มักแฝงตัวอยู่ใต้น้ำและเกาะดูดเลือด การดื่มน้ำแล้วเห็นปลิงจึงสื่อถึงการพบเจอสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ในสถานการณ์ที่ควรจะเป็นเรื่องปกติหรือน่ายินดี

เปรียบเทียบถึงการที่คนดื่มน้ำแล้วพบเจอปลิง ซึ่งเป็นสัตว์ที่เกาะอยู่ใต้น้ำ อาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจหรือตกใจเมื่อพบเจอ สำนวนนี้สะท้อนถึงการที่คนเราพบเจอสิ่งที่ไม่น่าพอใจหรือความจริงที่ไม่น่าชื่นชมในสิ่งที่กำลังทำหรือประสบอยู่ เหมือนกับการดื่มน้ำอย่างชื่นใจ แต่พอเห็นปลิงแล้วกลับทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นมา

ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • บริษัทใหม่ดูเหมือนจะมีระบบการทำงานที่ดีเยี่ยม แต่เมื่อเข้าไปทำงานกลับพบปัญหาภายในมากมายที่ไม่เคยคาดคิด เหมือนการกินน้ำแล้วเห็นปลิง (การเจอปัญหาที่ไม่เคยรู้หลังจากเข้ามาทำงานในบริษัทใหม่)
  • สมชายคิดว่าความสัมพันธ์ครั้งใหม่จะดีขึ้น แต่เมื่อคบกันไปเรื่อยๆ ก็พบว่ามีความไม่ซื่อสัตย์และปัญหาแอบแฝงอยู่ (เจอปัญหาหลังจากเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่)
  • โครงการที่ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จ กลับมีความขัดแย้งและปัญหาที่ซ่อนอยู่ ซึ่งไม่มีใครคาดคิดมาก่อน (เจอปัญหาที่ซ่อนอยู่ในโครงการที่ดูดี)
  • การลงทุนในธุรกิจที่ดูดี แต่กลับพบว่ามีการทุจริตซ่อนเร้น และปัญหาการจัดการที่ไม่ถูกต้อง (พบการทุจริตในธุรกิจที่คิดว่าดี)
  • เธอคิดว่าบ้านหลังใหม่ที่ย้ายมาอยู่จะสบาย แต่เมื่อเข้าอยู่จริงๆ กลับพบปัญหาหลายอย่างที่เจ้าของเดิมไม่เคยบอก (เจอปัญหาที่ไม่เคยรู้ในบ้านหลังใหม่)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักคำพังเพยกินน้ำไม่เผื่อแล้ง ที่มาและความหมาย

คำพังเพยหมวดหมู่ ก. กินน้ำไม่เผื่อแล้ง

คำพังเพยกินน้ำไม่เผื่อแล้งหมายถึง

คำพังเพย “กินน้ำไม่เผื่อแล้ง” หมายถึง “การใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือยโดยไม่คำนึงถึงอนาคต หรือการทำสิ่งต่าง ๆ โดยไม่วางแผนรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น

โดยความหมายลึกซึ้งที่สื่อถึงการใช้ทรัพยากรหรือทำสิ่งต่างๆ โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การกระทำแบบนี้สะท้อนให้เห็นถึงการขาดการวางแผนและการเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น คล้ายกับการใช้น้ำทั้งหมดในฤดูฝนโดยไม่คิดเผื่อไว้สำหรับหน้าแล้ง เมื่อถึงช่วงที่ขาดแคลนน้ำก็จะเกิดความเดือดร้อนและความลำบาก สำนวนนี้จึงเตือนให้รู้จักคิดถึงอนาคตและมีการจัดการอย่างรอบคอบ

ในบริบทที่ลึกกว่านั้น การ “ไม่เผื่อแล้ง” ยังสื่อถึงการขาดความรอบคอบและการบริหารจัดการทรัพยากรหรือโอกาสที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่นเดียวกับการไม่เก็บออมในช่วงที่มีรายได้ดี หรือการไม่วางแผนรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การกระทำแบบนี้มักนำไปสู่ผลเสียหรือความลำบากในภายหลัง

กล่าวคือ “มีอะไรใช้หมดทันทีไม่คิดถึงวันข้างหน้า” มักใช้ในเชิงเตือนใจให้คนระมัดระวังและรู้จักวางแผนให้ดี

ที่มาและความหมายกินน้ำไม่เผื่อแล้ง

ที่มาของคำพังเพย

ที่มาของคำพังเพยนี้สะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนไทยในอดีตที่ต้องพึ่งพาธรรมชาติ โดยเฉพาะน้ำซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญสำหรับการเกษตร การอุปโภคบริโภค และการเลี้ยงสัตว์ ในสังคมไทยสมัยก่อน ช่วงฤดูฝนเป็นช่วงที่มีน้ำมาก แต่เมื่อเข้าสู่หน้าแล้ง มักประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำ หากใช้ทรัพยากรโดยไม่เผื่อไว้สำหรับอนาคต ก็อาจเกิดความเดือดร้อนตามมา ดังนั้น คำพังเพยนี้จึงเตือนใจให้รู้จักการจัดการและประหยัดทรัพยากร โดยเน้นถึงความสำคัญของการคิดล่วงหน้าและเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต

ในอดีต ชุมชนเกษตรกรไทยต้องพึ่งพาน้ำฝนในการทำนาและการเก็บน้ำไว้ในบ่อน้ำหรือโอ่งเก็บน้ำเพื่อใช้ในหน้าแล้ง เมื่อไม่มีการวางแผนเก็บน้ำไว้เพียงพอ การขาดแคลนน้ำจะทำให้เกิดปัญหาทั้งด้านการเกษตรและชีวิตประจำวัน จึงทำให้เกิดคำพังเพยนี้ขึ้น

ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • การลงทุนทั้งหมดในธุรกิจโดยไม่เก็บเงินสำรองไว้ ทำให้เกิดวิกฤตการเงินเมื่อธุรกิจเจอปัญหา เรียกว่าเป็นการกินน้ำไม่เผื่อแล้ง (ใช้ทรัพยากรทั้งหมดโดยไม่วางแผนสำรองสำหรับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น)
  • ในช่วงที่ได้งานพิเศษ พนักงานคนหนึ่งใช้เงินฟุ่มเฟือยไปกับของที่ไม่จำเป็น จนเมื่อรายได้พิเศษหมดไป เขาจึงเริ่มมีปัญหาการเงิน (ใช้จ่ายเงินมากเกินไปโดยไม่คิดถึงอนาคต)
  • เด็กหนุ่มทำงานและเที่ยวเล่นโดยไม่สนใจสะสมความรู้ พอเข้าสู่ช่วงที่งานน้อยลงก็เริ่มหางานยากเพราะไม่มีทักษะเพิ่มเติม (ไม่เตรียมความรู้หรือทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคต)
  • การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่ระมัดระวังทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมในที่สุด เป็นการกินน้ำไม่เผื่อแล้งที่ส่งผลกระทบยาวนาน (ใช้ทรัพยากรธรรมชาติโดยไม่คิดถึงผลเสียในอนาคต)
  • ผู้บริหารบริษัทตัดสินใจใช้เงินก้อนใหญ่เพื่อขยายกิจการทันที แต่ไม่ได้เก็บเงินสำรองไว้เผื่อเหตุฉุกเฉิน เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ บริษัทก็ประสบปัญหาอย่างหนัก (การขยายธุรกิจโดยไม่วางแผนรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพยที่คล้ายกัน

  • ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ: การใช้จ่ายหรือทำสิ่งที่สิ้นเปลืองไปโดยไม่มีประโยชน์กลับมา

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักคำพังเพยกินที่ลับไขที่แจ้ง ที่มาและความหมาย

คำพังเพยหมวดหมู่ ก. กินที่ลับไขที่แจ้ง

คำพังเพยกินที่ลับไขที่แจ้งหมายถึง

คำพังเพย “กินที่ลับไขที่แจ้ง” หมายถึง คนที่ทำสิ่งไม่ดีลับหลังผู้อื่น แต่แสดงออกให้ดูดีในที่สาธารณะ หรือทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมโดยไม่ให้ใครรู้ แล้วค่อยนำผลลัพธ์หรือผลประโยชน์ที่ได้มาประกาศให้คนอื่นรับรู้ สะท้อนถึงการแสดงออกที่ไม่จริงใจและมีลักษณะเป็นสองด้าน ทั้งที่ภายในทำในสิ่งตรงกันข้ามกับที่แสดงออกในที่แจ้ง กล่าวคือ “นำเรื่องที่ทำกันอย่างลับ ๆ มาเปิดเผย, มักใช้แก่เรื่องชู้สาว” นั่นเอง

ที่มาและความหมายกินที่ลับไขที่แจ้ง

ที่มาของคำพังเพย

คำพังเพยนี้มีที่มาจากการใช้ภาษาเปรียบเปรยในวัฒนธรรมไทยที่ต้องการสะท้อนพฤติกรรมของบุคคลที่ทำสิ่งไม่ดีหรือสิ่งที่ไม่เหมาะสมในที่ลับ แต่กลับนำผลที่ได้มาเปิดเผยในที่สาธารณะ คำว่า “กินที่ลับ” หมายถึงการกระทำที่เป็นการแอบทำไม่ให้คนอื่นเห็น เช่น การโกง การทุจริต หรือการแสวงหาผลประโยชน์จากผู้อื่นโดยไม่โปร่งใส ส่วน “ไขที่แจ้ง” หมายถึงการนำสิ่งที่ทำไว้ในที่ลับมาประกาศหรือแสดงต่อที่สาธารณะ เสมือนการโอ้อวดหรือแสดงความดีที่แท้จริงแล้วไม่ถูกต้องตามที่ทำไว้

ในวัฒนธรรมไทยสมัยก่อน คนไทยมีความเชื่อมั่นในความซื่อสัตย์และความโปร่งใสในชีวิตประจำวัน โดยมักใช้สำนวนหรือคำพังเพยเป็นการเตือนใจให้ระวังการกระทำที่ไม่ดีที่อาจถูกเปิดเผยได้ในที่สุด คำพังเพยนี้จึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อสอนใจให้รู้จักปฏิบัติตัวอย่างตรงไปตรงมา ไม่แสดงพฤติกรรมที่ขัดแย้งกับสิ่งที่แสดงออกในที่สาธารณะ

ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • สมชายมักชอบพูดถึงความดีที่เขาทำ แต่ความจริงเขาใช้วิธีทุจริตในการได้ผลประโยชน์มากมาย สะท้อนถึงการกินที่ลับไขที่แจ้ง (สมชายทำสิ่งไม่ดีลับหลังแต่ชอบแสดงออกว่าทำสิ่งดีในที่สาธารณะ)
  • ในที่ทำงาน เขามักแสดงตนเป็นคนตรงไปตรงมา แต่กลับทำเรื่องที่น่ารังเกียจเมื่อลับหลังผู้อื่น เหมือนกินที่ลับไขที่แจ้ง (แสดงภาพลักษณ์ดีต่อหน้าคนอื่นแต่ทำสิ่งไม่ดีลับหลัง)
  • บางคนมักทำตัวซื่อสัตย์ในที่ประชุม แต่กลับนำข้อมูลลับของบริษัทไปขายให้กับคู่แข่ง กินที่ลับไขที่แจ้งจริงๆ (ทำตัวดีต่อหน้าแต่กลับทำสิ่งผิดหลังฉาก)
  • เจ้านายของฉันชอบทำตัวเหมือนใสสะอาด แต่แอบใช้เงินบริษัทในทางที่ผิด เหมือนจะกินที่ลับไขที่แจ้ง (เจ้านายแสดงภาพลักษณ์ดีแต่ลับหลังทำผิด)
  • เขาบอกว่าเป็นคนช่วยเหลือสังคมมากมาย แต่เบื้องหลังกลับหาผลประโยชน์ส่วนตัวจากการบริจาคต่างๆ กินที่ลับไขที่แจ้งชัดเจน (เขาทำดีในที่สาธารณะแต่แอบหาผลประโยชน์ส่วนตัว)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพยที่คล้ายกัน

  • หน้าซื่อใจคด หมายถึง: คนที่แสดงออกเป็นคนดีต่อหน้าผู้อื่น แต่ความจริงมีเจตนาไม่ดี
  • ตีสองหน้า หมายถึง: คนที่แสดงออกแตกต่างกันตามสถานการณ์หรือคนที่พบเจอ
  • ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ: หมายถึง: สื่อถึงการแสดงออกว่าเป็นมิตรด้วยคำพูด แต่เจตนาไม่ดี

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักคำพังเพยไทยกำแพงมีหู ประตูมีตา(ช่อง) ที่มาและความหมาย

คำพังเพยหมวดหมู่ ก. กำแพงมีหู ประตูมีตา(ช่อง)

ความหมายของคำพังเพยกำแพงมีหูประตูมีตา

กำแพงมีหู ประตูมีตา หรือ กำแพงมีหู ประตูมีช่อง” หมายถึง การเตือนให้ระมัดระวังในการพูดคุยหรือทำสิ่งใด เพราะอาจมีผู้ที่แอบฟังหรือแอบดูอยู่ แม้ว่าเราจะคิดว่าพื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ส่วนตัวหรือมีความปลอดภัยก็ตาม สำนวนนี้สะท้อนถึงการที่ข่าวหรือความลับมักจะหลุดออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะมีคนอื่นคอยเฝ้าสังเกตและจับตาดูอยู่เสมอ ดังนั้นจึงควรใช้ความระมัดระวังในการพูดคุยเรื่องที่ละเอียดอ่อนหรือความลับ โดยเฉพาะในสังคมที่มีความใกล้ชิดกันมาก กล่าวคือ “การที่จะพูดหรือทำอะไร ให้ระมัดระวัง แม้จะเป็นความลับเพียงไรก็อาจมีคนล่วงรู้ได้” นั่นเอง

นอกจากนี้ คำพังเพยนี้นี้ยังสามารถแสดงถึงความระมัดระวังในด้านการพูดหรือทำสิ่งต่างๆ ต่อหน้าคนอื่นที่อาจไม่น่าไว้ใจ หรืออาจถูกจับตาดูอยู่โดยไม่รู้ตัว ทำให้การพูดหรือทำสิ่งใดต้องมีการคิดไตร่ตรองก่อนเสมอ

ที่มาและความหมายกำแพงมีหู ประตูมีตา(ช่อง)

ที่มาของคำพังเพย

คำพังเพยนี้มีรากฐานมาจากความเชื่อและการสังเกตวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยก่อน ซึ่งนิยมใช้ภาษาที่สื่อถึงสิ่งของในลักษณะเปรียบเทียบกับพฤติกรรมของมนุษย์ สำนวนนี้ใช้เปรียบกับสถานการณ์ที่แม้กำแพงและประตูจะเป็นสิ่งไม่มีชีวิต แต่ก็เปรียบเหมือนกับมีหูและตาคอยเฝ้าสังเกตการณ์และรับฟังข้อมูลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบข้าง สะท้อนถึงสภาพสังคมที่ข้อมูลมักจะถูกส่งต่อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งอย่างรวดเร็ว

ในสมัยก่อน คนไทยมักใช้คำพังเพยนี้เพื่อเตือนสติให้ระมัดระวังในการพูดคุยเรื่องสำคัญ ๆ หรือความลับในที่ที่คิดว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัว เนื่องจากสถานการณ์และบริบททางสังคมที่มีการสอดส่องกันอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ หรือชุมชนที่แนบแน่น ทำให้การเผยแพร่ข้อมูลหรือเรื่องราวอาจเกิดขึ้นได้ง่าย คนที่สังเกตการณ์และได้ยินข้อมูลก็อาจจะกระจายข่าวออกไปได้เร็วเหมือนกับ “หู” และ “ตา” ของกำแพงและประตูที่ไม่มีชีวิต

ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • เมื่อเพื่อนร่วมงานเตือนกันว่าไม่ควรพูดเรื่องเงินเดือนหรือปัญหาภายในบริษัทในที่สาธารณะ เพราะกำแพงมีหู ประตูมีตา (เตือนให้ระวังเรื่องการพูดในที่ที่อาจมีคนอื่นแอบฟังอยู่)
  • คุณยายบอกหลานว่าอย่าพูดเรื่องปัญหาครอบครัวในร้านอาหาร เพราะกำแพงมีหู ประตูมีตา (คุณยายเตือนให้หลานระมัดระวังการพูดเรื่องส่วนตัวในที่สาธารณะ)
  • สมชายและเพื่อน ๆ รู้ว่าการพูดคุยเรื่องแผนธุรกิจใหม่ในที่ประชุมควรระวังให้มาก เพราะกำแพงมีหู ประตูมีตา อาจมีคนไม่หวังดีแอบฟังอยู่ (สมชายตระหนักว่ามีโอกาสที่แผนธุรกิจจะถูกเปิดเผยออกไป)
  • พ่อแม่สอนลูกว่าอย่าพูดเรื่องในครอบครัวกับคนอื่นมากเกินไป เพราะกำแพงมีหู ประตูมีตา (เตือนลูกให้ระวังการเปิดเผยความลับในครอบครัว)
  • ในที่ประชุมสาธารณะ เขาไม่กล้าพูดวิจารณ์ผู้บริหาร เพราะกำแพงมีหู ประตูมีตา อาจมีคนส่งข้อมูลไปให้ผู้บริหารรู้ (เขาระมัดระวังไม่พูดเรื่องวิจารณ์ต่อหน้าคนอื่น)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักคำพังเพยไทยกำปั้นทุบดิน ที่มาและความหมาย

คำพังเพยหมวดหมู่ ก. กำปั้นทุบดิน

ความหมายของคำพังเพยกำปั้นทุบดิน

กำปั้นทุบดิน” หมายถึง การพูดหรือการอธิบายแบบกว้างๆ ไม่เจาะลึกในรายละเอียด ซึ่งอาจฟังดูเหมือนครอบคลุมทุกอย่าง แต่ไม่ได้ให้ความกระจ่างที่ชัดเจนแก่ผู้ฟัง อีกทั้งยังสื่อถึงการแก้ปัญหาที่ง่ายและตรงไปตรงมาเกินไป โดยไม่คำนึงถึงความละเอียดอ่อนหรือผลกระทบในระยะยาว สำนวนนี้มักใช้เพื่ออธิบายคนที่พูดหรือแก้ปัญหาแบบรวบรัด ไม่คิดซับซ้อนหรือไม่ให้คำแนะนำที่มีคุณค่า กล่าวคือ “การพูดแบบกว้าง ๆ อาจจะตรงประเด็นหรือไม่ตรง เป็นการตอบที่ไม่ใช่คำตอบที่ผิด แต่เป็นการตอบที่ไม่ได้ประโยชน์แก่ผู้ฟัง

ที่มาและความหมายกำปั้นทุบดิน

ที่มาของคำพังเพย

คำพังเพยนี้มีที่มาจากการเปรียบเปรยถึงการใช้กำปั้นทุบลงไปบนพื้นดิน ซึ่งเป็นการกระทำที่เรียบง่าย ตรงไปตรงมา ไม่ต้องการความคิดหรือการวางแผนใด ๆ การทุบกำปั้นลงบนดินไม่ได้ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ซับซ้อนหรือแสดงถึงการแก้ไขปัญหาเชิงลึก สำนวนนี้อาจเกิดจากการใช้ภาษาพูดในยุคอดีตที่ต้องการบรรยายถึงวิธีการพูดหรือการแก้ปัญหาที่ตรงไปตรงมาเกินไป คล้ายกับการกระทำที่ไม่ต้องการการวิเคราะห์หรือความรอบคอบ

ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • เมื่อถูกถามถึงแผนการตลาด เขาตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า ‘แค่เพิ่มยอดขายให้มากขึ้นก็พอ’ (เขาตอบคำถามโดยไม่ลงรายละเอียดและขาดการวิเคราะห์เชิงลึก)
  • พ่อบอกให้ลูกตั้งใจเรียน เพราะถ้าไม่ตั้งใจเรียนก็จะไม่ประสบความสำเร็จ คำแนะนำแบบกำปั้นทุบดินนี้ไม่ช่วยให้ลูกเข้าใจถึงเหตุผลที่แท้จริง (พ่อให้คำแนะนำโดยไม่อธิบายรายละเอียดหรือผลกระทบ)
  • ในที่ประชุม ผู้จัดการสรุปปัญหาด้วยคำพูดแบบกำปั้นทุบดินว่า ‘เราต้องทำให้ได้ดีกว่าเดิม’ โดยไม่เจาะจงถึงขั้นตอนการปรับปรุง (ผู้จัดการสรุปปัญหาแบบครอบคลุมแต่ขาดเนื้อหาที่ชัดเจน)
  • ครูบอกนักเรียนว่า ‘อย่าเล่นเกมมาก’ โดยไม่อธิบายถึงผลกระทบ ทำให้เด็กๆ รู้สึกว่านี่เป็นการพูดแบบกำปั้นทุบดิน (ครูให้คำแนะนำโดยไม่ให้เหตุผลที่ชัดเจนแก่เด็กๆ)
  • เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก สมชายมักพูดแบบกำปั้นทุบดินว่า ‘ทำไปก่อน เดี๋ยวก็สำเร็จเอง’ (สมชายให้คำแนะนำที่ตรงไปตรงมาและขาดความละเอียดอ่อน)
  • ฉันถามว่า ‘ทำไมนาฬิกาไม่เดิน’ เขาตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า ‘เพราะมันตายน่ะซิ’ (เป็นลักษณะการตอบที่ไม่ได้ให้ข้อมูลที่ผู้ถามต้องการรู้)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT