รู้จักสำนวนกาคาบพริก ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ก. กาคาบพริก

กาคาบพริกหมายถึง

สำนวน “การคาบพริก” หมายถึง ลักษณะของคนที่มีผิวดำหรือผิวคล้ำที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีแดง ซึ่งเปรียบเสมือนอีกาที่คาบพริกสีแดงในปาก ดูมีความตัดกันระหว่างสีของตัวกับพริกที่คาบไว้ สำนวนนี้ใช้เพื่อบรรยายถึงความโดดเด่นที่ไม่กลมกลืนระหว่างสีผิวกับสีของเสื้อผ้าที่ใส่ โดยสื่อถึงความไม่เข้ากันหรือการตัดกันของสีที่ชัดเจน ทำให้คนที่มองเห็นรู้สึกสะดุดตาและจำได้ง่าย กล่าวคือ “ลักษณะที่คนผิวดำแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีแดง” นั่นเอง

คำว่า “กาคาบพริก” เป็นการเปรียบเทียบที่ชัดเจนและตรงไปตรงมาในวัฒนธรรมไทยที่สื่อถึงความโดดเด่นของคนผิวคล้ำที่สวมเสื้อผ้าสีสด เช่น สีแดงที่มีความตัดกันกับสีผิวอย่างชัดเจน

ที่มาและความหมายกาคาบพริก

ที่มาของสำนวนนี้

สำนวนนี้มาจากการเปรียบเปรยภาพที่เห็นในธรรมชาติ ซึ่งอีกาเป็นนกที่มีสีดำสนิท และเมื่อนำมาคาบพริกสีแดงสดไว้ในปาก จะเห็นความตัดกันของสีอย่างชัดเจน สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเทียบกับคนที่มีผิวดำหรือผิวคล้ำที่สวมใส่เสื้อผ้าสีแดงหรือสีสดใส ซึ่งทำให้เกิดการตัดกันของสีที่ชัดเจนและสะดุดตา

ในวัฒนธรรมไทย การใช้สีในการแต่งกายมีความหมายและการตีความที่หลากหลาย สำนวนนี้สะท้อนถึงการมองภาพลักษณ์ภายนอกที่มีความโดดเด่นและไม่กลมกลืน ซึ่งเกิดจากการเลือกสีเสื้อผ้าที่มีความคอนทราสต์กับสีผิว

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • พิมพ์แต่งชุดไทยสีแดงสดไปงานวัด ทำให้เธอดูโดดเด่นเพราะสีของชุดตัดกับผิวคล้ำของเธอ เพื่อน ๆ ต่างหัวเราะและแซวกันว่าเธอกล้าแต่งตัวสะดุดตาแบบนี้ (เปรียบเสมือนการแต่งตัวที่มีความแตกต่างชัดเจนระหว่างสีเสื้อและสีผิว)
  • นางแบบผิวเข้มในงานแฟชั่นโชว์เลือกใส่ชุดสีแดงจัดจ้าน เรียกสายตาจากผู้ชมได้ทันทีด้วยความโดดเด่นของสีเสื้อที่ตัดกับสีผิว จนกลายเป็นจุดสนใจของงาน (สื่อถึงการใช้สีที่ตัดกันเพื่อเพิ่มความโดดเด่น)
  • ป้าจันใส่เสื้อสีแดงไปตลาด ทำให้ผู้คนในละแวกบ้านมองและอมยิ้ม เพราะสีสดของเสื้อทำให้เธอดูสะดุดตาท่ามกลางผู้คนที่ใส่เสื้อผ้าสีเรียบ ๆ (เปรียบถึงความโดดเด่นที่เกิดจากการแต่งกายที่ตัดกับสีผิว)
  • สมชายที่มีผิวคล้ำเลือกใส่เสื้อเชิ้ตสีแดงในวันปีใหม่ ทำให้เพื่อนร่วมงานต้องเหลียวมองและอดยิ้มไม่ได้กับการแต่งตัวที่ดูแปลกตาของเขาในวันพิเศษนี้ (หมายถึงการแต่งตัวที่ใช้สีตัดกันเพื่อให้ดูสะดุดตา)
  • ลูกสาวตัวน้อยของคุณแม่ที่มีผิวเข้มชอบใส่ชุดสีแดงสดไปโรงเรียน ทุกคนในห้องต่างพากันพูดถึงความกล้าของเธอในการเลือกสีเสื้อที่ทำให้เธอดูโดดเด่นไม่เหมือนใคร (สื่อถึงความกล้าหาญในการเลือกแต่งกายที่ทำให้สะดุดตา)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายกัน

  • หัวมังกุท้ายมังกร หมายถึง: ไม่เข้ากัน ไม่กลมกลืนกัน ขัดกันในตัว ทรวดทรงเรือนร่างต่างลักษณะไม่กลมกลืนกันตามที่ควรเป็น มีหลายอย่างปนเปกันจนหมดงาม

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนกระชังหน้าใหญ่ ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ก. กระชังหน้าใหญ่

กระชังหน้าใหญ่หมายถึง

กระชังหน้าใหญ่ หมายถึง คนที่ชอบแสดงตัวออกหน้าเป็นหัวเรือใหญ่ ชอบแสดงบทบาทนำในสถานการณ์ต่าง ๆ หรือชอบทำตัวเป็นผู้นำในการจัดการเรื่องราว ชอบออกหน้ารับผิดชอบหรือแสดงความจัดจ้านในการแก้ไขปัญหาหรือแสดงความคิดเห็น สำนวนนี้ใช้บรรยายลักษณะของคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงและไม่ลังเลที่จะออกตัวในสถานการณ์ต่าง ๆ กล่าวคือ “ผู้ที่ชอบแสดงตัวออกหน้าเป็นหัวเรือใหญ่, จัดจ้าน, ออกหน้ารับเสียเอง” นั่นเอง

ที่มาและความหมายกระชังหน้าใหญ่

ที่มาของสำนวน

มาจากกระชังซึ่งเป็นเครื่องมือทำด้วยไม้ไผ่ ใช้สำหรับดักจับปลาหรือเลี้ยงปลาในน้ำ โดยมีลักษณะหน้าใหญ่ที่สามารถรับปลาได้มากและมีความจุเยอะ คนไทยกับกระชังมีความผูกพันกันมานาน โดยเฉพาะในวิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการประมงและการเลี้ยงปลาในชนบท กระชังมักถูกทำจากไม้ไผ่หรือวัสดุธรรมชาติ และใช้ในการดักจับปลา เก็บกักปลา หรือเลี้ยงปลาในแม่น้ำและบ่อน้ำ ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในวิถีชีวิตของชาวบ้าน เนื่องจากกระชังมีขนาดใหญ่และสามารถรองรับจำนวนปลาได้มาก จึงเปรียบเสมือนความสามารถในการรับผิดชอบหรือการทำหน้าที่ที่หนักหนาของผู้ใช้

การนำคำว่า กระชังหน้าใหญ่ มาใช้เป็นสำนวน เปรียบเปรยถึงลักษณะของคนที่ชอบออกรับหน้าที่ใหญ่ ๆ หรือทำตัวเป็นผู้นำในกลุ่มคน ด้วยกระชังที่มีหน้าใหญ่สามารถรับสิ่งต่าง ๆ ได้มาก คนที่เปรียบเหมือนกระชังหน้าใหญ่ก็คือคนที่ชอบทำตัวโดดเด่น รับผิดชอบงานหรือภาระต่าง ๆ ด้วยความเต็มใจ หรือเป็นคนที่มีท่าทีจัดจ้าน พูดจาฉะฉาน ออกรับและแสดงบทบาทในทุกสถานการณ์

สำนวนนี้จึงสะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างคุณสมบัติของกระชังที่สามารถรองรับปลาได้มาก กับลักษณะของคนที่ชอบรับผิดชอบหรือแสดงตัวเป็นผู้นำในสังคม คนไทยจึงนำสำนวนนี้มาใช้เปรียบเปรยให้เห็นภาพได้ชัดเจน

ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • นายใหญ่ในหมู่บ้านเป็นคนที่ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ เขาจะอาสาเป็นหัวหน้าโครงการเสมอ คนในหมู่บ้านต่างพูดว่าเขาชอบออกรับทุกงาน ทำตัวเป็นหัวเรือใหญ่ที่ทุกคนต้องพึ่งพา (หมายถึงคนที่ชอบทำหน้าที่สำคัญและแสดงบทบาทเป็นผู้นำในทุกสถานการณ์)
  • พนักงานใหม่ที่มีความมั่นใจสูง ชอบเสนอตัวออกความเห็นและออกรับหน้าที่ในที่ประชุมทุกครั้ง จนเพื่อนร่วมงานมองว่าเขาชอบแสดงตัวเกินกว่าที่ควรจะเป็น (เปรียบถึงคนที่มีความมั่นใจและชอบแสดงตัวในที่สาธารณะ)
  • ในงานจัดเลี้ยงโรงเรียน พี่นิดาชอบเข้ามาเป็นคนจัดการทุกอย่าง ตั้งแต่การเตรียมอาหารไปจนถึงการดูแลแขก ทุกคนรู้สึกว่าพี่นิดาเป็นคนที่พร้อมออกรับทุกเรื่องอย่างเต็มใจและมักทำตัวเป็นคนสำคัญ (สื่อถึงคนที่ชอบแสดงบทบาทนำและทำงานอย่างเต็มใจ)
  • สมศรีชอบพูดจาเสียงดังและแสดงความคิดเห็นอย่างจัดจ้านในการประชุมโรงเรียน แม้บางครั้งจะไม่ใช่เรื่องของเธอ ผู้ปกครองหลายคนบอกว่าสมศรีมักชอบแสดงตัวเกินความจำเป็นและออกหน้าเสมอ (หมายถึงคนที่ชอบแสดงตัวหรือพูดจาแบบจัดจ้าน)
  • เจ้านายของเอกชอบแสดงบทบาทเป็นผู้นำในทุกโครงการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับแผนกของตัวเองหรือไม่ ทุกคนในทีมรู้สึกว่าเขาชอบออกรับหน้าที่ทั้งหมดและแสดงตัวอย่างชัดเจนในทุกสถานการณ์ (แสดงถึงการชอบทำตัวเป็นหัวเรือใหญ่และรับผิดชอบเรื่องต่าง ๆ อย่างเต็มที่)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนกระดังงาลนไฟ ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ก. กระดังงาลนไฟ

กระดังงาลนไฟ หมายถึง

สำนวน “กระดังงาลนไฟ” หมายถึง ผู้หญิงที่มีเสน่ห์ดึงดูด โดยเฉพาะผู้หญิงที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาก่อน เช่น เคยแต่งงานผ่านความรักหรือชีวิตคู่มาแล้ว จนมีเสน่ห์เฉพาะตัวและน่าดึงดูดมากขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น เปรียบเหมือนดอกกระดังงาที่ต้องลนไฟเพื่อให้กลิ่นหอมแรงและคงทนกว่าปกติ

สำนวนนี้ใช้เปรียบเปรยถึงผู้หญิงที่มีลักษณะท่าทีสง่างาม นุ่มนวล แต่ซ่อนความมีเสน่ห์ในตัว เหมือนความหอมที่ค่อย ๆ เปล่งออกมาเมื่อโดนลนไฟ เสน่ห์นี้ไม่ได้มีมาตั้งแต่แรก แต่พัฒนาขึ้นจากประสบการณ์และอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้เธอมีความน่าหลงใหลในแบบที่เด็กสาวไม่มี สำนวนนี้แฝงไว้ด้วยความชื่นชมในความงามและเสน่ห์ที่มาพร้อมกับประสบการณ์ชีวิต

ผู้หญิงที่มีประสบการณ์ในเรื่องความรักและความสัมพันธ์ รู้จักชั้นเชิงในการปรนนิบัติและเอาอกเอาใจคู่ครองได้ดี เข้าใจความต้องการของผู้ชาย และสามารถสร้างเสน่ห์ในแบบที่ผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานหรือไม่มีประสบการณ์ไม่สามารถทำได้ นี่คือเสน่ห์ที่ค่อย ๆ สะสมผ่านกาลเวลา ทำให้เธอมีความมั่นใจและท่าทีดึงดูดใจที่ยากจะต้านทาน กล่าวคือ “หญิงที่เคยแต่งงานหรือผ่านผู้ชายมาแล้ว ย่อมรู้จักชั้นเชิงทางปรนนิบัติและเอาอกเอาใจผู้ชายได้ดีกว่าหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน

ที่มาและความหมายกระดังงาลนไฟ

ที่มาของสำนวนนี้

มาจากการเปรียบเทียบเปรียบเปรยถึงกับดอกกระดังงา ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมแรง (ใช้กลั่นทำน้ำอบน้ำหอมได้) ซึ่งเป็นดอกไม้ที่ต้องลนไฟก่อนจึงจะส่งกลิ่นหอมฟุ้งและคงทนกว่าเดิม ในอดีตชาวไทยจะนำดอกกระดังงามาผ่านกระบวนการอบหรือลนไฟเพื่อทำให้กลิ่นหอมกระจายไปได้มากขึ้นและยาวนาน กลิ่นหอมของกระดังงาที่ผ่านการลนไฟมีเอกลักษณ์ที่เย้ายวนใจและติดทน สะท้อนถึงการปรุงแต่งและการทำให้หอมจนโดดเด่น เหมาะสำหรับการนำไปใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ และการประดับตกแต่งเพื่อความสวยงามและกลิ่นหอม

คนไทยมีความผูกพันกับดอกกระดังงาอย่างลึกซึ้ง เนื่องจากกระดังงาถือเป็นหนึ่งในดอกไม้พื้นเมืองที่มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ เมื่อดอกกระดังงาผ่านกระบวนการ “ลนไฟ” หรือการอุ่นไฟ กลิ่นของมันจะยิ่งหอมและฟุ้งได้นานขึ้น ชาวไทยนิยมใช้กระดังงาในพิธีกรรมต่าง ๆ ทั้งในงานมงคลและงานบุญ เช่น การทำน้ำอบไทย น้ำปรุง และประดับตกแต่งตามบ้าน เพื่อสร้างบรรยากาศหอมสดชื่น อีกทั้งยังใช้ในการผลิตน้ำมันหอมระเหยเพราะกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์และติดทนนาน จึงสะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างคนไทยกับดอกกระดังงาในด้านวัฒนธรรมและการใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน

สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเปรยถึงผู้หญิงที่มีประสบการณ์ในความรักและชีวิตคู่ หรือที่เคยผ่านความสัมพันธ์มาบ้างแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการดูแลและการเอาใจใส่คู่ครอง เธอจะเข้าใจชั้นเชิงและท่าทีที่ดึงดูดความสนใจได้อย่างมีชั้นเชิง ทำให้เธอดูมีเสน่ห์ในแบบที่ผู้หญิงที่ยังไม่มีประสบการณ์อาจไม่สามารถทำได้ ผู้หญิงที่มีคุณสมบัติเหมือน “กระดังงาลนไฟ” จึงได้รับความสนใจและชื่นชมจากคนรอบข้าง โดยเสน่ห์นี้ไม่ได้มาจากความสดใหม่หรือความเยาว์วัย แต่เกิดจากความเป็นผู้ใหญ่และประสบการณ์ชีวิตที่หล่อหลอมให้เธอมีความน่าหลงใหลอย่างลึกซึ้ง

ดอกกระดังงาเป็นตัวแทนของผู้หญิงไทยที่มีประสบการณ์และเสน่ห์ที่ลึกซึ้ง เหมือนกับดอกกระดังงาที่ต้องผ่านการลนไฟก่อน กลิ่นถึงจะหอมแรงและติดทน ผู้หญิงที่ผ่านประสบการณ์ความรักและชีวิตคู่มาแล้วมักจะมีความเข้าใจและรู้จักชั้นเชิงในการดูแลเอาใจใส่คู่ครอง มีความมั่นใจและสง่างาม ซึ่งเป็นเสน่ห์ที่น่าดึงดูดใจในแบบที่ผู้หญิงอายุน้อยหรือไม่มีประสบการณ์อาจยังไม่สามารถทำได้

สำนวนนี้ยังสื่อถึงความงามที่ได้รับการขัดเกลาและพัฒนา เหมือนดอกกระดังงาที่ต้องผ่านไฟก่อนจึงจะส่งกลิ่นหอมที่คงทนและโดดเด่น ไม่ได้หอมเพียงแค่ระยะสั้น ๆ แต่ยิ่งนานกลิ่นยิ่งหอมแรงขึ้น เปรียบเหมือนเสน่ห์ของผู้หญิงที่ยิ่งอายุมากขึ้นและมีประสบการณ์มากขึ้น ก็ยิ่งน่าดึงดูดใจ

ดอกกระดังงาเป็นตัวแทนของผู้หญิงไทยที่มีประสบการณ์และเสน่ห์ที่ลึกซึ้ง เหมือนกับดอกกระดังงาที่ต้องผ่านการลนไฟก่อน กลิ่นถึงจะหอมแรงและติดทน ผู้หญิงที่ผ่านประสบการณ์ความรักและชีวิตคู่มาแล้วมักจะมีความเข้าใจและรู้จักชั้นเชิงในการดูแลเอาใจใส่คู่ครอง มีความมั่นใจและสง่างาม ซึ่งเป็นเสน่ห์ที่น่าดึงดูดใจในแบบที่ผู้หญิงอายุน้อยหรือไม่มีประสบการณ์อาจยังไม่สามารถทำได้

การนำดอกกระดังงามาเปรียบกับผู้หญิงในสำนวนนี้จึงเกิดจากความคล้ายคลึงของความหอมที่ต้องผ่านการลนไฟเพื่อให้หอมทน เปรียบเหมือนเสน่ห์ที่มาพร้อมกับกาลเวลาและการขัดเกลาจากประสบการณ์ เหมือนดอกกระดังงาที่ได้รับการปรุงแต่งให้หอมชัดและติดทนนาน

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • คุณยายเล่าว่าสมัยสาว ๆ ถึงจะผ่านการแต่งงานมาแล้ว แต่หนุ่ม ๆ ก็ยังมาตามจีบไม่ขาด เพราะเสน่ห์นั้นยิ่งเพิ่มตามวัยและประสบการณ์ เหมือนกระดังงาลนไฟที่กลิ่นหอมฟุ้งยิ่งกว่าเดิม (เปรียบถึงเสน่ห์ที่มาจากประสบการณ์และอายุมากขึ้น)
  • พี่น้อยเป็นคนที่รู้วิธีพูดจาเข้าหู รู้จักวิธีเข้าถึงคนรอบตัว ทำให้เธอเป็นที่ชื่นชมในบริษัท หลายคนอดทึ่งไม่ได้กับชั้นเชิงและเสน่ห์แบบกระดังงาลนไฟของเธอ (หมายถึงผู้หญิงที่มีประสบการณ์และรู้วิธีดึงดูดใจคน)
  • ถึงคุณแม่จะอายุมากขึ้น แต่กลับมีความเข้าใจและดูแลพ่อได้เป็นอย่างดี จนใคร ๆ ต่างบอกว่าเสน่ห์ของแม่ยิ่งทวีคูณตามกาลเวลา เหมือนดอกกระดังงาที่ต้องลนไฟให้หอมยิ่งขึ้น (การเปรียบเทียบถึงความน่าดึงดูดใจที่มากขึ้นจากความเข้าใจและความเป็นผู้ใหญ่)
  • มิ่งดูสวยสง่าขึ้นหลังแต่งงาน คนรอบตัวต่างชื่นชมว่าดูเป็นผู้ใหญ่และน่ามองมากกว่าเดิม ราวกับกระดังงาลนไฟที่ยิ่งผ่านอะไรมาก็ยิ่งหอมเย้ายวน (เปรียบถึงเสน่ห์ที่เพิ่มขึ้นตามกาลเวลาและประสบการณ์ชีวิต)
  • พี่บีมเป็นคนที่รู้จักวิธีเอาใจใส่และพูดจาเป็นมิตรกับสามี จนใคร ๆ ก็รู้สึกว่าเสน่ห์ในตัวเธอนั้นไม่เหมือนใคร และยิ่งอายุมากยิ่งดูดีขึ้นเรื่อย ๆ (สะท้อนถึงความน่าหลงใหลที่มาจากประสบการณ์และการดูแลเอาใจใส่)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนกระเชอก้นรั่ว ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ก. กระเชอก้นรั่ว

กระเชอก้นรั่วหมายถึง

กระเชอก้นรั่ว” หมายถึง บุคคลที่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินจำเป็น ไม่มีการออมเงินหรือจัดการรายได้อย่างเหมาะสม เปรียบได้กับกระเช้าที่ก้นรั่ว ใส่สิ่งของลงไปมากแค่ไหน ของก็ไหลออกจนหมดไม่เหลืออะไร เป็นคำเตือนเรื่องการจัดการการเงินและความประหยัด กล่าวคือ “สุรุ่ยสุร่าย, ไม่รู้จักเก็บหอมรอมริบ, ขาดการประหยัด” คำนี้ยังมีเพี้ยนไปเป็น กระชังก้นรั่ว ก็มี นั่นเอง

ที่มาและความหมายกระเชอก้นรั่ว

ที่มาของสำนวนนี้

มีที่มาเกี่ยวข้องกับวิธีชีวิตและการใช้สิ่งของในอดีต โดยคำว่า “กระเชอ” ในที่นี้หมายถึงภาชนะชนิดหนึ่งที่ทำจากไม้ไผ่หรือหวาย ซึ่งถูกถักเป็นรูปกระเช้าสำหรับใส่สิ่งของ ใช้กันอย่างแพร่หลายในสังคมเกษตรกรรมในสมัยก่อน กระเชอมักมีความสำคัญในการใช้ขนของ เช่น ผัก ผลไม้ หรือสิ่งของในชีวิตประจำวัน เนื่องจากทำจากวัสดุธรรมชาติ กระเช้าบางใบเมื่อใช้ไปนาน ๆ ก็อาจเกิดการชำรุดหรือเกิดรอยรั่วที่ก้นได้

กระเชอ เป็นภาชนะพื้นบ้านที่ทำจากไม้ไผ่หรือหวาย โดยคนไทยในอดีตมักใช้กระเชอในการขนส่งและเก็บของ ซึ่งกระเชอมีลักษณะเป็นตะกร้าทรงสูงหรือกึ่งทรงกลม ก้นแคบ ปากกว้าง มีหูจับสำหรับถือหรือคล้องไหล่ได้ การใช้กระเชอเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีการทำเกษตรกรรมเป็นหลัก

ในภาคเหนือและภาคอีสาน กระเชอถูกใช้ในการขนผลผลิตทางการเกษตร เช่น ข้าว ผัก ผลไม้ หรือของใช้จำเป็นในครัวเรือน กระเชอจึงเป็นของใช้ที่สำคัญในวิถีชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ยังมีความผูกพันกับการใช้งานในพิธีกรรมทางศาสนา เช่น การถวายอาหารให้พระสงฆ์ในช่วงวันพระ หรือใช้ใส่เครื่องสังฆทานไปถวายที่วัด

คนไทยในอดีตใช้กระเชอในการขนส่งสิ่งของในชีวิตประจำวัน โดยผู้หญิงในชนบทมักจะใช้กระเชอใส่ผักและผลไม้จากสวนเพื่อนำไปขายที่ตลาด หรือในบางครั้งใช้ใส่เสบียงเมื่อออกไปนาที่อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้าน ในภาคอีสานกระเชอยังถูกใช้ในการขนข้าวเปลือกจากนาข้าวมาเก็บที่ยุ้งฉาง เป็นภาพวิถีชีวิตที่สะท้อนถึงความเป็นอยู่เรียบง่ายของคนในชนบท

จากลักษณะการใช้งานและวัฒนธรรมการสานกระเชอจากไม้ไผ่ เป็นที่สันนิษฐานว่าสำนวน “กระเชอก้นรั่ว” น่าจะมีที่มาจากภาคเหนือหรือภาคอีสาน ซึ่งเป็นภูมิภาคที่นิยมใช้กระเชอในชีวิตประจำวัน และมีความผูกพันกับกระเชอในการขนส่งและเก็บของ

ในบริบทนี้ การมี “ก้นรั่ว” หมายถึงการที่สิ่งของที่ใส่ลงไปในกระเช้าไม่สามารถคงอยู่ได้ สิ่งของต่าง ๆ จะไหลออกทางรอยรั่วที่ก้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ สำนวนนี้จึงถูกนำมาเปรียบเปรยกับคนที่ไม่สามารถเก็บเงินหรือเก็บทรัพย์สินไว้ได้ เปรียบเสมือนการใส่ของลงในกระเช้าก้นรั่ว ไม่ว่าจะใส่ลงไปเท่าไหร่ ของเหล่านั้นก็จะไหลออกหมดทุกครั้ง ทำให้ไม่สามารถเก็บรักษาได้

สำนวนนี้สะท้อนถึงความเป็นอยู่ของคนในอดีตที่ต้องพึ่งพาการเก็บออมและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะในสมัยนั้นการหารายได้หรือทรัพย์สินอาจเป็นเรื่องยากลำบาก คนที่ไม่สามารถเก็บเงินได้จึงมักถูกตำหนิหรือถูกเปรียบเปรยเป็น “กระเชอก้นรั่ว” เพื่อเตือนสติให้รู้จักประหยัดและใช้เงินอย่างรอบคอบ

ในมุมมองของคนไทย การใช้สำนวนนี้แฝงนัยยะที่ชัดเจนถึงการเตือนใจเรื่องการจัดการเงินทอง เพราะกระเช้าที่มีรอยรั่วนั้น เป็นสิ่งที่แสดงถึงการสูญเสียและความไม่มั่นคงทางการเงิน ดังนั้นจึงเป็นการสื่อสารให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านตระหนักถึงการเก็บออมและใช้จ่ายอย่างรอบคอบ มิเช่นนั้นทรัพย์สินที่มีอยู่ก็จะหมดไปอย่างไม่รู้ตัว

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • แม่เตือนต่ายที่เพิ่งได้เงินจากงานพิเศษมา แต่รีบเอาไปซื้อของที่ไม่จำเป็นจนหมด แม่บอกว่าแม้จะมีรายได้เข้ามามากแค่ไหน แต่ถ้าใช้เงินแบบไม่คิดล่วงหน้า สุดท้ายก็จะไม่เหลืออะไรเก็บไว้เผื่ออนาคตเลย (เหมือนกับการมีเงินเท่าไหร่ก็ไหลออกไปหมด เพราะไม่มีการวางแผนการใช้เงินที่ดี)
  • เอกเป็นพนักงานที่ได้รับโบนัสก้อนใหญ่ช่วงสิ้นปี แต่กลับใช้เงินไปกับสิ่งของฟุ่มเฟือยทั้งหมด แทนที่จะเก็บบางส่วนไว้ลงทุนหรือต่อยอด เจ้านายเห็นเอกแล้วรู้สึกเสียดายแทน เพราะการใช้จ่ายแบบนี้ก็ทำให้ไม่มีโอกาสสร้างความมั่นคงในระยะยาว (การใช้จ่ายโดยไม่คิดถึงผลลัพธ์ ทำให้โอกาสเก็บออมสูญเสียไป)
  • ฝนมีรายได้ดีจากการทำงานพิเศษ แต่ก็ชอบเอาเงินไปใช้กับการท่องเที่ยวและซื้อของทุกครั้งจนไม่เหลือเก็บ เพื่อน ๆ จึงแซวว่า ถ้าไม่รู้จักเก็บออมเลย วันหนึ่งอาจจะต้องลำบากหากเจอสถานการณ์ฉุกเฉิน (เพราะใช้เงินไปอย่างไม่มีการออม ทำให้ไม่เหลือเผื่อในยามจำเป็น)
  • ในชุมชนเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ผู้ใหญ่บ้านพาเงินกองทุนที่ควรจะนำไปพัฒนาหมู่บ้านไปจัดงานเลี้ยงบ่อยครั้งจนเงินร่อยหรอไปเรื่อย ๆ ชาวบ้านหลายคนเริ่มตั้งคำถามว่าแบบนี้จะทำให้ชุมชนเจริญขึ้นได้อย่างไร (การใช้เงินไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น ทำให้การพัฒนาที่ควรจะเกิดขึ้นไม่สำเร็จ)
  • ครูใหญ่บอกกับนักเรียนในชั้นเรียนว่า การได้เงินค่าขนมมาแล้วใช้จนหมดโดยไม่เก็บบ้าง เท่ากับใช้ชีวิตแบบที่ไม่มีอะไรเผื่ออนาคต หากวันหนึ่งเกิดเหตุจำเป็นขึ้นมา ก็จะไม่เหลืออะไรเลย (สะท้อนถึงการใช้จ่ายเงินแบบไม่คิดถึงความสำคัญของการออม ซึ่งทำให้การเงินในอนาคตไม่มั่นคง)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายกัน

  • ชักหน้าไม่ถึงหลัง หมายถึง: การใช้จ่ายที่มากเกินกว่ารายรับ จนไม่เพียงพอจะใช้ในแต่ละเดือน สะท้อนถึงการจัดการเงินที่ไม่ดี

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนกระดูกร้องได้ ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ก. กระดูกร้องได้

กระดูกร้องได้หมายถึง

กระดูกร้องได้” หมายถึง การที่เรื่องราวหรือความจริงในอดีตที่เคยถูกปิดบังหรือถูกลืมไว้ มีโอกาสถูกเปิดเผยหรือถูกพูดถึงอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเพราะเงื่อนไขบางอย่างที่ทำให้เรื่องนั้นถูกนำกลับมาสู่ความสนใจหรือถูกเปิดโปง ความหมายยังรวมไปถึงการที่ความจริงที่เคยถูกปิดซ่อนไว้จะไม่สามารถถูกซ่อนตลอดไป เพราะความยุติธรรมจะมีทางปรากฏขึ้นเสมอ กล่าวคือ “ผลสะท้อนของฆาตกรรมที่ทำให้จับตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ คล้ายกับว่ากระดูกของผู้ตายร้องบอก

ที่มาและความหมายกระดูกร้องได้

ที่มาของสำนวน

มาจากความเชื่อพื้นบ้านของไทยที่เล่าถึงวิญญาณหรือผู้เสียชีวิตที่ไม่ได้รับความยุติธรรม หรือถูกฆ่าโดยไม่ได้รับการชำระแค้น เชื่อกันว่า หากมีการพบกระดูกหรือซากศพในที่ที่ไม่ควร กระดูกนั้นอาจ “ร้องได้” หรือบอกให้ผู้พบเจอรู้ว่ามีความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น สำนวนนี้สะท้อนความเชื่อของคนโบราณในการส่งเสียงของผู้ตายเพื่อขอความยุติธรรมหรือการชำระแค้น

ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • หลังจากหลายปีที่คดีการหายตัวไปของนายสมชายถูกปิดไว้ แต่เมื่อหลักฐานใหม่ถูกค้นพบ ทำให้เรื่องนี้กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง เหมือนกระดูกร้องได้ ที่ความจริงไม่อาจถูกปกปิดตลอดไป (การกลับมาเปิดเผยของความจริงที่ถูกปิดบังไว้)
  • ผู้ร้ายที่เคยหนีความผิดไปได้หลายปี ถูกจับได้ในที่สุด เพราะพยานหลักฐานใหม่ชี้ชัดว่าคนนี้คือผู้กระทำผิด ความจริงจึงปรากฏในที่สุด (ความยุติธรรมที่ตามมาทันแม้เวลาจะผ่านไป)
  • เรื่องราวของการทุจริตที่เคยถูกซ่อนไว้นาน ถูกเปิดโปงหลังจากผู้เกี่ยวข้องเริ่มเปิดเผยข้อมูลออกมา คล้ายกับกระดูกร้องได้ ที่ความลับไม่อาจปิดบังได้ตลอดไป (ความจริงที่ถูกซ่อนไว้ถูกเปิดเผยในภายหลัง)
  • หลังจากหลายปีผ่านไป ซากศพของเหยื่อในคดีฆาตกรรมถูกพบในป่า และหลักฐานนำไปสู่การจับตัวผู้ร้ายได้ เหมือนกระดูกร้องได้ที่บอกให้คนพบเรื่องราวในอดีต (การพบหลักฐานที่นำไปสู่การคลี่คลายคดีในอดีต)
  • แม้ว่าความลับของบริษัทจะถูกปกปิดมานาน แต่เมื่อมีพนักงานออกมาเปิดเผยข้อมูลในสื่อ ความจริงจึงถูกขุดขึ้นมาสู่สาธารณะในที่สุด (การที่เรื่องราวในอดีตถูกเปิดเผยด้วยการขุดคุ้ยหลักฐาน)

สำนวน, สุภาษิต, และคำพังเพยที่คล้ายกัน

  • ความลับไม่มีในโลก หมายถึง: ไม่มีเรื่องใดที่สามารถถูกปกปิดหรือซ่อนไว้ได้ตลอดไป
  • ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวมาปิดไม่มิด หมายถึง: เรื่องใหญ่หรือเรื่องสำคัญที่เกิดขึ้นไม่สามารถปิดบังหรือซ่อนเร้นได้

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนกระต่ายแหย่เสือ ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ก. กระต่ายแหย่เสือ

กระต่ายแหย่เสือหมายถึง

กระต่ายแหย่เสือ” หมายถึง การที่ผู้น้อยหรือผู้ที่มีอำนาจน้อยกว่า กล้าล้อเล่นหรือท้าทายกับผู้ที่มีกำลังหรืออำนาจเหนือกว่า ซึ่งการกระทำเช่นนี้มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอันตรายได้ สำนวนนี้แฝงไปด้วยความหมายของการทำในสิ่งที่เกินขอบเขตหรือท้าทายอำนาจโดยประมาท ไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา การเปรียบเปรยถึงกระต่ายที่แหย่เสือสะท้อนถึงความไม่รอบคอบหรือบ้าบิ่นของผู้ที่กล้าท้าทายผู้ที่มีอำนาจบารมีมากกว่า แม้จะรู้ว่าอาจต้องเผชิญผลที่รุนแรง กล่าวคือ “การไปล้อเล่น ท้าทายกับผู้ที่มีอำนาจ บารมีมากกว่า ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายได้” นั่นเอง

ที่มาและความหมายกระต่ายแหย่เสือ

ที่มาของสำนวนนี้

มาจากนทานชาดกพื้นบ้านเรื่องหนึ่ง โดยมีเนื้อเรื่องว่า เรื่องนี้เล่าถึงกระต่ายที่ต้องการแก้แค้นเสือที่ชอบจับกระต่ายกิน กระต่ายใช้เล่ห์กลแหย่จมูกเสือและแกล้งหลอกเสือให้กินขี้ควาย โดยบอกว่าเป็นข้าวเหนียวเปียกของพระอินทร์ เสือหลงเชื่อและกินขี้ควาย ทำให้โกรธกระต่ายมากและไล่ตาม กระต่ายแกล้งเสือต่อด้วยการหลอกให้เสือฟังเสียง “ฆ้องของพระอินทร์” แต่แท้จริงแล้วเป็นรังผึ้ง เมื่อเสือฟาดรังผึ้ง ฝูงผึ้งก็ต่อยเสือจนบวม เสือโกรธมากยิ่งขึ้น

กระต่ายวิ่งหนีมาถึงแม่น้ำและคิดอุบายหลอกจระเข้ให้เรียงตัวเป็นสะพานเพื่อให้ข้ามแม่น้ำ แต่จระเข้แก่ตัวหนึ่งรู้ทัน จึงดำน้ำทำให้กระต่ายตกน้ำ กระต่ายพยายามตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งจนสำเร็จ และรีบวิ่งหนีไป ทำให้เสือไม่สามารถจับกระต่ายได้ทันและกระต่ายรอดพ้นไปอย่างปลอดภัย

เนื้อเรื่องเต็ม: มีเสือตัวหนึ่งนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ กระต่ายตัวหนึ่งเดินผ่านมา เห็นเสือกำลังนอนหลับ อยู่นึกโกรธว่าเสือชอบจับกระต่ายกินนัก จึงถอนต้นหญ้าเอามาแหย่จมูกเสือ เสือตกใจตื่นขึ้น เห็นกระต่ายจึงบอกว่า “อย่าเล่นน่า” แล้วเสือก็หลับต่อไป กระต่ายก็ถอนต้นหญ้าแหย่จมูกเสืออีก เสือโกรธมากจึงบอกว่า “เหม่! เดี๋ยวข้าจับกินเสียหรอก”

กระต่ายเห็นเสือโกรธเช่นนั้นจึงวิ่งหนี เสือก็ไล่ตามกระต่าย กระต่ายวิ่งไปเจอขี้ควายเข้ากองหนึ่ง คิดอุบายที่จะแกล้งเสือ จึงหาดอกไม้มาปักรอบ ๆ กองขี้ควาย แล้วนั่งลงเอากิ่งไม้โบกไล่แมลงวัน ปากก็บ่นพึมพำว่า “ข้าวเหนียวเปียกพระอินทร์ ใครมากินพระอินทร์จะแช่ง”

เสือวิ่งตามมา พบกระต่ายแกล้งทำเป็นไม่เห็น มือปัดแมลงวัน ปากพึมพำว่า “ข้าวเหนียวเปียกพระอินทร์ ใครมากินพระอินทร์จะแช่ง” เสือเห็นกระต่ายดังนั้นก็สงสัยจึงถามว่า “ทำอะไรน่ะ”
กระต่ายตอบว่า “ก็คอยปัดแมลงวันไม่ให้มาตอมข้าวเหนียวเปียกของพระอินทร์นี่ไงล่ะ” และชี้ให้ดูกองขี้ควายซึ่งมีดอกไม้คลุมอยู่เต็ม เสือมองดูดอกไม้แล้วพูดว่า “น่ากินดีนี่ ขอ ลองกินสักคำเถอะ”

กระต่ายตอบว่า “ไม่ได้ ถ้ากินพระอินทร์ก็จะแช่งนะ” เสือลังเล แต่ความอยากกินมีมากกว่า
“ก็อย่าให้พระอินทร์รู้สิ ขอสักคำเดียวเท่านั้น” เสือพูด
“ไม่ได้” กระต่ายตอบเสียงแข็ง และแกล้งพึมพำว่า “ข้าวเหนียวเปียกพระอินทร์ ใครมากินพระอินทร์จะแช่ง”
เสืออยากกินมากขึ้น
“เถอะน่า ขอกินคำเดียวเท่านั้น เราเป็นเพื่อนกันนะ”
กระต่ายแกล้งทำเป็นอิดเอื้อน ในที่สุดก็เอ่ยว่า “ตามใจ กินก็กิน แต่ต้องให้ข้าวิ่งไปไกล ๆ ก่อนนะ เดี๋ยวพระอินทร์มาพบเข้าข้าก็จะแย่”

กระต่ายพูด เสือพยักหน้าตกลง กระต่ายจึงวิ่งหนีไปสุดแรงของมัน เมื่อไปไกลพอที่เห็นว่าเสือจะตามมาไม่ทันง่าย ๆ จึงตะโกนบอกว่า “กินเถอะ ขืนนั่งอยู่ที่นี่ พระอินทร์มาพบเข้า ว่าข้าปล่อยให้แกกินข้าวเหนียวเปียกของท่าน ข้าก็แย่”
เสือตอบว่า “ตกลง”
เสือขย้ำกองดอกไม้เข้าเต็มที่ ขี้ควายเลอะเต็มหน้า ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว เสือรู้สึกโกรธมาก “ไอ้กระต่ายหลอกลวง ข้าจะต้องจับมันกินเสียให้ได้” เสือนึก

จากนั้นจึงวิ่งไล่ตามกระต่ายไปโดยเร็ว ข้างฝ่ายกระต่ายวิ่งมาได้พักหนึ่งก็เห็นรังผึ้ง ก็เกิดความคิดที่จะแกล้งเสืออีก จึงหาไม้ท่อนหนึ่งมาถือ พร้อมกับนั่งลงบ่นพึมพำว่า “เสียงฆ้องของพระอินทร์ ใครได้ยินจะเป็นสุขนัก”

เสือไล่ตามมาทัน เห็นกระต่ายนั่งถือท่อนไม้ หลับตา และนั่งบ่นพึมพำอยู่ก็สงสัยนัก จึงถามว่า “ทำอะไรน่ะ”
กระต่ายตอบ “เฝ้าฆ้องพระอินทร์น่ะสิ”
“ฆ้องพระอินทร์ดียังไง” เสือสงสัย
“อ๋อ ก็มีเสียงเพราะที่สุดละ ใครได้ยินเข้า จะเป็นสุขมากทีเดียว”
เสือได้ยินดังนั้น ก็เกิดอยากฟังเสียงฆ้องขึ้นมาทันที
“ช่วยตีให้ฟังสักทีเถอะน่า”
“ไม่ได้ ๆ พระอินทร์ท่านสั่งไว้ ไม่ให้ใครตีฆ้องนี้เป็นอันขาด ข้าจึงต้องมาคอยเฝ้าอยู่ไงล่ะ”
“เถอะน่า ข้าตีเองก็ได้” เสือพูด
กระต่ายแกล้งทำเป็นอิดเอื้อน ในที่สุดก็บอกว่า “ตามใจ แต่ต้องให้ข้าวิ่งไปให้ไกลเสียก่อนนะ ขืนนั่งอยู่ที่นี่ พระอินทร์มาพบเข้า ว่าข้าปล่อยให้แกตีฆ้องของท่าน ข้าก็แย่”
“ตกลง วิ่งไป เร็ว ๆ เข้าสิ”
“ต้องให้ข้าบอกว่า ตีเถอะ ก่อนนะ จึงค่อยตี”
เสือพยักหน้า

กระต่ายรีบวิ่งออกไปโดยเร็วที่สุด เมื่อไปได้ไกลพอเห็นว่าเสือจะตามไม่ทันแล้ว กระต่ายก็ตะโกนบอกว่า “ตีเถอะ”
เสือยกท่อนไม้ขึ้นฟาดตูมลงไปที่รังผึ้ง รังผึ้งแตกกระจาย ฝูงผึ้งกรูเข้าเล่นงานเสือ ต่อยหน้าตาเสือบวมหมด เสือรู้สึกโกรธยิ่งนัก “ไอ้กระต่ายหลอกลวง ข้าจะต้องจับมันกินเสียให้ได้” เสือนึก

จากนั้นจึงวิ่งไล่ตามกระต่ายไปโดยเร็ว กระต่ายวิ่งไป วิ่งไป นึกในใจว่า ทีนี้เสือคงจะเจ็บไม่น้อย สมน้ำหน้าอยากจับพวกกระต่ายกินเก่งนัก แต่เสือก็คงโกรธมากเหมือนกัน กระต่ายคิด เราจะต้องรีบหนีไปให้พ้น

พอดีกระต่ายวิ่งมาถึงริมแม่น้ำ จะข้ามไปก็ไม่ได้ ขืนคอยอยู่ ประเดี๋ยวเสือก็จะตามมาทัน กระต่ายคิดอยู่ครู่หนึ่งก็นึกอุบายขึ้นมาได้ จึงร้องตะโกนลงไปที่แม่น้ำว่า “จระเข้ทั้งหลาย เร็ว ๆ เข้า พระอินทร์รับสั่งให้หา”

จระเข้ได้ยินเข้าก็ตกใจกลัว พากันรีบลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ กระต่ายบอกว่า “พระอินทร์ท่านสั่งให้เราไปธุระทางฝั่งโน้น ให้พวกท่านเรียงแถวเข้าเป็นสะพานให้เราเดินข้ามไปเดี๋ยวนี้”

จระเข้แก่ตัวหนึ่งรู้ว่าเป็นอุบายของกระต่าย พอกระต่ายมาถึงตนก็แกล้งดำน้ำลงไปเสีย กระต่ายตกลงไปในน้ำ รู้สึกกลัวเป็นอันมาก
“จระเข้รู้ทันเราเสียแล้ว” มันคิด “เราไม่ควรหลอกเขาเลย”

ตอนที่จระเข้แก่ดำน้ำลงไปนั้น เป็นตอนใกล้ฝั่ง กระต่ายจึงตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งได้ แต่ก็สำลักน้ำอยู่หลายครั้ง พอขึ้นฝั่งได้ กระต่ายรีบวิ่งหนีไปไม่เหลียวหลัง เมื่อเสือมาถึงฝั่งแม่น้ำ กระต่ายก็วิ่งไปไกลเสียแล้ว

ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • สมชายที่เพิ่งเข้าทำงานใหม่ พูดจาล้อเลียนและวิจารณ์ผู้จัดการอย่างไม่เกรงใจ ทำให้พนักงานคนอื่นเตือนว่าเขากำลังทำเหมือนกระต่ายแหย่เสือ เพราะผู้จัดการคนนี้มีอำนาจและมีประสบการณ์สูงกว่า (แสดงถึงการไม่เคารพผู้มีอำนาจและเสี่ยงที่จะสร้างปัญหาให้ตัวเอง)
  • นักเรียนมัธยมต้นกลุ่มหนึ่งคิดว่าการแกล้งหยอกครูใหญ่ที่เข้มงวดเป็นเรื่องสนุกสนาน โดยไม่รู้เลยว่าครูใหญ่กำลังจับตามองพวกเขาอยู่ และพร้อมจะลงโทษทันทีที่พบพฤติกรรมไม่เหมาะสม (การล้อเล่นกับผู้ที่มีอำนาจมากกว่าและไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา)
  • ผู้บริหารใหม่ของบริษัทเล็ก ๆ พยายามท้าทายอำนาจของผู้บริหารระดับสูงในที่ประชุม โดยไม่คิดถึงผลที่จะตามมาจากการกระทำเช่นนั้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเส้นทางการทำงานของเขาเอง (การแสดงความไม่เคารพต่อผู้มีอำนาจสูงกว่าและเสี่ยงต่อความมั่นคงของตัวเอง)
  • ในสนามแข่งขัน สมฤทธิ์ซึ่งเป็นนักกีฬามือสมัครเล่น ใช้คำพูดหยามเกียรตินักกีฬามืออาชีพที่มีชื่อเสียง ทำให้นักกีฬามืออาชีพรู้สึกไม่พอใจ และเตรียมที่จะสั่งสอนสมฤทธิ์ในสนาม (การท้าทายผู้ที่มีฝีมือหรืออำนาจเหนือกว่า ซึ่งอาจนำไปสู่ความอันตรายต่อตนเอง)
  • เด็กในหมู่บ้านคิดจะข่มขู่เจ้าพ่อประจำหมู่บ้านเพราะไม่พอใจในกฎระเบียบที่ตั้งไว้ แต่ชาวบ้านเตือนว่าการกระทำเช่นนี้ก็เหมือนกระต่ายแหย่เสือ ซึ่งอาจทำให้เด็กคนนั้นต้องพบกับปัญหาใหญ่หลวงได้ (การท้าทายผู้มีอำนาจมากกว่าตนเองโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบ)

สำนวน, สุภาษิต, และคำพังเพยที่คล้ายกัน

  • น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ หมายถึง: การที่ไม่ควรขัดขวางหรือท้าทายผู้ที่กำลังอยู่ในอารมณ์โกรธหรือมีอำนาจ เพราะอาจนำมาซึ่งความเดือดร้อนและอันตรายต่อตนเอง เปรียบเหมือนการไม่ควรขัดขวางกระแสน้ำเชี่ยวที่ไหลแรง
  • ขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก หมายถึง: การทำสิ่งที่ท้าทายหรือเกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจหรือสิ่งที่อันตราย เมื่อเริ่มต้นไปแล้วก็จะถอนตัวออกได้ยาก ต้องเผชิญกับผลที่ตามมา ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ง่าย ๆ
  • อย่าแหย่เสือหลับ หมายถึง: การไปกระตุ้นหรือท้าทายผู้ที่มีอำนาจมากกว่า หรือผู้ที่กำลังอยู่ในภาวะสงบสุขแต่มีศักยภาพในการตอบโต้ที่รุนแรง เปรียบเสมือนการไปกวนเสือที่กำลังนอนหลับ ซึ่งอาจทำให้เสือตื่นขึ้นมาและโต้ตอบอย่างรุนแรง สำนวนนี้ใช้เตือนใจว่าไม่ควรไปก่อกวนหรือสร้างปัญหาให้กับผู้ที่มีอำนาจหรืออันตรายมากกว่า เพราะอาจเกิดผลเสียต่อผู้ท้าทายเองได้

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก WORDY GURU

รู้จักสำนวนกระต่ายหมายจันทร์ ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ก. กระต่ายหมายจันทร์

กระต่ายหมายจันทร์หมายถึง

สำนวน “กระต่ายหมายจันทร์” หมายถึง การที่ผู้ชายธรรมดาหมายปองหญิงที่มีฐานะสูงกว่า เช่น หญิงที่มีความงดงาม มีสถานะทางสังคมที่สูง หรือมีความสำเร็จในชีวิตมากกว่า เปรียบเสมือนกระต่ายที่แหงนมองดวงจันทร์บนฟ้าด้วยความปรารถนา ดวงจันทร์ในสำนวนนี้สื่อถึงความสูงส่งที่ยากจะเข้าถึงได้ การที่ผู้ชายหมายปองผู้หญิงที่เหนือกว่าตนเองในทุกด้าน จึงสื่อถึงความรักที่เต็มไปด้วยความหวัง แต่มีโอกาสเป็นจริงได้ยาก กล่าวคือ “ผู้ชายหมายปองผู้หญิงที่มีฐานะดีกว่า” นั่นเอง

ที่มาและความหมายกระต่ายหมายจันทร์

ที่มาของสำนวน

สำนวนนี้มีที่มาจากนิทานพื้นบ้านที่เล่าถึงกระต่ายตัวหนึ่งที่แหงนมองดวงจันทร์บนท้องฟ้าด้วยความหลงใหลและชื่นชม กระต่ายเฝ้ามองดวงจันทร์ที่ส่องแสงสวยงาม และปรารถนาที่จะไปถึงดวงจันทร์ แม้ว่าในความเป็นจริงกระต่ายไม่สามารถกระโดดไปถึงจันทร์ที่สูงเกินเอื้อมได้ เรื่องราวนี้สะท้อนถึงการมีความปรารถนาหรือความรักในสิ่งที่ดูสูงส่งและไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึงได้

นอกจากนิทานนี้แล้ว ในวรรณคดีของหลายวัฒนธรรมยังมักมีการเปรียบเทียบดวงจันทร์เป็นสัญลักษณ์ของความงดงาม ความบริสุทธิ์ หรือสิ่งที่มีค่าสูง ทำให้เกิดสำนวนนี้ขึ้น ซึ่งใช้ในการเปรียบเทียบถึงการที่ใครบางคนหมายปองสิ่งที่สูงส่งกว่าตน ไม่ว่าจะเป็นความรักที่ดูเกินเอื้อม หรือตำแหน่งที่ยากจะไปถึง

ในภาษาไทย สำนวนนี้จึงหมายถึงการที่คนปรารถนาในสิ่งที่เกินกว่าจะไขว่คว้าถึง หรือรักใครบางคนที่มีสถานะและฐานะสูงกว่า โดยที่ความสัมพันธ์นั้นมีโอกาสที่จะเป็นจริงได้น้อยมาก เหมือนกระต่ายที่เฝ้ามองดวงจันทร์บนท้องฟ้าอย่างชื่นชมแต่ไม่อาจไปถึงได้

ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • สมชายเป็นเพียงพนักงานธรรมดา แต่กลับตกหลุมรักลูกสาวเจ้าของบริษัทที่มีทั้งความสวยและฐานะที่สูงกว่า เหมือนดั่งกระต่ายหมายจันทร์ (แสดงถึงความรักที่ดูยากจะเป็นจริงได้)
  • เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นกระต่ายที่แหงนมองดวงจันทร์ เมื่อหลงรักดาราดังที่ดูสูงส่งเกินเอื้อม (การเปรียบเทียบถึงความรักที่มีต่อคนที่ดูมีชื่อเสียงและไกลเกินเอื้อมถึง)
  • เจ้านายบอกให้เขาคิดดีๆ ก่อนที่จะขอความรักจากลูกสาวของท่าน เพราะอาจจะเหมือนกระต่ายที่หมายปองจันทร์ (คำเตือนถึงความยากในการคว้าคนที่มีฐานะสูงกว่า)
  • แม้จะรู้ว่าเธอมีฐานะและความสำเร็จมากกว่า เขาก็ยังคงมีความหวังที่จะชนะใจเธอ (การพยายามแสดงความรักแม้จะมีสถานะที่แตกต่าง)
  • เด็กหนุ่มแอบชอบคุณครูของตนเอง แม้จะรู้ว่าความสัมพันธ์นี้เป็นไปได้ยาก (ความรู้สึกที่แสดงถึงความรักที่มีความแตกต่างในสถานะหรือเงื่อนไข)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพยที่คล้ายกัน

  • ดอกฟ้ากับหมาวัด หมายถึง: เปรียบเทียบถึงความแตกต่างในฐานะทางสังคมหรือสถานะของคนสองคนที่แตกต่างกันมาก

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนกระต่ายตื่นตูม ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ก. กระต่ายตื่นตูม

กระต่ายตื่นตูมหมายถึง

สำนวน “กระต่ายตื่นตูม” หมายถึง การตื่นตกใจกลัวอย่างไม่มีเหตุผล หรือการตื่นตกใจจนเกินเหตุเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มักใช้กับคนที่ขาดความรอบคอบหรือตื่นตกใจเกินไปกับข่าวลือหรือสถานการณ์ที่ไม่ร้ายแรง กล่าวคือ “ใช้เปรียบเทียบคนที่แสดงอาการตื่นตกใจง่ายโดยไม่ทันสำรวจให้ถ่องแท้ก่อน” นั่นเอง

ที่มาและความหมายกระต่ายตื่นตูม

ที่มาของสำนวน

สำนวนนี้มีที่มาจากนิทานชาดกเรื่อง “โสณนันทชาดก” ซึ่งเล่าว่า กระต่ายตัวหนึ่งนอนพักผ่อนใต้ต้นหว้า เมื่อผลหว้าสุกหล่นลงกระทบพื้น กระต่ายตกใจตื่นและคิดว่าโลกกำลังจะแตก มันวิ่งหนีด้วยความตื่นตกใจโดยไม่ได้คิดให้รอบคอบ ขณะวิ่งหนี กระต่ายตัวนี้ส่งเสียงร้องเตือนสัตว์อื่นๆ จนพวกสัตว์ทั้งหลายตื่นตกใจตามไปด้วย ทำให้เกิดความโกลาหลทั่วป่า ต่อมาสัตว์เจ้าปัญญาอย่างราชสีห์ได้เข้ามาไต่ถาม จึงพบว่าที่แท้แล้วเป็นเพียงผลไม้หล่นเท่านั้น

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การตื่นตระหนกและไม่ใช้เหตุผลในการไตร่ตรองอาจก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายและส่งผลกระทบที่ไม่คาดคิด จึงกลายเป็นที่มาของสำนวน ที่หมายถึงการตกใจเกินกว่าเหตุจากเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือความหวาดกลัวโดยขาดการพิจารณาให้ถี่ถ้วน

ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • เมื่อได้ยินเสียงคนพูดว่าไฟไหม้ แม้ว่าจะยังไม่มีใครเห็นควันหรือไฟ ทุกคนก็ตกใจรีบหนีออกจากอาคารทันทีโดยไม่ฟังคำอธิบาย (การตื่นตระหนกอย่างไม่ทันไตร่ตรองจากข่าวที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน)
  • หลังจากที่มีข่าวลือว่าฝนจะตกหนักตลอดทั้งสัปดาห์ ชาวบ้านบางคนก็เก็บของขึ้นที่สูงทันที แม้ว่าอากาศยังแจ่มใสอยู่ (การเตรียมการอย่างรีบร้อนเพราะกลัวสิ่งที่อาจไม่เกิดขึ้น)
  • เธอรีบถอนเงินออกจากบัญชีทั้งหมดเพียงเพราะเพื่อนบอกว่าธนาคารอาจจะล้มละลาย แม้จะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน (การทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยความตื่นตกใจจากข่าวที่ไม่แน่นอน)
  • นักเรียนพากันวุ่นวายเมื่อได้ยินเสียงดังจากนอกห้อง โดยไม่มีใครตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้นก่อน (การตกใจและทำให้เกิดความวุ่นวายโดยไม่พิจารณาที่มาของเหตุการณ์)
  • พนักงานหลายคนรีบส่งใบลาออกเพราะได้ยินข่าวลือว่าบริษัทจะลดจำนวนพนักงาน แม้ว่าผู้บริหารยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ (การตัดสินใจโดยไม่รอข้อเท็จจริงจากข่าวลือ)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนกระต่ายสามขา ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ก. กระต่ายสามขา

กระต่ายสามขาหมายถึง

การยืนกรานหรือยืนยันเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยไม่ยอมรับฟังเหตุผลหรือหลักฐานใดๆ คล้ายกับการตั้งใจดื้อด้าน ไม่เปลี่ยนใจแม้มีข้อโต้แย้ง กล่าวคือ “ยืนกรานไม่ยอมรับ

ใช้กับคนที่ยืนกรานความคิดตนเอง ไม่ยอมรับผิด ฉันไม่ได้ทำ ฉันเปล่านะ ยืนยันแบบข้าง ๆ คู ๆ และไม่เปลี่ยนความคิด เช่น มีเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากล ซึ่งใคร ๆ ก็เข้าใจอย่างหนึ่งเหมือนกันหมด แต่มีคนคนหนึ่งที่ยืนกรานหนักแน่นว่าไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นคิดแน่นอน

ที่มาและความหมายกระต่ายสามขา

ที่มาของสำนวน

กระต่ายขาเดียว สำนวนคุ้น ๆ ที่กระต่ายขาเดียว แท้จริงแล้วสำนวนชกระต่ายขาเดียวนี้จริง ๆ แล้วมันชื่อ “กระต่ายสามขา” ต่างหาก… ส่วนเหตุผลว่าทำไมคือ

สำนวนนี้มีที่มาจากนิทานเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของเด็กวัดที่วันหนึ่ง กระต่ายป่าตัวหนึ่งบาดเจ็บหนีจากการไล่ล่าของนายพรานเข้ามาตายในวัด ลูกศิษย์เห็นเข้าจึงนำมาทำเป็นอาหารเพื่อถวายอาจารย์ แต่ขณะที่ย่างนั้นเนื้อกระต่ายหอมยั่วยวนใจมากจนอดใจไม่ไหว เขาจึงแอบฉีกขากระต่ายออกมากินเองไปหนึ่งข้างซะงั้น!

เมื่อนำกระต่ายไปประเคนให้หลวงพ่อ หลวงพ่อเห็นขากระต่ายข้างหนึ่งหายไป จึงถามเขาว่ามีใครมาแอบกินไปก่อนหรือเปล่า เด็กวัดยืนยันหัวชนฝาว่าไม่มี เพราะกระต่ายตัวนี้มีสามขามาตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ว่าหลวงพ่อจะถามกี่ครั้งเขาก็ยังตอบเช่นเดิม ว่ากระต่ายมีสามขาจริง ๆ ไม่มีใครเอาอีกขาหนึ่งไปทั้งนั้น… จึงเป็นที่มาของสำนวนที่ว่า “ยืน(ยัน)กระต่ายสามขา” ในที่สุด

ส่วนเหตุผลที่มักมีคนจำสลับกับ “ยืนกระต่ายขาเดียว” นั้น เนื่องจากมีการละเล่นไล่จับของเด็กไทยอย่างหนึ่ง ที่ผู้ไล่จะถูกเรียกว่า “กระต่าย” และจะต้องกระโดดด้วยขาเพียงข้างเดียวเพื่อไล่จับผู้เล่นอีกฝ่าย ถ้าใครถูกจับได้ก็จะต้องกลายเป็นกระต่ายแทน ด้วยท่ายืนที่ไม่มั่นคง โงนเงนไปมาของกระต่ายขาเดียว จึงทำให้คนนำไปใช้ในความหมายว่า “ยืนยันด้วยข้อมูลที่ไม่แน่นอน” แทน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีสำนวน “ยืนกระต่ายขาเดียว” แต่อย่างใด

ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • ในที่ประชุม เมื่อมีคนถามถึงรายงานที่มีข้อผิดพลาดที่เห็นชัดเจน สมชายยังคงยืนยันคำตอบเดิม แม้จะถูกชี้ให้เห็นข้อผิดพลาด แต่เขายังคงยืนกรานด้วยท่าทางมั่นใจ (สมชายไม่ยอมรับข้อผิดพลาด แม้จะมีหลักฐานที่ชัดเจน)
  • เพื่อนๆ หลายคนพยายามบอกให้เธอยอมรับว่าสิ่งที่เธอเข้าใจนั้นผิด แต่เธอก็ยังพูดเหมือนเดิมและยืนยันว่าเธอถูกโดยไม่ยอมรับฟังคำอธิบายเพิ่มเติม (เพื่อนของเธอไม่เปลี่ยนความคิด แม้จะมีเหตุผลโต้แย้งที่ชัดเจน)
  • เมื่อถูกครูจับได้ว่าโกงข้อสอบ เด็กนักเรียนยังคงยืนกรานว่าเขาไม่ได้ทำผิด แม้ครูจะมีหลักฐานและพยานยืนยันการกระทำ (เด็กนักเรียนไม่ยอมรับความผิด แม้จะมีหลักฐานชัดเจน)
  • ในชั้นศาล พยานพยายามยืนหยัดในคำให้การของตนเอง โดยไม่สนใจข้อมูลที่ฝ่ายตรงข้ามนำเสนอ แม้ข้อมูลเหล่านั้นจะชี้ชัดว่าเขากำลังโกหก (พยานยังคงยืนยันคำให้การเดิม แม้จะถูกโต้แย้งด้วยหลักฐาน)
  • เขายืนกรานกับพ่อแม่ว่าตนไม่ได้ขโมยของ แม้ว่าทุกคนจะรู้ว่ามันไม่เป็นความจริงและหลักฐานทุกอย่างชี้ว่าเขาคือผู้กระทำ (เขาไม่ยอมรับความผิดที่ทำ แม้จะถูกโต้แย้งด้วยหลักฐานที่ชัดเจน)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจากสำนักงานราชบัณฑิตยสภา

รู้จักสำนวนกรวดน้ำคว่ำขัน(กะลา) ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ก. กรวดน้ำคว่ำขัน(กะลา)

กรวดน้ำคว่ำขัน(กะลา)หมายถึง

กรวดน้ำคว่ำขัน, กรวดน้ำคว่ำกะลา” หมายถึง การตัดความสัมพันธ์หรือการตัดขาดจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเด็ดขาด ไม่มีการเกี่ยวข้องหรือย้อนกลับไปอีก สำนวนนี้ใช้เมื่อความสัมพันธ์หรือสิ่งที่ทำอยู่ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ และผู้พูดต้องการแสดงถึงการเลิกคบหรือเลิกทำอย่างถาวร กล่าวคือ “ตัดขาดไม่ขอเกี่ยวข้องด้วยอีกต่อไป

ที่มาและความหมายกรวดน้ำคว่ำขัน(กะลา)

ที่มาของสำนวน

สำนวนนี้มาจากพิธีกรรมการกรวดน้ำในศาสนาพุทธ ซึ่งผู้ทำพิธีจะนำน้ำใส่ขันหรือกะลามากรวดเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับหรือสรรพสัตว์ เมื่อเสร็จพิธีแล้วผู้ทำพิธีจะคว่ำขันหรือกะลาเพื่อแสดงถึงการสิ้นสุดของพิธีและการอุทิศบุญนั้นในครั้งนี้ แต่ในสำนวนนี้ การ “คว่ำขัน” สื่อความหมายในเชิงการตัดขาดอย่างเด็ดขาด ไม่เหลือสิ่งใดที่จะผูกพันหรือเกี่ยวข้องกันอีก เปรียบเสมือนการกรวดน้ำครั้งสุดท้ายที่ไม่มีการหวนคืน

ในแง่วัฒนธรรม การกรวดน้ำและคว่ำขันถือเป็นสัญลักษณ์ของการสละสิ่งที่ถือครองและปล่อยวางสิ่งที่เป็นพันธะ การคว่ำขันหรือกะลาในบริบทนี้จึงแฝงด้วยความหมายของการยุติความสัมพันธ์หรือความผูกพันแบบไม่หวนกลับ ทำให้สำนวนนี้ถูกใช้ในการบอกเล่าเรื่องราวของการตัดขาดความสัมพันธ์หรือการเลิกคบกันอย่างสิ้นเชิง

ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • เมื่อความเชื่อใจถูกทำลาย เธอตัดสินใจกรวดน้ำคว่ำขัน ไม่ขอเกี่ยวข้องกับคนที่เคยทำร้ายจิตใจเธออีกต่อไป (การตัดขาดความสัมพันธ์กับคนที่ทำร้ายจิตใจอย่างเด็ดขาด)
  • นายสมชายเลือกที่จะกรวดน้ำคว่ำขันและคว่ำกะลา ปล่อยธุรกิจเก่าที่มีปัญหาและเริ่มต้นใหม่ด้วยความหวัง (การตัดสินใจยุติธุรกิจเก่าอย่างเด็ดขาด)
  • พ่อบอกกับลูกสาวว่า ถ้าเธอตัดสินใจกรวดน้ำคว่ำขันกับคนนี้ อย่าหวังว่าจะมีโอกาสหวนกลับมาคบกันใหม่ (การเตือนให้ระวังการตัดความสัมพันธ์อย่างสิ้นเชิง)
  • หลังจากที่ถูกโกงเงินซ้ำๆ นายทุนใหญ่ตัดสินใจกรวดน้ำคว่ำกะลากับหุ้นส่วนที่ไม่น่าไว้ใจ (การเลิกคบหรือยุติความสัมพันธ์ธุรกิจแบบไม่หวนกลับ)
  • พี่น้องสองคนมีความขัดแย้งกันมานาน จนตัดสินใจกรวดน้ำคว่ำกะลา แยกย้ายไปใช้ชีวิตของตัวเอง (การแยกย้ายกันโดยไม่ขอมีพันธะหรือเกี่ยวข้องกันอีก)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT