รู้จักสุภาษิตไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ที่มาและความหมาย

สุภาษิตหมวดหมู่ ก. ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่

สุภาษิตไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ หมายถึง

สุภาษิตไทย “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่” นี้มีความหมายเปรียบเปรยถึงสถานการณ์ที่สองฝ่ายต่างรู้ความลับของกันและกัน แต่ไม่มีใครพูดออกไป เป็นการแสดงให้เห็นว่าความลับหรือข้อบกพร่องที่ซ่อนอยู่ของคนหนึ่ง อีกฝ่ายก็รู้และเข้าใจอยู่เหมือนกัน การรู้แต่ไม่พูดออกมาสะท้อนถึงความเข้าใจกันในทางลึกซึ้ง โดยไม่จำเป็นต้องเผยแพร่ให้คนอื่นรู้ สุภาษิตนี้จึงแฝงความหมายของการรู้กันภายในและเก็บงำความลับต่อกัน กล่าวคือ “ต่างฝ่ายต่างรู้ความลับของกันและกัน” นั่นเอง

ที่มาและความหมายไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่

ที่มาของสุภาษิตนี้

สุภาษิตนี้มีที่มาจากการสังเกตลักษณะทางกายภาพของไก่และงูที่แท้จริงแล้ว ตามวิสัยแล้วไก่ไม่มีนม และ งูไม่มีตีน แต่การใช้คำว่า “นมไก่” และ “ตีนงู” ในสุภาษิตนี้เป็นการเปรียบเทียบถึงสิ่งที่ซ่อนเร้นหรือไม่เปิดเผยอย่างชัดเจน การที่ไก่มองเห็น “ตีนงู” และงูเห็น “นมไก่” จึงเปรียบเสมือนการรู้สิ่งที่ไม่ควรเห็นหรือสิ่งที่ไม่เปิดเผยอย่างชัดเจนระหว่างกัน สุภาษิตนี้จึงถูกใช้เพื่อสื่อถึงการรู้เรื่องซึ่งกันและกันในลักษณะที่เป็นความลับหรือไม่ชัดเจนต่อผู้อื่น

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตนี้

  • สองฝ่ายที่ขัดแย้งกัน ต่างก็รู้ความลับของกันและกันดี ทั้งสองฝ่ายไม่อยากให้เรื่องราวถูกเปิดเผยออกไป (ต่างฝ่ายต่างรู้ความลับของอีกฝ่าย)
  • ในที่ประชุม ผู้จัดการทั้งสองที่ไม่ชอบกัน ต่างก็รู้อยู่ในใจถึงข้อเสียของอีกฝ่าย แต่ยังคงเก็บไว้ไม่พูดออกมา (ความลับที่รู้กันแต่ยังไม่เปิดเผย)
  • พ่อแม่ที่ทะเลาะกัน ต่างก็รู้ปัญหาภายในครอบครัวกันดี แต่เก็บงำไว้ไม่ให้ลูก ๆ รู้เรื่องนี้ (รู้ความลับในครอบครัวกันเอง)
  • เพื่อนสนิทที่สนิทกันมานาน ต่างก็รู้นิสัยที่แท้จริงของกันและกัน แม้จะมีข้อดีข้อเสียที่คนอื่นอาจไม่รู้ (การรู้ข้อบกพร่องของกันและกัน)
  • สองบริษัทที่เป็นคู่แข่งทางการค้า ต่างก็รู้อยู่แก่ใจถึงกลยุทธ์ทางธุรกิจของอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ไม่แสดงออกให้ชัดเจน (รู้ความลับกันแต่เก็บไว้)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสุภาษิตไก่ดีตีหล้า ๆ ไก่ขี้ข้าตีเอา ๆ ที่มาและความหมาย

สุภาษิตหมวดหมู่ ก. ไก่ดีตีหล้า ๆ ไก่ขี้ข้าตีเอา ๆ

สุภาษิตไก่ดีตีหล้า ๆ ไก่ขี้ข้าตีเอา ๆ หมายถึง

สุภาษิตไทย “ไก่ดีตีหล้า ๆ ไก่ขี้ข้าตีเอา ๆ” หมายถึงการกระทำที่บ่งบอกถึงความแตกต่างระหว่างคนที่มีปัญญาและความสามารถในการวางแผน กับคนที่ไม่มีทักษะและมักใช้เพียงความพยายามอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงวิธีการหรือผลที่จะตามมา คนเก่งจะคิดวางแผนก่อนลงมือทำสิ่งต่าง ๆ อย่างเป็นระบบและมีชั้นเชิง ในขณะที่คนด้อยความสามารถจะทำสิ่งต่าง ๆ อย่างไม่คิดไตร่ตรอง เน้นทำไปเรื่อย ๆ หวังให้เสร็จโดยขาดการคำนึงถึงผลลัพธ์ในระยะยาว กล่าวคือ “คนที่มีความสามารถจะลงมือทำในจังหวะที่เหมาะสม แต่คนไร้ความสามารถจะทำอย่างไม่ระมัดระวัง” นั่นเอง

ที่มาและความหมายไก่ดีตีหล้า ๆ ไก่ขี้ข้าตีเอา ๆ

ที่มาของสุภาษิต

สุภาษิตนี้มีที่มาจากวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนไทยในสมัยก่อนที่เลี้ยงไก่ชนเป็นกีฬาและความบันเทิง การชนไก่ไม่ใช่เพียงแค่การต่อสู้ แต่ยังสะท้อนถึงทักษะและชั้นเชิง ไก่ที่ดีหรือไก่ชนเก่งจะสู้ด้วยกลยุทธ์และความมั่นคง มีความสง่างามในการออกท่าทาง เรียกว่าการ “ตีหล้า ๆ” ซึ่งหมายถึงการต่อสู้ด้วยวิธีที่เฉียบขาดและมีแบบแผน

ในทางตรงกันข้าม “ไก่ขี้ข้า” หมายถึงไก่ที่ด้อยฝีมือ ไม่มีทักษะในการต่อสู้ และสู้ไปอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง เพียงใช้แรงกายตีไปโดยไม่คำนึงถึงชั้นเชิงหรือผลลัพธ์ ไก่ประเภทนี้เน้นจำนวนและความถี่ในการโจมตี โดยไม่มีการวางแผนหรือตัดสินใจที่ดี

สุภาษิตนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการคิดวางแผน การใช้กลยุทธ์ และการกระทำที่มีแบบแผนในชีวิตจริง เปรียบเทียบกับวิถีชีวิตของไก่ชนที่คนไทยรู้จักดี ผู้ที่มีฝีมือจะทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยความคิดและการวางแผน ในขณะที่ผู้ด้อยฝีมือหรือไม่มีความสามารถมักทำสิ่งต่าง ๆ อย่างขาดทิศทาง

ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • เจ้านายให้คำแนะนำว่าควรทำงานอย่างมีแผนการ อย่ารีบเร่งให้เสร็จเหมือนคนที่ทำงานแบบไม่มีกลยุทธ์เหมือนไก่ขี้ข้าที่ตีเอา ๆ (การแนะนำให้ทำงานอย่างมีแผนและมีชั้นเชิง)
  • การเจรจาธุรกิจต้องใช้ความคิดและชั้นเชิงในการต่อรอง ไม่ใช่แค่รีบเสนอข้อเสนอเรื่อย ๆ โดยไม่มีแบบแผน (เตือนให้ใช้กลยุทธ์ในการต่อรองธุรกิจ)
  • สมชายวางแผนอย่างดีในการพัฒนาโครงการ ทำให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบ ต่างจากบางคนที่ทำโดยขาดแผนงานชัดเจน (เปรียบเทียบการทำงานอย่างมีชั้นเชิงกับการทำงานแบบไม่มีการวางแผน)
  • ในกีฬาต้องใช้ชั้นเชิงและการวางแผน ไม่ใช่แค่การเร่งทำคะแนนโดยไม่คิดถึงผลระยะยาว (เตือนให้ใช้ชั้นเชิงในการเล่นกีฬา)
  • ในการปกครอง ผู้นำต้องรู้จักใช้กลยุทธ์และแสดงความมั่นคง ไม่ใช่สั่งการเพียงเพื่อให้ได้ผลชั่วคราวโดยขาดการคำนึงถึงผลที่ตามมา (เปรียบเทียบผู้นำที่ใช้กลยุทธ์กับผู้นำที่ทำงานโดยไม่มีแผน)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพยที่คล้ายกัน

  • หัวไม่ส่าย หางไม่กระดิก: หมายถึง ผู้ที่มีอำนาจสั่งการต้องทำหน้าที่อย่างรอบคอบเพื่อให้คนใต้บังคับบัญชาเคารพ

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก forfundeal

รู้จักสุภาษิตไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง ที่มาและความหมาย

สุภาษิตหมวดหมู่ ก. ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง

ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง หมายถึง

สุภาษิตไทย “ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง” หมายถึง การที่คนดูดีและมีบุคลิกภาพที่น่าประทับใจได้ด้วยการแต่งกายและดูแลตัวเองให้เหมาะสม เช่นเดียวกับไก่ที่จะสวยก็ต้องมีขนสวยงาม สุภาษิตนี้เน้นถึงการพัฒนาบุคลิกภาพ การแต่งตัว การดูแลรูปลักษณ์ และการให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ภายนอก กล่าวคือ “ความสวยงามเกิดขึ้นได้จากการปรุงแต่ง” นั่นเอง

ที่มาและความหมายไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง

ที่มาของสุภาษิตนี้

สุภาษิตนี้มีที่มาจากการสังเกตลักษณะของไก่ในวิถีชีวิตของคนไทยสมัยก่อน ซึ่งไก่ถือเป็นสัตว์ที่คนไทยคุ้นเคยและเลี้ยงไว้ในครัวเรือน การมีขนที่สวยงามเป็นสิ่งที่ทำให้ไก่ดูงดงามและสง่างาม โดยเฉพาะไก่ชนหรือไก่พื้นเมืองที่มีสีสันสดใส ขนของไก่จึงเปรียบเสมือนเครื่องสำอางหรือเสื้อผ้าของคน ที่ช่วยเสริมให้ดูดีและน่าชื่นชม

สำหรับคนไทยสมัยก่อน การแต่งกายและการดูแลตนเองถือเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งในด้านความสะอาดเรียบร้อยและการสร้างบุคลิกภาพที่ดี เช่นเดียวกับไก่ที่งดงามเพราะมีขนสวย คนก็ต้องอาศัยการแต่งกายให้เหมาะสม สุภาษิตนี้จึงสะท้อนถึงการดูแลตัวเองทั้งภายนอกและภายในเพื่อสร้างความประทับใจ

การดูแลรูปลักษณ์ไม่ได้หมายถึงแค่การใส่เสื้อผ้าที่ดีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสะอาด ความเรียบร้อย การใช้เครื่องสำอาง หรือการแต่งตัวอย่างมีสไตล์ ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความใส่ใจในการดูแลตนเอง ไม่ต่างจากการที่ไก่มีขนที่เงางาม ทำให้ดูมีสง่าราศี

สุภาษิตนี้จึงเป็นเครื่องเตือนใจให้เรารู้จักดูแลตนเองทั้งในเรื่องการแต่งกาย การดูแลรูปลักษณ์ และบุคลิกภาพให้เหมาะสม เพื่อสร้างความงดงามที่มาจากการพัฒนาและปรับปรุงตัวเอง

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตนี้

  • การแต่งกายอย่างเหมาะสมและการดูแลตัวเองเป็นสิ่งสำคัญในงานสัมภาษณ์ เพราะไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่งเป็นสิ่งสำคัญ (แนะนำการแต่งกายและการดูแลตัวเองให้ดีเพื่อเสริมบุคลิกภาพ)
  • เธอแต่งกายดูดีและเรียบร้อยเสมอ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน คนจึงชื่นชมในความงามของเธอ เพราะไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่งจริง ๆ (เธอได้รับคำชมเพราะการดูแลและแต่งกายให้เหมาะสม)
  • สมชายมักแต่งตัวไม่เรียบร้อย เพื่อนจึงเตือนว่า ‘อย่าลืมนะ ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง’ (เพื่อนเตือนสมชายให้แต่งตัวให้เรียบร้อย)
  • เขารู้ว่าในงานสำคัญต้องดูดี จึงแต่งกายด้วยชุดสูทอย่างดี เพราะเขารู้ว่าไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง (เขาให้ความสำคัญกับการแต่งกายในงานสำคัญ)
  • ในสังคมที่คนมักจะประเมินกันจากภายนอก สุภาษิตที่ว่าไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่งจึงยังคงใช้ได้เสมอ (สังคมยังให้ความสำคัญกับการแต่งกายและการดูแลตัวเอง)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก WORDY GURU

รู้จักสุภาษิตแกงจืดจึงรู้คุณเกลือ ที่มาและความหมาย

สุภาษิตหมวดหมู่ ก. แกงจืดจึงรู้คุณเกลือ

สุภาษิตแกงจืดจึงรู้คุณเกลือ หมายถึง

สุภาษิตไทย “แกงจืดจึงรู้คุณเกลือ” การที่คนเรามักไม่เห็นคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ หรือบุคคลที่มีอยู่รอบตัวในขณะที่เรายังมีเขาหรือสิ่งนั้น แต่เมื่อขาดหายไป หรือเมื่อเกิดความเดือดร้อน เราจึงเริ่มตระหนักถึงคุณค่าที่แท้จริง ดั่งแกงจืดที่ขาดซึ่งเกลือย่อมไร้รสชาติที่ดีได้ ซึ่งคล้ายกับแนวคิดของเพลง วันใดขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก ที่สื่อถึงการรับรู้ความสำคัญของบางสิ่งหลังจากที่ขาดไป กล่าวคือ “จะรู้คุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ที่เรามองข้าม ไม่สนใจ ก็ต่อเมื่อไม่มีของสิ่งนั้นแล้ว” นั่นเอง

ที่มาและความหมายแกงจืดจึงรู้คุณเกลือ

ที่มาของสุภาษิตนี้

สุภาษิตนี้มีที่มาจากการเปรียบเปรยถึงการทำอาหารประเภทแกง โดยเกลือเป็นเพียงเครื่องปรุงเล็ก ๆ แต่สำคัญมากในการปรุงรสให้กลมกล่อม เมื่อแกงขาดเกลือจะทำให้จืดชืดไร้รสชาติ ซึ่งสื่อถึงการที่สิ่งที่ดูธรรมดาหรือถูกมองข้ามนั้น กลับมีคุณค่าและความสำคัญที่ไม่อาจละเลยได้ ทำให้คนเริ่มตระหนักถึงคุณค่าของเกลือเมื่อแกงจืดขึ้นมา ในสมัยโบราณ การทำแกงหรืออาหารนั้นไม่ได้มีเครื่องปรุงหลากหลายเหมือนปัจจุบัน เกลือจึงเป็นส่วนประกอบสำคัญในการปรุงรส

มันสะท้อนถึงบทบาทของเกลือในวิถีชีวิตและวัฒนธรรมการกินของคนไทย ซึ่งมีการใช้เกลือเป็นเครื่องปรุงพื้นฐานที่สำคัญตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็นการปรุงอาหาร รักษาความสดใหม่ของอาหาร หรือถนอมอาหาร เกลือจึงถือเป็นสิ่งจำเป็นและมีค่า แม้จะดูธรรมดาหรือเรียบง่าย แต่มีบทบาทสำคัญต่อรสชาติของอาหาร โดยเฉพาะแกงจืดซึ่งหากขาดเกลือจะทำให้จืดชืดไร้รสชาติ

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตนี้

  • สมชายไม่เคยเห็นคุณค่าของภรรยาที่ทำงานบ้านจนเมื่อเธอลาไปเที่ยวสักสองวัน บ้านก็กลายเป็นความวุ่นวาย แกงจืดจึงรู้คุณเกลือจริง ๆ (สมชายเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของภรรยาเมื่อเธอไม่อยู่)
  • ตอนนี้เธอเพิ่งเข้าใจว่าทำไมพ่อแม่คอยเตือนเรื่องการเก็บออมเงินมาตลอด เพราะเมื่อเงินหมดแล้วก็รู้สึกเดือดร้อน แกงจืดจึงรู้คุณเกลือ (เธอรู้สึกถึงคุณค่าของการออมเงินเมื่อเกิดปัญหาทางการเงิน)
  • ในการประชุม ผู้จัดการไม่ค่อยใส่ใจคำแนะนำของทีมงาน แต่เมื่อเกิดข้อผิดพลาดจึงรู้สึกว่าคำแนะนำเหล่านั้นมีคุณค่าจริง ๆ ก็เหมือนแกงจืดจึงรู้คุณเกลือ (ผู้จัดการรู้สึกถึงความสำคัญของคำแนะนำเมื่อเจอปัญหา)
  • หลังจากเจ็บป่วยหนักครั้งนี้ เขาเริ่มเห็นความสำคัญของการดูแลสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง คำสุภาษิตที่ว่าแกงจืดจึงรู้คุณเกลือยังคงใช้ได้เสมอ (เขาตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพเมื่อป่วย)
  • นายจ้างเคยมองว่าพนักงานทำความสะอาดไม่สำคัญ แต่พอไม่มีพวกเขาแล้ว บริษัทเริ่มขาดความเป็นระเบียบเรียบร้อย นี่ล่ะที่เรียกว่า แกงจืดจึงรู้คุณเกลือ (นายจ้างเห็นความสำคัญของพนักงานทำความสะอาดเมื่อพวกเขาไม่อยู่)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพยที่คล้ายกัน

  • ใกล้เกลือกินด่าง: หมายถึง คนที่อยู่ใกล้สิ่งดี ๆ แต่ไม่รู้จักเห็นคุณค่า กลับไปเลือกสิ่งที่ด้อยกว่าแทน

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก WORDY GURU

รู้จักสุภาษิตเกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง ที่มาและความหมาย

สุภาษิตหมวดหมู่ ก. เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง

เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง หมายถึง

สุภาษิตไทย “เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง” หมายถึง คนที่แสดงออกว่ารังเกียจหรือไม่ชอบบางสิ่งบางอย่าง แต่กลับยังยินดีที่จะได้รับประโยชน์จากสิ่งที่เกี่ยวข้องหรือเกิดขึ้นจากสิ่งนั้น สะท้อนถึงความย้อนแย้งในความคิดและการกระทำ กล่าวคือ “เกลียดตัวเขา แต่อยากได้ผลประโยชน์จากเขา” เช่น การแสดงออกว่าไม่ชอบคนหนึ่งคน แต่ยังต้องการใช้ผลประโยชน์จากสิ่งที่คนนั้นทำไว้

ที่มาและความหมายเกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง

ที่มาของสุภาษิตนี้

สุภาษิตนี้มาจากการเปรียบเปรยพฤติกรรมของคนที่แสดงออกว่ารังเกียจสิ่งหนึ่ง แต่กลับชอบหรือได้ประโยชน์จากสิ่งที่มาจากสิ่งนั้น เช่น การที่คนเกลียดไก่ แต่ยังยินดีที่จะกินไข่ของมัน หรือเกลียดปลาไหลแต่ยังชอบทานน้ำแกงที่ใช้ปลาไหลปรุง ซึ่งแสดงถึงความขัดแย้งในความคิดหรือการกระทำของคนคนหนึ่ง

สำนวนนี้มีที่มาจากวิถีชีวิตของคนในสังคมเกษตรกรรมในอดีต ที่คนมักมีสัตว์เลี้ยงอย่างไก่หรือหาอาหารจากธรรมชาติ เช่น ปลาไหล การรังเกียจสัตว์บางชนิด แต่กลับไม่รังเกียจสิ่งที่มาจากสัตว์นั้น ๆ เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดในชีวิตประจำวัน สำนวนนี้จึงถูกใช้เพื่อสะท้อนถึงความย้อนแย้งในพฤติกรรมและความคิดของคนในสังคม

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตนี้

  • สมชายมักพูดว่าเกลียดเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง แต่เมื่อเพื่อนคนนั้นช่วยเขาทำงาน เขาก็ยินดีรับผลประโยชน์จากสิ่งที่เพื่อนทำ เหมือนเกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง (สมชายแสดงพฤติกรรมที่ขัดแย้งกันระหว่างความรู้สึกและการกระทำ)
  • แม้ว่าเธอจะไม่ชอบร้านค้าร้านนี้ แต่เธอก็ยังชอบซื้อของราคาถูกจากร้านนี้อยู่ดี แสดงถึงการเกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง (เธอแสดงออกว่ารังเกียจร้านค้า แต่ยังยอมซื้อของจากร้าน)
  • นิดามักวิจารณ์เจ้านายคนหนึ่งว่าเข้มงวดเกินไป แต่ก็ยังชอบใช้ประโยชน์จากเงินรางวัลที่ได้รับจากเจ้านายคนนั้น เหมือนเกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง (นิดามีพฤติกรรมที่ขัดแย้งระหว่างการวิจารณ์เจ้านายและการรับผลประโยชน์)
  • เมื่อพูดถึงนโยบายใหม่ของบริษัท พนักงานบางคนบอกว่าไม่ชอบ แต่มักใช้สิทธิพิเศษที่ได้จากนโยบาย เหมือนเกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง (พนักงานแสดงพฤติกรรมขัดแย้งกับความรู้สึกต่อนโยบายของบริษัท)
  • เขามักบ่นว่าไม่ชอบคนที่อยู่ในกลุ่มหนึ่ง แต่เมื่อคนในกลุ่มนั้นชวนไปเที่ยวฟรี เขาก็ไปด้วย เหมือนเกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง (เขาแสดงความย้อนแย้งระหว่างความรู้สึกและการกระทำ)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพยที่คล้ายกัน

  • ปากว่าตาขยิบ: หมายถึง การพูดสิ่งหนึ่งแต่ทำอีกสิ่งหนึ่ง หรือแสดงความไม่จริงใจในการกระทำ
  • คำพูดเป็นนาย การกระทำเป็นทาส: สื่อถึงการพูดสิ่งหนึ่ง แต่การกระทำไม่ตรงกับคำพูด
  • ตักบาตรอย่าถามพระ, ตักบาตรถามพระ: เปรียบถึงคนที่ไม่อยากทำสิ่งใดแต่ยังทำเพื่อไม่ให้เสียภาพลักษณ์ หรือเพื่อผลประโยชน์ในทางใดทางหนึ่ง

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจากวิกิพจนานุกรม

รู้จักสุภาษิตกว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ ที่มาและความหมาย

สุภาษิตหมวดหมู่ ก. กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้

กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ หมายถึง

สุภาษิตไทย “กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้” หมายถึง การที่คนพยายามทำบางสิ่งบางอย่างให้สำเร็จ แต่ในขณะเดียวกันกลับทำให้สิ่งอื่น ๆ เกิดความเสียหายเพราะความล่าช้าหรือการจัดการที่ไม่ดีพอ สุภาษิตนี้จึงเตือนให้ผู้คนรู้จักจัดสรรเวลาและจัดการงานให้สมดุล เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียที่ไม่จำเป็น กล่าวคือ “กว่าจะได้ผลดังประสงค์ ก็ต้องเสียอย่างใดอย่างหนึ่งไป ดุจเอาถั่วกับงามาคั่วพร้อมกัน กว่าจะคั่วจนถั่วสุก งาก็จะไหม้หมดไปก่อน” นั่นเอง

ในแง่การปฏิบัติ สุภาษิตนี้สะท้อนถึงความสำคัญของการจัดการเวลาและการทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยความระมัดระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายจากการละเลยหรือการพยายามทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป จนทำให้เกิดการสูญเสียสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน

ที่มาและความหมายกว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้

ที่มาของสุภาษิตนี้

สุภาษิต “กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้” มีที่มาจากการปรุงอาหารพื้นบ้านของไทย ซึ่งเป็นการเตือนถึงความแตกต่างของเวลาที่ใช้ในการปรุงสุกระหว่างถั่วและงา ในการทำอาหาร บางเมนูใช้ถั่วและงาเป็นส่วนผสม ถั่วจะต้องใช้เวลาปรุงสุกนานกว่างา ถ้าหากปรุงถั่วจนสุกพอดี งาซึ่งสุกเร็วกว่าอาจจะถูกละเลยจนไหม้ไปก่อนแล้ว การควบคุมเวลาและการปรุงอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สิ่งหนึ่งสำเร็จ ขณะเดียวกันอีกสิ่งหนึ่งเกิดความเสียหายไป

สำนวนนี้สอดคล้องกับวิถีชีวิตในอดีต ที่การทำสิ่งใด ๆ มักต้องใช้ความระมัดระวัง และมีความคิดรอบคอบ ไม่ควรละเลยบางอย่างหรือมุ่งเน้นสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไปจนเกิดผลเสียกับสิ่งอื่นที่สำคัญเท่า ๆ กันหรือมากกว่า

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตนี้

  • พ่อแม่ใช้เวลาเลี้ยงลูกจนเติบโต แต่ลืมดูแลสุขภาพตนเอง จึงเปรียบเสมือนกว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้ (พ่อแม่มุ่งเน้นการเลี้ยงลูกจนลืมดูแลสุขภาพตัวเอง)
  • บริษัทมุ่งขยายตลาดใหม่จนไม่ได้ดูแลลูกค้าเดิมที่เริ่มลดลง กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้ (บริษัทละเลยลูกค้าเดิมเพราะมุ่งแต่ตลาดใหม่)
  • เขาโฟกัสทำโครงการใหญ่จนไม่ได้สนใจรายละเอียดเล็ก ๆ จนเกิดปัญหา กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้ (โฟกัสเรื่องใหญ่จนลืมดูแลรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ส่งผลต่อโครงการ)
  • ครูเน้นการพัฒนาเด็กเรียนเก่ง แต่ละเลยเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้ (ครูเน้นเด็กเก่งมากเกินไปจนลืมช่วยเหลือเด็กที่อ่อน)
  • เขาทำงานหนักเพื่อหาเงิน แต่กลับไม่มีเวลาให้ครอบครัว จนเกิดความห่างเหิน กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้ (ทำงานหนักแต่ลืมดูแลครอบครัว จนเกิดปัญหา)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพยที่คล้ายกัน

  • เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย: หมายถึง การไม่ยอมเสียสละสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ในตอนแรก แต่กลับต้องเสียสิ่งใหญ่ในภายหลัง
  • ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม: หมายถึง การทำสิ่งใด ๆ ด้วยความรอบคอบและไม่เร่งรีบ มักได้ผลลัพธ์ที่ดี
  • จับปลาสองมือ: การพยายามทำสองสิ่งพร้อมกัน จนอาจทำให้สูญเสียทั้งสองสิ่ง

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสุภาษิตกินบนเรือน ขี้บนหลังคา ที่มาและความหมาย

สุภาษิตหมวดหมู่ ก. กินบนเรือน ขี้บนหลังคา

กินบนเรือน ขี้บนหลังคา หมายถึง

สุภาษิตไทย “กินบนเรือน ขี้บนหลังคา” หมายถึง การทำความชั่วหรือทรยศต่อผู้ที่เคยช่วยเหลือ หรือทำสิ่งไม่ดีต่อผู้อื่นในขณะที่ตัวเองได้รับประโยชน์จากเขา สุภาษิตนี้ใช้เพื่อวิจารณ์หรือเตือนถึงพฤติกรรมของคนที่ไม่รู้คุณหรือทำตัวไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่ได้รับการสนับสนุนหรือดูแล กล่าวคือ “คนเนรคุณ ไม่รู้จักบุญคุณ” นั่นเอง

ที่มาและความหมายกินบนเรือน ขี้บนหลังคา

ที่มาของสุภาษิตนี้

สุภาษิตนี้มีที่มาจากการเปรียบเทียบพฤติกรรมที่ไม่ซื่อตรงและไม่สำนึกในบุญคุณ โดยใช้บ้านเรือนเป็นสัญลักษณ์ของที่อยู่อาศัยและการดูแล หากมีคนที่ได้รับการช่วยเหลือจากผู้อื่น โดยเฉพาะในบ้านเรือนที่ตัวเองอยู่ แต่กลับทำสิ่งที่ไม่ดีหรือทรยศต่อเจ้าของบ้าน ก็เหมือนกับการทำความผิดหรือเสียมารยาทบนที่ที่ตัวเองได้รับประโยชน์จากนั้น เปรียบเสมือนการกินอาหารในบ้านของคนอื่นแต่กลับไปทำสิ่งไม่ดีต่อพวกเขา

สุภาษิตนี้จึงใช้เป็นการเตือนใจไม่ให้เนรคุณหรือทำร้ายคนที่ให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนเรา เปรียบเหมือนการกินอาหารในบ้านเรือนที่เราได้รับการดูแล แต่กลับทำสิ่งเลวร้ายโดยไม่สำนึกบุญคุณ

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตนี้

  • เขาอยู่บ้านนี้มานาน แต่สุดท้ายกลับทรยศเจ้าของบ้าน เหมือนคนกินบนเรือน ขี้บนหลังคา (เขาได้รับการช่วยเหลือมาตลอด แต่กลับทำสิ่งไม่ดีตอบแทน)
  • อย่าทำตัวเหมือนคนกินบนเรือน ขี้บนหลังคา ถ้ารับความช่วยเหลือจากใคร ต้องรู้จักตอบแทนบุญคุณ (เตือนให้รู้จักสำนึกบุญคุณและไม่ทำร้ายคนที่ช่วยเหลือ)
  • การพูดให้ร้ายคนที่เคยช่วยเหลือเรา เป็นเหมือนการกินบนเรือน ขี้บนหลังคา (การวิจารณ์หรือพูดให้ร้ายคนที่เคยช่วยเหลือเราถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดี)
  • เขารับความช่วยเหลือจากองค์กรนี้มาตลอด แต่กลับทำตัวเหมือนกินบนเรือน ขี้บนหลังคา ด้วยการทำลายชื่อเสียงขององค์กร (เขาทำลายชื่อเสียงขององค์กรที่เคยสนับสนุนเขา)
  • คนที่ไม่สำนึกบุญคุณของคนอื่น มักจะทำตัวเหมือนกินบนเรือน ขี้บนหลังคา (เตือนให้รู้จักสำนึกและตอบแทนคนที่ช่วยเหลือเรา)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพยที่คล้ายกัน

  • เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล ความหมาย: พอเสร็จสิ้นภารกิจ ก็ทำร้ายบุคคลสำคัญที่เคยช่วยเหลืองานของตน หรือผู้มีส่วนสำคัญถูกกำจัดออกเมื่อหมดผลประโยชน์

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจากสำนักงานราชบัณฑิตยสภา

รู้จักสุภาษิตกล้านักมักบิ่น ที่มาและความหมาย

สุภาษิตหมวดหมู่ ก. กล้านักมักบิ่น

กล้านักมักบิ่น หมายถึง

สุภาษิต “กล้านักมักบิ่น” หมายถึง คนที่มีความกล้ามากเกินไป หรือมักทำสิ่งต่าง ๆ โดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยง อาจได้รับความเสียหายหรือความเดือดร้อนในภายหลัง สุภาษิตนี้เตือนให้รู้จักใช้ความกล้าอย่างพอดีและระมัดระวังในทุกการกระทำ เพราะความกล้าที่มากเกินไปมักจะนำไปสู่ผลเสียได้ กล่าวคือ “กล้าเกินไปมักจะเป็นอันตราย” นั่นเอง

ที่มาและความหมายกล้านักมักบิ่น

ที่มาของสุภาษิตนี้

สุภาษิตนี้มีที่มาจากการเปรียบเทียบการใช้เครื่องมือ เช่น มีดหรือดาบที่หากใช้บ่อยๆ หรือนำไปใช้อย่างหักโหมเกินไป ก็อาจทำให้คมมีดบิ่นหรือเสียหายได้ เปรียบได้กับคนที่มีความกล้ามากเกินพอดี หรือนำความกล้ามาใช้โดยไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วน อาจนำไปสู่ความเสียหายแก่ตนเองในภายหลัง

สุภาษิตนี้ถูกใช้เพื่อเตือนใจให้คนรู้จักความพอดีและระมัดระวังในการทำสิ่งใด ๆ โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับความท้าทายหรือสถานการณ์ที่เสี่ยง เพราะการใช้ความกล้าเกินไปโดยไม่มีความระมัดระวัง อาจทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่ดีตามมา

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตนี้

  • เขาขับรถเร็วมากเพราะคิดว่าตัวเองเก่ง สุดท้ายก็เหมือนกล้านักมักบิ่น เกือบเกิดอุบัติเหตุ (ความมั่นใจเกินไปทำให้เขาเกือบเจออันตราย)
  • การตัดสินใจลงทุนทั้งหมดโดยไม่ศึกษาให้ดีอาจทำให้เหมือนกล้านักมักบิ่น (การเสี่ยงมากเกินไปในการลงทุนอาจทำให้เกิดความเสียหาย)
  • เขาเลือกเดินทางในตอนกลางคืน ทั้งที่รู้ว่าอันตราย นี่มันกล้านักมักบิ่นจริง ๆ (เขากล้าเกินไปจนทำให้เสี่ยงต่ออันตราย)
  • การทำงานโดยไม่ฟังความคิดเห็นของคนอื่นอาจทำให้เหมือนกล้านักมักบิ่น (ความมั่นใจในตัวเองมากเกินไปอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาด)
  • อย่าเสี่ยงกับอะไรที่เราไม่รู้จักดีพอ กล้านักมักบิ่นได้ (เตือนว่าอย่าเสี่ยงโดยไม่คิดให้รอบคอบ)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพยที่คล้ายกัน

  • คบคนให้ดูหน้า ซื้อผ้าให้ดูเนื้อ: หมายถึงการทำอะไรต้องพิจารณาให้รอบคอบ อย่าใจร้อนหรือรีบร้อนตัดสินใจ
  • รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง: สอนให้รู้จักหลบหลีกหรือหาวิธีป้องกันตนเองจากอันตราย
  • ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม: การทำอะไรด้วยความรอบคอบและไม่เร่งรีบมักได้ผลลัพธ์ที่ดี
  • บุ่มบ่ามทำการ จะพาเสียการใหญ่: หมายถึง การทำอะไรอย่างรีบร้อนหรือไม่พิจารณาให้รอบคอบจะนำไปสู่ความล้มเหลว

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก Longdo Dict

รู้จักสุภาษิตกงเกวียนกำเกวียน ที่มาและความหมาย

สุภาษิตหมวดหมู่ ก. กงเกวียนกำเกวียน

กงเกวียนกำเกวียน หมายถึง

สุภาษิตไทย “กงเกวียนกำเกวียน” หมายถึง การกระทำของคนที่ไม่ว่าจะเป็นดีหรือไม่ดี ย่อมมีผลตามมาในภายหลัง สิ่งที่เราทำต่อผู้อื่นจะย้อนกลับมาหาเรา เช่น หากทำดี ผลดีก็จะเกิดขึ้นกับเรา หากทำไม่ดี ผลร้ายก็จะย้อนกลับมาหาเราในรูปแบบของกรรม สุภาษิตนี้มักใช้เพื่อเตือนใจให้ผู้คนระมัดระวังในการกระทำและพฤติกรรมของตน เพราะทุกการกระทำย่อมมีผลลัพธ์ที่ต้องรับผิดชอบ กล่าวคือ “การกระทำใด ๆ ที่มีผลต่อผู้กระทำนั้น ๆ” นั่นเอง

ที่มาและความหมายสุภาษิตกงเกวียนกำเกวียน

ที่มาของสุภาษิตนี้

สุภาษิตนี้เป็นคำที่เปรียบเทียบกับการหมุนของล้อเกวียนในสมัยก่อน ซึ่ง “กงเกวียน” หมายถึงส่วนของล้อเกวียนที่หมุนไปเรื่อย ๆ โดยที่ “กำเกวียน” หมายถึงล้อส่วนหน้าที่นำทางเกวียน สุภาษิตนี้จึงเปรียบเทียบกับการกระทำของคนเราที่เหมือนกับล้อเกวียนที่หมุนไป หากทำดี สิ่งดีก็จะหมุนกลับมาหา หากทำไม่ดี ผลกรรมก็จะหมุนกลับมาส่งผลในภายหลัง เป็นแนวคิดเรื่องกฎแห่งกรรมที่สิ่งที่คนทำไว้จะย้อนกลับมาหาตัวเองในที่สุด

สุภาษิตนี้สอดคล้องกับความเชื่อทางศาสนาและวัฒนธรรมที่สอนให้คนทำดีเพื่อให้ได้ผลดี และเตือนให้ระมัดระวังในการทำสิ่งไม่ดี เพราะผลของการกระทำจะส่งผลย้อนกลับมาเสมอ

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตนี้

  • เขาเคยกลั่นแกล้งคนอื่นมาตลอด วันนี้เขาถึงได้รับผลจากกงเกวียนกำเกวียน (เขาถูกคนอื่นกลั่นแกล้งกลับ หลังจากที่เขาทำสิ่งไม่ดีในอดีต)
  • ใครทำดีไว้ย่อมได้ดี กงเกวียนกำเกวียนมันไม่เคยผิด (การกระทำดีจะนำพาสิ่งดีมาหา เหมือนผลของกรรมที่เกิดจากการทำดี)
  • การโกงคนอื่นถึงจะรวยเร็ว แต่กงเกวียนกำเกวียนจะตามมาไม่ช้าก็เร็ว (การทำไม่ดีอาจได้รับผลร้ายในอนาคต)
  • เธอช่วยเหลือคนอื่นมาตลอด สุดท้ายก็ได้พบกับกงเกวียนกำเกวียนที่ดีในชีวิต (การทำดีทำให้เธอได้รับผลดีตอบแทนในชีวิต)
  • พอเขาทำร้ายคนอื่น ผลของกงเกวียนกำเกวียนก็ทำให้เขาถูกตอบแทนด้วยการโดนทำร้ายกลับ (สิ่งไม่ดีที่เขาทำไว้ย้อนกลับมาหาเขา)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพยที่คล้ายกัน

  • ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว: หมายถึง การกระทำของคน ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว ย่อมได้รับผลลัพธ์ตามที่ทำไว้
  • เวรสนองเวร กรรมสนองกรรม: ใช้กับคนที่ทำสิ่งไม่ดี แล้วผลลัพธ์ของการกระทำนั้นย้อนกลับมาทำให้เขาเดือดร้อน
  • หว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น: สื่อถึงการที่คนทำสิ่งใดไว้ จะได้รับผลตอบแทนตามสิ่งที่ทำไป
  • กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นตามสนอง: ความหมายตรงกับกฎแห่งกรรม ที่สิ่งที่ทำไปจะกลับมาสนองต่อตัวผู้ทำ

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจากสำนักงานราชบัณฑิตยสภา