คำพังเพยไทยหมวดหมู่ น. น้ำน้อยแพ้ไฟ
น้ำน้อยแพ้ไฟ หมายถึง
คำพังเพย “น้ำน้อยแพ้ไฟ” หมายถึง ผู้ที่มีกำลังหรืออำนาจน้อย เมื่อเจอกับปัญหาใหญ่หรือฝ่ายที่แข็งแกร่งกว่า มักจะพ่ายแพ้หรือเสียเปรียบ เปรียบเสมือนน้ำมีน้อย ไม่สามารถดับไฟได้ เช่นเดียวกับคนที่มีกำลังน้อย ย่อมสู้กับคนที่มีกำลังมากกว่าไม่ได้ กล่าวคือ “ฝ่ายข้างน้อยย่อมแพ้ฝ่ายข้างมาก” นั่นเอง

ที่มาของคำพังเพย
มาจากปรากฏการณ์ธรรมชาติที่คนสมัยก่อนสังเกตเห็นว่า หากมีไฟลุกไหม้รุนแรง แต่มีน้ำน้อยเกินไป ก็ไม่อาจดับไฟได้ เปลวไฟจะลุกลามและเผาผลาญทุกอย่างจนหมดสิ้น แม้จะพยายามใช้เท่าไรก็ไร้ผล
จึงเกิดเป็นคำพังเพยเปรียบเปรยถึงสถานการณ์ที่ฝ่ายหนึ่งมีกำลังหรือทรัพยากรน้อย ไม่สามารถต้านทานหรือเอาชนะอีกฝ่ายที่มีกำลังมากกว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นในการต่อสู้ การโต้เถียง หรือการแข่งขันใด ๆ
คำพังเพยนี้สื่อให้ตระหนักว่า หากรู้ว่าตนเองมีกำลังน้อย ควรหลีกเลี่ยงการปะทะ หรือหาทางเสริมความพร้อมก่อนเผชิญหน้า
ตัวอย่างการใช้คำพังเพย
- ทีมของเราพยายามทำการตลาดออนไลน์เต็มที่ แต่ไม่มีงบมากพอจะสู้กับแบรนด์ใหญ่ที่ทุ่มงบโฆษณา เราจึงเสียเปรียบอยู่ตลอด นี่แหละน้ำน้อยแพ้ไฟอย่างแท้จริง (ทรัพยากรน้อยย่อมสู้คู่แข่งที่มีกำลังมากกว่าไม่ได้)
- เมื่อต้อมเสนอไอเดียในการประชุม แต่ถูกกลุ่มหัวหน้าคัดค้านหลายคนพร้อมกัน เขาจึงเลือกเงียบไว้ก่อน เพราะรู้ว่าน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ พูดไปก็ไม่เปลี่ยนอะไร (คนเดียวเสียงเบาสู้เสียงข้างมากไม่ได้)
- แม้โครงการของกลุ่มอาสาจะมีประโยชน์ต่อชุมชน แต่เมื่อไม่มีงบสนับสนุน ก็ไม่อาจสู้โครงการที่ภาครัฐหนุนหลังได้ น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟจริง ๆ (ของดีไม่มีทุนก็ไปไม่รอด)
- เวลามีปัญหากับเจ้านาย อย่าเถียงแรงหรือใช้อารมณ์ เพราะเราก็แค่ลูกน้อง ถ้าไม่ระวังจะเหมือนน้ำน้อยแพ้ไฟ โดยไม่รู้ตัว (สู้แรงกว่าโดยไม่มีกำลังหนุน มีแต่เสีย)
- ในวงสนทนาเรื่องการเมือง เพื่อนคนหนึ่งเสียงดัง พูดเร็ว ใช้คำแรงจนอีกคนเงียบไป เพราะรู้ว่าถ้าเถียงต่อก็น้ำน้อยแพ้ไฟ สู้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์ (เมื่อเถียงไม่ทัน ควรรอจังหวะที่ดีกว่า)