สำนวนไทยหมวดหมู่ ค. คลุกคลีตีโมง
คลุกคลีตีโมง หมายถึง
สำนวน “คลุกคลีตีโมง” หมายถึง การอยู่ใกล้ชิดหรือยุ่งเกี่ยวกันมากตลอดเวลาจนแทบจะแยกจากกันไม่ได้ โดยอาจหมายถึงการใช้เวลาร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ไม่แยกจากกัน หรือยุ่งเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างมากเกินไป ซึ่งมักสื่อถึงความสัมพันธ์หรือพฤติกรรมที่แนบแน่นจนเกินพอดี และในบางกรณีอาจมีนัยเชิงลบ เช่น การเกี่ยวข้องกับสิ่งไม่ดี หรือการหมกมุ่นกับบางเรื่องจนเกินไป กล่าวคือ “การมั่วสุมหรืออยู่ร่วมคลุกคลีพัวพันกันอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา” นั่นเอง
อยู่อย่างอย่างใกล้ชิดสนิทสนมกันตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรก็ทำร่วมกัน ไปไหนก็ไปด้วยกัน กินก็กินร่วมกัน นอนก็นอนร่วมกัน อุปมาเสมือนดั่งว่าได้คลุกคลีตีโมงกันตลอดเวลา

ที่มาของสำนวน
สำนวนมาจากรากศัพท์มาจากการผสมคำในภาษาไทย โดย “คลุกคลี” เป็นคำที่หมายถึงการเข้าใกล้ชิดหรือมั่วสุมอยู่ร่วมกัน ส่วน “ตีโมง” มีรากมาจากวิธีการนับเวลาในอดีต
ในสมัยก่อน คนไทยใช้คำว่า “ตี” เพื่อบอกเวลาตอนกลางคืน เช่น ตีหนึ่ง ตีสอง และใช้คำว่า “โมง” เพื่อบอกเวลาตอนกลางวัน เช่น เจ็ดโมง แปดโมง ดังนั้น “ตีโมง” จึงเป็นการรวมกันของหน่วยเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน สะท้อนถึงการอยู่ร่วมกันตลอดเวลา
สำนวนนี้อาจเกิดจากการสังเกตพฤติกรรมของบุคคลที่ใช้เวลาอยู่ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ไปไหนมาไหนด้วยกัน ทำกิจกรรมร่วมกันตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่แยกจากกัน ซึ่งต่อมาจึงกลายเป็นสำนวนที่ใช้ในความหมายของการพัวพันหรือมั่วสุมกับบางสิ่งบางอย่างอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา
ตัวอย่างการใช้สำนวน
- นักข่าวสาวคลุกคลีตีโมง กับนักการเมืองระดับสูงอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นงานสัมมนา งานเลี้ยง หรืองานแถลงข่าว เธอมักจะไปนั่งใกล้ ๆ และพูดคุยกับพวกเขาอย่างสนิทสนม จนสามารถเข้าถึงข้อมูลวงในที่นักข่าวทั่วไปไม่มีโอกาสได้รับ “เธอไปทำข่าวหรือไปเป็นพวกเดียวกับเขากันแน่?” นักข่าวรุ่นพี่กระซิบถามด้วยความสงสัย (เป็นการแสดงถึงความใกล้ชิดสนิทสนมกับกลุ่มนักการเมือง ซึ่งอาจทำให้ได้รับข่าวสารสำคัญที่คนทั่วไปไม่รู้)
- ตั้งแต่เจ้าเอกเริ่มคลุกคลีตีโมง กับกลุ่มเพื่อนที่ชอบโดดเรียนและเที่ยวกลางคืน ผลการเรียนของเขาก็แย่ลงเรื่อย ๆ อาจารย์เคยเรียกไปเตือนหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่สนใจ ยังคงใช้เวลาทั้งกลางวันและกลางคืนไปกับกลุ่มเพื่อนเดิม จนสุดท้ายสอบตกหลายวิชา “กลับบ้านบ้างไหมลูก? พ่อกับแม่เป็นห่วงนะ” เสียงแม่ของเอกสั่นเครือเมื่อโทรหาเขา แต่เอกกลับตอบเพียงสั้น ๆ แล้ววางสาย (สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบจากการสนิทสนมกับกลุ่มที่มีพฤติกรรมไม่ดี ซึ่งอาจทำให้บุคคลเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง)
- เธอมักจะคลุกคลีตีโมง กับเจ้านาย ไม่ว่าจะเป็นการเข้าประชุมด้วยกัน ออกไปทานข้าว หรือแม้แต่ทำงานดึกก็จะเห็นทั้งสองอยู่ในห้องทำงานเดียวกันเสมอ ทำให้เพื่อนร่วมงานเริ่มสงสัยว่าความสัมพันธ์ของเธอกับเจ้านายอาจไม่ใช่แค่เรื่องงานอย่างที่เห็น “ขยันทำงานใกล้ชิดเจ้านายแบบนี้ เดี๋ยวตำแหน่งเลื่อนเร็วกว่าพวกเราหมดแน่” เพื่อนร่วมงานกระซิบกันเองในมุมออฟฟิศ (เป็นการสื่อถึงพฤติกรรมที่ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจ จนอาจทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจหรือความสงสัยจากคนรอบข้าง)
- หลังจากที่เขาเริ่มคลุกคลีตีโมง กับกลุ่มนักลงทุนระดับสูง ทุกเช้าเขาจะไปร่วมจิบกาแฟในคลับหรู ฟังพวกเขาพูดคุยถึงแนวโน้มตลาดหุ้นและแผนการลงทุน จนตัวเองสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาปรับใช้ในการลงทุนของตัวเองและทำกำไรได้มหาศาล (แสดงถึงการใช้ความสนิทสนมกับบุคคลที่มีความรู้เฉพาะทางเพื่อรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับตนเอง)
- เขาคลุกคลีตีโมงกับพวกนักเลงแถวตลาด จนมีคนเห็นว่าเริ่มมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป จากเมื่อก่อนที่เป็นคนตั้งใจทำงาน ตอนนี้กลับกลายเป็นคนที่ชอบไปมั่วสุมตามร้านเหล้ากลางคืน และมีข่าวลือว่าเริ่มเข้าไปเกี่ยวข้องกับการพนันและสิ่งผิดกฎหมาย “ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นมันทำงานเลยนะ ไปอยู่กับใครบ่อย ๆ หรือเปล่า?” ลูกน้องคนหนึ่งกระซิบถามเจ้าของร้าน (เป็นตัวอย่างของการที่คนเราเปลี่ยนไปจากการคบหากลุ่มคนที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของตนเอง ซึ่งอาจนำไปสู่เส้นทางที่ไม่ดี)
สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
- เคียงบ่าเคียงไหล่ หมายถึง: การอยู่ร่วมกันอย่างใกล้ชิด ช่วยเหลือหรือร่วมมือกันอย่างเท่าเทียม