Tag: คำพังเพยไทย ก.

  • รู้จักคำพังเพยแก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยแก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ก. แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน หมายถึง คำพังเพย “แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน” หมายถึง คนที่มีอายุมากกลับไม่มีประโยชน์ตามเลขอายุ แต่ไม่มีความรู้หรือประสบการณ์ที่ลึกซึ้ง ไม่ได้เรียนรู้หรือพัฒนาตัวเองตามวัย เปรียบเหมือนแก่ไปตามกาลเวลาโดยไม่มีความสามารถเพิ่มขึ้น กล่าวคือ “คนที่มีอายุมากแล้ว แต่ทำตัวไม่มีประโยชน์อะไรเลย” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากการสะท้อนแนวคิดของคนไทยเกี่ยวกับ อายุที่เพิ่มขึ้นไม่ได้หมายถึงความฉลาดหรือมีประสบการณ์เสมอไป คนโบราณให้ความเคารพผู้สูงอายุ เพราะเชื่อว่าผู้ที่ผ่านโลกมานานควรมีความรู้และปัญญามากขึ้นตามวัย แต่ในความเป็นจริง บางคนแม้จะแก่หรือมีอายุมาก แต่กลับไม่มีความคิดที่เฉียบแหลมหรือประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ คำพังเพยนี้มักใช้ในเชิงตำหนิหรือประชดประชันผู้ที่อายุมากแต่กลับไม่มีความสามารถ ไม่เรียนรู้จากชีวิต หรือทำตัวไม่มีเหตุผล เปรียบเหมือนแก่ไปตามกาลเวลาเพราะกินข้าวเท่านั้น ไม่ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติม หรือเฒ่าเพราะอยู่มานาน แต่ไม่ได้ทำให้ฉลาดขึ้น เป็นการเตือนให้ตระหนักว่าอายุที่เพิ่มขึ้นควรมาพร้อมกับสติปัญญาและวุฒิภาวะ ไม่ใช่แค่การมีชีวิตอยู่ไปวันๆ โดยไม่มีคุณค่า ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • รู้จักคำพังเพยใกล้เกลือกินด่าง ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยใกล้เกลือกินด่าง ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ก. ใกล้เกลือกินด่าง ใกล้เกลือกินด่าง หมายถึง คำพังเพย “ใกล้เกลือกินด่าง” หมายถึง การที่คนไม่รู้จักใช้ประโยชน์หรือไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่ดีและมีคุณค่าใกล้ตัว แต่กลับเลือกสิ่งที่ด้อยคุณภาพหรือไม่มีคุณค่าแทน เปรียบเสมือนคนที่อยู่ใกล้แหล่งเกลือที่มีคุณภาพ แต่กลับเลือกกินด่างที่ไม่มีรสชาติดีแทน เป็นการเตือนให้รู้จักมองเห็นและใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่รอบตัวที่มีคุณค่าจริง ๆ แทนที่จะมองข้ามไปและเลือกสิ่งที่ไม่ดี กล่าวคือ “ผู้ที่อยู่ใกล้สิ่งที่ดีมีคุณค่า แต่มองไม่เห็นคุณค่านั้น กลับไปหลงชื่นชมกับสิ่งที่ไร้ค่าด้อยราคา หรือมองข้ามของดีที่อยู่ใกล้ตัวซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ตน แต่กลับไปแสวงหาสิ่งอื่นที่ด้อยกว่า” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากวิถีชีวิตในสมัยก่อนที่คนไทยใช้เกลือในการปรุงอาหารเพื่อเพิ่มรสชาติ เกลือเป็นของที่มีคุณค่าและจำเป็นในครัวเรือน ในขณะที่ด่างเป็นสิ่งที่ใช้ในกระบวนการทำความสะอาดหรือใช้ในงานช่าง แต่ไม่สามารถนำมาปรุงอาหารได้หรือไม่มีรสชาติอร่อย เกลือเป็นสารที่มีประโยชน์มาก ใช้ทั้งบริโภคและอุปโภค ด่างเป็นเพียงน้ำขี้เถ้าใช้เป็นส่วนผสมในการทำยาและกัดสิ่งของ ประโยชน์ของเกลือจึงมีมากกว่าด่าง และเกลือนั้นสามารถหาได้ง่ายกว่าด่าง จึงเปรียบเปรยถึงการกินเกลือที่หาง่าย ๆ และมีคุณค่า กลับไม่กิน กลับไปหากินด่างที่หายากกว่าและคุณประโยชน์น้อยกว่า เกลือ เป็นวัตถุที่มีรสเค็ม เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตในการใช้ประกอบอาหาร และยา เป็นต้น สมัยโบราณเกลือเป็นสิ่งที่มีค่า ราคาแพง เพราะหายาก. เกลือมีแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์และมีความจำเป็นต่อร่างกายเป็นอย่างมาก ช่วยคลายความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ป้องกันโรคความจำเสื่อม คอหอยพอก โรคกระเพาะ ฟันผุ กระดูกผุ เป็นต้น ส่วนด่างเป็นของไม่มีราคา ทำขึ้นได้ง่าย…

  • รู้จักคำพังเพยไก่อ่อนสอนขัน ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยไก่อ่อนสอนขัน ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ก. ไก่อ่อนสอนขัน ไก่อ่อนสอนขัน หมายถึง คำพังเพย “ไก่อ่อนสอนขัน” หมายถึง คนที่ขาดประสบการณ์หรือยังอ่อนในความรู้ ไม่สามารถเข้าใจหรือระวังการหลอกลวงและเล่ห์กลของผู้อื่นได้ดีพอ เนื่องจากขาดการเผชิญกับสถานการณ์ซับซ้อนมาก่อน จึงง่ายต่อการถูกหลอกหรือถูกชักจูงไปในทางที่ผิด เปรียบเหมือนคนที่ยังไม่มีความรู้ลึกซึ้งพอในการอ่านใจหรือสังเกตเจตนาที่แท้จริงของผู้อื่น ทำให้ไม่สามารถรับมือกับเล่ห์เหลี่ยมที่ซ่อนอยู่ได้ กล่าวคือ “ผู้มีประสบการณ์น้อยยังไม่รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของคน” นั่นเอง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือคนที่ยังขาดประสบการณ์หรือมีความรู้ความสามารถน้อย แต่พยายามไปสอนหรือชี้แนะผู้อื่นที่มีประสบการณ์หรือความรู้มากกว่า เปรียบเสมือนไก่ที่ยังเด็กและไม่เคยผ่านประสบการณ์มากพอ แต่พยายามสอนให้ไก่โตที่มีความเชี่ยวชาญในการขันแล้ว ที่มาของคำพังเพย มาจากการเปรียบเทียบเปรียบเปรยถึงพฤติกรรมของไก่ ซึ่งเป็นสัตว์ที่พบได้ทั่วไปในสังคมชนบทไทย ไก่ที่ยังอ่อนหรือยังเด็กมักยังไม่มีความสามารถในการขันที่ดีหรือยังไม่ชำนาญเมื่อเทียบกับไก่โตที่ผ่านประสบการณ์มากกว่า คำว่า “สอนขัน” จึงหมายถึงการพยายามทำสิ่งที่เกินความสามารถหรือประสบการณ์ของตนเอง อีกนัยหนึ่งที่สื่อถึงการที่คนอายุน้อยหรือคนที่ยังขาดประสบการณ์ พยายามแนะนำหรือสอนคนที่มีประสบการณ์หรืออายุมากกว่า ซึ่งในสังคมไทยถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมหรือ “ปีนเกลียว” ผู้ใหญ่ การทำเช่นนี้อาจถูกมองว่าเป็นการไม่เคารพต่อผู้อาวุโสหรือผู้ที่มีความชำนาญกว่า ในสังคมไทยมีความเชื่อเรื่องการให้ความเคารพต่อผู้ใหญ่และผู้อาวุโส การพยายามสอนหรือชี้แนะคนที่มีประสบการณ์มากกว่าโดยขาดความเหมาะสม อาจทำให้ถูกมองว่าไม่รู้จักวางตัวหรือปีนเกลียว จึงเป็นที่มาของคำพังเพยนี้ที่ใช้เตือนให้ผู้ที่ยังขาดประสบการณ์เรียนรู้และเคารพในความรู้ความสามารถของผู้อื่น คำพังเพยนี้สะท้อนถึงการที่คนซึ่งยังมีประสบการณ์น้อยหรือยังไม่รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของคนอื่น พยายามจะให้คำแนะนำหรือชี้แนะคนที่มีความชำนาญและประสบการณ์มากกว่า เป็นการเตือนใจให้ตระหนักถึงขีดความสามารถของตนเอง และระมัดระวังการทำสิ่งที่เกินตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกมองว่าไม่เหมาะสมหรือขาดความน่าเชื่อถือ ตัวอย่างการใช้คำพังเพย คำพังเพยที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักคำพังเพยแกว่งเท้าหาเสี้ยน ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยแกว่งเท้าหาเสี้ยน ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ก. แกว่งเท้าหาเสี้ยน แกว่งเท้าหาเสี้ยน หมายถึง คำพังเพย “แกว่งเท้าหาเสี้ยน” หมายถึง การที่คนทำสิ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาหรือความเดือดร้อนให้กับตนเอง ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าการกระทำนั้นมีความเสี่ยงหรืออันตรายอยู่ เปรียบเหมือนการแกว่งเท้าไปในที่ที่มีเสี้ยน ซึ่งอาจทำให้เสี้ยนไม้ทิ่มแทงเข้าไปในเท้าได้ คำพังเพยนี้มักใช้เตือนคนที่ทำอะไรโดยไม่คิดให้รอบคอบหรือพูดจาที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง เช่น การไปยุ่งเรื่องที่ไม่ควรยุ่ง หรือการพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดจนเกิดปัญหา กล่าวคือ “รนหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเอง” นั่นเอง ที่มาคำพังเพย มาจากวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยก่อนที่นิยมสร้างบ้านเรือนด้วยไม้ ซึ่งเสี้ยนไม้เป็นเรื่องที่พบได้บ่อย เพราะเมื่อบ้านทำจากไม้ และเครื่องเรือนต่าง ๆ ก็มักทำจากไม้เช่นกัน การแกว่งเท้าหรือเดินไม่ระวังในบ้านที่มีเสี้ยนมาก จึงเสี่ยงต่อการโดนเสี้ยนทิ่มแทงเท้า การเปรียบเทียบนี้ใช้สะท้อนการกระทำของคนที่ทำอะไรโดยไม่คิดหรือไม่ระวัง ก่อให้เกิดปัญหาและความเดือดร้อนต่อตนเองโดยไม่จำเป็น เหมือนการแกว่งเท้าในที่ที่มีเสี้ยน ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • รู้จักคำพังเพยเกี่ยวแฝกมุงป่า ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยเกี่ยวแฝกมุงป่า ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ก. เกี่ยวแฝกมุงป่า เกี่ยวแฝกมุงป่า หมายถึง คำพังเพย “เกี่ยวแฝกมุงป่า” หมายถึง การพยายามทำสิ่งที่ไม่มีทางสำเร็จหรือเกินกำลังของตนเอง เป็นการกระทำที่ไม่มีประโยชน์ เพราะเปรียบเสมือนการใช้หญ้าแฝกเล็กๆ ซึ่งไม่เพียงพอที่จะมุงป่ากว้างใหญ่ได้ ความหมายนี้สะท้อนถึงการทุ่มเททรัพยากรที่ไม่เหมาะสมกับขนาดของปัญหา หรือการพยายามทำสิ่งที่ยากเกินความสามารถของตนเอง กล่าวคือ “ทำอะไรเกินกำลังความสามารถของตัวเอง” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากการเปรียบเทียบเปรียบเปรยในวิถีชีวิตของคนไทยในอดีต ซึ่งมีความสัมพันธ์กับธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง “แฝก” เป็นหญ้าชนิดหนึ่งที่คนไทยใช้ทำสิ่งของพื้นฐาน เช่น มุงหลังคาหรือป้องกันดินพัง เนื่องจากมีลักษณะเล็กและแข็งแรงในระดับหนึ่ง แต่เมื่อต้องนำมามุงป่าที่กว้างใหญ่ การกระทำนี้ย่อมเกินกำลังและไม่เกิดผลสำเร็จ การเลือกใช้คำนี้แสดงถึงความพยายามทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือเกินความสามารถ เปรียบเหมือนการพยายามใช้ของเล็กน้อยเพื่อจัดการกับสิ่งที่ใหญ่และซับซ้อนมากเกินไป ในวิถีชีวิตคนไทย หญ้าแฝกมีบทบาทในวิถีการเกษตรและการรักษาหน้าดินในพื้นที่ชนบท เป็นวัสดุที่มีคุณค่าสำหรับชาวบ้าน ดังนั้นการเปรียบเทียบนี้จึงสะท้อนถึงการนำทรัพยากรเล็กน้อยไปใช้ในงานที่เกินกว่าศักยภาพของมัน และเป็นการเตือนให้คนคำนึงถึงความเหมาะสมในการใช้ทรัพยากรและการทำงานให้สัมพันธ์กับกำลังและความสามารถของตนเอง ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • รู้จักคำพังเพยกินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยกินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ก. กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง หมายถึง คำพังเพย “กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง” หมายถึง การที่คนรู้หรือเข้าใจเรื่องราวดีอยู่แล้ว แต่เลือกที่จะไม่พูดออกมา หรือแสร้งทำเป็นไม่รู้ กล่าวคือ “รู้ดีอยู่แล้วแสร้งทำเป็นไม่รู้” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากการเปรียบเปรยถึงพฤติกรรมโดยที่การที่คนรู้ความจริงดีอยู่แล้ว แต่เลือกที่จะไม่พูดออกมา โดยใช้คำว่า “กินอยู่กับปาก” เพื่อสื่อถึงการรับรู้หรือมีความรู้อยู่แล้ว และ “อยากอยู่กับท้อง” หมายถึงการเก็บความรู้สึกนั้นไว้ ไม่พูดออกมา เหมือนกับการเก็บความลับไว้ในใจ เนื่องจากการพูดออกมาอาจสร้างความไม่สะดวก หรือก่อให้เกิดปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อตัวเอง จึงเลือกที่จะปิดปากเงียบแม้จะรู้อยู่เต็มอก กล่าวคือ “ความอยากที่เกิดขึ้นภายในใจ” นั่นแหละ ตัวอย่างการใช้งาน

  • คำพังเพยกินเหมือนหมู อยู่เหมือนหมา ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยกินเหมือนหมู อยู่เหมือนหมา ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ก. กินเหมือนหมู อยู่เหมือนหมา กินเหมือนหมู อยู่เหมือนหมา หมายถึง คำพังเพย “กินเหมือนหมูอยู่เหมือนหมา” หมายถึง การใช้ชีวิตอย่างไม่มีระเบียบวินัย กินอยู่อย่างสะเปะสะปะ ไม่สนใจดูแลความสะอาดหรือความเป็นระเบียบในชีวิต เปรียบเสมือนการกินมูมมามตะกละตะกลามอย่างกับหมู และใช้ชีวิตไปวัน ๆ อย่างกับหมาข้างถนน กล่าวคือ “มีความเป็นอยู่อย่างสกปรก เละเทะ ไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากการสังเกตพฤติกรรมการกินและการอยู่อาศัยของหมูและสุนัข ซึ่งมักจะกินอาหารอย่างไม่ระมัดระวังและอยู่อย่างไม่มีระเบียบ เช่น หมูที่มักจะกินอย่างตะกละตะกลามและนอนในคอกที่เต็มไปด้วยโคลน หรือสุนัขที่ใช้ชีวิตอย่างสะเปะสะปะ ไม่มีที่พักพิงที่ชัดเจน สิ่งเหล่านี้ถูกนำมาเปรียบกับคนที่ใช้ชีวิตอย่างไม่เป็นระเบียบ ฟุ่มเฟือย และไม่ดูแลการกินอยู่ของตัวเอง และยังเปรียบเปรยถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เป็นระเบียบและไร้หลักการ เหมือนกับหมูและหมาที่มักกินและอยู่ในสภาพที่ไม่สะอาดและไม่เรียบร้อย สุภาษิตนี้สะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนที่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยหรือบริโภคสิ่งต่าง ๆ อย่างมากมาย แต่กลับไม่ดูแลหรือจัดระเบียบชีวิตของตนเอง ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • รู้จักคำพังเพยไทยกินน้ำตาต่างข้าว ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยไทยกินน้ำตาต่างข้าว ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ก. กินน้ำตาต่างข้าว กินน้ำตาต่างข้าวหมายถึง คำพังเพย “กินน้ำตาต่างข้าว” หมายถึง การที่คนต้องเผชิญกับความทุกข์อย่างมากถึงขั้นที่ไม่สามารถกินข้าวหรืออาหารได้ กลับกินแต่น้ำตาที่ไหลด้วยความโศกเศร้า เป็นการสะท้อนถึงความเสียใจหรือความลำบากใจอย่างที่สุด ซึ่งทำให้ขาดความสุขในการดำเนินชีวิต เช่น การสูญเสียบุคคลสำคัญ การเจอเหตุการณ์ที่ทำให้ใจสลาย หรือการประสบปัญหาที่ยากจะยอมรับได้ กล่าวคือ “ร้องไห้เศร้าโศกจนไม่เป็นอันกิน” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย คำพังเพยนี้มาจากประสบการณ์ชีวิตที่แสดงถึงความทุกข์และความลำบาก โดยเฉพาะในบริบทของการสูญเสียหรือความเสียใจอย่างหนัก ในอดีตเมื่อคนไทยพบกับเหตุการณ์ที่ทุกข์ใจหรือเศร้าโศกอย่างมาก มักจะไม่สามารถรับประทานอาหารได้ เพราะจิตใจไม่พร้อม ส่งผลให้ผู้คนเหล่านั้นแทบจะ “กินน้ำตา” แทนการกินข้าวจริงๆ น้ำตาจึงถูกใช้แทนข้าว เป็นการเปรียบเปรยถึงความโศกเศร้าและความลำบากที่ทำให้การดำเนินชีวิตเปลี่ยนไป สะท้อนถึงความสำคัญของข้าวในวิถีชีวิตคนไทย ซึ่งข้าวไม่ใช่แค่อาหารหลัก แต่เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และความสุขในชีวิตประจำวัน ในอดีตและปัจจุบัน ข้าวถือเป็นสิ่งจำเป็นที่คนไทยต้องมีในทุกมื้อ การขาดข้าวหรือละทิ้งการกินข้าวมักหมายถึงการเจอเรื่องทุกข์ใจหรือเหตุการณ์ที่ทำให้ขาดความสุข จนถึงขั้นไม่สามารถกินข้าวได้ มีเพียงน้ำตาที่ไหลจากความเศร้าเท่านั้นที่รับได้แทนข้าวที่เคยทานตามปกติ ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • รู้จักคำพังเพยไทยกินน้ำเห็นปลิง ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยไทยกินน้ำเห็นปลิง ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ก. กินน้ำเห็นปลิง กินน้ำเห็นปลิง หมายถึง คำพังเพย “กินน้ำเห็นปลิง” หมายถึง การที่คนเรากำลังทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะดีหรือมีความสุข แต่กลับพบเจอปัญหาหรือสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ในภายหลัง เช่นเดียวกับการดื่มน้ำที่ดูสะอาดใสแต่กลับมีปลิงแอบแฝงอยู่ สำนวนนี้เตือนให้คนเราตระหนักถึงความจริงที่อาจซ่อนอยู่ภายใต้สิ่งที่ดูดีภายนอก เพราะบางครั้งสิ่งที่ดูดีหรือดูปกติอาจมีปัญหาหรือสิ่งที่ไม่คาดคิดซ่อนอยู่ กล่าวคือ “รู้สึกตะขิดตะขวงใจในสิ่งของที่มีมลทิน เหมือนเวลาจะกินน้ำแล้วเห็นปลิงอยู่ในน้ำทำให้กินไม่ลง” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย คำพังเพยนี้มาจากประสบการณ์ของคนไทยในชนบทที่ต้องใช้น้ำจากแหล่งธรรมชาติเช่น แม่น้ำหรือบ่อ ในการดื่มกิน ในแหล่งน้ำเหล่านี้ อาจมีปลิงซึ่งเป็นสัตว์ที่มักแฝงตัวอยู่ใต้น้ำและเกาะดูดเลือด การดื่มน้ำแล้วเห็นปลิงจึงสื่อถึงการพบเจอสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ในสถานการณ์ที่ควรจะเป็นเรื่องปกติหรือน่ายินดี เปรียบเทียบถึงการที่คนดื่มน้ำแล้วพบเจอปลิง ซึ่งเป็นสัตว์ที่เกาะอยู่ใต้น้ำ อาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจหรือตกใจเมื่อพบเจอ สำนวนนี้สะท้อนถึงการที่คนเราพบเจอสิ่งที่ไม่น่าพอใจหรือความจริงที่ไม่น่าชื่นชมในสิ่งที่กำลังทำหรือประสบอยู่ เหมือนกับการดื่มน้ำอย่างชื่นใจ แต่พอเห็นปลิงแล้วกลับทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นมา ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • รู้จักคำพังเพยกินน้ำไม่เผื่อแล้ง ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยกินน้ำไม่เผื่อแล้ง ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ก. กินน้ำไม่เผื่อแล้ง กินน้ำไม่เผื่อแล้ง หมายถึง คำพังเพย “กินน้ำไม่เผื่อแล้ง” หมายถึง การใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือยโดยไม่คำนึงถึงอนาคต หรือการทำสิ่งต่าง ๆ โดยไม่วางแผนรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น โดยความหมายลึกซึ้งที่สื่อถึงการใช้ทรัพยากรหรือทำสิ่งต่างๆ โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การกระทำแบบนี้สะท้อนให้เห็นถึงการขาดการวางแผนและการเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น คล้ายกับการใช้น้ำทั้งหมดในฤดูฝนโดยไม่คิดเผื่อไว้สำหรับหน้าแล้ง เมื่อถึงช่วงที่ขาดแคลนน้ำก็จะเกิดความเดือดร้อนและความลำบาก สำนวนนี้จึงเตือนให้รู้จักคิดถึงอนาคตและมีการจัดการอย่างรอบคอบ ในบริบทที่ลึกกว่านั้น การ “ไม่เผื่อแล้ง” ยังสื่อถึงการขาดความรอบคอบและการบริหารจัดการทรัพยากรหรือโอกาสที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่นเดียวกับการไม่เก็บออมในช่วงที่มีรายได้ดี หรือการไม่วางแผนรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การกระทำแบบนี้มักนำไปสู่ผลเสียหรือความลำบากในภายหลัง กล่าวคือ “มีอะไรใช้หมดทันทีไม่คิดถึงวันข้างหน้า” มักใช้ในเชิงเตือนใจให้คนระมัดระวังและรู้จักวางแผนให้ดี ที่มาของคำพังเพย ที่มาของคำพังเพยนี้สะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนไทยในอดีตที่ต้องพึ่งพาธรรมชาติ โดยเฉพาะน้ำซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญสำหรับการเกษตร การอุปโภคบริโภค และการเลี้ยงสัตว์ ในสังคมไทยสมัยก่อน ช่วงฤดูฝนเป็นช่วงที่มีน้ำมาก แต่เมื่อเข้าสู่หน้าแล้ง มักประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำ หากใช้ทรัพยากรโดยไม่เผื่อไว้สำหรับอนาคต ก็อาจเกิดความเดือดร้อนตามมา ดังนั้น คำพังเพยนี้จึงเตือนใจให้รู้จักการจัดการและประหยัดทรัพยากร โดยเน้นถึงความสำคัญของการคิดล่วงหน้าและเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต ในอดีต ชุมชนเกษตรกรไทยต้องพึ่งพาน้ำฝนในการทำนาและการเก็บน้ำไว้ในบ่อน้ำหรือโอ่งเก็บน้ำเพื่อใช้ในหน้าแล้ง เมื่อไม่มีการวางแผนเก็บน้ำไว้เพียงพอ การขาดแคลนน้ำจะทำให้เกิดปัญหาทั้งด้านการเกษตรและชีวิตประจำวัน จึงทำให้เกิดคำพังเพยนี้ขึ้น ตัวอย่างการใช้คำพังเพย