รู้จักคำพังเพยไทยกำแพงมีหู ประตูมีตา(ช่อง) ที่มาและความหมาย

คำพังเพยหมวดหมู่ ก. กำแพงมีหู ประตูมีตา(ช่อง)

ความหมายของคำพังเพยกำแพงมีหูประตูมีตา

กำแพงมีหู ประตูมีตา หรือ กำแพงมีหู ประตูมีช่อง” หมายถึง การเตือนให้ระมัดระวังในการพูดคุยหรือทำสิ่งใด เพราะอาจมีผู้ที่แอบฟังหรือแอบดูอยู่ แม้ว่าเราจะคิดว่าพื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ส่วนตัวหรือมีความปลอดภัยก็ตาม สำนวนนี้สะท้อนถึงการที่ข่าวหรือความลับมักจะหลุดออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะมีคนอื่นคอยเฝ้าสังเกตและจับตาดูอยู่เสมอ ดังนั้นจึงควรใช้ความระมัดระวังในการพูดคุยเรื่องที่ละเอียดอ่อนหรือความลับ โดยเฉพาะในสังคมที่มีความใกล้ชิดกันมาก กล่าวคือ “การที่จะพูดหรือทำอะไร ให้ระมัดระวัง แม้จะเป็นความลับเพียงไรก็อาจมีคนล่วงรู้ได้” นั่นเอง

นอกจากนี้ คำพังเพยนี้นี้ยังสามารถแสดงถึงความระมัดระวังในด้านการพูดหรือทำสิ่งต่างๆ ต่อหน้าคนอื่นที่อาจไม่น่าไว้ใจ หรืออาจถูกจับตาดูอยู่โดยไม่รู้ตัว ทำให้การพูดหรือทำสิ่งใดต้องมีการคิดไตร่ตรองก่อนเสมอ

ที่มาและความหมายกำแพงมีหู ประตูมีตา(ช่อง)

ที่มาของคำพังเพย

คำพังเพยนี้มีรากฐานมาจากความเชื่อและการสังเกตวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยก่อน ซึ่งนิยมใช้ภาษาที่สื่อถึงสิ่งของในลักษณะเปรียบเทียบกับพฤติกรรมของมนุษย์ สำนวนนี้ใช้เปรียบกับสถานการณ์ที่แม้กำแพงและประตูจะเป็นสิ่งไม่มีชีวิต แต่ก็เปรียบเหมือนกับมีหูและตาคอยเฝ้าสังเกตการณ์และรับฟังข้อมูลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบข้าง สะท้อนถึงสภาพสังคมที่ข้อมูลมักจะถูกส่งต่อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งอย่างรวดเร็ว

ในสมัยก่อน คนไทยมักใช้คำพังเพยนี้เพื่อเตือนสติให้ระมัดระวังในการพูดคุยเรื่องสำคัญ ๆ หรือความลับในที่ที่คิดว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัว เนื่องจากสถานการณ์และบริบททางสังคมที่มีการสอดส่องกันอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ หรือชุมชนที่แนบแน่น ทำให้การเผยแพร่ข้อมูลหรือเรื่องราวอาจเกิดขึ้นได้ง่าย คนที่สังเกตการณ์และได้ยินข้อมูลก็อาจจะกระจายข่าวออกไปได้เร็วเหมือนกับ “หู” และ “ตา” ของกำแพงและประตูที่ไม่มีชีวิต

ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • เมื่อเพื่อนร่วมงานเตือนกันว่าไม่ควรพูดเรื่องเงินเดือนหรือปัญหาภายในบริษัทในที่สาธารณะ เพราะกำแพงมีหู ประตูมีตา (เตือนให้ระวังเรื่องการพูดในที่ที่อาจมีคนอื่นแอบฟังอยู่)
  • คุณยายบอกหลานว่าอย่าพูดเรื่องปัญหาครอบครัวในร้านอาหาร เพราะกำแพงมีหู ประตูมีตา (คุณยายเตือนให้หลานระมัดระวังการพูดเรื่องส่วนตัวในที่สาธารณะ)
  • สมชายและเพื่อน ๆ รู้ว่าการพูดคุยเรื่องแผนธุรกิจใหม่ในที่ประชุมควรระวังให้มาก เพราะกำแพงมีหู ประตูมีตา อาจมีคนไม่หวังดีแอบฟังอยู่ (สมชายตระหนักว่ามีโอกาสที่แผนธุรกิจจะถูกเปิดเผยออกไป)
  • พ่อแม่สอนลูกว่าอย่าพูดเรื่องในครอบครัวกับคนอื่นมากเกินไป เพราะกำแพงมีหู ประตูมีตา (เตือนลูกให้ระวังการเปิดเผยความลับในครอบครัว)
  • ในที่ประชุมสาธารณะ เขาไม่กล้าพูดวิจารณ์ผู้บริหาร เพราะกำแพงมีหู ประตูมีตา อาจมีคนส่งข้อมูลไปให้ผู้บริหารรู้ (เขาระมัดระวังไม่พูดเรื่องวิจารณ์ต่อหน้าคนอื่น)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักคำพังเพยไทยกำปั้นทุบดิน ที่มาและความหมาย

คำพังเพยหมวดหมู่ ก. กำปั้นทุบดิน

ความหมายของคำพังเพยกำปั้นทุบดิน

กำปั้นทุบดิน” หมายถึง การพูดหรือการอธิบายแบบกว้างๆ ไม่เจาะลึกในรายละเอียด ซึ่งอาจฟังดูเหมือนครอบคลุมทุกอย่าง แต่ไม่ได้ให้ความกระจ่างที่ชัดเจนแก่ผู้ฟัง อีกทั้งยังสื่อถึงการแก้ปัญหาที่ง่ายและตรงไปตรงมาเกินไป โดยไม่คำนึงถึงความละเอียดอ่อนหรือผลกระทบในระยะยาว สำนวนนี้มักใช้เพื่ออธิบายคนที่พูดหรือแก้ปัญหาแบบรวบรัด ไม่คิดซับซ้อนหรือไม่ให้คำแนะนำที่มีคุณค่า กล่าวคือ “การพูดแบบกว้าง ๆ อาจจะตรงประเด็นหรือไม่ตรง เป็นการตอบที่ไม่ใช่คำตอบที่ผิด แต่เป็นการตอบที่ไม่ได้ประโยชน์แก่ผู้ฟัง

ที่มาและความหมายกำปั้นทุบดิน

ที่มาของคำพังเพย

คำพังเพยนี้มีที่มาจากการเปรียบเปรยถึงการใช้กำปั้นทุบลงไปบนพื้นดิน ซึ่งเป็นการกระทำที่เรียบง่าย ตรงไปตรงมา ไม่ต้องการความคิดหรือการวางแผนใด ๆ การทุบกำปั้นลงบนดินไม่ได้ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ซับซ้อนหรือแสดงถึงการแก้ไขปัญหาเชิงลึก สำนวนนี้อาจเกิดจากการใช้ภาษาพูดในยุคอดีตที่ต้องการบรรยายถึงวิธีการพูดหรือการแก้ปัญหาที่ตรงไปตรงมาเกินไป คล้ายกับการกระทำที่ไม่ต้องการการวิเคราะห์หรือความรอบคอบ

ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • เมื่อถูกถามถึงแผนการตลาด เขาตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า ‘แค่เพิ่มยอดขายให้มากขึ้นก็พอ’ (เขาตอบคำถามโดยไม่ลงรายละเอียดและขาดการวิเคราะห์เชิงลึก)
  • พ่อบอกให้ลูกตั้งใจเรียน เพราะถ้าไม่ตั้งใจเรียนก็จะไม่ประสบความสำเร็จ คำแนะนำแบบกำปั้นทุบดินนี้ไม่ช่วยให้ลูกเข้าใจถึงเหตุผลที่แท้จริง (พ่อให้คำแนะนำโดยไม่อธิบายรายละเอียดหรือผลกระทบ)
  • ในที่ประชุม ผู้จัดการสรุปปัญหาด้วยคำพูดแบบกำปั้นทุบดินว่า ‘เราต้องทำให้ได้ดีกว่าเดิม’ โดยไม่เจาะจงถึงขั้นตอนการปรับปรุง (ผู้จัดการสรุปปัญหาแบบครอบคลุมแต่ขาดเนื้อหาที่ชัดเจน)
  • ครูบอกนักเรียนว่า ‘อย่าเล่นเกมมาก’ โดยไม่อธิบายถึงผลกระทบ ทำให้เด็กๆ รู้สึกว่านี่เป็นการพูดแบบกำปั้นทุบดิน (ครูให้คำแนะนำโดยไม่ให้เหตุผลที่ชัดเจนแก่เด็กๆ)
  • เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก สมชายมักพูดแบบกำปั้นทุบดินว่า ‘ทำไปก่อน เดี๋ยวก็สำเร็จเอง’ (สมชายให้คำแนะนำที่ตรงไปตรงมาและขาดความละเอียดอ่อน)
  • ฉันถามว่า ‘ทำไมนาฬิกาไม่เดิน’ เขาตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า ‘เพราะมันตายน่ะซิ’ (เป็นลักษณะการตอบที่ไม่ได้ให้ข้อมูลที่ผู้ถามต้องการรู้)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักคำพังเพยก่อร่างสร้างตัว ที่มาและความหมาย

คำพังเพยหมวดหมู่ ก. ก่อร่างสร้างตัว

ความหมายของคำพังเพยก่อร่างสร้างตัว

ก่อร่างสร้างตัว” หมายถึง การสร้างฐานะหรือชีวิตให้มีความมั่นคงขึ้นจากการเริ่มต้นทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง โดยมักใช้เพื่อกล่าวถึงการสร้างชีวิตหรือฐานะจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ จนสามารถประสบความสำเร็จในภายหลัง คำพังเพยนี้สื่อถึงความขยันหมั่นเพียร ความพยายาม และการทุ่มเทเพื่อให้ตนเองประสบความสำเร็จ โดยผ่านการทำงานหนักและต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ กล่าวคือ “ตั้งเนื้อตั้งตัวได้เป็นหลักเป็นฐาน” นั่งเอง

ที่มาและความหมายก่อร่างสร้างตัว

ที่มาของคำพังเพย

ที่มาของคำพังเพยนี้สะท้อนถึงการเริ่มต้นชีวิตหรือการสร้างฐานะจากศูนย์ หรือจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ จนสามารถสร้างฐานะและชีวิตที่มั่นคงได้ คำว่า “ก่อร่าง” หมายถึงการสร้างโครงสร้างหรือวางรากฐานสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ส่วนคำว่า “สร้างตัว” หมายถึงการสร้างตนเองหรือการปรับปรุงพัฒนาชีวิตให้มีความเจริญก้าวหน้า

ที่มาของคำพังเพยนี้มักใช้เพื่อบรรยายถึงกระบวนการที่คนเราจะต้องทำงานหนักและใช้ความพยายามในการสร้างสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง เพื่อให้ชีวิตมีความมั่นคงหรือสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย การ “ก่อร่างสร้างตัว” จึงเปรียบเสมือนการสร้างฐานรากของชีวิต โดยต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ ที่ลำบากและยากลำบากก่อนจะประสบความสำเร็จ

ในวัฒนธรรมไทย คำพังเพยนี้มักถูกใช้เพื่อยกย่องคนที่สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้จากความขยันหมั่นเพียร และการพยายามต่อสู้กับอุปสรรคในชีวิต โดยไม่มีการพึ่งพาผู้อื่นมากเกินไป เป็นการสร้างอนาคตด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง

ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • เขาก่อร่างสร้างตัวมาตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม ด้วยความขยันทำงานจนตอนนี้มีธุรกิจเป็นของตัวเอง (เขาเริ่มต้นสร้างตัวเองจากศูนย์และสามารถประสบความสำเร็จได้)
  • เธอทำงานหนักมากเพื่อก่อร่างสร้างตัว หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยและเริ่มทำงานเต็มตัว (เธอพยายามสร้างฐานะและชีวิตของตัวเองให้มั่นคง)
  • ครอบครัวนี้เคยยากจนมาก แต่พ่อแม่ของพวกเขาก่อร่างสร้างตัวด้วยความขยันและมุมานะ จนตอนนี้พวกเขามีทุกอย่างที่ต้องการ (ครอบครัวนี้สามารถสร้างฐานะจากความขยันหมั่นเพียรและอดทน)
  • เขาเริ่มจากพนักงานทั่วไป แต่สามารถก่อร่างสร้างตัวจนกลายเป็นเจ้าของธุรกิจในที่สุด (เขาใช้ความพยายามและทำงานหนักเพื่อสร้างฐานะของตนเอง)
  • แม้ว่าตอนนี้เราจะยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่ถ้าเราขยันและพยายาม ก่อร่างสร้างตัวไปเรื่อยๆ วันหนึ่งเราจะถึงจุดที่เราต้องการ (แสดงถึงความเชื่อในความพยายามที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในอนาคต)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักคำพังเพยกลับเนื้อกลับตัว ที่มาและความหมาย

คำพังเพยหมวดหมู่ ก. กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม

ความหมายของคำพังเพยกลับเนื้อกลับตัว

กลับเนื้อกลับตัว” หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือการกระทำของตัวเองจากสิ่งที่ไม่ดีให้กลายเป็นสิ่งที่ดี หรือการกลับมาทำตัวใหม่ในทางที่ถูกต้อง คำพังเพยนี้มักใช้เพื่อกล่าวถึงคนที่ตัดสินใจปรับปรุงตนเองหลังจากเคยทำสิ่งที่ผิดพลาดหรือไม่เหมาะสม กล่าวคือ ” เลิกทำความชั่วหันมาทำความดี” นั่นเอง

ที่มาและความหมายกลับเนื้อกลับตัว

ที่มาของคำพังเพย

คำพังเพยนี้มีที่มาจากแนวคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงตนเองในสังคมไทย โดยคำว่า “เนื้อ” และ “ตัว” สื่อถึงสิ่งที่เป็นตัวตนของคนเรา ซึ่งรวมถึงนิสัย พฤติกรรม ความคิด และการกระทำต่างๆ ที่แสดงออกมา ในบริบทนี้ การ “กลับเนื้อกลับตัว” หมายถึงการเปลี่ยนแปลงจากภายในและภายนอกของตัวเองทั้งหมด เปรียบได้กับการกลับคืนสู่สภาพใหม่หรือสิ่งที่ดีขึ้นหลังจากเคยประพฤติผิดหรือทำสิ่งไม่ดีมาก่อน

ในอดีต สังคมไทยให้คุณค่าแก่การมีพฤติกรรมที่เหมาะสมและมีคุณธรรม ผู้ที่ทำผิดหรือหลงทางจึงมักถูกกระตุ้นหรือให้โอกาสในการเปลี่ยนแปลงตนเอง โดยเฉพาะในวัฒนธรรมไทยที่เน้นความเมตตาและการให้อภัย การกลับเนื้อกลับตัวจึงถือเป็นการฟื้นฟูตัวเองและแสดงถึงความสามารถในการแก้ไขข้อผิดพลาดของตนเอง ผู้ที่เคยทำสิ่งผิดพลาดหรือถูกตำหนิสามารถแก้ไขตนเองและกลับมาทำสิ่งดีได้หากตั้งใจจริง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการให้โอกาสและการปรับปรุงพฤติกรรม

คำพังเพยนี้จึงถูกใช้เพื่อส่งเสริมแนวคิดในการกลับตัวกลับใจ แก้ไขตนเองให้ดีขึ้นจากสิ่งที่เคยผิดพลาด โดยถือว่าไม่มีใครสายเกินไปที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง

ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • หลังจากผ่านปัญหาชีวิตมา เขาตัดสินใจกลับเนื้อกลับตัว เริ่มต้นทำงานอย่างจริงจัง (เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นหลังจากเคยมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม)
  • เธอตระหนักถึงความผิดพลาดในอดีต จึงกลับเนื้อกลับตัวและตั้งใจศึกษาต่อให้สำเร็จ (เธอเปลี่ยนพฤติกรรมหลังจากเคยทำผิดพลาด)
  • นายสมหมายเคยมีชื่อเสียงไม่ดี แต่ตอนนี้เขากลับเนื้อกลับตัวและเริ่มต้นทำธุรกิจอย่างสุจริต (นายสมหมายเปลี่ยนพฤติกรรมที่เคยไม่ดีให้ดีขึ้นและตั้งใจทำงาน)
  • พ่อแม่ดีใจที่ลูกชายกลับเนื้อกลับตัว หลังจากเคยเกเรมาตลอด (ลูกชายเปลี่ยนแปลงตัวเองจากพฤติกรรมไม่ดีในอดีต)
  • การกลับเนื้อกลับตัวไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้ามีความตั้งใจจริง ทุกคนก็สามารถเปลี่ยนแปลงตนเองได้ (แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการปรับปรุงตนเอง)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพยที่คล้ายกัน

  • กลับตัวกลับใจ: หมายถึง การกลับใจจากสิ่งที่ไม่ดีหรือพฤติกรรมที่ผิดพลาด แล้วทำสิ่งที่ถูกต้องหรือดีขึ้น
  • ตาสว่าง: หมายถึง การเริ่มเห็นความจริงหรือเริ่มเข้าใจว่าตนเองเคยทำสิ่งที่ผิดพลาด และตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตนเอง

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักคำพังเพยกระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม ที่มาและความหมาย

คำพังเพยหมวดหมู่ ก. กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม

ความหมายของคำพังเพยกระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม

กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม” หมายถึง สถานการณ์ที่คนที่ไม่ควรได้รับโอกาสหรืออำนาจกลับได้ดี ในขณะที่คนที่มีคุณธรรม ความสามารถ หรือคุณค่า กลับไม่ได้รับการยกย่องหรือประสบความสำเร็จ สะท้อนถึงความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นในสังคมที่พลิกผันไปจากสิ่งที่ควรจะเป็น กล่าวคือ “ยุคที่มีความวิปริตผิดปกติ” นั่นเอง

ที่มาและความหมายกระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม

ที่มาของคำพังเพย

คำพังเพยนี้มาจากการเปรียบเทียบวัตถุสองชนิดที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง “กระเบื้อง” ซึ่งเป็นสิ่งที่แข็งและหนักกว่าควรจะจมในน้ำ แต่ในคำพังเพยนี้กลับลอยขึ้นมา ในขณะที่ “น้ำเต้า” ซึ่งมีน้ำหนักเบาและลอยน้ำได้ กลับจมลง สะท้อนถึงสถานการณ์ในสังคมที่เกิดการพลิกผันอย่างไม่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะกรณีที่คนไม่ควรจะได้ดี แต่กลับประสบความสำเร็จ ในขณะที่คนที่มีความรู้ ความสามารถ หรือคุณธรรม กลับล้มเหลวหรือไม่ได้รับโอกาสที่ควรจะเป็น

คำพังเพยนี้จึงใช้เพื่อสะท้อนถึงความไม่ยุติธรรมในสังคม ที่คนไม่สมควรได้ดีกลับรุ่งเรือง ส่วนคนที่สมควรได้ดีกลับถูกมองข้าม

ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • ในสังคมปัจจุบัน เห็นได้ชัดว่าบางคนที่ขาดความรู้ความสามารถแต่กลับก้าวหน้ารวดเร็ว เหมือนกับกระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม (สะท้อนความไม่ยุติธรรมในสังคมที่คนไม่สมควรได้รับโอกาสกลับก้าวหน้า)
  • องค์กรนี้มีคนเก่งหลายคน แต่กลับถูกมองข้าม ในขณะที่คนที่ไม่เหมาะสมกลับได้รับการยกย่อง
    (วิจารณ์การจัดการที่ไม่เป็นธรรมในองค์กร)
  • บางครั้งคนที่มีเส้นสายกลับได้เลื่อนตำแหน่งเร็วกว่า เหมือนกระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม (การแสดงถึงความไม่ยุติธรรมในการเลื่อนตำแหน่ง)
  • เธอเป็นคนดีและขยัน แต่ไม่เคยได้โอกาสในขณะที่คนอื่นที่ไม่สมควรกลับได้ดี (สะท้อนความไม่ยุติธรรมในการให้โอกาส)
  • นายสมชายที่ไม่มีความสามารถพิเศษอะไร กลับได้รับการเลื่อนตำแหน่งรวดเร็ว ในขณะที่เพื่อนร่วมงานคนอื่นทำงานหนักแต่ไม่ได้รับการยอมรับ (แสดงถึงสถานการณ์ที่คนที่ไม่สมควรได้โอกาสกลับประสบความสำเร็จ ขณะที่คนที่ทำงานหนักไม่ได้รับการยอมรับ)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพยที่คล้ายกัน

  • ผู้ดีจะเดินตรอก ขี้ครอกจะเดินถนน ความหมาย: ยุคหรือสมัยที่คนดีไม่กล้าแสดงตน ไม่กล้าเผยตัว จะสัญจรไปที่แห่งใดก็ต้องหลบไปใช้ตรอกซอกซอยที่คับแคบ ต่างกับคนชั่วซึ่งปกติไม่กล้าออกสู่ที่แจ้ง มาถึงยุคนี้กลับเพ่นพ่านและวางอำนาจบาตรใหญ่ไปทั่วถนนหลวง เป็นที่เหนื่อยหน่ายอิดหนาระอาใจของคนดี

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก kroobannok