Tag: คำพังเพยไทย ก.

  • รู้จักคำพังเพยกินที่ลับไขที่แจ้ง ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยกินที่ลับไขที่แจ้ง ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ก. กินที่ลับไขที่แจ้ง กินที่ลับไขที่แจ้ง หมายถึง คำพังเพย “กินที่ลับไขที่แจ้ง” หมายถึง คนที่ทำสิ่งไม่ดีลับหลังผู้อื่น แต่แสดงออกให้ดูดีในที่สาธารณะ หรือทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมโดยไม่ให้ใครรู้ แล้วค่อยนำผลลัพธ์หรือผลประโยชน์ที่ได้มาประกาศให้คนอื่นรับรู้ สะท้อนถึงการแสดงออกที่ไม่จริงใจและมีลักษณะเป็นสองด้าน ทั้งที่ภายในทำในสิ่งตรงกันข้ามกับที่แสดงออกในที่แจ้ง กล่าวคือ “นำเรื่องที่ทำกันอย่างลับ ๆ มาเปิดเผย, มักใช้แก่เรื่องชู้สาว” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย คำพังเพยนี้มีที่มาจากการใช้ภาษาเปรียบเปรยในวัฒนธรรมไทยที่ต้องการสะท้อนพฤติกรรมของบุคคลที่ทำสิ่งไม่ดีหรือสิ่งที่ไม่เหมาะสมในที่ลับ แต่กลับนำผลที่ได้มาเปิดเผยในที่สาธารณะ คำว่า “กินที่ลับ” หมายถึงการกระทำที่เป็นการแอบทำไม่ให้คนอื่นเห็น เช่น การโกง การทุจริต หรือการแสวงหาผลประโยชน์จากผู้อื่นโดยไม่โปร่งใส ส่วน “ไขที่แจ้ง” หมายถึงการนำสิ่งที่ทำไว้ในที่ลับมาประกาศหรือแสดงต่อที่สาธารณะ เสมือนการโอ้อวดหรือแสดงความดีที่แท้จริงแล้วไม่ถูกต้องตามที่ทำไว้ ในวัฒนธรรมไทยสมัยก่อน คนไทยมีความเชื่อมั่นในความซื่อสัตย์และความโปร่งใสในชีวิตประจำวัน โดยมักใช้สำนวนหรือคำพังเพยเป็นการเตือนใจให้ระวังการกระทำที่ไม่ดีที่อาจถูกเปิดเผยได้ในที่สุด คำพังเพยนี้จึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อสอนใจให้รู้จักปฏิบัติตัวอย่างตรงไปตรงมา ไม่แสดงพฤติกรรมที่ขัดแย้งกับสิ่งที่แสดงออกในที่สาธารณะ ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • รู้จักคำพังเพยไทยกำแพงมีหู ประตูมีตา(ช่อง) ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยไทยกำแพงมีหู ประตูมีตา(ช่อง) ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ก. กำแพงมีหู ประตูมีตา(ช่อง) กำแพงมีหูประตูมีตา หมายถึง คำพังเพย “กำแพงมีหู ประตูมีตา” หรือ “กำแพงมีหู ประตูมีช่อง” หมายถึง การเตือนให้ระมัดระวังในการพูดคุยหรือทำสิ่งใด เพราะอาจมีผู้ที่แอบฟังหรือแอบดูอยู่ แม้ว่าเราจะคิดว่าพื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ส่วนตัวหรือมีความปลอดภัยก็ตาม สำนวนนี้สะท้อนถึงการที่ข่าวหรือความลับมักจะหลุดออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะมีคนอื่นคอยเฝ้าสังเกตและจับตาดูอยู่เสมอ ดังนั้นจึงควรใช้ความระมัดระวังในการพูดคุยเรื่องที่ละเอียดอ่อนหรือความลับ โดยเฉพาะในสังคมที่มีความใกล้ชิดกันมาก กล่าวคือ “การที่จะพูดหรือทำอะไร ให้ระมัดระวัง แม้จะเป็นความลับเพียงไรก็อาจมีคนล่วงรู้ได้” นั่นเอง นอกจากนี้ คำพังเพยนี้นี้ยังสามารถแสดงถึงความระมัดระวังในด้านการพูดหรือทำสิ่งต่าง ๆ ต่อหน้าคนอื่นที่อาจไม่น่าไว้ใจ หรืออาจถูกจับตาดูอยู่โดยไม่รู้ตัว ทำให้การพูดหรือทำสิ่งใดต้องมีการคิดไตร่ตรองก่อนเสมอ ที่มาของคำพังเพย คำพังเพยนี้มีรากฐานมาจากความเชื่อและการสังเกตวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยก่อน ซึ่งนิยมใช้ภาษาที่สื่อถึงสิ่งของในลักษณะเปรียบเทียบกับพฤติกรรมของมนุษย์ สำนวนนี้ใช้เปรียบกับสถานการณ์ที่แม้กำแพงและประตูจะเป็นสิ่งไม่มีชีวิต แต่ก็เปรียบเหมือนกับมีหูและตาคอยเฝ้าสังเกตการณ์และรับฟังข้อมูลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบข้าง สะท้อนถึงสภาพสังคมที่ข้อมูลมักจะถูกส่งต่อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งอย่างรวดเร็ว ในสมัยก่อน คนไทยมักใช้คำพังเพยนี้เพื่อเตือนสติให้ระมัดระวังในการพูดคุยเรื่องสำคัญ ๆ หรือความลับในที่ที่คิดว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัว เนื่องจากสถานการณ์และบริบททางสังคมที่มีการสอดส่องกันอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ หรือชุมชนที่แนบแน่น ทำให้การเผยแพร่ข้อมูลหรือเรื่องราวอาจเกิดขึ้นได้ง่าย คนที่สังเกตการณ์และได้ยินข้อมูลก็อาจจะกระจายข่าวออกไปได้เร็วเหมือนกับ “หู” และ “ตา” ของกำแพงและประตูที่ไม่มีชีวิต ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • รู้จักคำพังเพยไทยกำปั้นทุบดิน ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยไทยกำปั้นทุบดิน ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ก. กำปั้นทุบดิน กำปั้นทุบดิน หมายถึง คำพังเพย “กำปั้นทุบดิน” หมายถึง การพูดหรือการอธิบายแบบกว้าง ๆ ไม่เจาะลึกในรายละเอียด ซึ่งอาจฟังดูเหมือนครอบคลุมทุกอย่าง แต่ไม่ได้ให้ความกระจ่างที่ชัดเจนแก่ผู้ฟัง อีกทั้งยังสื่อถึงการแก้ปัญหาที่ง่ายและตรงไปตรงมาเกินไป โดยไม่คำนึงถึงความละเอียดอ่อนหรือผลกระทบในระยะยาว สำนวนนี้มักใช้เพื่ออธิบายคนที่พูดหรือแก้ปัญหาแบบรวบรัด ไม่คิดซับซ้อนหรือไม่ให้คำแนะนำที่มีคุณค่า กล่าวคือ “การพูดแบบกว้าง ๆ อาจจะตรงประเด็นหรือไม่ตรง เป็นการตอบที่ไม่ใช่คำตอบที่ผิด แต่เป็นการตอบที่ไม่ได้ประโยชน์แก่ผู้ฟัง” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย คำพังเพยนี้มีที่มาจากการเปรียบเปรยถึงการใช้กำปั้นทุบลงไปบนพื้นดิน ซึ่งเป็นการกระทำที่เรียบง่าย ตรงไปตรงมา ไม่ต้องการความคิดหรือการวางแผนใด ๆ การทุบกำปั้นลงบนดินไม่ได้ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ซับซ้อนหรือแสดงถึงการแก้ไขปัญหาเชิงลึก สำนวนนี้อาจเกิดจากการใช้ภาษาพูดในยุคอดีตที่ต้องการบรรยายถึงวิธีการพูดหรือการแก้ปัญหาที่ตรงไปตรงมาเกินไป คล้ายกับการกระทำที่ไม่ต้องการการวิเคราะห์หรือความรอบคอบ ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • รู้จักคำพังเพยก่อร่างสร้างตัว ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยก่อร่างสร้างตัว ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ก. ก่อร่างสร้างตัว ก่อร่างสร้างตัว หมายถึง คำพังเพย “ก่อร่างสร้างตัว” หมายถึง การสร้างฐานะหรือชีวิตให้มีความมั่นคงขึ้นจากการเริ่มต้นทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง โดยมักใช้เพื่อกล่าวถึงการสร้างชีวิตหรือฐานะจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ จนสามารถประสบความสำเร็จในภายหลัง คำพังเพยนี้สื่อถึงความขยันหมั่นเพียร ความพยายาม และการทุ่มเทเพื่อให้ตนเองประสบความสำเร็จ โดยผ่านการทำงานหนักและต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ กล่าวคือ “ตั้งเนื้อตั้งตัวได้เป็นหลักเป็นฐาน” นั่งเอง ที่มาของคำพังเพย ที่มาของคำพังเพยนี้สะท้อนถึงการเริ่มต้นชีวิตหรือการสร้างฐานะจากศูนย์ หรือจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ จนสามารถสร้างฐานะและชีวิตที่มั่นคงได้ คำว่า “ก่อร่าง” หมายถึงการสร้างโครงสร้างหรือวางรากฐานสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ส่วนคำว่า “สร้างตัว” หมายถึงการสร้างตนเองหรือการปรับปรุงพัฒนาชีวิตให้มีความเจริญก้าวหน้า ที่มาของคำพังเพยนี้มักใช้เพื่อบรรยายถึงกระบวนการที่คนเราจะต้องทำงานหนักและใช้ความพยายามในการสร้างสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง เพื่อให้ชีวิตมีความมั่นคงหรือสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย การ “ก่อร่างสร้างตัว” จึงเปรียบเสมือนการสร้างฐานรากของชีวิต โดยต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ ที่ลำบากและยากลำบากก่อนจะประสบความสำเร็จ ในวัฒนธรรมไทย คำพังเพยนี้มักถูกใช้เพื่อยกย่องคนที่สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้จากความขยันหมั่นเพียร และการพยายามต่อสู้กับอุปสรรคในชีวิต โดยไม่มีการพึ่งพาผู้อื่นมากเกินไป เป็นการสร้างอนาคตด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • รู้จักคำพังเพยกลับเนื้อกลับตัว ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยกลับเนื้อกลับตัว ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ก. กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม กลับเนื้อกลับตัว หมายถึง คำพังเพย “กลับเนื้อกลับตัว” หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือการกระทำของตัวเองจากสิ่งที่ไม่ดีให้กลายเป็นสิ่งที่ดี หรือการกลับมาทำตัวใหม่ในทางที่ถูกต้อง คำพังเพยนี้มักใช้เพื่อกล่าวถึงคนที่ตัดสินใจปรับปรุงตนเองหลังจากเคยทำสิ่งที่ผิดพลาดหรือไม่เหมาะสม กล่าวคือ “เลิกทำความชั่วหันมาทำความดี” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย คำพังเพยนี้มีที่มาจากแนวคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงตนเองในสังคมไทย โดยคำว่า “เนื้อ” และ “ตัว” สื่อถึงสิ่งที่เป็นตัวตนของคนเรา ซึ่งรวมถึงนิสัย พฤติกรรม ความคิด และการกระทำต่างๆ ที่แสดงออกมา ในบริบทนี้ การ “กลับเนื้อกลับตัว” หมายถึงการเปลี่ยนแปลงจากภายในและภายนอกของตัวเองทั้งหมด เปรียบได้กับการกลับคืนสู่สภาพใหม่หรือสิ่งที่ดีขึ้นหลังจากเคยประพฤติผิดหรือทำสิ่งไม่ดีมาก่อน ในอดีต สังคมไทยให้คุณค่าแก่การมีพฤติกรรมที่เหมาะสมและมีคุณธรรม ผู้ที่ทำผิดหรือหลงทางจึงมักถูกกระตุ้นหรือให้โอกาสในการเปลี่ยนแปลงตนเอง โดยเฉพาะในวัฒนธรรมไทยที่เน้นความเมตตาและการให้อภัย การกลับเนื้อกลับตัวจึงถือเป็นการฟื้นฟูตัวเองและแสดงถึงความสามารถในการแก้ไขข้อผิดพลาดของตนเอง ผู้ที่เคยทำสิ่งผิดพลาดหรือถูกตำหนิสามารถแก้ไขตนเองและกลับมาทำสิ่งดีได้หากตั้งใจจริง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการให้โอกาสและการปรับปรุงพฤติกรรม คำพังเพยนี้จึงถูกใช้เพื่อส่งเสริมแนวคิดในการกลับตัวกลับใจ แก้ไขตนเองให้ดีขึ้นจากสิ่งที่เคยผิดพลาด โดยถือว่าไม่มีใครสายเกินไปที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • รู้จักคำพังเพยกระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยกระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ก. กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม หมายถึง คำพังเพย “กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม” หมายถึง สถานการณ์ที่คนที่ไม่ควรได้รับโอกาสหรืออำนาจกลับได้ดี ในขณะที่คนที่มีคุณธรรม ความสามารถ หรือคุณค่า กลับไม่ได้รับการยกย่องหรือประสบความสำเร็จ สะท้อนถึงความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นในสังคมที่พลิกผันไปจากสิ่งที่ควรจะเป็น กล่าวคือ “ยุคที่มีความวิปริตผิดปกติ” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย คำพังเพยนี้มาจากการเปรียบเทียบวัตถุสองชนิดที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง “กระเบื้อง” ซึ่งเป็นสิ่งที่แข็งและหนักกว่าควรจะจมในน้ำ แต่ในคำพังเพยนี้กลับลอยขึ้นมา ในขณะที่ “น้ำเต้า” ซึ่งมีน้ำหนักเบาและลอยน้ำได้ กลับจมลง สะท้อนถึงสถานการณ์ในสังคมที่เกิดการพลิกผันอย่างไม่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะกรณีที่คนไม่ควรจะได้ดี แต่กลับประสบความสำเร็จ ในขณะที่คนที่มีความรู้ ความสามารถ หรือคุณธรรม กลับล้มเหลวหรือไม่ได้รับโอกาสที่ควรจะเป็น คำพังเพยนี้จึงใช้เพื่อสะท้อนถึงความไม่ยุติธรรมในสังคม ที่คนไม่สมควรได้ดีกลับรุ่งเรือง ส่วนคนที่สมควรได้ดีกลับถูกมองข้าม ตัวอย่างการใช้คำพังเพย คำพังเพยที่ความหมายคล้ายกัน