Tag: คำพังเพยไทย ข.
-
รู้จักคำพังเพยขึ้นต้นเป็นลําไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา ที่มาและความหมาย
คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ข. ขึ้นต้นเป็นลําไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา ขึ้นต้นเป็นลําไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา หมายถึง คำพังเพย “ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา” หมายถึง คนที่ดูเหมือนจะเริ่มต้นทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่หรือน่าชื่นชม แต่พอทำไปเรื่อยๆ กลับกลายเป็นเรื่องเหลวไหล ไร้สาระ หรือผิดจุดประสงค์ไปจากที่ตั้งใจไว้ เปรียบเสมือนไม้ไผ่ที่ตอนแรกดูเหมาะสมสำหรับใช้งาน แต่เมื่อนำมาแปรรูปกลับกลายเป็นบ้องกัญชา ซึ่งไม่มีคุณค่าเชิงสร้างสรรค์ กล่าวคือ “คนที่ตั้งท่าทำงานใหญ่ พอทำ ๆ ไปแล้ว ไม่ได้เรื่อง” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากการนำไม้ไผ่มาเหลาเพื่อใช้งาน ซึ่งไม้ไผ่เป็นวัสดุที่มีประโยชน์ ใช้ทำสิ่งของสำคัญ เช่น เครื่องมือ เครื่องใช้ หรือโครงสร้างต่างๆ รั้วหรือบ้าน แต่เมื่อถูกนำมาเหลา กลับกลายเป็นบ้องกัญชา ซึ่งเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยที่ไม่มีประโยชน์หรือคุณค่าเมื่อเทียบกับศักยภาพที่ไม้ไผ่สามารถมีได้ คำพังเพยนี้สะท้อนถึงการเริ่มต้นทำสิ่งที่ดูมีคุณค่าหรือยิ่งใหญ่ แต่เมื่อดำเนินไปกลับกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย ไร้สาระ หรือไม่มีประโยชน์ในทางที่ควรจะเป็น เปรียบเหมือนคนที่ตั้งใจทำงานใหญ่ แต่พอทำไปกลับไม่ได้เรื่อง หรือจบลงด้วยผลลัพธ์ที่ไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ทุ่มเทไป คำพังเพยนี้ใช้เตือนให้ คิดให้รอบคอบ วางแผนให้ดี และไม่ให้ความพยายามที่ลงทุนไปจบลงด้วยสิ่งที่ไร้ประโยชน์หรือไม่สมกับสิ่งที่ควรจะเป็น ตัวอย่างการใช้คำพังเพย
-
รู้จักคำพังเพยเข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม ที่มาและความหมาย
คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ข. เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม หมายถึง คำพังเพย “เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม” หมายถึง การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ขนบธรรมเนียม หรือวัฒนธรรมของสถานที่หรือสังคมที่เราเข้าไป เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างราบรื่น โดยไม่ทำตัวแตกต่างหรือฝืนกฎเกณฑ์ที่เป็นที่ยอมรับในที่นั้น ๆ กล่าวคือ “การประพฤติตัวเหมาะสมกับกาลเทศะ, ปรับตัวให้เข้ากับสถานที่ คน และสิ่งแวดล้อมที่ตัวเองอาศัยอยู่” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มีที่มาจากการเปรียบเทียบถึงการปรับตัวให้เข้ากับขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม หรือกฎเกณฑ์ของสังคมที่เราเข้าไปอาศัยหรือมีปฏิสัมพันธ์ โดยคำว่า “เมืองตาหลิ่ว” หมายถึงสถานที่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวหรือมีธรรมเนียมที่แตกต่างจากที่อื่น “เมืองตาหลิ่ว” ในที่นี้หมายถึงเมืองที่มีการมองด้วยวิธีเฉพาะหรือการแสดงออกที่ไม่เหมือนกับการมองปกติ ซึ่งเปรียบได้กับขนบธรรมเนียมหรือพฤติกรรมในบางพื้นที่หรือบางกลุ่มคนที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจง เช่น เมืองหนึ่งอาจมีวิถีชีวิต วัฒนธรรม หรือกฎเกณฑ์เฉพาะที่คนต่างถิ่นต้องปรับตัวตาม การ “หลิ่วตาตาม” จึงหมายถึง การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์หรือปฏิบัติตามขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม หรือกฎเกณฑ์เฉพาะของสถานที่นั้น ๆ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างราบรื่น ไม่ทำตัวโดดเด่นหรือแตกต่างจนเกิดความขัดแย้ง คำพังเพยนี้สื่อว่า เมื่อเข้าไปในสถานที่หรือสังคมใหม่ที่มีวิถีชีวิตหรือธรรมเนียมที่แตกต่างจากที่เราคุ้นเคย เราควรปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมหรือปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมนั้น ๆ เพื่อให้เกิดความราบรื่นในความสัมพันธ์และการใช้ชีวิตร่วมกัน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การเดินทางไปต่างประเทศที่มีวัฒนธรรมแตกต่าง เช่น การต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้านในบางประเทศ…
-
รู้จักคำพังเพยเข้าตามตรอก ออกตามประตู ที่มาและความหมาย
คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ข. เข้าตามตรอก ออกตามประตู เข้าตามตรอก ออกตามประตู หมายถึง คำพังเพย “เข้าตามตรอก ออกตามประตู” หมายถึง การปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณีที่เหมาะสม โดยเฉพาะในเรื่องการสู่ขอหรือการแต่งงาน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม เช่น การให้ผู้ใหญ่ไปเจรจาสู่ขอหรือการทำพิธีที่เหมาะสม สะท้อนถึงความเคารพต่อประเพณีและการให้เกียรติแก่ทั้งสองฝ่าย กล่าวคือ “การทำอะไรให้ถูกต้องตามขนบธรรมเนียมประเพณี” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนไทยที่ให้ความสำคัญกับความเป็นระเบียบเรียบร้อยและการปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณี คำว่า “ตรอก” และ “ประตู” ในที่นี้เปรียบกับเส้นทางที่ถูกต้อง เช่น การเข้าบ้านต้องเข้าทางที่เหมาะสม ไม่ลักลอบหรือทำผิดวิธี คำว่า “เข้าตามตรอก” หมายถึง การเดินทางเข้าบ้านโดยใช้ทางที่ถูกต้อง เช่น เข้าทางซอยหรือตรอกเล็ก ๆ อย่างเหมาะสมและไม่ลัดเลาะผิดวิธี ส่วนคำว่า “ออกตามประตู” หมายถึง การออกจากบ้านด้วยทางที่เป็นทางหลักหรือทางเปิดเผย สื่อถึงความถูกต้องและเปิดเผยในสิ่งที่ทำ ในบริบทของการสู่ขอหรือแต่งงาน คำพังเพยนี้เปรียบกับการปฏิบัติตามขั้นตอนธรรมเนียม เช่น การให้ผู้ใหญ่ฝ่ายชายไปเจรจาสู่ขอฝ่ายหญิงอย่างสุภาพเรียบร้อย และจัดพิธีแต่งงานให้เหมาะสม การกระทำดังกล่าวแสดงถึงความเคารพต่อครอบครัวของทั้งสองฝ่ายและการทำสิ่งใดให้เป็นไปตามจารีตประเพณีที่งดงาม ตัวอย่างการใช้คำพังเพย
-
รู้จักคำพังเพยเขียว ๆ อย่าเฉลียวว่าเป็นพระอินทร์ ที่มาและความหมาย
คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ข. เขียว ๆ อย่าเฉลียวว่าเป็นพระอินทร์ เขียว ๆ อย่าเฉลียวว่าเป็นพระอินทร์ หมายถึง คำพังเพย “เขียว ๆ อย่าเฉลียวว่าเป็นพระอินทร์” หมายถึง อย่าด่วนตัดสินคนหรือสิ่งใดเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก เพราะสิ่งที่เห็นอาจไม่เป็นอย่างที่คิดหรือคาดหวัง เปรียบเสมือนสิ่งที่มีสีเขียว ซึ่งอาจไม่ใช่สิ่งดีเลิศอย่างพระอินทร์เสมอไป เตือนให้พิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ กล่าวคือ “การอย่าเชื่ออะไรง่าย ๆ อย่างไม่มีเหตุผล เห็นอะไรก็อย่าเพิ่งด่วนสรุป” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากวรรณคดีไทยเรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งกล่าวถึงพระอินทร์ ผู้เป็นเทพเจ้ามีกายสีเขียวอันเป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามและสูงส่ง แต่ในเรื่องเดียวกันก็มีตัวละครอย่างยักษ์อินทรชิต ซึ่งมีกายสีเขียวเช่นกัน ในวรรณคดี พระอินทร์เป็นเทพเจ้าผู้มีกายสีเขียวสดใส จึงทำให้เกิดความเชื่อว่าสิ่งที่มีสีเขียวจะเกี่ยวข้องกับความดีงามและสูงส่ง แต่หากไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วน การเห็นสิ่งที่ “เขียว” แล้วด่วนสรุปว่าเป็นพระอินทร์นั้น อาจเป็นความเข้าใจผิด เช่น ในเรื่องรามเกียรติ์ ยักษ์อย่างอินทรชิตซึ่งมีฤทธิ์เดชมากและมีกายสีเขียวเช่นกัน ก็อาจหลอกลวงและเป็นภัยร้ายแรงถึงชีวิต คำพังเพยนี้จึงเป็นการเตือนว่าอย่าด่วนตัดสินสิ่งใดเพียงเพราะสิ่งที่เห็น เพราะบางครั้งสิ่งที่ดูดีหรือคล้ายคลึงกับสิ่งที่คุ้นเคย อาจแฝงไว้ด้วยอันตรายหรือข้อเสียที่คาดไม่ถึง การพิจารณาอย่างรอบคอบและใช้สติไตร่ตรองจึงเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจ ตัวอย่างการใช้คำพังเพย
-
รู้จักคำพังเพยขุดด้วยปากถากด้วยตา ที่มาและความหมาย
คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ข. ขุดด้วยปากถากด้วยตา ขุดด้วยปากถากด้วยตา หมายถึง คำพังเพย “ขุดด้วยปาก ถากด้วยตา” หมายถึง การพูดจาเหน็บแนมหรือเสียดสีคนอื่นด้วยคำพูด (ขุดด้วยปาก) และแสดงท่าทางไม่พอใจด้วยสายตา (ถากด้วยตา) เป็นการแสดงออกทั้งคำพูดและท่าทางที่สื่อถึงความไม่พอใจหรือดูถูกผู้อื่นอย่างชัดเจน กล่าวคือ “คนที่แสดงอาการดูถูกเหยียดหยามคนอื่นทั้งด้วยวาจาและสายตา” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากการเปรียบเทียบพฤติกรรมของคนที่ชอบแสดงความไม่พอใจหรือจงใจเหน็บแนมผู้อื่น ทั้งทางคำพูดและท่าทาง คำว่า “ขุดด้วยปาก” เปรียบเหมือนการพูดจาเสียดสี คอยขุดคุ้ยเรื่องราวหรือพูดในเชิงตำหนิติเตียนให้ผู้อื่นรู้สึกไม่ดี ส่วนคำว่า “ถากด้วยตา” หมายถึงการใช้สายตาดูถูก เหยียดหยาม หรือแสดงความไม่พอใจ เป็นการกระทำที่สื่อความหมายเชิงลบโดยใช้ทั้งคำพูดและการแสดงออกทางสีหน้า คำพังเพยนี้จึงสะท้อนถึงพฤติกรรมที่ไม่สร้างสรรค์ของคนที่ชอบตำหนิหรือเหน็บแนมผู้อื่นอย่างเปิดเผย ทั้งคำพูดและท่าทาง ซึ่งมักทำให้เกิดความรู้สึกขุ่นเคืองหรือบาดหมางในความสัมพันธ์ ตัวอย่างการใช้คำพังเพย
-
รู้จักคำพังเพยขี้แพ้ชวนตี ที่มาาและความหมาย
คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ข. ขี้แพ้ชวนตี ขี้แพ้ชวนตี หมายถึง คำพังเพย “ขี้แพ้ชวนตี” หมายถึง คนที่ยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้ เมื่อแพ้หรือเสียเปรียบจึงมักหาเรื่องทะเลาะหรือสร้างปัญหาเพื่อกลบเกลื่อนความพ่ายแพ้ของตัวเอง หรือคนที่แพ้แล้วไม่ยอมรับว่าแพ้ ชวนหาเรื่องเอาชนะด้วยกำลังต่อ แพ้ตามกติกาแล้วยังไม่ยอมรับว่าแพ้จะเอาชนะให้ได้ เป็นพวกแพ้แล้วพาล สะท้อนถึงพฤติกรรมที่ไม่รู้จักยอมรับความจริงอย่างเหมาะสม กล่าวคือ “แพ้ตามกติกาแล้วยังไม่ยอมรับว่าแพ้จะเอาชนะด้วยกำลัง, แพ้แล้วพาล” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากพฤติกรรมที่พบได้บ่อยในสถานการณ์แข่งขัน เช่น การแข่งขันกีฬา เมื่อจบการแข่งขันแล้ว ฝ่ายที่แพ้ไม่สามารถยอมรับผลการตัดสินได้ อาจไม่พอใจกรรมการหรือคู่แข่ง และมักกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามหรือสร้างความขัดแย้งขึ้นมา เพื่อกลบเกลื่อนความพ่ายแพ้ของตนเอง คำว่า “ชวนตี” ในที่นี้ หมายถึงการไม่ยอมจบปัญหา แต่กลับยั่วยุหรือหาเรื่องให้เกิดความขัดแย้งต่อไป สะท้อนพฤติกรรมที่ขาดน้ำใจนักกีฬา และไม่รู้จักยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยความสง่างาม คำพังเพยนี้จึงมักใช้เตือนใจให้รู้จักแพ้ให้เป็น และไม่สร้างปัญหาที่จะทำให้เสียภาพลักษณ์ในภายหลัง ตัวอย่างการใช้คำพังเพย
-
รู้จักคำพังเพยขี้ไม่ทันออกอย่าร้องหาหมา ที่มาและความหมาย
คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ข. ขี้ไม่ทันออกอย่าร้องหาหมา ขี้ไม่ทันออกอย่าร้องหาหมา หมายถึง คำพังเพย “ขี้ไม่ทันออกอย่าร้องหาหมา” หมายถึง การกระทำสิ่งใดที่ยังไม่เห็นผลหรือยังไม่ประสบความสำเร็จ อย่าเพิ่งคุยโวโอ้อวดหรือประกาศออกไป เพราะอาจทำให้เสียหน้าได้หากสิ่งที่คาดหวังไว้ไม่เป็นไปตามที่คิด คำพังเพยนี้สอนให้รู้จักรอผลลัพธ์ที่แน่นอนก่อนแสดงความภาคภูมิใจ กล่าวคือ “การทำสิ่งใดที่ยังไม่สำเร็จ อย่าเพิ่งคุยโวหรือประกาศออกไป” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากวิถีชีวิตในอดีตที่สุนัขมักถูกเรียกมาเพื่อจัดการกับสิ่งสกปรก เช่น อุจจาระหรือของเสีย แต่ถ้าสิ่งนั้นยังไม่เกิดขึ้น เช่น ขี้ยังไม่ออก การเรียกหาสุนัขมาก่อนก็เป็นการกระทำที่ไม่จำเป็น และดูเหมือนไม่รู้จักกาลเทศะ คำพังเพยนี้จึงถูกนำมาเปรียบเปรยกับการกระทำของคนที่รีบร้อนคุยโวหรือโอ้อวดสิ่งที่ยังไม่สำเร็จจริง ๆ ทำให้ดูไม่เหมาะสมและอาจทำให้เสียหน้าในภายหลัง ตัวอย่างการใช้คำพังเพย
-
รู้จักคำพังเพยขายหน้าวันละห้าเบี้ย ที่มาและความมหมาย
คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ข. ขายหน้าวันละห้าเบี้ย ขายหน้าวันละห้าเบี้ย หมายถึง คำพังเพย “ขายหน้าวันละห้าเบี้ย” หมายถึง การต้องอับอายขายหน้าอยู่ทุกวัน หรือเป็นประจำ กล่าวคือ ต้องเสียเกียรติยศ เสียศักดิ์ศรี ถูกหัวเราะเยาะอยู่ทุกวี่ทุกวัน เนื่องจากพฤติกรรมหรือการกระทำที่ไม่น่าภาคภูมิใจ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม คำพังเพยนี้มักใช้เปรียบเปรยถึงคนที่ทำให้ตัวเองหรือผู้อื่นอับอายอยู่บ่อยครั้ง กล่าวคือ “เรื่องที่ทำให้ต้องอับอายขายหน้าอยู่ทุกวัน” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากวิถีชีวิตในอดีตที่การซื้อขายสินค้ามีการใช้เบี้ย (เปลือกหอยที่ใช้แทนเงิน) เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยน คำว่า “ขายหน้า” ในที่นี้หมายถึงการเสียเกียรติหรือศักดิ์ศรี เปรียบเหมือนการขายของที่มีราคาถูกจนทำให้สูญเสียคุณค่า คำว่า “วันละห้าเบี้ย” สื่อถึงการเกิดเรื่องอับอายซ้ำ ๆ ทุกวันในลักษณะของความคุ้นชินหรือเป็นกิจวัตร คำพังเพยนี้จึงสะท้อนถึงคนที่มักประสบกับเหตุการณ์เสียหน้า หรือแสดงพฤติกรรมไม่น่าภูมิใจอยู่ตลอดจนกลายเป็นเรื่องปกติ ตัวอย่างการใช้คำพังเพย
-
รู้จักคำพังเพยขนทรายเข้าวัด ที่มาและความหมาย
คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ข. ขนทรายเข้าวัด ขนทรายเข้าวัด หมายถึง คำพังเพย “ขนทรายเข้าวัด” หมายถึง การทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม โดยเปรียบเปรยถึงการช่วยขนทรายทีละเล็กละน้อยเข้าวัด ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ช่วยสร้างความมั่นคงและความสะอาดให้กับพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ แม้จะดูเป็นงานเล็ก ๆ แต่หากทุกคนร่วมมือกันก็จะเกิดผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ กล่าวคือ “การหาประโยชน์ให้ส่วนรวม” นั่นเอง คำพังเพยนี้จึงสอนให้เห็นถึงความสำคัญของการเสียสละ ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม แม้จะเป็นสิ่งเล็กน้อย หากทำด้วยความตั้งใจและความร่วมแรงร่วมใจ ก็สามารถสร้างสิ่งที่ดีและยั่งยืนได้ในสังคม ที่มาของคำพังเพย มาจากวิถีชีวิตของคนไทยในอดีตที่มีความผูกพันกับวัดในฐานะศูนย์รวมจิตใจของชุมชน การขนทรายเข้าวัดเป็นกิจกรรมที่ชาวบ้านทำร่วมกันในโอกาสสำคัญ เช่น การบูรณะพื้นที่วัด การสร้างพระเจดีย์ทรายในช่วงเทศกาลสงกรานต์ หรือการปรับพื้นที่ในวัดให้สะอาดเรียบร้อย กิจกรรมนี้สะท้อนถึงความร่วมแรงร่วมใจของชุมชนในการทำสิ่งเล็กน้อยเพื่อประโยชน์ส่วนรวม แม้การขนทรายหนึ่งคนจะดูเหมือนไม่มาก แต่เมื่อทุกคนช่วยกัน ก็สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ได้ คำพังเพยนี้จึงนำมาใช้ในความหมายเชิงเปรียบเปรยถึงการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมด้วยความเสียสละและความตั้งใจ ตัวอย่างการใช้คำพังเพย