Tag: คำพังเพยไทย จ.
-
รู้จักคำพังเพยโจรปล้นสิบครั้ง ไม่เท่าไฟไหม้ครั้งเดียว ที่มาและความหมาย
คำพังเพยไทยหมวดหมู่ จ. โจรปล้นสิบครั้ง ไม่เท่าไฟไหม้ครั้งเดียว โจรปล้นสิบครั้ง ไม่เท่าไฟไหม้ครั้งเดียว หมายถึง คำพังเพย “โจรปล้นสิบครั้ง ไม่เท่าไฟไหม้ครั้งเดียว” หมายถึง ความเสียหายจากไฟไหม้รุนแรงและยากฟื้นฟูกว่าการถูกโจรปล้นหลายครั้ง เพราะการถูกขโมยอาจเสียหายเฉพาะทรัพย์สินบางส่วน แต่ไฟไหม้อาจเผาทำลายทุกอย่างจนไม่เหลืออะไร ส่งผลให้เจ้าของทรัพย์สินต้องเริ่มต้นใหม่จากศูนย์ มักใช้ต่อกับคำว่า “ไฟไหม้สิบครั้ง ไม่เท่าหมดตัวจากการพนันครั้งเดียว” ซึ่งหมายถึงการสูญเสียจากการพนันนั้นร้ายแรงกว่า เพราะทำลายทั้งทรัพย์สินแม้แต่ที่ดินก็ไม่เหลือและชีวิตความเป็นอยู่ของผู้เล่นจนหมดสิ้น กล่าวคือ “ความเสียหายจากไฟไหม้รุนแรงและยากฟื้นฟูกว่าการถูกโจรปล้นหลายครั้ง” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากประสบการณ์ของคนในอดีตที่เคยเผชิญกับภัยพิบัติทางทรัพย์สิน โดยเปรียบเทียบระหว่าง การถูกโจรปล้นกับการเกิดไฟไหม้ ในอดีต สังคมไทยมักสร้างบ้านเรือนไม้ที่ติดกันเป็นชุมชน หากเกิดไฟไหม้เพียงจุดเดียว ก็สามารถลุกลามไปทั้งชุมชนได้ง่าย ทำให้เกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ คำพังเพยนี้จึงถูกใช้เพื่อเตือนให้ตระหนักถึง ภัยจากไฟไหม้ที่รุนแรงและสร้างความเสียหายมากกว่าการถูกโจรปล้นหลายครั้ง ต่อมามักใช้คู่กับคำว่า “ไฟไหม้สิบครั้ง ไม่เท่าหมดตัวจากการพนันครั้งเดียว” เพื่อเน้นว่าการสูญเสียจากการพนันร้ายแรงยิ่งกว่า เพราะทำลายทั้งทรัพย์สินแม้แต่ที่ดินก็ไม่เหลือและชีวิตความเป็นอยู่ของผู้เล่นจนหมดสิ้น ตัวอย่างการใช้คำพังเพย
-
รู้จักคำพังเพยใจร้อนเป็นไฟ ใจเย็นเป็นน้ำ ที่มาและความหมาย
คำพังเพยไทยหมวดหมู่ จ. ใจร้อนเป็นไฟ ใจเย็นเป็นน้ำ ใจร้อนเป็นไฟ ใจเย็นเป็นน้ำ หมายถึง คำพังเพย “ใจร้อนเป็นไฟ ใจเย็นเป็นน้ำ” หมายถึง ลักษณะของอารมณ์และผลกระทบที่ตามมา คนที่ใจร้อนเปรียบเหมือนไฟ มักหุนหันพลันแล่น โมโหง่าย และอาจตัดสินใจผิดพลาด ส่วนคนที่ใจเย็นเปรียบเหมือนน้ำ สุขุม รอบคอบ สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดี และมักแก้ปัญหาได้อย่างมีเหตุผล กล่าวคือ “คนที่ใจร้อนมักหุนหันพลันแล่น ตัดสินใจผิดพลาด และอาจก่อให้เกิดปัญหาเหมือนไฟที่ลุกลามได้ง่าย ในขณะที่คนที่ใจเย็นมักสุขุม รอบคอบ และสามารถแก้ปัญหาได้อย่างมีเหตุผล เหมือนน้ำที่ช่วยดับไฟและทำให้ทุกอย่างสงบลง” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากการเปรียบเทียบอารมณ์ของมนุษย์กับธรรมชาติของไฟและน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง ไฟเป็นพลังงานที่ร้อนแรง เผาผลาญและทำลายสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว เปรียบเหมือนคนที่มีอารมณ์ร้อน หุนหันพลันแล่น โมโหง่าย และมักตัดสินใจโดยขาดสติ จนอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเองและผู้อื่น ในทางตรงกันข้าม น้ำเป็นธาตุที่สงบนิ่ง เยือกเย็น และสามารถควบคุมหรือดับไฟได้ เปรียบเสมือนคนที่มีความสุขุม รอบคอบ และสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดี คนใจเย็นมักคิดก่อนพูดหรือทำ ทำให้สามารถจัดการปัญหาได้อย่างมีเหตุผลและลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น ดังนั้น คำพังเพยนี้จึงเป็นการเตือนให้รู้จักควบคุมอารมณ์และใช้สติปัญญาในการตัดสินใจ เพราะอารมณ์ที่ร้อนแรงเหมือนไฟ อาจสร้างปัญหาและความขัดแย้งได้ง่าย…
-
รู้จักคำพังเพยจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ที่มาและความหมาย
คำพังเพยไทยหมวดหมู่ จ. จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว หมายถึง คำพังเพย “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” หมายถึง จิตใจเป็นผู้กำหนดการกระทำของร่างกาย หากจิตใจคิดดี กายก็จะทำสิ่งที่ดีตามไปด้วย แต่หากจิตใจคิดไม่ดี กายก็จะทำสิ่งที่ผิดพลาดหรือเกิดโทษ เปรียบเสมือนจิตเป็นผู้ควบคุมและสั่งการ ส่วนร่างกายเป็นเพียงผู้ปฏิบัติตาม กล่าวคือ “ความคิดและจิตใจของคนเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมและการกระทำของร่างกาย” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากหลักคำสอนในศาสนาพุทธ ที่เน้นความสำคัญของจิตใจในการควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าจิตเป็นตัวนำในการกระทำทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นทางกาย วาจา หรือใจ หากมีจิตที่ดีบริสุทธิ์ การกระทำก็จะดีตามไปด้วย แต่หากจิตใจขุ่นมัวหรือคิดในทางที่ผิด ก็จะนำไปสู่การกระทำที่เป็นอกุศล แนวคิดนี้สอดคล้องกับพุทธพจน์ในพระไตรปิฎก ที่ว่า“มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา”แปลว่า “ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน สำเร็จได้ด้วยใจ” ดังนั้น คำพังเพยนี้จึงสะท้อนหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ที่สอนให้มนุษย์ฝึกฝนจิตใจให้มั่นคงและบริสุทธิ์ เพราะจิตเป็นผู้สั่งการ ส่วนร่างกายเป็นเพียงผู้ปฏิบัติตาม ตัวอย่างการใช้คำพังเพย
-
รู้จักคำพังเพยจงดูเยี่ยงกา แต่อย่าเอาอย่างกา ที่มาและความหมาย
คำพังเพยไทยหมวดหมู่ จ. .จงเอาเยี่ยงกา แต่อย่าเอาอย่างกา จงดูเยี่ยงกา แต่อย่าเอาอย่างกา หมายถึง คำพังเพย “จงดูเยี่ยงกา แต่อย่าเอาอย่างกา” หมายถึง ให้เลือกเอาแต่ข้อดีของผู้อื่นมาเป็นแบบอย่าง และหลีกเลี่ยงข้อเสียที่ไม่ควรทำตาม เปรียบเสมือนกาที่มีความขยัน ตื่นแต่เช้าเพื่อบินไปหาอาหาร ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่มนุษย์ควรถือเป็นแบบอย่าง แต่ในทางที่ไม่ดี กามีนิสัยขี้ลักขี้ขโมย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเอาอย่าง กล่าวคือ “ควรเอาแบบอย่างในสิ่งที่ดีเท่านั้น สิ่งที่ไม่ดีก็ไม่ควรทำตาม” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากการสังเกตพฤติกรรมของนกกา ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย กามีลักษณะที่ขยัน ตื่นเช้าออกหากิน ไม่เกียจคร้าน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ควรนำมาเป็นแบบอย่าง แต่ในขณะเดียวกัน กาก็มีนิสัยขี้ขโมย ชอบคาบของที่ไม่ใช่ของตนไป ทำให้ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความไม่ซื่อสัตย์ คำพังเพยนี้จึงถูกนำมาใช้เพื่อสอนให้เลือกนำข้อดีของผู้อื่นมาเป็นแบบอย่าง ขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักแยกแยะและหลีกเลี่ยงข้อเสียของพวกเขา ไม่ควรเลียนแบบทุกอย่างโดยไม่พิจารณาถึงผลที่ตามมา ตัวอย่างการใช้คำพังเพย