Tag: คำพังเพยไทย ช.

  • รู้จักคำพังเพยชาติเสือจับเนื้อกินเอง ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยชาติเสือจับเนื้อกินเอง ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ช. ชาติเสือจับเนื้อกินเอง ชาติเสือจับเนื้อกินเอง หมายถึง คำพังเพย “ชาติเสือจับเนื้อกินเอง” หมายถึง คนที่เชื่อมั่นและถือศักดิ์ศรีของตน แม้จะลำบากยากแค้นก็ไม่ยอมรบกวนหรือเบียดเบียนใคร หรือการทำมาหากินด้วยความอุตสาหะไม่เบียดเบียนผู้อื่น เปรียบเสมือนเสือที่ต้องล่าเหยื่อด้วยตัวเอง ไม่รอให้ใครนำอาหารมาให้ มักใช้สอนนบุรุษให้รู้จักพึ่งพาตัวเอง ไม่พึ่งพาผู้อื่นจนเกินไป และรักษาศักดิ์ศรีของตน กล่าวคือ “บุคคลที่เชื่อมั่นและถือศักดิ์ศรีของตนมีความสามารถต้องพึ่งพาตนเอง ไม่รอพึ่งพาผู้อื่น” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากการเปรียบเทียบพฤติกรรมของเสือกับลักษณะของบุรุษในสังคมไทยโบราณ เสือเป็นสัตว์นักล่าที่มีความแข็งแกร่งและพึ่งพาตนเองในการหาอาหาร เสือที่แท้จริงต้องล่าเหยื่อเอง ไม่รอให้ใครนำอาหารมาให้ เปรียบได้กับบุรุษที่ต้องมีความสามารถ ยืนหยัดด้วยตนเอง ไม่พึ่งพาผู้อื่นมากเกินไป แนวคิดนี้สะท้อนถึง ค่านิยมเรื่องความเป็นผู้นำและศักดิ์ศรีของบุรุษไทย ที่ต้องรู้จัก ขยันหมั่นเพียร สร้างชีวิตด้วยความสามารถของตนเอง ไม่เป็นภาระของผู้อื่น คำพังเพยนี้จึงมักถูกใช้เพื่อเตือนสติชายหนุ่มให้ พึ่งพาตัวเองและรักษาเกียรติของตน เหมือนเสือที่ต้องล่าเหยื่อเองเสมอ ตัวอย่างการใช้คำพังเพย คำพังเพยที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักคำพังเพยชาติหมาอดกินขี้ไม่ได้ ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยชาติหมาอดกินขี้ไม่ได้ ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ช. ชาติหมาอดกินขี้ไม่ได้ ชาติหมาอดกินขี้ไม่ได้ หมายถึง คำพังเพย “ชาติหมาอดกินขี้ไม่ได้” หมายถึง คนที่มีสันดานไม่ดี แม้จะพยายามเปลี่ยนแปลงแค่ไหน สุดท้ายก็ยังกลับไปทำพฤติกรรมเดิมอยู่ดี เปรียบเหมือนสุนัขที่แม้จะถูกห้ามหรือไล่ ก็ยังกลับไปกินสิ่งสกปรกเหมือนเดิม กล่าวคือ “คนที่มีพื้นฐานเลว แม้จะเอามาอบรมบ่มนิสัยเพื่อให้เป็นคนดี แต่อดไม่ได้ที่จะทำเลวเหมือนที่เคยทำมาแต่อดีต” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากคำพังเพยจีนโบราณ 狗改不了吃屎 (gǒu gǎi bù liǎo chī shǐ) ซึ่งแปลตรงตัวว่า “หมาเปลี่ยนนิสัยไม่ได้นอกจากกลับไปกินขี้” เป็นสำนวนที่ใช้เปรียบเทียบกับ คนที่มีสันดานหรือพฤติกรรมไม่ดี แม้จะได้รับโอกาสหรือพยายามเปลี่ยนแปลง แต่สุดท้ายก็กลับไปทำสิ่งเดิมซ้ำๆ ไม่สามารถเลิกนิสัยเสียได้ คำพังเพยนี้แพร่หลายและถูกนำมาใช้ในหลายวัฒนธรรม รวมถึงในภาษาไทย ซึ่งคนโบราณเห็นว่าสุนัขมักมีพฤติกรรมเช่นนี้จริงๆ และได้นำมาประยุกต์ใช้กับ คนที่เคยทำผิด แล้วไม่สามารถปรับปรุงตัวได้ หรือยังคงทำผิดซ้ำๆ แม้ว่าจะได้รับโอกาสในการแก้ไข ในสังคมไทย คำพังเพยนี้สะท้อนถึงแนวคิดที่ว่า นิสัยบางอย่างของคนเปลี่ยนได้ยาก หากมีสันดานที่ไม่ดี ต่อให้ได้รับโอกาสมากแค่ไหน ก็ยังคงกลับไปทำพฤติกรรมเดิม เปรียบเหมือนสุนัขที่แม้จะถูกไล่หรือห้ามอย่างไร สุดท้ายก็ยังกลับไปกินสิ่งสกปรกเหมือนเดิม คำพังเพยนี้จึงถูกใช้เพื่อเตือนให้ระวังคนที่ไม่น่าไว้วางใจ เพราะสุดท้ายแล้วพวกเขาก็อาจหวนกลับไปทำสิ่งที่ไม่ดีอีกครั้ง ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • รู้จักคำพังเพยชาติเสือต้องไว้ลาย ชาติชายต้องไว้ชื่อ ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยชาติเสือต้องไว้ลาย ชาติชายต้องไว้ชื่อ ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ช. ชาติเสือต้องไว้ลาย ชาติชายต้องไว้ชื่อ ชาติเสือต้องไว้ลาย ชาติชายต้องไว้ชื่อ หมายถึง คำพังเพย “ชาติเสือต้องไว้ลาย ชาติชายต้องไว้ชื่อ” หมายถึง คนที่เกิดมาเป็นชายต้องรักษาศักดิ์ศรี ชื่อเสียง และเกียรติยศของตนเอง เช่นเดียวกับเสือที่ต้องคงความสง่างามและความน่าเกรงขามของมันไว้ เปรียบเสมือน ผู้ชายควรมีความกล้าหาญ มั่นคง และรักษาเกียรติของตนเอง ไม่ให้เสื่อมเสียชื่อเสียง กล่าวคือ “ลูกผู้ชายต้องทำตัวอย่างเสือ ถ้าเป็นเสือก็ต้องรักษาลายของเสือไว้ ถ้าเป็นชายก็ต้องรักษาความดี เป็นคนดี รักษาชื่อเสียงเกียรติยศของตนเองและวงศ์ตระกูลไว้” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากแนวคิดเกี่ยวกับศักดิ์ศรีและเกียรติยศของบุรุษในสังคมไทยโบราณ ซึ่งให้ความสำคัญกับการรักษาชื่อเสียงและความกล้าหาญ เปรียบเทียบกับเสือกับลูกผู้ชายซึ่งเป็นสัตว์ที่มีความสง่างามและน่าเกรงขาม เสือต้องมีลายที่แสดงเอกลักษณ์ของมัน เช่นเดียวกับชายชาตรีที่ต้องรักษาชื่อเสียงและเกียรติของตน แนวคิดนี้มีรากฐานจากวัฒนธรรมไทยที่ยกย่องความกล้าหาญของบุรุษ เช่น นักรบไทยในอดีตที่ต้องปกป้องบ้านเมืองและรักษาศักดิ์ศรีของตน รวมถึงได้รับอิทธิพลจากหลักคำสอนทางศาสนาและขนบธรรมเนียมที่เน้นให้ชายไทยต้องประพฤติดี เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของสังคม คำพังเพยนี้จึงสะท้อนถึงความคาดหวังของสังคมที่ให้บุรุษรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเอง ไม่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง เพราะชื่อเสียงของบุรุษเปรียบได้กับลายของเสือที่ต้องคงไว้ตลอดชีวิต ตัวอย่างการใช้คำพังเพย คำพังเพยที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักคำพังเพยชี้ต้นตาย ชี้ปลายเป็น ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยชี้ต้นตาย ชี้ปลายเป็น ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ช. ชี้ต้นตาย ชี้ปลายเป็น / ชี้ต้นตาย ปลายชี้เป็น ชี้ต้นตาย ชี้ปลายเป็น หมายถึง คำพังเพย “ชี้ต้นตาย ชี้ปลายเป็น” หมายถึง การสามารถชี้นำหรือกำหนดเหตุการณ์ได้ตามใจ ไม่ว่าจะให้เรื่องจบลงแบบใดก็ทำได้ มักใช้กับคนที่มีอำนาจคับฟ้าหรือคนมีอำนาจในการควบคุมผลลัพธ์ของสถานการณ์ได้ทั้งหมด เปรียบเสมือน การถืออำนาจตัดสินใจในมือ สามารถกำหนดให้สิ่งใดสำเร็จหรือล้มเหลวได้ตามต้องการ กล่าวคือ “การว่าอย่างไรก็เป็นไปตามนั้น ชี้ให้ตายให้เป็นได้ ทำอะไรก็ได้ ว่าอย่างไรเป็นอย่างนั้น” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากวรรณกรรมสามก๊ก แนวคิดเรื่องอำนาจและการตัดสินใจที่เด็ดขาด ซึ่งเต็มไปด้วยการวางแผน การชี้ขาด และการควบคุมชะตากรรมของผู้คนโดยผู้นำและกุนซือที่มีอำนาจสูงสุด ในสามก๊ก ผู้นำสามารถกำหนดได้ว่าใครจะมีชีวิตรอดหรือถูกกำจัด เช่น โจโฉที่สามารถตัดสินชะตาคนรอบตัวได้ตามต้องการ และขงเบ้งที่วางแผนสงครามจนสามารถเปลี่ยนความพ่ายแพ้เป็นชัยชนะได้ แนวคิดนี้สอดคล้องกับคำพังเพยที่หมายถึงการมีอำนาจตัดสินเรื่องราวให้เป็นไปตามที่ต้องการ ในบริบทของสงครามและการเมืองของสามก๊ก ผู้นำและขุนศึกสามารถกำหนดผลลัพธ์ของเหตุการณ์ได้ เช่น ซุนกวนตัดสินใจประหารกวนอู ทำให้ดุลอำนาจเปลี่ยนไป หรือเล่าปี่ที่ตัดสินใจยกทัพไปแก้แค้นจนพ่ายแพ้ที่อิเหลง เหตุการณ์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า คำพูดหรือการตัดสินใจของผู้มีอำนาจสามารถเปลี่ยนอนาคตของบุคคลและบ้านเมืองได้ ซึ่งตรงกับแนวคิดของคำพังเพย “ชี้ต้นตาย ชี้ปลายเป็น” นอกจากนี้ อิทธิพลจากวัฒนธรรมจีนยังมีสำนวนที่คล้ายกัน เช่น “生杀予夺” (เซิงซาอวี่ตัว) ที่หมายถึงมีอำนาจให้มีชีวิตหรือตาย…

  • รู้จักคำพังเพยชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ช. ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน หมายถึง คำพังเพย “ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน” หมายถึง ชีวิตไม่แน่นอน ชีวิตคนเรามีขึ้นมีลง สลับกันไป ไม่มีใครที่จะโชคร้ายหรือโชคดีตลอดไป อุปสรรคและโอกาสหมุนเวียนเปลี่ยนกันมาเสมอ เปรียบเสมือนการใช้ชีวิตที่มีทั้งช่วงเวลาที่ลำบากและช่วงเวลาที่รุ่งเรือง จึงไม่ควรย่อท้อเมื่อเจอปัญหา เพราะวันหนึ่งอาจกลับมาดีขึ้นได้ กล่าวคือ “ในช่วงชีวิตของคนเราไม่มีอะไรเป็นที่แน่นอน มีทั้งสุขและทุกข์ มีทั้งดีและร้าย สลับกันไป” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย คำพังเพยนี้มีรากฐานมาจาก คติความเชื่อของคนไทยที่ได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนาและหลักเวรกรรม ซึ่งเชื่อว่าชีวิตของมนุษย์มีความไม่แน่นอน ไม่มีใครที่โชคร้ายหรือโชคดีตลอดไป ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงได้ตามกรรมและกาลเวลา ตัวเลข “เจ็ด” ในสำนวนนี้ อาจไม่ได้มีความหมายตายตัวในเชิงปริมาณ แต่เป็นตัวเลขที่ใช้สื่อถึง จำนวนรอบของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ในชีวิต ซึ่งพบได้บ่อยในความเชื่อและวรรณกรรมไทย เช่น “เวียนว่ายตายเกิดเจ็ดชาติ” หรือ “ขึ้นวิมานเจ็ดชั้น” ที่ล้วนแต่ใช้ “เจ็ด” เป็นสัญลักษณ์ของวัฏจักร แนวคิดนี้ยังสอดคล้องกับพุทธศาสนาและคติเรื่องไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ที่กล่าวถึงความไม่เที่ยงของชีวิต สิ่งที่ดีในวันนี้อาจกลายเป็นร้ายในวันหน้า และสิ่งที่เลวร้ายในตอนนี้ก็อาจพลิกกลับมาดีได้ ดังนั้นคำพังเพยนี้จึงมีจุดกำเนิดจากแนวคิดเรื่องความผันผวนของชีวิต ที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ…

  • รู้จักคำพังเพยชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ช. ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ หมายถึง คำพังเพย “ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์” หมายถึง การปล่อยเป็นเรื่องของคนอื่น หรือการวางตัวเป็นกลาง ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของผู้อื่น ไม่ว่าเรื่องนั้นจะดีหรือร้าย ปล่อยให้เป็นไปตามวิถีของแต่ละคน เปรียบเสมือนไม่เข้าไปตัดสินหรือยุ่งเกี่ยวกับความผิดหรือความดีของใคร ให้เป็นเรื่องของเขาเอง กล่าวคือ “การปล่อยไปตามเรื่องตามราว ไม่เอาเป็นธุระ” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากความเชื่อในหลักศาสนาและความเคารพต่อพระหรือแม่ชีของคนไทยในศาสนาพุทธ ที่สอนให้ปล่อยวางและไม่ตัดสินผู้อื่น โดยเชื่อว่าทุกคนต้องรับผลของกรรมตามการกระทำของตนเอง โดยเฉพาะบุคคลในศาสนาเราไม่ควรยุ่งเกี่ยวหรือวิจารณ์พฤติกรรมของพระสงฆ์ ไม่ว่าท่านจะประพฤติดีหรือไม่ดี ปล่อยให้เป็นเรื่องของท่านเอง ท่านก็ได้รับผลกรรมเอง ปล่อยให้เป็นไปตามเรื่องตามราว ประมาณว่าช่างหัวมันเถอะ คำพังเพยนี้สะท้อนแนวคิดเรื่องการไม่ยุ่งเกี่ยวกับความดีหรือความชั่วของผู้อื่น ไม่ว่าพวกเขาจะประพฤติอย่างไร ก็ให้เป็นเรื่องของเขาเอง เปรียบเสมือน การวางตัวเป็นกลาง ไม่ก้าวก่ายหรือเข้าไปตัดสินพฤติกรรมของใคร เพราะท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนย่อมได้รับผลกรรมของตัวเอง หลักคิดนี้ยังสะท้อนถึงทัศนคติของคนไทยบางกลุ่มที่เลือกจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของนักบวช ไม่ว่าพวกเขาจะประพฤติดีหรือไม่ดี เพื่อหลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่ตนไม่อาจควบคุมได้ ซึ่งเป็นการปล่อยให้ธรรมะและกฎแห่งกรรมเป็นผู้ตัดสินแทน ดังนั้น คำพังเพยนี้จึงเป็นการเตือนใจให้เราไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือตัดสินพฤติกรรมของผู้อื่น ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขาเอง ตัวอย่างการใช้คำพังเพย