Tag: คำพังเพยไทย ด.
-
รู้จักคำพังเพยเดือนหกให้หว่านกล้า เดือนห้าให้แต่งไถ ที่มาและความหมาย
คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ด. เดือนหกให้หว่านกล้า เดือนห้าให้แต่งไถ เดือนหกให้หว่านกล้า เดือนห้าให้แต่งไถ หมายถึง คำพังเพย “เดือนหกให้หว่านกล้า เดือนห้าให้แต่งไถ” หมายถึง การทำสิ่งใดต้องทำตามจังหวะเวลาที่เหมาะสม หากทำก่อนหรือหลังช่วงเวลาที่ควร อาจไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี เปรียบเสมือนการทำนาที่ต้องไถดินในเดือนห้า และหว่านกล้าในเดือนหก ตามฤดูกาลของเกษตรกรรมไทย กล่าวคือ “ควรทำในสิ่งที่ถูกต้องตามกาลเทศะหรือเวลาที่เหมาะสม” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากวิถีชีวิตของเกษตรกรไทยในอดีต ซึ่งพึ่งพาธรรมชาติและฤดูกาลในการทำนาเดือนห้า (ประมาณเดือนเมษายน) เป็นช่วงที่ต้องเตรียมดินโดยการไถพรวนให้พร้อมสำหรับเพาะปลูกเดือนหก (ประมาณเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน) เป็นช่วงต้นฤดูฝนที่เหมาะสำหรับการหว่านกล้าข้าว เพราะมีน้ำฝนเพียงพอสำหรับการเจริญเติบโต แนวคิดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการทำสิ่งต่างๆ ให้ถูกจังหวะและเวลา หากหว่านกล้าช้าหรือไถดินผิดฤดู ก็อาจทำให้ผลผลิตไม่ดี คำพังเพยนี้จึงถูกนำมาใช้เป็นข้อเตือนใจว่าการทำสิ่งใดต้องรู้จักเลือกเวลาที่เหมาะสม ไม่รีบเร่งเกินไป หรือช้าเกินไป มิฉะนั้นอาจไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีตามที่หวัง ตัวอย่างการใช้คำพังเพย
-
รู้จักคำพังเพยเดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด ที่มาและความหมาย
คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ด. เดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด เดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด หมายถึง คำพังเพย “เดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด” หมายถึง การทำตามคำแนะนำหรือปฏิบัติตามผู้ใหญ่ ย่อมปลอดภัยและไม่เกิดปัญหา เพราะผู้ใหญ่มีประสบการณ์มากกว่า รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรทำ เปรียบเสมือนการเดินตามผู้ใหญ่ที่มีวิจารณญาณ ย่อมช่วยให้พ้นจากอันตรายและความผิดพลาด กล่าวคือ “ประพฤติตามอย่างผู้ใหญ่ที่ดีย่อมปลอดภัยเสมอ” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย คำพังเพยนี้มาจากวิถีชีวิตของคนไทยในอดีตที่ให้ความเคารพและเชื่อฟังคำสั่งสอนของผู้ใหญ่ ซึ่งถือว่าเป็นผู้มีประสบการณ์และรู้จักสิ่งที่ถูกต้อง คำพังเพยนี้เปรียบเทียบกับการเดินทางในชุมชนหรือหมู่บ้านที่มักมีสุนัขเฝ้าบ้าน หากเดินคนเดียวหรือเดินผิดทาง อาจถูกสุนัขไล่กัด แต่ถ้าเดินตามผู้ใหญ่ที่ชาวบ้านรู้จัก หมาก็จะไม่เห่าไล่หรือกัด เพราะเห็นว่าผู้ใหญ่นั้นเป็นที่ยอมรับ แนวคิดนี้สะท้อนถึงความสำคัญของการเชื่อฟังคำแนะนำของผู้ใหญ่ในการดำเนินชีวิต เพราะผู้ใหญ่มีประสบการณ์และสามารถช่วยชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง ป้องกันปัญหาหรืออันตรายที่อาจเกิดขึ้น คำพังเพยนี้จึงใช้เป็นข้อเตือนใจให้ทำตามคำสอนของผู้ใหญ่ เพื่อความปลอดภัยและความสำเร็จในชีวิต ตัวอย่างการใช้คำพังเพย
-
รู้จักคำพังเพยดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ ที่มาและความหมาย
คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ด. ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ หมายถึง คำพังเพย “ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่” หมายถึง การพิจารณาสิ่งใดสิ่งหนึ่งต้องดูให้ลึกถึงต้นตอหรือรากฐาน เช่น หากต้องการรู้ว่าสิ่งใดจะเป็นอย่างไรในอนาคต ควรพิจารณาจากต้นแบบหรือแหล่งที่มา เปรียบเหมือนการดูช้างต้องพิจารณาหาง และการดูสตรีให้พิจารณาแม่ของเธอ เพราะลักษณะนิสัยบางอย่างมักถ่ายทอดกันทางครอบครัว คำพังเพยไว้สอนบุรุษในการเลือกคู่ครองของตน ให้กล่าวคือ “การให้พิจารณาลักษณะบุคคลหรือหญิงที่จะเลือกเป็นคู่ครองโดยดูจากแม่ เพราะลูกมักมีนิสัยใจคอคล้ายแม่” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย คำพังเพยนี้มาจากแนวคิดของคนไทยโบราณที่ให้ความสำคัญกับการสังเกตลักษณะของสิ่งต่าง ๆ เพื่อประเมินอนาคต โดยเฉพาะในเรื่องของช้างและการเลือกคู่ครอง ช้างเป็นสัตว์ที่มีความแข็งแกร่งและสง่างาม แถมยังเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมือง แต่หากต้องการรู้ว่าช้างตัวใดดีหรือมีคุณสมบัติตามที่ต้องการ ควรพิจารณาจากหางของมัน เช่นเดียวกับการเลือกสตรีมาเป็นคู่ครอง แต่คำพังเพยนี้อาจมีที่มาจากการดูช้างเผือก หากต้องการพิจารณาว่าช้างตัวใดเป็นช้างดีหรือเป็นช้างเผือก ควรดูที่หางของมัน ตามเรื่องเล่าที่ว่าเมื่อช้างพังตกลูกเป็นช้างเผือกที่มีสีแตกต่างจากช้างทั่วไป บรรดาช้างพลายและช้างพังในโขลงจะช่วยกันพรางสีของลูกช้างเผือก ด้วยการใช้ใบไม้หรือขี้โคลนพ่นทับตัวของมัน เพื่อไม่ให้มนุษย์สังเกตเห็นและมาจับไป อย่างไรก็ตามร่องรอยของสีเผือกยังคงปรากฏอยู่ที่ปลายหางของช้างเผือก ทำให้การสังเกตหางเป็นวิธีหนึ่งในการแยกแยะช้างเผือกจากช้างทั่วไป ในทำนองเดียวกันคนไทยโบราณเชื่อว่าการพิจารณานิสัยหรือพื้นฐานของหญิงสาว ควรดูจากแม่ของเธอเป็นหลัก เพราะลักษณะนิสัย การอบรมเลี้ยงดู และวัฒนธรรมในครอบครัวมักส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น คำพังเพยนี้จึงใช้เตือนให้พิจารณาต้นตอของสิ่งต่างๆ อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ เพราะคุณลักษณะบางอย่างมักถ่ายทอดผ่านสายเลือดและการเลี้ยงดู ตัวอย่างการใช้คำพังเพย