Tag: คำพังเพยไทย น.

  • รู้จักคำพังเพยน้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยน้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ น. น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ หมายถึง คำพังเพย “น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ” หมายถึง อย่าขัดขวางหรือเผชิญหน้ากับผู้ที่มีอำนาจหรือผู้ที่กำลังโกรธจัด เพราะอาจทำให้ตนเองได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย เปรียบเสมือนการพายเรือผ่านแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวมาก ๆ แทนที่เรือจะแล่นไปข้างหน้าอย่างมั่นคง กลับหมุนขวางทิศทาง การพายเรือในน้ำเชี่ยวเช่นนี้อาจต้านแรงไม่ได้และทำให้เรือล่มได้ง่าย ๆ จึงควรหลีกเลี่ยงการปะทะกับผู้ที่มีอำนาจหรืออารมณ์รุนแรง กล่าวคือ “อย่าขัดขวางผู้ที่มีอำนาจหรือผู้ที่กำลังโกรธจัด” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากภาพของการพายเรือในแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวแรง ในสมัยก่อนคนเราไทยใช้เรือเป็นพาหนะไปมาหาสู่กัน ถ้ำหากพายเรือผ่านแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวมาก ๆ หรือแทนที่เรือจะตั้งตรงกลับกลายเป็นหมุนขวาง ดังนั้นเรือที่พายอาจต้านแรงไม่อยู่ และอาจจะล่มได้โดยง่าย ๆ ท่านจึงห้ามไม่ให้เราพายเรือไปขวางทางน้ำที่กำลังไหลเชี่ยว เพราะมันอาจจะทำให้เรือล่มได้ง่าย ๆ สำนวนนี้ถูกใช้เปรียบเทียบกับการไม่ควรขัดขวางหรือเผชิญหน้ากับผู้ที่มีอำนาจ หรือผู้ที่มีความโกรธจัด เพราะจะส่งผลเสียต่อตัวเอง จึงเป็นคำเตือนให้ระมัดระวังและรู้จักหลีกเลี่ยงการปะทะกับสิ่งที่มีพลังมากกว่าเรา เพื่อความปลอดภัยและประโยชน์ของตัวเอง ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • รู้จักคำพังเพยน้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก ที่มาและความมหมาย

    รู้จักคำพังเพยน้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก ที่มาและความมหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ น. น้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก น้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก หมายถึง คำพังเพย “น้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก” หมายถึง ให้รู้จักอดทน อดกลั้น ไม่แสดงความไม่พอใจหรือความรู้สึกสีหน้าไม่ดีออกมา ควรรักษาน้ำใจผู้อื่นโดยไม่พูดหรือแสดงออกในสิ่งที่เป็นลบ เปรียบเสมือนแม้ในใจจะขุ่นมัวหรือไม่พอใจอย่างไร ก็ไม่ควรแสดงออกมาให้คนอื่นเห็น ควรเก็บไว้ภายใน และแสดงออกภายนอกอย่างอ่อนโยน สุภาพ และมีมารยาท กล่าวคือ “แม้จะไม่พอใจก็ยังแสดงสีหน้ายิ้มแย้ม” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากการเปรียบเทียบลักษณะของ “น้ำ” ซึ่งในธรรมชาติ น้ำที่ดูใสจากภายนอก อาจมีสิ่งปนเปื้อนหรือความขุ่นอยู่ภายในได้ เช่นเดียวกับจิตใจคน ที่อาจมีความไม่พอใจ โกรธ หรือเสียใจ แต่ก็สามารถเก็บซ่อนสิ่งเหล่านั้นไว้ภายใน ไม่แสดงออกให้คนอื่นรับรู้ คำพังเพยนี้จึงสื่อถึงการควบคุมอารมณ์และวางตัวให้เหมาะสม โดยเฉพาะในสังคม การอยู่ร่วมกับผู้อื่นควรรู้จักระงับอารมณ์ เก็บความไม่พอใจไว้ และแสดงความสุภาพออกมาแทน เพื่อรักษาน้ำใจผู้อื่นและไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • รู้จักคำพังเพยน้ำน้อยแพ้ไฟ ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยน้ำน้อยแพ้ไฟ ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ น. น้ำน้อยแพ้ไฟ น้ำน้อยแพ้ไฟ หมายถึง คำพังเพย “น้ำน้อยแพ้ไฟ” หมายถึง ผู้ที่มีกำลังหรืออำนาจน้อย เมื่อเจอกับปัญหาใหญ่หรือฝ่ายที่แข็งแกร่งกว่า มักจะพ่ายแพ้หรือเสียเปรียบ เปรียบเสมือนน้ำมีน้อย ไม่สามารถดับไฟได้ เช่นเดียวกับคนที่มีกำลังน้อย ย่อมสู้กับคนที่มีกำลังมากกว่าไม่ได้ กล่าวคือ “ฝ่ายข้างน้อยย่อมแพ้ฝ่ายข้างมาก” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากปรากฏการณ์ธรรมชาติที่คนสมัยก่อนสังเกตเห็นว่า หากมีไฟลุกไหม้รุนแรง แต่มีน้ำน้อยเกินไป ก็ไม่อาจดับไฟได้ เปลวไฟจะลุกลามและเผาผลาญทุกอย่างจนหมดสิ้น แม้จะพยายามใช้เท่าไรก็ไร้ผล จึงเกิดเป็นคำพังเพยเปรียบเปรยถึงสถานการณ์ที่ฝ่ายหนึ่งมีกำลังหรือทรัพยากรน้อย ไม่สามารถต้านทานหรือเอาชนะอีกฝ่ายที่มีกำลังมากกว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นในการต่อสู้ การโต้เถียง หรือการแข่งขันใด ๆ คำพังเพยนี้สื่อให้ตระหนักว่า หากรู้ว่าตนเองมีกำลังน้อย ควรหลีกเลี่ยงการปะทะ หรือหาทางเสริมความพร้อมก่อนเผชิญหน้า ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • รู้จักคำพังเพยน้ำขึ้นให้รีบตัก ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยน้ำขึ้นให้รีบตัก ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ น. น้ำขึ้นให้รีบตัก น้ำขึ้นให้รีบตัก หมายถึง คำพังเพย “น้ำขึ้นให้รีบตัก” หมายถึง เมื่อมีโอกาสดีเข้ามา ควรรีบคว้าไว้ อย่ารอช้าหรือปล่อยให้พลาดไป เพราะโอกาสอาจไม่กลับมาอีก เปรียบเสมือนเมื่อน้ำขึ้นถึงจุดที่เหมาะแก่การตัก ควรรีบตักเก็บไว้ ถ้าช้า น้ำลดแล้วจะตักไม่ได้อีก เช่นเดียวกับโอกาสในชีวิต ที่ควรรีบคว้าไว้เมื่อมาถึง กล่าวคือ “เมื่อโอกาสมาถึง ควรรีบทำ” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยก่อนที่อาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง การใช้น้ำในชีวิตประจำวันจึงเป็นสิ่งจำเป็น เวลาที่น้ำในแม่น้ำลำคลองมีระดับสูงขึ้. สมัยก่อนเราใช้น้ำในแม่น้ำลำคลองเพื่ออุปโภคบริโภค เมื่อถึงเวลาน้ำขึ้น น้ำจะเต็มฝั่งใสสะอาดและตักได้ง่าย แต่เวลาน้ำลง น้ำจะแห้งขอดและขุ่นเพราะโคลนตมที่ก้นท้องน้ำ เราจึงมักรีบตักน้ำไว้ใช้เมื่อน้ำกำลังขึ้น จึงเกิดเป็นคำพังเพยเปรียบเปรยว่า เมื่อมีโอกาสดี ๆ เข้ามา ไม่ว่าจะเรื่องงาน เงิน ความรัก หรือโอกาสในชีวิต ควรรีบลงมือทำ อย่ารอช้า มิฉะนั้นอาจพลาดโอกาสนั้นไปอย่างน่าเสียดาย ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • รู้จักคำพังเพยนอนสูงให้นอนคว่ำ นอนต่ำให้นอนหงาย ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยนอนสูงให้นอนคว่ำ นอนต่ำให้นอนหงาย ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ น. นอนสูงให้นอนคว่ำ นอนต่ำให้นอนหงาย นอนสูงให้นอนคว่ำ นอนต่ำให้นอนหงาย หมายถึง คำพังเพย “นอนสูงให้นอนคว่ำ นอนต่ำให้นอนหงาย” หมายถึง คนที่เป็นผู้นำหรือผู้ปกครองอย่าหลงลืมตน ควรก้มมองดูลูกน้องหรือคนที่ต่ำต้อยกว่าว่าเขาเป็นอย่างไร เอาใจใส่ดูแล ฟังเสียงเขาบ้าง ส่วนคนที่เป็นลูกน้องก็สมควรทำหน้าที่ให้เรียบร้อยไม่ให้มีข้อบกพร่อง ดูแบบอย่างจากเจ้านายเพื่อนำมาพัฒนาตนเอง เปรียบเสมือนผู้นอนบนที่สูงต้องนอนคว่ำและระวังตก (นอนคว่ำเพื่อจะได้เห็นภาพรวมขององค์กร และเจ้านายต้องถ่อมตัวและระวังคำพูดการกระทำ), ผู้นอนที่ต่ำก็ต้องอยู่ให้เป็น (นอนหงายสามารถมองเห็นได้ทั่ว ลูกน้องต้องรู้หน้าที่พร้อมเรียนรู้และพัฒนาตนเอง) กล่าวคือ “คนที่เป็นผู้นำควรรู้จักก้มมอง เอาใจใส่ลูกน้อง ไม่หลงลืมตน ส่วนลูกน้องก็ควรทำหน้าที่ให้ดี เรียนรู้จากผู้ใหญ่เพื่อนำมาปรับปรุงตัวเอง หรือการปรับตัวตามสถานการณ์ให้เหมาะสมกับสิ่งที่เป็นอยู่” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากประสบการณ์ชีวิตของคนโบราณ ที่สังเกตพฤติกรรมการนอนตามสภาพพื้นที่ หากนอนบนที่สูง เช่น เปล หรือตั่งสูง การนอนคว่ำจะปลอดภัยกว่านอนหงาย อะไรผ่านไปผ่านมาข้างล่างก็มองเห็นหมด เพราะนอนหงายอาจพลิกตกลงมาได้ง่าย ส่วนถ้านอนที่ต่ำกับพื้นดิน การนอนหงายจะสบายและปลอดภัยกว่า อะไรผ่านไปผ่านมาข้างบนก็มองเห็นหมด คนสมัยก่อนจึงนำลักษณะนี้มาเปรียบเปรยกับการใช้ชีวิตในสังคม ผู้ที่อยู่สูงหรือมีอำนาจต้องระวังตน (เปรียบเหมือนการนอนคว่ำไม่ให้ตกจากที่สูง) ส่วนผู้ที่อยู่ต่ำหรือเป็นลูกน้อง ควรอยู่ให้เป็น มองเห็นเหต (เหมือนนอนหงายบนพื้น) คำพังเพยนี้จึงเป็นคำสอนให้รู้จักวางตัวให้เหมาะสมกับฐานะของตนเอง ทั้งในด้านการปกครอง การทำงาน หรือการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม…

  • รู้จักคำพังเพยนกน้อยทำรังแต่พอตัว ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยนกน้อยทำรังแต่พอตัว ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ น. นกน้อยทำรังแต่พอตัว นกน้อยทำรังแต่พอตัว หมายถึง คำพังเพย “นกน้อยทำรังแต่พอตัว” หมายถึง การใช้ชีวิตอย่างพอประมาณ พอเพียง และเหมาะสมกับฐานะหรือกำลังของตน ไม่ฝืน ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่เกินตัว เปรียบเสมือนนกตัวเล็กที่ทำรังเล็ก ๆ ตามกำลังของมัน ไม่พยายามสร้างอะไรใหญ่โตเกินกว่าที่จะดูแลได้ เช่นเดียวกับคนที่รู้จักประมาณตน วางแผนชีวิตตามความสามารถและทรัพยากรที่มีอยู่ กล่าวคือ “การทำสิ่งใดต้องดูให้พอสมพอควรแก่ฐานะของตน ไม่ทำเกินตัว” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากธรรมชาติการสร้างรังของนก ซึ่งนกแต่ละสายพันธุ์จะสร้างรังให้พอดีกับขนาดตัวของมันเอง นกตัวใหญ่ เช่น นกเขา จะใช้กิ่งไม้ที่ใหญ่และวางรังบนที่สูง เปิดโล่งพอให้ทั้งพ่อแม่และลูก ๆ อยู่ได้อย่างปลอดภัย ส่วนนกตัวเล็กอย่างนกปรอดหน้านวล จะสร้างรังเล็ก ๆ โดยใช้เศษใบไม้และกิ่งไม้ขนาดเล็กมาสานเป็นรังรูปถ้วยลึก เพื่อป้องกันไม่ให้ไข่หรือลูกนกร่วงหล่น ธรรมชาติของนกจึงสะท้อนแนวคิดว่าสิ่งมีชีวิตรู้จักทำสิ่งที่เหมาะสมกับขนาดและกำลังของตัวเอง ไม่ฝืนเกินขอบเขต คนไทยจึงนำพฤติกรรมนี้มาเปรียบเปรยกับการใช้ชีวิตของมนุษย์ ว่า ควรดำเนินชีวิตอย่างพอดี พอประมาณ และไม่เกินกำลังของตนเอง เพื่อความมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • รู้จักคำพังเพยนกยูงมีแววที่หาง ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยนกยูงมีแววที่หาง ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ น. นกยูงมีแววที่หาง นกยูงมีแววที่หาง หมายถึง คำพังเพย “นกยูงมีแววที่หาง” หมายถึง คนที่มีชาติตระกูลดี ฐานะดี หรือมีการอบรมเลี้ยงดูมาดี มักจะแสดงออกผ่านบุคลิกท่าทางโดยไม่ต้องพูด เช่น การวางตัวที่นอบน้อม กริยามารยาทเรียบร้อย การพูดจาสุภาพ หรือการแต่งกายสะอาดเรียบง่ายแต่ดูดี เปรียบเสมือนนกยูงที่มีความงามที่หาง ไม่ใช่ความโอ้อวด แต่เป็นสิ่งที่คนสังเกตได้จากภายนอกโดยธรรมชาติ คนที่มีพื้นเพดีจริง ย่อมเผยความสง่างามผ่านรายละเอียดเล็ก ๆ โดยไม่ต้องอธิบายตนเอง กล่าวคือ “คนที่มีฐานะทางสังคมหรือมีสกุลดี ย่อมมีลักษณะที่แสดงออกมาให้สังเกตเห็นบ้าง เช่น กริยามารยาทดี, สำเนียงพูดจาดี หรือลักษณะการแต่งตัวที่ดี” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากการเปรียบเทียบพฤติกรรมและลักษณะของนกยูง ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีขนหางสวยงามโดดเด่น โดยเฉพาะเมื่อนกยูงรำแพนหางออกมา ก็จะเห็นลวดลายงดงามเป็นประกายแวววาว ทำให้คนชื่นชม โดยไม่ต้องพยายามส่งเสียงหรือแสดงท่าทีใด ๆ คำพังเพยนี้จึงใช้เปรียบกับคนที่มีคุณภาพจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถ ความดี หรือบุคลิกที่สง่างาม ซึ่งจะค่อย ๆ ปรากฏออกมาให้คนเห็นเอง ไม่จำเป็นต้องอวดอ้าง เพราะคุณค่าย่อมแสดงตัวผ่านการกระทำและความเป็นธรรมชาติ เปรียบได้กับแววหางของนกยูงที่สวยงามอย่างมีเอกลักษณ์โดยไม่ต้องแสดงออกเกินจำเป็น ตัวอย่างการใช้คำพังเพย