Tag: คำพังเพยไทย ป.

  • คำพังเพยปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี ชั่วดีเป็นตรา ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี ชั่วดีเป็นตรา ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ป. ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี ชั่วดีเป็นตรา ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี ชั่วดีเป็นตรา หมายถึง คำพังเพย “ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี ชั่วดีเป็นตรา” หมายถึง การพูดมีความสำคัญเป็นอันดับแรก การคำนวณหรือความสามารถด้านตัวเลขเป็นรองลงมา การเรียนรู้และความรู้จากหนังสือเป็นลำดับถัดไป ส่วนความประพฤติชั่วดีจะเป็นสิ่งที่คนจดจำและกลายเป็นตราประทับบ่งบอกตัวตนของบุคคล เปรียบเสมือนการสร้างบุคคลให้สมบูรณ์ต้องประกอบด้วยทักษะ การเรียนรู้ และคุณธรรมควบคู่กัน ไม่ใช่เน้นเพียงด้านใดด้านหนึ่ง และให้ลำดับความสำคัญ ได้แก่ การพูด การคิดคำนวณ การศึกษาเล่าเรียน และความดีงาม ว่าแต่ละสิ่งมีความสำคัญเช่นไรด้วย กล่าวคือ “การจัดลำดับความสำคัญคุณธรรมชีวิตอย่างการพูดสำคัญที่สุด รองมาก็การคิดคำนวณ ต่อมาการศึกษาเล่าเรียน และสุดท้ายความดีงาม” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากผลงานประพันธ์ของท่านผู้หญิงสมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา แต่งเป็นกลอนแปด ๔ บท เพื่ออธิบายและขยายความภาษิต โดยใช้คำง่าย ๆ เข้าใจง่าย และมีความไพเราะ เนื้อหาให้ข้อคิด ชี้ให้เห็นความสำคัญตามลำดับ ได้แก่ การพูด…

  • รู้จักคำพังเพยปูนอย่าขาดเต้า ข้าวอย่าขาดโอ่ง ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยปูนอย่าขาดเต้า ข้าวอย่าขาดโอ่ง ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ป. ปูนอย่าขาดเต้า ข้าวอย่าขาดโอ่ง ปูนอย่าขาดเต้า ข้าวอย่าขาดโอ่ง หมายถึง คำพังเพย “ปูนอย่าขาดเต้า ข้าวอย่าขาดโอ่ง” หมายถึง การอย่าละเลยสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะการเงิน ต้องคอยดูแลให้มีอยู่เสมอ เปรียบกับปูน (ปูนแดง หรือปูนสำหรับกินกับหมากของคนสมัยก่อน) และข้าวซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ ต้องคอยดูไม่ให้หมด กล่าวคือ “การบริหารจัดการเงินอย่างพอเหมาะพอควร ไม่ให้ขาดแคลน และรู้จักเก็บออมไว้บ้าง เพื่อความมั่นคงในอนาคต” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากวิถีชีวิตของคนไทยสมัยก่อน โดยเฉพาะในชนบท ซึ่งสิ่งของแต่ละอย่างที่กล่าวถึงถือเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน คำพังเพยนี้จึงสะท้อนความรู้สึกความระมัดระวังในการรักษาสิ่งจำเป็นให้ครบถ้วน ไม่ละเลยสิ่งพื้นฐานในชีวิต โดยเฉพาะการเงิน เพื่อให้ชีวิตประจำวันดำเนินไปอย่างราบรื่น ครอบครัวมีความมั่นคง และวิถีชีวิตไม่สะดุด เปรียบเสมือนการรักษาองค์ประกอบสำคัญของชีวิตให้ “ไม่ขาด” เพื่อความสมบูรณ์และต่อเนื่องของชีวิตประจำวัน ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • รู้จักคำพังเพยเป็นเรืออย่าทิ้งท่า เป็นเสืออย่าทิ้งป่าใหญ่ ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยเป็นเรืออย่าทิ้งท่า เป็นเสืออย่าทิ้งป่าใหญ่ ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ป. เป็นเรืออย่าทิ้งท่า เป็นเสืออย่าทิ้งป่าใหญ่ เป็นเรืออย่าทิ้งท่า เป็นเสืออย่าทิ้งป่าใหญ่ หมายถึง คำพังเพย “เป็นเรืออย่าทิ้งท่า เป็นเสืออย่าทิ้งป่าใหญ่” หมายถึง ผู้ใดมีหน้าที่การงานหรือถิ่นที่อยู่ของตนแล้ว ควรทำหน้าที่ให้ดีที่สุด หรือจงรักษาถิ่นฐานและหน้าที่ของตนเองไว้ อย่าทิ้งไปไหน เปรียบเหมือนเรือที่ควรจอดอยู่ที่ท่า ไม่ใช่ที่อื่น และเสือที่ควรรักษาถิ่นที่อยู่ของตนคือป่าใหญ่ กล่าวคือ “การอย่าทิ้งถิ่นฐานหรือที่อยู่ที่เหมาะสมกับตนเอง กตัญญูรักษาหน้าที่และบทบาทของตนเองให้มั่นคง” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากเปรียบเทียบให้เห็นว่าเรือไม่ควรปล่อยล่องไปโดยไม่มีท่า เสือไม่ควรออกจากป่าที่เป็นที่อยู่ตามธรรมชาติ สอนให้คนรู้จักรักษาที่มาที่ไปของตนเอง ไม่ลืมว่าเป็นใคร มาจากไหน และควรอยู่ในบทบาทหรือถิ่นที่เหมาะสมกับตัวเอง คำพังเพยนี้จึงสอนว่าเมื่อมีหน้าที่หรือความสามารถเฉพาะด้าน ควรอยู่ในสภาพแวดล้อมหรือบทบาทที่เหมาะสมกับตนเอง อย่าทิ้งสิ่งที่ทำให้ตัวเองอยู่ได้ดีหรือมีประโยชน์ เพราะอาจทำให้เสียความมั่นคงหรือความได้เปรียบ และยังหมายถึงการแสดงความกตัญญู เป็นลูกหลานเมื่อได้ดีมีความเจริญก้าวหน้าอย่าได้ลืมคุณของพ่อแม่ญาติผู้ใหญ่ของตัวเอง ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • รู้จักคำพังเพยปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ป. ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน หมายถึง คำพังเพย “ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน” หมายถึง การทำสิ่งใดให้คนอื่นควรคำนึงถึงความต้องการหรือความสะดวกของเขา ไม่ใช่ทำตามใจตัวเองเพียงฝ่ายเดียว เปรียบเสมือนการสร้างบ้านหรือจัดที่นอน ต้องคำนึงถึงผู้อยู่อาศัยและผู้ใช้ ไม่ใช่ทำตามความชอบของผู้สร้างเพียงอย่างเดียว กล่าวคือ กล่าวคือ “การทำตามความพอใจของผู้ที่จะได้รับผลโดยตรง” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากการสร้างบ้านและการนี่นอน ที่ผู้สร้างควรถามและคำนึงถึงความต้องการของผู้ที่จะอยู่อาศัยเป็นหลัก ความคิดหรือรสนิยมของผู้ก่อสร้างเป็นเพียงแนวทางหรือคำแนะนำเท่านั้น การตัดสินใจสุดท้ายควรเป็นของผู้ที่จะอาศัย เช่น ต้องการบ้านทรงแบบไหน มีจำนวนห้องกี่ห้อง หรือการจัดสรรพื้นที่อย่างไร เพื่อให้การอยู่อาศัยสะดวกสบายและเหมาะสมกับความต้องการจริง ๆ รวมถึงการจัดที่นอนหรือ “ผูกอู่” หมายถึงการจัดเตียงหรือมุ้งสำหรับการนอนของผู้อยู่อาศัยในสมัยก่อน ผู้สร้างควรจัดให้เหมาะสมกับความสะดวกสบายและความชอบของผู้ที่จะนอน เช่น ขนาด เตียงหรือมุ้ง ควรพอดีกับผู้นอนด้วย คำพังเพยนี้จึงสื่อว่าการตัดสินใจหรือการทำสิ่งใด ๆ ควรคำนึงถึงความต้องการของผู้ที่จะได้รับผลโดยตรงเป็นสำคัญ มากกว่าทำตามความชอบหรือความสะดวกของผู้ทำ เพราะผู้ที่ได้รับผลนั้นเป็นผู้ที่ต้องอยู่กับผลลัพธ์จริง ๆ การทำตามความพอใจของเขาจะช่วยให้เกิดความพอใจสูงสุด ใช้งานได้สะดวกสบายที่สุด ตัวอย่างการใช้คำพังเพย

  • รู้จักคำพังเพยปลูกเรือนผิด คิดจนเรือนทลาย ที่มาและความหมาย

    รู้จักคำพังเพยปลูกเรือนผิด คิดจนเรือนทลาย ที่มาและความหมาย

    คำพังเพยไทยหมวดหมู่ ป. ปลูกเรือนผิด คิดจนเรือนทลาย ปลูกเรือนผิด คิดจนเรือนทลาย หมายถึง คำพังเพย “ปลูกเรือนผิด คิดจนเรือนทลาย” หมายถึง ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยไม่รอบคอบตั้งแต่ต้น จนภายหลังต้องแก้ไขมากเกินไปจนเสียหาย เปรียบเสมือนการปลูกเรือนที่วางผิดแบบผิดโครงสร้าง พอจะอยู่ก็ต้องแก้ไขจนเรือนพังทลาย ไม่เหลือประโยชน์ กล่าวคือ “การจะทำสิ่งใดควรคิดให้รอบคอบ เพราะถ้าผิดพลาดไป จะแก้ไขยาก” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย เปรียบเปรยถึงการสร้างบ้านสักหลังหนึ่ง ที่จำเป็นต้องอาศัยการวางแผนอย่างรอบคอบตั้งแต่ต้น ทั้งในเรื่องการออกแบบ การกำหนดโครงสร้าง การวางเสาและคานให้อยู่ในตำแหน่งที่มั่นคงแข็งแรง ตลอดจนการเลือกที่ดินที่เหมาะสมสำหรับการปลูกสร้าง หากละเลยขั้นตอนเหล่านี้หรือทำอย่างผิดพลาด บ้านที่ปลูกสร้างขึ้นย่อมมีโอกาสเกิดปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการแตกร้าว ทรุดตัว หรือพังทลายจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าหากเริ่มต้นผิดตั้งแต่แรก แม้จะพยายามแก้ไขในภายหลังก็ยากที่จะทำให้กลับมาสมบูรณ์ดังเดิม คำพังเพยนี้พูดได้เต็ม ๆ ว่า “ตัดผมผิดคิดเจ็ดวันหาย มีเมียผิดคิดจนตัวตาย ปลูกเรือนผิดคิดจนเรือนทลาย” ตัวอย่างการใช้คำพังเพย