Tag: คำพังเพยไทย พ.
-

รู้จักคำพังเพยพูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วพาตัวเสียหาย ที่มาและความหมาย
คำพังเพยไทยหมวดหมู่ พ. พูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วพาตัวเสียหาย พูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วพาตัวเสียหาย หมายถึง คำพังเพย “พูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วพาตัวเสียหาย” หมายถึง การพูดคำดี คำสุภาพ หรือพูดด้วยความรอบคอบช่วยสร้างเกียรติและชื่อเสียงให้กับตนเอง ขณะที่การพูดคำไม่ดี คำหยาบ หรือพูดโดยไม่ระมัดระวังสามารถนำมาซึ่งความเสียหาย ชื่อเสียงเสีย หรือสร้างปัญหาให้ตัวเอง เปรียบเสมือนการพูดดีเหมือนการประดับตัวด้วยเครื่องประดับมีค่า ทำให้ดูดีและมีเกียรติ ส่วนการพูดชั่วเหมือนทำลายตัวเองด้วยสิ่งสกปรกหรือของเสีย ทำให้ตัวเองเสียหายและเสียชื่อเสียง กล่าวคือ “การพูดจาดีและไพเราะอ่อนหวานก็จะเป็นศิริมงคลกับตัวเอง แต่ถ้าหากพูดจาไม่ดีก็จะเป็นภัยต่อตนและผู้อื่นได้” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากค่านิยมและหลักจริยธรรมของสังคมและวัฒนธรรมไทยและที่เน้นเรื่องการวางตน การใช้วาจา และความสำคัญของคำพูดต่อเกียรติยศและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ในสมัยก่อน การพูดจาสุภาพ มีมารยาท และรอบคอบถือเป็นคุณสมบัติสำคัญของคนดีและผู้มีการศึกษา เพราะคำพูดสะท้อนความคิด คุณธรรม และการควบคุมตนเอง คำพังเพยนี้เตือนว่าคำพูดมีพลังมากกว่าที่เห็น การพูดคำดีช่วยสร้างเกียรติและชื่อเสียงให้ตนเอง เหมือนเป็น “ศรี” ที่ประดับตัว ทำให้ผู้ฟังเคารพนับถือ ขณะที่การพูดคำหยาบ คำไม่ดี หรือพูดโดยไม่รอบคอบ สามารถสร้างความเสียหายทั้งต่อความสัมพันธ์ ชื่อเสียง และโอกาสต่าง ๆ เหมือน “พาตัวเสียหาย” ทั้งยังสอนให้รู้จักคิดก่อนพูด รู้จักยับยั้งวาจา…
-

รู้จักคำพังเพยพลั้งปากเสียศีล พลั้งตีนตกต้นไม้ ที่มาและความหมาย
คำพังเพยไทยหมวดหมู่ พ. พลั้งปากเสียศีล พลั้งตีนตกต้นไม้ พลั้งปากเสียศีล พลั้งตีนตกต้นไม้ หมายถึง คำพังเพย “พลั้งปากเสียศีล พลั้งตีนตกต้นไม้” หมายถึง การพูดหรือกระทำโดยไม่รอบคอบ อาจทำให้เสียศีล ขาดความมั่นคง หรือเกิดความเสียหายต่อกายและใจ การไม่ระมัดระวังเพียงเล็กน้อยสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ร้ายแรง เปรียบเสมือนการตกปากรับคำในการสู่ขอของกฎหมายตราสามดวง หากบิดามารดาหรือญาติพลั้งปากเปลี่ยนใจ จะต้องเสียค่าสีนหรือสินทันที การไม่ระวังคำพูดก็เช่นเดียวกัน หากพูดโดยไม่รอบคอบ ก็อาจ “เสียศีล” หรือเกิดความเสียหายได้เหมือนพลั้งตีนตกต้นไม้ กล่าวคือ “การพูด หรือทำสิ่งใดโดยไม่ระมัดระวัง จะทำให้เกิดความเสียหาย หรือเดือดร้อน” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากกฎหมายตราสามดวง ในสมัยพระเจ้าอู่ทอง ซึ่งบัญญัติเรื่องการสู่ขอลูกสาวหรือลูกหลานของตน ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดให้ไปสู่ขอลูกสาวหลานสาวของตน แล้วบิดามารดาหรือญาติของหญิงตกปากรับคำให้กินขันหมาก ชายนั้นถือว่าหาผิดมิได้ แต่หากบิดามารดาหรือญาติของหญิงเกิดความแหนงแคลงใจ แกล้งไม่ให้หญิงแก่ชายตามที่ตกปากไว้ หรือเปลี่ยนถ้อยคำหลายประการจนไม่ชัดเจน เมื่อมีชายผู้อื่นมาสู่ขออีก หากหญิงนั้นยอมรับ ชายผู้นั้นก็ถือว่าถูกต้องเช่นกัน ในกรณีที่ทั้งสองฝ่ายเป็นคู่กัน กฎหมายบัญญัติให้ลูกสาวนั้นเป็นของชายผู้มาสู่ขอก่อน และให้เอาขันหมากของชายภายหลังมาตั้งไว้ บิดามารดาหญิงจะทวีคูนทุนและยกให้เจ้าของ เหลือเป็นสีนไหม กึ่งพินัยกึ่ง แล้วให้ใช้ค่าฤชาทำเนียมแก่ชายภายหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความทะนงศักดิ์และละเมิดกฎหมายเมือง หากบิดามารดาหญิงตกปากรับคำให้บุตรีเป็นภรรยาของชายใด และรับสีนสอดขันหมากของชายแล้ว แต่กลับเปลี่ยนถ้อยคำไม่ให้ถือเป็นจริง…
-

รู้จักคำพังเพยพูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง ที่มาและความหมาย
คำพังเพยไทยหมวดหมู่ พ. พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง หมายถึง คำพังเพย “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง” หมายถึง การพูดโดยไม่ระวังหรือพูดมากเกินไป อาจทำให้เสียประโยชน์หรือโอกาสสำคัญ ในขณะที่การนิ่งสงบและรอบคอบมีค่าและช่วยรักษาผลประโยชน์ไว้ เปรียบเสมือนการพูดมากเหมือนเงินสองไพเบี้ยที่มีค่าเล็กน้อย ส่วนการนิ่งพูดน้อยและรอบคอบเหมือนทองคำตำลึงที่มีค่ามาก กล่าวคือ “พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ นิ่งไว้ดีกว่า” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย จากการเปรียบเทียบคำพูดกับมูลค่าเงินและทองสมัยก่อน “ไพเบี้ย” เป็นเงินเล็กน้อย ส่วน “ตำลึงทอง” เป็นทองคำซึ่งมีค่ามาก การพูดจาโดยไม่รอบคอบ หรือพูดมากเกินไปเหมือนกับจ่ายเพียงสองไพเบี้ย เพื่อแลกกับการเสียตำลึงทอง คือสิ่งมีค่าอย่างมาก การพูดมากโดยไม่ระวังอาจทำให้เปิดเผยตัวเอง เสียโอกาส หรือถูกคนอื่นเอาเปรียบ คำพังเพยนี้สอนให้รู้จักคุณค่าของความนิ่งสงบและการพูดน้อย คนที่ควบคุมคำพูดของตนเองได้ จะเหมือนถือทองเป็นตำลึงอยู่ในมือ ไม่เสียไปตามความวู่วามหรืออารมณ์ชั่วขณะ การนิ่งและรอบคอบทำให้สามารถรักษาผลประโยชน์และตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด และสะท้อนถึงลักษณะของผู้มีสติ รอบคอบ และมีเหตุผล ตัวอย่างการใช้คำพังเพย
-

รู้จักคำพังเพยพกหินดีกว่าพกนุ่น ที่มาและความหมาย
คำพังเพยไทยหมวดหมู่ พ. พกหินดีกว่าพกนุ่น พกหินดีกว่าพกนุ่น หมายถึง คำพังเพย “พกหินดีกว่าพกนุ่น” หมายถึง ควรมีจิตใจที่เข้มแข็งหนักแน่น ดีกว่าเป็นคนจิตใจโลเลหูเบาเคลิบเคลิ้มไปกับคำพูดของผู้อื่นง่าย ๆ เปรียบเสมือนคนที่พกหินไว้ในใจซึ่งหนักและมั่นคง ไม่ลอยไปตามลม แตกต่างจากคนที่พกนุ่นซึ่งเบาและลอยไปตามลมง่าย ทำให้ผู้ที่มีใจหนักแน่นเหมือนหิน สามารถดำเนินชีวิตอย่างมั่นคงและรอบคอบ กล่าวคือ “ควรมีใจหนักแน่น ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ” นั่นเอง ที่มาของคำพังเพย มาจากการเปรียบเทียบถึงหินซึ่งหนักและมั่นคง ยากที่ลมจะพัดให้โยกหรือลอยขึ้นลงได้ ส่วนผ้านุ่นเบาและอ่อนไปตามลมง่าย แม้ตกลงพื้นก็สามารถลอยขึ้นได้อีก ในเชิงคุณธรรม คนใจหนักแน่นเหมือนพกหิน ควบคุมจิตใจให้อยู่ในความปกติ ไม่หวั่นไหวเมื่อพบอารมณ์ชอบหรือชัง ไม่คล้อยตามลมปากผู้อื่น เป็นลักษณะของผู้มีเหตุผลและบัณฑิต ส่วนคนใจไม่หนักแน่นเหมือนพกนุ่น (คือต้นงิ้ว เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่ให้เส้นใยสีขาวนุ่ม (ปุยนุ่น) ซึ่งนำไปใช้ยัดในหมอน ที่นอน หรือเครื่องใช้ต่าง ๆ) จะแสดงอารมณ์ออกง่าย ลิงโลดหรือซบเซาเมื่อเจอความชอบหรือความชัง และคล้อยตามความคิดเห็นของผู้อื่นอย่างง่ายดาย เป็นลักษณะของผู้เขลา ตัวอย่างการใช้คำพังเพย
