รู้จักคำพังเพยเข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม ที่มาและความหมาย

คำพังเพยหมวดหมู่ ข. เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม

เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม หมายถึง

คำพังเพย “เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม” หมายถึง การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ขนบธรรมเนียม หรือวัฒนธรรมของสถานที่หรือสังคมที่เราเข้าไป เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างราบรื่น โดยไม่ทำตัวแตกต่างหรือฝืนกฎเกณฑ์ที่เป็นที่ยอมรับในที่นั้น ๆ กล่าวคือ “การประพฤติตัวเหมาะสมกับกาลเทศะ, ปรับตัวให้เข้ากับสถานที่ คน และสิ่งแวดล้อมที่ตัวเองอาศัยอยู่” นั่นเอง

ที่มาและความหมายเข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม

ที่มาของคำพังเพยนี้

มีที่มาจากการเปรียบเทียบถึงการปรับตัวให้เข้ากับขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม หรือกฎเกณฑ์ของสังคมที่เราเข้าไปอาศัยหรือมีปฏิสัมพันธ์ โดยคำว่า “เมืองตาหลิ่ว” หมายถึงสถานที่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวหรือมีธรรมเนียมที่แตกต่างจากที่อื่น

“เมืองตาหลิ่ว” ในที่นี้หมายถึงเมืองที่มีการมองด้วยวิธีเฉพาะหรือการแสดงออกที่ไม่เหมือนกับการมองปกติ ซึ่งเปรียบได้กับขนบธรรมเนียมหรือพฤติกรรมในบางพื้นที่หรือบางกลุ่มคนที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจง เช่น เมืองหนึ่งอาจมีวิถีชีวิต วัฒนธรรม หรือกฎเกณฑ์เฉพาะที่คนต่างถิ่นต้องปรับตัวตาม

การ “หลิ่วตาตาม” จึงหมายถึง การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์หรือปฏิบัติตามขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม หรือกฎเกณฑ์เฉพาะของสถานที่นั้น ๆ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างราบรื่น ไม่ทำตัวโดดเด่นหรือแตกต่างจนเกิดความขัดแย้ง

คำพังเพยนี้สื่อว่า เมื่อเข้าไปในสถานที่หรือสังคมใหม่ที่มีวิถีชีวิตหรือธรรมเนียมที่แตกต่างจากที่เราคุ้นเคย เราควรปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมหรือปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมนั้น ๆ เพื่อให้เกิดความราบรื่นในความสัมพันธ์และการใช้ชีวิตร่วมกัน

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การเดินทางไปต่างประเทศที่มีวัฒนธรรมแตกต่าง เช่น การต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้านในบางประเทศ หรือการปฏิบัติตนตามระเบียบขององค์กรใหม่ที่เราเข้าทำงาน ซึ่งการปรับตัวเช่นนี้สะท้อนความเคารพและความสามารถในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม

ตัวอย่างการใช้คำพังเพยนี้

  • เมื่อสมชายไปทำงานต่างประเทศ เขาปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมใหม่โดยเรียนรู้ภาษาท้องถิ่นและปฏิบัติตามกฎระเบียบของบริษัทอย่างเคร่งครัด เพื่อนร่วมงานจึงกล่าวว่า “สมชายเข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตามได้ดีจริง ๆ” (การปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมใหม่เพื่อความราบรื่นในงาน)
  • ในงานเลี้ยงที่มีผู้ใหญ่มากมาย แดงเรียนรู้ที่จะพูดจาสุภาพและไม่พูดแทรกคนอื่น เพื่อแสดงความเคารพต่อผู้ใหญ่ในงาน ญาติคนหนึ่งกล่าวว่า “นี่แหละ เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม รู้จักปรับตัวให้เหมาะสม” (การแสดงออกตามธรรมเนียมในสถานการณ์เฉพาะ)
  • นักเรียนที่ย้ายโรงเรียนใหม่ ปรับตัวให้เข้ากับกฎระเบียบ เช่น การแต่งกายและการเข้าแถวตอนเช้า ครูชมว่า “การปรับตัวแบบนี้เหมาะสม เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม” (การทำตามระเบียบเพื่อปรับตัวในโรงเรียนใหม่)
  • เมื่อเพื่อนไปเที่ยวญี่ปุ่น เขาเรียนรู้การถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้านตามธรรมเนียมท้องถิ่น และเคารพวัฒนธรรมในพื้นที่ เจ้าของบ้านจึงกล่าวว่า “เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตามแบบนี้ เป็นคนที่ปรับตัวได้ดี” (การเคารพและทำตามขนบธรรมเนียมของเจ้าบ้าน)
  • ในบริษัทที่มีกฎเคร่งครัดเรื่องเวลาเข้างาน นายดำเลิกนิสัยมาสายและปรับตัวให้เข้างานตรงเวลาเพื่อให้เป็นไปตามระเบียบขององค์กร หัวหน้าจึงกล่าวว่า “ดีมาก เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม ทำให้เข้ากับที่นี่ได้ดีขึ้น” (การเปลี่ยนนิสัยเพื่อปฏิบัติตามกฎระเบียบขององค์กร)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก Wordy Guru

รู้จักคำพังเพยเข้าตามตรอก ออกตามประตู ที่มาและความหมาย

คำพังเพยหมวดหมู่ ข. เข้าตามตรอก ออกตามประตู

เข้าตามตรอก ออกตามประตู หมายถึง

คำพังเพย “เข้าตามตรอก ออกตามประตู” หมายถึง การปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณีที่เหมาะสม โดยเฉพาะในเรื่องการสู่ขอหรือการแต่งงาน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม เช่น การให้ผู้ใหญ่ไปเจรจาสู่ขอหรือการทำพิธีที่เหมาะสม สะท้อนถึงความเคารพต่อประเพณีและการให้เกียรติแก่ทั้งสองฝ่าย กล่าวคือ “การทำอะไรให้ถูกต้องตามขนบธรรมเนียมประเพณี” นั่นเอง

ที่มาและความหมายเข้าตามตรอก ออกตามประตู

ที่มาของคำพังเพยนี้

มาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนไทยที่ให้ความสำคัญกับความเป็นระเบียบเรียบร้อยและการปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณี คำว่า “ตรอก” และ “ประตู” ในที่นี้เปรียบกับเส้นทางที่ถูกต้อง เช่น การเข้าบ้านต้องเข้าทางที่เหมาะสม ไม่ลักลอบหรือทำผิดวิธี

คำว่า “เข้าตามตรอก” หมายถึง การเดินทางเข้าบ้านโดยใช้ทางที่ถูกต้อง เช่น เข้าทางซอยหรือตรอกเล็ก ๆ อย่างเหมาะสมและไม่ลัดเลาะผิดวิธี

ส่วนคำว่า “ออกตามประตู” หมายถึง การออกจากบ้านด้วยทางที่เป็นทางหลักหรือทางเปิดเผย สื่อถึงความถูกต้องและเปิดเผยในสิ่งที่ทำ

ในบริบทของการสู่ขอหรือแต่งงาน คำพังเพยนี้เปรียบกับการปฏิบัติตามขั้นตอนธรรมเนียม เช่น การให้ผู้ใหญ่ฝ่ายชายไปเจรจาสู่ขอฝ่ายหญิงอย่างสุภาพเรียบร้อย และจัดพิธีแต่งงานให้เหมาะสม การกระทำดังกล่าวแสดงถึงความเคารพต่อครอบครัวของทั้งสองฝ่ายและการทำสิ่งใดให้เป็นไปตามจารีตประเพณีที่งดงาม

ตัวอย่างการใช้คำพังเพยนี้

  • ในเรื่องการแต่งงาน นายสมชายขอให้พ่อแม่ไปสู่ขอฝ่ายหญิงตามธรรมเนียม โดยกล่าวว่า “ผมอยากให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างเหมาะสม เข้าตามตรอก ออกตามประตู เพื่อให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายสบายใจ” (การทำตามขนบธรรมเนียมในเรื่องการสู่ขอ)
  • เมื่อนายแดงต้องการสมัครงานในบริษัทใหญ่ เขาเตรียมเอกสารอย่างครบถ้วนและสมัครผ่านช่องทางที่บริษัทกำหนด เพื่อนจึงชมว่า “แบบนี้แหละเข้าตามตรอก ออกตามประตู ทำอะไรเป็นขั้นตอน ย่อมได้ผลดี” (การทำสิ่งต่าง ๆ อย่างถูกต้องตามกฎระเบียบ)
  • ลูกสาวของป้าทองตกลงใจคบหากับแฟนหนุ่ม และได้พาเขามาแนะนำตัวกับพ่อแม่ พร้อมทั้งให้ผู้ใหญ่ช่วยพูดคุยเรื่องอนาคตอย่างจริงจัง เพื่อนบ้านจึงพูดว่า “นี่แหละ เข้าตามตรอก ออกตามประตู ไม่ทำอะไรผิดธรรมเนียม” (การให้เกียรติครอบครัวฝ่ายหญิงและทำตามประเพณี)
  • ในการเจรจาซื้อขายที่ดิน นายดำเลือกให้ทนายดูแลเอกสารและทำตามขั้นตอนของกฎหมาย เพื่อนจึงกล่าวว่า “ดำรอบคอบจริง ๆ ทำอะไรเข้าตามตรอก ออกตามประตูแบบนี้ ปลอดภัยแน่นอน” (การทำธุรกรรมอย่างถูกต้องตามกฎหมาย)
  • เมื่อนางสาวแสงระวีต้องการสมัครทุนการศึกษา เธอส่งเอกสารครบถ้วนและผ่านการสัมภาษณ์อย่างเหมาะสมโดยไม่ใช้เส้นสาย อาจารย์จึงกล่าวว่า “การทำตามขั้นตอนแบบนี้คือเข้าตามตรอก ออกตามประตู ย่อมได้รับโอกาสที่ดี” (การทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยความสุภาพและถูกต้องตามขั้นตอน)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก Wordy Guru

รู้จักคำพังเพยเขียว ๆ อย่าเฉลียวว่าเป็นพระอินทร์ ที่มาและความหมาย

คำพังเพยหมวดหมู่ ข. เขียว ๆ อย่าเฉลียวว่าเป็นพระอินทร์

เขียว ๆ อย่าเฉลียวว่าเป็นพระอินทร์ หมายถึง

คำพังเพย “เขียว ๆ อย่าเฉลียวว่าเป็นพระอินทร์” หมายถึง อย่าด่วนตัดสินคนหรือสิ่งใดเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก เพราะสิ่งที่เห็นอาจไม่เป็นอย่างที่คิดหรือคาดหวัง เปรียบเสมือนสิ่งที่มีสีเขียว ซึ่งอาจไม่ใช่สิ่งดีเลิศอย่างพระอินทร์เสมอไป เตือนให้พิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ กล่าวคือ “การอย่าเชื่ออะไรง่าย ๆ อย่างไม่มีเหตุผล เห็นอะไรก็อย่าเพิ่งด่วนสรุป” นั่นเอง

ที่มาและความหมายเขียว ๆ อย่าเฉลียวว่าเป็นพระอินทร์

ที่มาของคำพังเพยนี้

มาจากวรรณคดีไทยเรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งกล่าวถึงพระอินทร์ ผู้เป็นเทพเจ้ามีกายสีเขียวอันเป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามและสูงส่ง แต่ในเรื่องเดียวกันก็มีตัวละครอย่างยักษ์อินทรชิต ซึ่งมีกายสีเขียวเช่นกัน

ในวรรณคดี พระอินทร์เป็นเทพเจ้าผู้มีกายสีเขียวสดใส จึงทำให้เกิดความเชื่อว่าสิ่งที่มีสีเขียวจะเกี่ยวข้องกับความดีงามและสูงส่ง แต่หากไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วน การเห็นสิ่งที่ “เขียว” แล้วด่วนสรุปว่าเป็นพระอินทร์นั้น อาจเป็นความเข้าใจผิด เช่น ในเรื่องรามเกียรติ์ ยักษ์อย่างอินทรชิตซึ่งมีฤทธิ์เดชมากและมีกายสีเขียวเช่นกัน ก็อาจหลอกลวงและเป็นภัยร้ายแรงถึงชีวิต

คำพังเพยนี้จึงเป็นการเตือนว่าอย่าด่วนตัดสินสิ่งใดเพียงเพราะสิ่งที่เห็น เพราะบางครั้งสิ่งที่ดูดีหรือคล้ายคลึงกับสิ่งที่คุ้นเคย อาจแฝงไว้ด้วยอันตรายหรือข้อเสียที่คาดไม่ถึง การพิจารณาอย่างรอบคอบและใช้สติไตร่ตรองจึงเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจ

ตัวอย่างการใช้คำพังเพยนี้

  • เห็นนายทุนคนหนึ่งแต่งตัวดูภูมิฐาน ใจดีเวลาพูดจา แต่กลับเอาเปรียบชาวบ้านด้วยสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ผู้ใหญ่บ้านจึงเตือนว่า “เขียว ๆ อย่าเฉลียวว่าเป็นพระอินทร์ คนดูดีภายนอกไม่ได้แปลว่าจะจริงใจเสมอไป” (เตือนให้ดูคนให้ถี่ถ้วนก่อนเชื่อใจ)
  • เมื่อเพื่อนแนะนำสินค้าที่โฆษณาดูน่าเชื่อถือมาก แต่ไม่มีการรับประกันคุณภาพ สมศักดิ์จึงบอกว่า “ของเขียว ๆ แบบนี้ อย่าเพิ่งเฉลียวว่าเป็นพระอินทร์นะ ดูให้แน่ใจก่อนว่าดีจริงหรือไม่” (เตือนให้พิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อ)
  • หญิงสาวคนหนึ่งเจอชายหนุ่มที่ดูสุภาพและมีฐานะ แต่ภายหลังพบว่าเขาเป็นนักต้มตุ๋น เพื่อนจึงปลอบว่า “เขียว ๆ อย่าเฉลียวว่าเป็นพระอินทร์ ดูดีแค่ภายนอก แต่กลับซ่อนความร้ายกาจเอาไว้” (สอนให้ระวังคนที่ดูดีแต่ไม่น่าไว้ใจ)
  • ในที่ทำงาน มีคนใหม่เข้ามาดูขยันขันแข็งและนอบน้อม แต่กลับแอบใส่ร้ายเพื่อนร่วมงานให้หัวหน้าเข้าใจผิด รุ่นพี่จึงเตือนว่า “เขียว ๆ อย่างนี้ อย่าเฉลียวว่าเป็นพระอินทร์ ระวังให้ดีจะเจอปัญหา” (เตือนให้ระวังคนที่ดูดีแต่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์)
  • ลูกค้าถูกหลอกซื้อสินค้าราคาถูกที่โฆษณาว่าเป็นของแท้ แต่สุดท้ายเป็นของปลอม เพื่อนจึงบอกว่า “เห็นเขียว ๆ อย่าเพิ่งเฉลียวว่าเป็นพระอินทร์ ดูดีน่าเชื่อถือ แต่แท้จริงอาจเป็นของหลอกลวง” (เตือนให้ระวังการตัดสินจากภายนอกโดยไม่ตรวจสอบให้แน่ใจ)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายกัน

  • ฝนตกอย่าเชื่อดาว หมายถึง: อย่าไว้วางใจใครหรืออะไรจนเกินไป หรืออย่าไว้ใจและเชื่อมั่นสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป เพราะบางอย่างอาจจะผิดพลาดได้

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก Forfundeal

รู้จักคำพังเพยขุดด้วยปากถากด้วยตา ที่มาและความหมาย

คำพังเพยหมวดหมู่ ข. ขุดด้วยปากถากด้วยตา

ขุดด้วยปากถากด้วยตา หมายถึง

คำพังเพย “ขุดด้วยปาก ถากด้วยตา” หมายถึง การพูดจาเหน็บแนมหรือเสียดสีคนอื่นด้วยคำพูด (ขุดด้วยปาก) และแสดงท่าทางไม่พอใจด้วยสายตา (ถากด้วยตา) เป็นการแสดงออกทั้งคำพูดและท่าทางที่สื่อถึงความไม่พอใจหรือดูถูกผู้อื่นอย่างชัดเจน กล่าวคือ “คนที่แสดงอาการดูถูกเหยียดหยามคนอื่นทั้งด้วยวาจาและสายตา” นั่นเอง

ที่มาและความหมายขุดด้วยปากถากด้วยตา

ที่มาของคำพังเพยนี้

มาจากการเปรียบเทียบพฤติกรรมของคนที่ชอบแสดงความไม่พอใจหรือจงใจเหน็บแนมผู้อื่น ทั้งทางคำพูดและท่าทาง

คำว่า “ขุดด้วยปาก” เปรียบเหมือนการพูดจาเสียดสี คอยขุดคุ้ยเรื่องราวหรือพูดในเชิงตำหนิติเตียนให้ผู้อื่นรู้สึกไม่ดี ส่วนคำว่า “ถากด้วยตา” หมายถึงการใช้สายตาดูถูก เหยียดหยาม หรือแสดงความไม่พอใจ เป็นการกระทำที่สื่อความหมายเชิงลบโดยใช้ทั้งคำพูดและการแสดงออกทางสีหน้า

คำพังเพยนี้จึงสะท้อนถึงพฤติกรรมที่ไม่สร้างสรรค์ของคนที่ชอบตำหนิหรือเหน็บแนมผู้อื่นอย่างเปิดเผย ทั้งคำพูดและท่าทาง ซึ่งมักทำให้เกิดความรู้สึกขุ่นเคืองหรือบาดหมางในความสัมพันธ์

ตัวอย่างการใช้คำพังเพยนี้

  • ในที่ประชุมงาน นางสมรพูดเหน็บแนมเพื่อนร่วมงานว่า “ทำงานช้าขนาดนี้ ไม่รู้จะเสร็จทันชาตินี้ไหม” พร้อมกับมองด้วยสายตาเหยียดหยาม เพื่อนร่วมงานจึงบ่นว่า “สมรนี่ชอบขุดด้วยปาก ถากด้วยตาจริง ๆ” (การพูดเสียดสีและแสดงท่าทางไม่พอใจชัดเจน)
  • เมื่อแม่บ้านทำงานบ้านช้ากว่าปกติ เจ้านายพูดว่า “นี่ยังทำไม่เสร็จอีกเหรอ” พร้อมกับมองด้วยสายตาไม่พอใจ ทำให้คนรอบข้างสังเกตได้ว่าเจ้านายขุดด้วยปาก ถากด้วยตาอยู่เสมอ (แสดงพฤติกรรมเหน็บแนมทั้งคำพูดและการกระทำ)
  • นักเรียนคนหนึ่งทำข้อสอบผิดบ่อย เพื่อนร่วมชั้นพูดประชดว่า “นี่สอบผ่านได้ยังไงเนี่ย” พร้อมหันมามองด้วยสายตาเยาะเย้ย ครูที่เห็นเหตุการณ์จึงเตือนว่า “อย่าขุดด้วยปาก ถากด้วยตาเพื่อนแบบนี้” (เตือนให้ระวังคำพูดและท่าทาง)
  • เมื่อชาวบ้านคนหนึ่งทำอะไรผิดพลาด คนข้างบ้านพูดเสียงดังว่า “ทำแบบนี้ใครเขาจะไปชม” พร้อมมองค้อนด้วยสายตาไม่พอใจ คนในหมู่บ้านจึงกล่าวว่า “ขุดด้วยปาก ถากด้วยตาแบบนี้ ใครจะอยากคบค้าด้วย” (การเหน็บแนมทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดี)
  • ในงานเลี้ยง นายแดงทำแก้วตกแตก นางทองมองด้วยสายตาดูถูกพร้อมพูดว่า “คนแบบนี้แหละ ไม่ควรให้มางาน” พฤติกรรมขุดด้วยปาก ถากด้วยตาเช่นนี้ ทำให้คนรอบข้างไม่พอใจ (การตำหนิคนอื่นอย่างไม่เหมาะสมทั้งคำพูดและสายตา)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายกัน

  • ผู้ดีแปดสาแหรก หมายถึง: คนที่ทำกิริยาท่าทางโอ้อวดเย่อหยิ่ง วางท่าทำตัวเป็นผู้ดี ดูถูกคนอื่น

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก Longdo Dict

รู้จักคำพังเพยขี้แพ้ชวนตี ที่มาาและความหมาย

คำพังเพยหมวดหมู่ ข. ขี้แพ้ชวนตี

ขี้แพ้ชวนตี หมายถึง

คำพังเพย “ขี้แพ้ชวนตี” หมายถึง คนที่ยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้ เมื่อแพ้หรือเสียเปรียบจึงมักหาเรื่องทะเลาะหรือสร้างปัญหาเพื่อกลบเกลื่อนความพ่ายแพ้ของตัวเอง หรือคนที่แพ้แล้วไม่ยอมรับว่าแพ้ ชวนหาเรื่องเอาชนะด้วยกำลังต่อ แพ้ตามกติกาแล้วยังไม่ยอมรับว่าแพ้จะเอาชนะให้ได้ เป็นพวกแพ้แล้วพาล สะท้อนถึงพฤติกรรมที่ไม่รู้จักยอมรับความจริงอย่างเหมาะสม กล่าวคือ “แพ้ตามกติกาแล้วยังไม่ยอมรับว่าแพ้จะเอาชนะด้วยกำลัง, แพ้แล้วพาล” นั่นเอง

ที่มาและความหมายขี้แพ้ชวนตี

ที่มาของคำพังเพยนี้

มาจากพฤติกรรมที่พบได้บ่อยในสถานการณ์แข่งขัน เช่น การแข่งขันกีฬา เมื่อจบการแข่งขันแล้ว ฝ่ายที่แพ้ไม่สามารถยอมรับผลการตัดสินได้ อาจไม่พอใจกรรมการหรือคู่แข่ง และมักกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามหรือสร้างความขัดแย้งขึ้นมา เพื่อกลบเกลื่อนความพ่ายแพ้ของตนเอง

คำว่า “ชวนตี” ในที่นี้ หมายถึงการไม่ยอมจบปัญหา แต่กลับยั่วยุหรือหาเรื่องให้เกิดความขัดแย้งต่อไป สะท้อนพฤติกรรมที่ขาดน้ำใจนักกีฬา และไม่รู้จักยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยความสง่างาม คำพังเพยนี้จึงมักใช้เตือนใจให้รู้จักแพ้ให้เป็น และไม่สร้างปัญหาที่จะทำให้เสียภาพลักษณ์ในภายหลัง

ตัวอย่างการใช้คำพังเพยนี้

  • ในการแข่งขันฟุตบอลระหว่างสองทีม ทีมของนายเอกแพ้ไปอย่างชัดเจน แต่เขากลับไม่ยอมรับผล และกล่าวหากรรมการว่าเข้าข้างทีมตรงข้าม แถมยังพยายามยั่วยุให้ทะเลาะกัน เพื่อนร่วมทีมจึงพูดว่า “อย่าทำตัวขี้แพ้ชวนตีแบบนี้เลย มันเสียภาพลักษณ์ทีมเรา” (การไม่ยอมรับความพ่ายแพ้และหาเรื่องต่อ)
  • ในการโต้วาทีของนักเรียน เมื่อฝ่ายของสมชายแพ้ เขากลับแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวและพยายามตะโกนข่มเสียงฝ่ายตรงข้ามจนบรรยากาศตึงเครียด ครูจึงเตือนว่า “การเป็นขี้แพ้ชวนตีไม่ใช่สิ่งที่น่าภูมิใจ จงยอมรับความพ่ายแพ้และพัฒนาตัวเอง” (เตือนให้รู้จักแพ้ให้เป็น)
  • เด็กสองคนเล่นเกมกระดานกัน เมื่อเด็กคนหนึ่งแพ้ เขากลับปัดเกมกระดานทิ้งและโทษเพื่อนว่าขี้โกง เพื่อนในกลุ่มจึงบอกว่า “แพ้แล้วพาลแบบนี้ เหมือนขี้แพ้ชวนตีเลยนะ” (การไม่ยอมรับผลและสร้างปัญหา)
  • ในการเลือกตั้งประธานนักเรียน ฝ่ายของนายแดงไม่ได้รับเลือก แต่กลับกล่าวหาผู้ชนะว่าซื้อเสียงและชวนพวกพ้องก่อความวุ่นวายในโรงเรียน อาจารย์จึงกล่าวว่า “พฤติกรรมแบบนี้มันชัดเจนว่าเป็นขี้แพ้ชวนตี” (การสร้างปัญหาเพราะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้)
  • กลุ่มเพื่อนเล่นบาสเกตบอลกันในสนาม เมื่อทีมของนายสมชายแพ้ เขาโกรธและพยายามผลักเพื่อนอีกทีมจนเกือบมีเรื่อง เพื่อนในทีมต้องเข้ามาห้ามและบอกว่า “อย่าทำตัวขี้แพ้ชวนตีแบบนี้เลย แพ้ก็แค่ยอมรับแล้วเล่นใหม่” (การใช้อารมณ์แทนที่จะยอมรับผลด้วยดี)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก Longdo Dict

รู้จักคำพังเพยขี้ไม่ทันออกอย่าร้องหาหมา ที่มาและความหมาย

คำพังเพยหมวดหมู่ ข. ขี้ไม่ทันออกอย่าร้องหาหมา

ขี้ไม่ทันออกอย่าร้องหาหมา หมายถึง

คำพังเพย “ขี้ไม่ทันออกอย่าร้องหาหมา” หมายถึง การกระทำสิ่งใดที่ยังไม่เห็นผลหรือยังไม่ประสบความสำเร็จ อย่าเพิ่งคุยโวโอ้อวดหรือประกาศออกไป เพราะอาจทำให้เสียหน้าได้หากสิ่งที่คาดหวังไว้ไม่เป็นไปตามที่คิด คำพังเพยนี้สอนให้รู้จักรอผลลัพธ์ที่แน่นอนก่อนแสดงความภาคภูมิใจ กล่าวคือ “การทำสิ่งใดที่ยังไม่สำเร็จ อย่าเพิ่งคุยโวหรือประกาศออกไป” นั่นเอง

ที่มาและความหมายขี้ไม่ทันออกอย่าร้องหาหมา

ที่มาของคำพังเพยนี้

มาจากวิถีชีวิตในอดีตที่สุนัขมักถูกเรียกมาเพื่อจัดการกับสิ่งสกปรก เช่น อุจจาระหรือของเสีย แต่ถ้าสิ่งนั้นยังไม่เกิดขึ้น เช่น ขี้ยังไม่ออก การเรียกหาสุนัขมาก่อนก็เป็นการกระทำที่ไม่จำเป็น และดูเหมือนไม่รู้จักกาลเทศะ

คำพังเพยนี้จึงถูกนำมาเปรียบเปรยกับการกระทำของคนที่รีบร้อนคุยโวหรือโอ้อวดสิ่งที่ยังไม่สำเร็จจริง ๆ ทำให้ดูไม่เหมาะสมและอาจทำให้เสียหน้าในภายหลัง

ตัวอย่างการใช้คำพังเพยนี้

  • นายเอกเพิ่งเริ่มทำโปรเจกต์แต่ยังไม่เห็นผลสำเร็จ เขากลับรีบไปบอกทุกคนว่าโปรเจกต์นี้จะประสบความสำเร็จแน่นอน สุดท้ายเมื่อเกิดปัญหา เขาถูกตำหนิว่า “ขี้ไม่ทันออกอย่าร้องหาหมา” (แสดงถึงการรีบโอ้อวดทั้งที่ยังไม่มีผลลัพธ์)
  • แดงบอกเพื่อนว่าเขาได้งานใหม่ทั้งที่เพิ่งผ่านสัมภาษณ์และยังไม่ได้รับจดหมายตอบรับ เมื่อไม่ได้งานจริง เขาถูกเพื่อนแซวว่า “ทีหลังอย่าขี้ไม่ทันออกแล้วร้องหาหมา” (เตือนให้รอผลลัพธ์ที่แน่นอนก่อนพูด)
  • นางสมรประกาศกับเพื่อนบ้านว่าจะปลูกผักขายจนร่ำรวย ทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มปลูกเลย เมื่อถูกถามถึงความคืบหน้า นางสมรตอบไม่ได้ ทำให้เพื่อนบ้านพูดว่า “ขี้ไม่ทันออกก็ร้องหาหมาแล้ว” (การพูดโอ้อวดล่วงหน้าเกินความเป็นจริง)
  • เด็กนักเรียนประกาศว่าจะได้ที่หนึ่งในการสอบครั้งนี้ ทั้งที่ยังไม่ได้อ่านหนังสือและยังไม่รู้ผลสอบ ครูจึงเตือนว่า “อย่าขี้ไม่ทันออกแล้วร้องหาหมานะ ตั้งใจทำให้สำเร็จก่อน” (การพูดก่อนทำอาจทำให้เสียหน้า)
  • ทีมฟุตบอลในหมู่บ้านคุยโม้ก่อนแข่งว่าจะชนะทีมคู่แข่งแน่นอน แต่สุดท้ายกลับแพ้อย่างขาดลอย ชาวบ้านจึงพูดกันว่า “ทีหลังอย่าขี้ไม่ทันออกแล้วร้องหาหมา จะได้ไม่อาย” (การโอ้อวดก่อนผลลัพธ์ที่แท้จริงนำมาซึ่งความอับอาย)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจากสุภาษิตวันละคำ

รู้จักคำพังเพยขายหน้าวันละห้าเบี้ย ที่มาและความมหมาย

คำพังเพยหมวดหมู่ ข. ขายหน้าวันละห้าเบี้ย

ขายหน้าวันละห้าเบี้ย หมายถึง

คำพังเพย “ขายหน้าวันละห้าเบี้ย” หมายถึง การต้องอับอายขายหน้าอยู่ทุกวัน หรือเป็นประจำ กล่าวคือ ต้องเสียเกียรติยศ เสียศักดิ์ศรี ถูกหัวเราะเยาะอยู่ทุกวี่ทุกวัน เนื่องจากพฤติกรรมหรือการกระทำที่ไม่น่าภาคภูมิใจ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม คำพังเพยนี้มักใช้เปรียบเปรยถึงคนที่ทำให้ตัวเองหรือผู้อื่นอับอายอยู่บ่อยครั้ง กล่าวคือ “เรื่องที่ทำให้ต้องอับอายขายหน้าอยู่ทุกวัน” นั่นเอง

ที่มาและความหมายขายหน้าวันละห้าเบี้ย

ที่มาของคำพังเพยนี้

มาจากวิถีชีวิตในอดีตที่การซื้อขายสินค้ามีการใช้เบี้ย (เปลือกหอยที่ใช้แทนเงิน) เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยน คำว่า “ขายหน้า” ในที่นี้หมายถึงการเสียเกียรติหรือศักดิ์ศรี เปรียบเหมือนการขายของที่มีราคาถูกจนทำให้สูญเสียคุณค่า คำว่า “วันละห้าเบี้ย” สื่อถึงการเกิดเรื่องอับอายซ้ำ ๆ ทุกวันในลักษณะของความคุ้นชินหรือเป็นกิจวัตร คำพังเพยนี้จึงสะท้อนถึงคนที่มักประสบกับเหตุการณ์เสียหน้า หรือแสดงพฤติกรรมไม่น่าภูมิใจอยู่ตลอดจนกลายเป็นเรื่องปกติ

ตัวอย่างการใช้คำพังเพยนี้

  • สมชายเป็นพนักงานในบริษัทที่มักทำตัวไม่เหมาะสม เช่น พูดจาหยาบคาย ใส่เสื้อผ้าไม่สุภาพ หรือส่งงานล่าช้าต่อหน้าลูกค้า ทำให้เพื่อนร่วมงานและหัวหน้าเสียหน้าบ่อยครั้ง เพื่อน ๆ ถึงกับพูดว่า “สมชายชอบทำตัวแบบนี้เหมือนขายหน้าวันละห้าเบี้ย ไม่เคยคิดจะปรับปรุงเลย” (พฤติกรรมไม่เหมาะสมที่เกิดซ้ำ ๆ ทำให้เสียศักดิ์ศรีในที่ทำงาน)
  • นักเรียนชื่อแดงมักโดนครูเรียกมาตำหนิหน้าเสาธงทุกเช้า เพราะไม่ทำการบ้าน หรือทำผิดระเบียบโรงเรียน เช่น มาโรงเรียนสายหรือทะเลาะกับเพื่อนจนกลายเป็นที่พูดถึงในกลุ่มเพื่อนร่วมชั้น ครูใหญ่ถึงกับกล่าวว่า “การกระทำแบบนี้ของแดงคงต้องขายหน้าวันละห้าเบี้ยอีกนาน ถ้าไม่ยอมเปลี่ยนพฤติกรรม” (แสดงถึงการทำผิดซ้ำ ๆ ที่ส่งผลต่อชื่อเสียงและภาพลักษณ์)
  • นางสมรชอบวิพากษ์วิจารณ์เพื่อนบ้านในตลาดเป็นประจำ ไม่ว่าจะเรื่องการแต่งตัวหรือการทำธุรกิจจนกลายเป็นที่ไม่พอใจในหมู่พ่อค้าแม่ค้า และมักถูกตำหนิกลับต่อหน้าคนอื่น ทำให้เสียหน้าอยู่ตลอด เพื่อนบ้านพูดกันว่า “นางสมรนี่ไม่เบาเลย ขายหน้าวันละห้าเบี้ยยังไม่รู้สึกตัวอีก” (การพูดจาไม่เหมาะสมจนเป็นที่นินทาในสังคม)
  • นายแดงติดนิสัยดื่มเหล้าเมามายทุกเย็น พอเมาก็ทะเลาะวิวาทกับคนในหมู่บ้านอยู่เป็นประจำ จนชาวบ้านเอาไปพูดถึงว่า “นายแดงนี่เหมือนขายหน้าวันละห้าเบี้ย ไม่รู้จักอายลูกอายเมีย” แม้คนในบ้านจะเตือนก็ยังไม่หยุดพฤติกรรมนี้ (พฤติกรรมซ้ำ ๆ ที่ทำให้ตัวเองและครอบครัวต้องอับอายต่อสังคม)
  • ลูกจ้างบางคนในร้านอาหารมักมาทำงานสายทุกวัน แม้ถูกเตือนหลายครั้งก็ยังไม่ปรับตัว ทั้งยังทำจานหล่นและพูดไม่สุภาพกับลูกค้าอยู่เป็นประจำ หัวหน้าเลยตำหนิว่า “ถ้าไม่เลิกพฤติกรรมแบบนี้ เจ้าคงต้องขายหน้าวันละห้าเบี้ยให้ลูกค้าจำชื่อไปอีกนานแน่ ๆ” (แสดงถึงการไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองจนสร้างความอับอายให้กับทั้งตัวเองและร้าน)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก Longdo Dict

รู้จักคำพังเพยขนทรายเข้าวัด ที่มาและความหมาย

คำพังเพยหมวดหมู่ ข. ขนทรายเข้าวัด

ขนทรายเข้าวัด หมายถึง

คำพังเพย “ขนทรายเข้าวัด” หมายถึง การทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม โดยเปรียบเปรยถึงการช่วยขนทรายทีละเล็กละน้อยเข้าวัด ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ช่วยสร้างความมั่นคงและความสะอาดให้กับพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ แม้จะดูเป็นงานเล็ก ๆ แต่หากทุกคนร่วมมือกันก็จะเกิดผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ กล่าวคือ “การหาประโยชน์ให้ส่วนรวม” นั่นเอง

คำพังเพยนี้จึงสอนให้เห็นถึงความสำคัญของการเสียสละ ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม แม้จะเป็นสิ่งเล็กน้อย หากทำด้วยความตั้งใจและความร่วมแรงร่วมใจ ก็สามารถสร้างสิ่งที่ดีและยั่งยืนได้ในสังคม

ที่มาและความหมายขนทรายเข้าวัด

ที่มาของคำพังเพยนี้

มาจากวิถีชีวิตของคนไทยในอดีตที่มีความผูกพันกับวัดในฐานะศูนย์รวมจิตใจของชุมชน การขนทรายเข้าวัดเป็นกิจกรรมที่ชาวบ้านทำร่วมกันในโอกาสสำคัญ เช่น การบูรณะพื้นที่วัด การสร้างพระเจดีย์ทรายในช่วงเทศกาลสงกรานต์ หรือการปรับพื้นที่ในวัดให้สะอาดเรียบร้อย

กิจกรรมนี้สะท้อนถึงความร่วมแรงร่วมใจของชุมชนในการทำสิ่งเล็กน้อยเพื่อประโยชน์ส่วนรวม แม้การขนทรายหนึ่งคนจะดูเหมือนไม่มาก แต่เมื่อทุกคนช่วยกัน ก็สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ได้ คำพังเพยนี้จึงนำมาใช้ในความหมายเชิงเปรียบเปรยถึงการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมด้วยความเสียสละและความตั้งใจ

ตัวอย่างการใช้คำพังเพยนี้

  • ในวันทำความสะอาดชุมชน ทุกคนช่วยกันเก็บขยะและปลูกต้นไม้ แม้แต่เด็ก ๆ ก็มาร่วมด้วย เพื่อนบ้านคนหนึ่งกล่าวว่า “แบบนี้แหละเหมือนขนทรายเข้าวัด งานเล็กน้อยแต่ถ้าทุกคนช่วยกันก็เกิดประโยชน์ใหญ่หลวง” (แสดงถึงความร่วมมือในการทำสิ่งดีเพื่อส่วนรวม)
  • บริษัทจัดโครงการบริจาคสิ่งของให้โรงเรียนในชนบท พนักงานทุกคนต่างช่วยกันบริจาคสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ และร่วมกันจัดของส่งไปโรงเรียน (เหมือนการขนทรายเข้าวัดที่ทุกคนทำสิ่งเล็ก ๆ แต่เกิดผลดีต่อส่วนรวม)
  • ในงานทอดกฐิน ชาวบ้านช่วยกันคนละไม้คนละมือ บ้างก็ช่วยตั้งโรงทาน บ้างช่วยขนของ เพื่อนบ้านจึงพูดว่า “ทุกคนขยันแบบนี้ เหมือนขนทรายเข้าวัดช่วยกัน งานถึงสำเร็จได้เร็ว” (แสดงถึงความสามัคคีในการทำประโยชน์)
  • นักศึกษากลุ่มหนึ่งช่วยกันจัดกิจกรรมปลูกป่า แม้ต้นกล้าที่ปลูกจะดูเล็กน้อย แต่พวกเขากล่าวว่า “แค่เราลงมือทำ มันก็เหมือนขนทรายเข้าวัด วันหนึ่งมันจะกลายเป็นผืนป่าใหญ่ได้” (สะท้อนความสำคัญของการทำสิ่งดีเล็ก ๆ เพื่ออนาคต)
  • ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ชาวบ้านช่วยกันขนทรายจากลำคลองมาถมในวัดเพื่อสร้างเจดีย์ทราย คุณปู่กล่าวกับหลานว่า “นี่แหละเหมือนคำว่า ขนทรายเข้าวัด งานเล็ก ๆ แต่ช่วยสร้างความสุขให้กับทุกคนในชุมชน” (ตัวอย่างตรงตามความหมายของคำพังเพย)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก Longdo Dict