Tag: สำนวนไทย ก.
-
รู้จักสำนวนกรรมติดจรวด ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กรรมติดจรวด กรรมติดจรวด หมายถึง สำนวน “กรรมติดจรวด” หมายถึง ผลของการกระทำไม่ดีที่ส่งผลกลับมาผู้ที่กระทำอย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องรอเวลานาน มักใช้ในเชิงลบ เมื่อคนทำผิดแล้วได้รับผลกรรมอย่างทันตาเห็น เปรียบเสมือนจรวดที่พุ่งไปอย่างรวดเร็ว เมื่อทำสิ่งไม่ดี ผลลัพธ์ก็ตามมาทันที โดยไม่ต้องรอให้เวลาผ่านไปนาน กล่าวคือ “การทำชั่วที่ส่งผลต่อผู้กระทำอย่างรวดเร็ว” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจาก แนวคิดเรื่องกฎแห่งกรรมในพุทธศาสนา ที่สอนว่าผลของการกระทำจะย้อนกลับมาหาผู้กระทำเอง ไม่ช้าก็เร็ว เดิมที ความเชื่อเกี่ยวกับกรรมมองว่าการทำดีหรือทำชั่วจะส่งผลในอนาคต ซึ่งอาจใช้เวลานานกว่าผลจะปรากฏ แต่เมื่อเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะ “จรวด” ซึ่งสามารถพุ่งไปด้วยความเร็วสูง ถูกนำมาเปรียบเปรยให้เห็นภาพของผลกรรมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทันตาเห็น ไม่ต้องรอข้ามภพข้ามชาติ ดังนั้นสำนวนนี้จึงหมายถึง การกระทำที่ส่งผลร้ายกลับมาอย่างรวดเร็วทันที คล้ายกับจรวดที่พุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่มีสิ่งใดขวางกั้น มักใช้กับกรณีที่คนทำผิดแล้วได้รับผลลัพธ์ไวเกินคาด จนไม่มีโอกาสแก้ตัว ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนเกลือจิ้มเกลือ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. เกลือจิ้มเกลือ เกลือจิ้มเกลือ หมายถึง สำนวน “เกลือจิ้มเกลือ” หมายถึง การตอบโต้หรือแก้ปัญหาด้วยวิธีการเดียวกัน หรือการใช้สิ่งที่มีลักษณะคล้ายกันมารับมือหรือแก้ไขปัญหา เช่น การใช้ความรุนแรงตอบโต้ความรุนแรง หรือใช้เล่ห์เหลี่ยมแก้เล่ห์เหลี่ยม สำนวนนี้สื่อถึงการรับมือกับสถานการณ์โดยใช้วิธีการที่สมดุลหรือเท่าเทียมกัน เมื่อฝ่ายหนึ่งกระทำสิ่งใด อีกฝ่ายก็ใช้วิธีเดียวกันแก้เผ็ดกลับไปเพื่อให้สมน้ำสมเนื้อหรือเสมอกันในสถานการณ์นั้น ๆ กล่าวคือ “การไม่ยอมเสียเปรียบกัน, การแก้เผ็ดให้สาสมกัน” นั่นเอง ที่มาของสำนวนนี้ มีที่มาจากการเปรียบเทียบการใช้ เกลือ ซึ่งเป็นของรสเค็ม มาจิ้มกับเกลือด้วยกันเอง สื่อถึงการใช้สิ่งที่มีลักษณะหรือคุณสมบัติเดียวกันเพื่อตอบโต้หรือรับมือกัน วิถีชีวิตของคนไทยที่นิยมใช้เกลือในการจิ้มผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะม่วง มะยม หรือผลไม้ชนิดอื่น เพื่อช่วยกลบรสเปรี้ยวและทำให้รสชาติกลมกล่อมขึ้น เกลือจึงไม่ได้ทำหน้าที่แค่เพิ่มรสชาติ แต่ยังช่วยสร้างสมดุลระหว่างรสเปรี้ยวกับเค็ม อย่างไรก็ตาม หากนำ เกลือมากับจิ้มเกลือ ซึ่งมีรสเค็มเหมือนกัน จะไม่เกิดความกลมกล่อมหรือการเปลี่ยนแปลงของรสชาติ แต่กลับทำให้รับรู้ถึงความเค็มที่ชัดเจนยิ่งขึ้น การเปรียบเทียบนี้สะท้อนถึงการใช้สิ่งที่เหมือนกันหรือมีคุณสมบัติเดียวกันมาต่อสู้หรือตอบโต้กันเอง โดยไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ จึงเกิดเป็นสำนวนที่หมายถึงการใช้วิธีหรือสิ่งที่เท่าเทียมกันมาตอบโต้กันอย่างสมดุล ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนเก็บหอมรอมริบ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. เก็บหอมรอมริบ เก็บหอมรอมริบ หมายถึง สำนวน “เก็บหอมรอมริบ” หมายถึง การประหยัดอดออมและสะสมทรัพย์สินทีละเล็กละน้อยอย่างอดทน เพื่อใช้ในยามจำเป็นหรือเพื่อเป้าหมายในอนาคต เปรียบเหมือนการเก็บ “หอม” (สิ่งเล็กๆ น้อยๆ) และ “รอมริบ” (สะสมไว้) ซึ่งแม้จะเป็นสิ่งเล็กน้อย แต่เมื่อสะสมไปเรื่อย ๆ ก็จะกลายเป็นทรัพย์สินหรือเงินทองจำนวนมากในภายหลัง สำนวนนี้มักใช้เพื่อส่งเสริมความพากเพียรและความอดออมในชีวิต กล่าวคือ “การเก็บรวบรวมไว้ทีละเล็กละน้อย” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มีที่มาจากการเปรียบเปรยถึงการเก็บสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น “หอม” ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายถึงพืชชนิดหนึ่ง แต่หมายถึงสิ่งเล็ก ๆ หรือเงินจำนวนเล็กน้อย รวมถึงคำว่า “รอมริบ” ที่หมายถึงการเก็บสะสมอย่างต่อเนื่อง ด้วยความอดทน ในอดีต คนไทยให้ความสำคัญกับการอดออมและสะสมทรัพย์สิน แม้จะเป็นเพียงจำนวนเล็กน้อย แต่เมื่อสะสมไปเรื่อย ๆ ก็จะกลายเป็นทรัพย์สินที่มีค่าในระยะยาว สำนวนนี้จึงสื่อถึงวิถีชีวิตและแนวคิดเรื่องความพอเพียงและการวางแผนทางการเงินในยุคก่อน โดยเน้นความขยันหมั่นเพียรและความอดทนในการเก็บเล็กผสมน้อยเพื่อความมั่นคงในอนาคต ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนเก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน หมายถึง สำนวน “เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน” หมายถึง การเก็บเล็กผสมน้อย หรือสะสมสิ่งละเล็กละน้อยไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็นสิ่งที่มีค่าหรือมากขึ้น เปรียบเหมือนการเก็บ “เบี้ย” หรือเหรียญเล็ก ๆ ที่หล่นอยู่ใต้ถุนร้าน แม้จะดูเล็กน้อย แต่เมื่อสะสมไปเรื่อย ๆ ก็สามารถรวมเป็นจำนวนที่มีค่าได้ สำนวนนี้จึงสื่อถึงความพยายามและความอดทนในการเก็บหรือสะสมสิ่งเล็ก ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อเป้าหมายใหญ่ กล่าวคือ “การเก็บเล็กผสมน้อย, ทำอะไรที่ประกอบด้วยส่วนเล็กส่วนน้อย โน่นบ้างนี่บ้าง จนสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากวิถีชีวิตของคนไทยในอดีตที่มักค้าขายหรือทำกิจกรรมต่างๆ บนร้านยกพื้นสูง โดยใต้ถุนร้านมักมีเศษเหรียญหรือสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ ตกหล่นอยู่ โดยเบี้ยคือเปลือกหอยทะเลชนิดหนึ่ง ในสมัยก่อนเรียกว่าเบี้ยจั่น คนไทยสมัยก่อนใช้แทนเงิน คนที่ต้องการเก็บสิ่งเหล่านั้นจำเป็นต้องใช้ความอดทนในการค้นหาและเก็บสะสมสิ่งละเล็กละน้อย ซึ่งแม้จะดูไม่มีค่ามากในตอนแรก แต่เมื่อสะสมได้มากพอก็กลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่า สำนวนนี้ปรากฎในบทร้องเล่นของเด็กไทยว่ำ “รีรีข้าวสำร สองทะนำนข้ำวเปลือก เลือกท้องใบลำน คดข้าวใส่จำน เก็บเบี้ยใต้ถุนร้ำน พานเอาคนข้างหลังไว้” สำนวนนี้จึงใช้เปรียบเปรยถึงการค่อย ๆ สะสมหรือทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อย่างสม่ำเสมอ…
-
รู้จักสำนวนกัดก้อนเกลือกิน ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กัดก้อนเกลือกิน กัดก้อนเกลือกิน หมายถึง สำนวน “กัดก้อนเกลือกิน” หมายถึง การยอมใช้ชีวิตอย่างลำบากหรืออดทนต่อความยากจน โดยไม่ย่อท้อต่อปัญหา สื่อถึงความพอเพียงและความมุ่งมั่นที่จะอยู่ร่วมกัน แม้จะไม่มีความสะดวกสบายหรือความมั่งคั่งก็ตาม เปรียบเสมือนการกินเกลือ ซึ่งเป็นของที่เรียบง่ายและขาดรสชาติ แต่ก็ยังพอประทังชีวิตได้ กล่าวคือ “การใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้นมาก” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มีที่มาจากวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยก่อนที่เกลือถือเป็นเครื่องปรุงพื้นฐานที่หาได้ง่ายที่สุด แม้ในยามขัดสน ไม่มีอาหารอื่น ก็ยังสามารถพึ่งพาเกลือเพื่อประทังความหิวได้ เปรียบเสมือนการใช้ชีวิตที่ยากจนข้นแค้นแสนลำบาก ถึงขนาดต้องกัดก้อนเกลือกินกับข้าว หรือกินข้าวโรยเกลือบนกับข้าวแทนอาหาร สำนวนนี้มักใช้เพื่อสื่อถึงคู่ชีวิตหรือคนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างกันในทุกสภาพ ไม่ว่าจะยากดีมีจนหรือพบเจอปัญหาในชีวิตมากแค่ไหน การยอมอดทนใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย แม้จะขัดสน แต่ยังคงอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ย่อท้อต่อความลำบาก ก็พร้อมจะสู้ไปด้วยกัน แม้จะต้อง “กัดก้อนเกลือกิน” ก็ตาม ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนก้นหม้อไม่ทันดำ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. สำนวนก้นหม้อไม่ทันดำ ก้นหม้อไม่ทันดำ หมายถึง สำนวน “ก้นหม้อไม่ทันดำ” หมายถึง คนที่พึ่งแต่งงาน ใช้ชีวิตอยู่ร่วมด้วยกันได้ยังไม่นาน เป็นเพียงระยะอันแสนสั้น แต่ต้องมาเลิกอย่าล้างกันแล้วด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ เปรียบเปรยกับการหุงข้าวที่ยังไม่ทันใช้งานหม้อนานพอจนก้นหม้อดำ ก็แยกจากกันเสียก่อน สื่อถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ยืนยาว หรือการแต่งงานที่จบลงอย่างรวดเร็วโดยไม่มีโอกาสสร้างรากฐานชีวิตร่วมกันอย่างแท้จริง กล่าวคิอ “คู่สมรสที่อยู่ด้วยกันไม่นานก็เลิกร้างกันไป” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากวิถีชีวิตการหุงข้าวต้มแกงในสมัยก่อน ที่นิยมใช้หม้อดินและเตาฟืน เมื่อหม้อถูกตั้งบนเตาที่ใช้ฟืนเป็นเชื้อไฟนานเข้า เขม่าดำจากควันไฟจะติดก้นหม้อจนดำสนิท แต่หากหม้อถูกใช้งานเพียงไม่นาน ก้นหม้อก็จะยังไม่ทันดำ สำนวนนี้จึงถูกนำมาเปรียบเทียบกับคู่สมรสที่อยู่ด้วยกันเพียงไม่นานก็เลิกร้างกันไป โดยมีความหมายเชิงตำหนิว่าไม่มีความอดทนหรือไม่ให้โอกาสกันในชีวิตคู่ ตัวอย่างของสำนวนนี้ปรากฏในบทละครนอกเรื่องไชยเชษฐ์ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โดยท้าวสิงหลได้กล่าวตำหนิพระไชยเชษฐ์ที่ไล่นางสุวิญชาออกจากเมืองว่า: “เสียแรงเราออกปากฝากฝังไว้ จะโกรธขึ้งถึงกระไรก็นานนาน อยู่ด้วยกันก้นหม้อไม่ทันดำ หรือมาทำเฉินฉุกสนุกจ้าน” แม้ในปัจจุบันการหุงหาอาหารจะเปลี่ยนไป ไม่ได้ใช้เตาฟืนเช่นในอดีต สำนวนนี้ก็ยังคงใช้กันอยู่ในความหมายเดิมเมื่อกล่าวถึงสามีภรรยาที่ใช้ชีวิตคู่ไม่นานแล้วแยกทางกัน ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนกินน้ำใต้ศอก ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กินน้ำใต้ศอก กินน้ำใต้ศอก หมายถึง สำนวน “กินน้ำใต้ศอก” หมายถึง การยอมเป็นรองผู้อื่นหรือยอมอยู่ในฐานะที่ต่ำกว่า โดยเฉพาะในความสัมพันธ์ที่มีความรักหรือผูกพัน แต่ไม่สามารถเป็นตัวเลือกหลักหรือคนสำคัญได้ มักใช้ในบริบทของความรักที่ต้องยอมรับสถานะที่ด้อยกว่าคนอื่น หรือเป็นคนที่ต้องอยู่ในเงื่อนไขที่เสียเปรียบ กล่าวคือ “จำต้องยอมเป็นรองเขา, ไม่เทียมหน้าเทียมตาเท่า (มักหมายถึงเมียน้อยที่ต้องยอมลงให้แก่เมียหลวง)” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบการกินน้ำด้วยกระบวย น้ำที่รั่วออกมาตรงด้ามกระบวยจะไหลมาสู่แขนแล้วสิ้นสุดหยดลงตรงปลายข้อศอก คาดว่ามาจากวัฒนธรรมของอินเดียการแบ่งชนชั้นวรรณะ โดยการกินสะอาด คนกินน้ำแล้วมีคนอีกคนหนึ่งก้มลงแล้วเอามือไปรองกินน้ำที่หยดใต้ศอก คนที่ไปกินน้ำที่ใต้ศอกเขานั้น คงจะเป็นจัณฑาล หรือไม่ก็ศูทร จึงจะไปกินน้ำร่วมบ่อกับคนที่วรรณะสูงไม่ได้ เพราะตำแหน่งหรือสถานะที่ต่ำกว่า โดยคำว่า “น้ำใต้ศอก“ หมายถึงน้ำที่ไหลจากส่วนล่างของแขนหรือศอก ซึ่งเป็นบริเวณที่ต่ำสุดเมื่อยืนหรือนั่ง แต่ในสังคมและวัฒนธรรมไทยให้ความสำคัญกับลำดับชั้นในครอบครัว โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างสามีและภรรยา ในบริบทของสังคมไทย ภรรยาหลวงหรือคู่สมรสหลักจะถูกยอมรับว่าเป็นผู้มีศักดิ์ศรีและสถานะที่สูงกว่า ซึ่งแสดงถึงการได้รับการยอมรับและให้เกียรติ ขณะที่เมียน้อยหรือผู้ที่มาอยู่ในฐานะรองจะต้องยอมรับในสถานะที่ด้อยกว่าและไม่ถูกยอมรับอย่างเต็มที่ในสังคม การใช้สำนวนนี้เปรียบเหมือนน้ำใต้ศอก ซึ่งหมายถึงการยอมอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่า และไม่ได้รับสิทธิ์หรือความสำคัญเทียบเท่าภรรยาหลวง เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการที่คนไทยให้ความสำคัญกับลำดับชั้นและศักดิ์ศรีในครอบครัว รวมถึงการต้องการให้สถานภาพของภรรยาหลวงชัดเจนและเป็นที่ยอมรับ ขณะที่เมียน้อยจะต้องยอมรับสถานะของตนว่าเป็นรอง ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนกลมเป็นลูกมะนาว ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กลมเป็นลูกมะนาว กลมเป็นลูกมะนาว หมายถึง สำนวน “กลมเป็นลูกมะนาว” หมายถึง คนที่มีความสามารถในการหลบเลี่ยงหรือหลีกเลี่ยงปัญหาได้คล่องแคล่ว จนจับตัวไม่ได้หรือจัดการไม่ได้ มักใช้ในทางไม่ดี เพื่อบอกถึงคนที่มีพฤติกรรมหลบเลี่ยงความรับผิดชอบ หรือใช้เล่ห์เหลี่ยมหลีกหนีปัญหาที่ตนเองก่อขึ้น เปรียบเสมือนลูกมะนาวที่มีความกลม สามารถกลิ้งไปได้ในทุกทิศทาง จึงจับหรือตรึงให้อยู่ที่ใดที่หนึ่งได้ยาก กล่าวคือ “ผู้ที่หลบหลีกไปได้คล่องจนจับไม่ติด (มักใช้ในทางไม่ดี)” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับลูกมะนาวที่มีลักษณะกลม ซึ่งสามารถกลิ้งไปได้ในทุกทิศทาง จับยึดไว้ได้ยาก เมื่อนำมาใช้ในเชิงเปรียบเปรย จึงสื่อถึงคนที่มีความสามารถในการหลบหลีกปัญหาได้อย่างคล่องแคล่ว จนจับตัวไม่ได้ โดยเฉพาะในกรณีที่คนคนนั้นพยายามเลี่ยงความรับผิดชอบหรือใช้เล่ห์เหลี่ยมในการหนีจากสถานการณ์ลำบาก ที่มาของสำนวนนี้สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกของผู้ที่พยายาม “จับ” หรือควบคุมคนที่มีลักษณะหลบหลีกเก่ง เปรียบได้กับการพยายามจับลูกมะนาวที่กลิ้งไปมา จึงยากที่จะทำให้หยุดนิ่งได้ ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนกวนน้ำให้ขุ่น ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กวนน้ำให้ขุ่น กวนน้ำให้ขุ่น หมายถึง สำนวน “กวนน้ำให้ขุ่น” หมายถึง การทำให้สถานการณ์ที่สงบเรียบร้อยกลับยุ่งเหยิงหรือแย่ลง หรือการสร้างความสับสนและวุ่นวายให้กับเรื่องที่ไม่มีปัญหา เปรียบเหมือนการกวนน้ำที่ใสให้กลายเป็นน้ำขุ่น ทำให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ยากขึ้น สื่อถึงการกระทำที่ทำให้สถานการณ์ที่ชัดเจนหรือเรียบร้อยกลับสับสนและมีปัญหาขึ้นมา กล่าวคือ “การทำเรื่องราวที่สงบอยู่แล้วให้เกิดเป็นปัญหาขึ้นมา” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับการกวนน้ำที่ใสสะอาด ซึ่งทำให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ใต้น้ำได้ชัดเจน เมื่อกวนน้ำให้ขุ่น จะทำให้น้ำไม่ใสและมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ใต้น้ำอีกต่อไป เปรียบเสมือนกับการสร้างความยุ่งยากหรือความสับสนให้กับสถานการณ์ที่เคยสงบเรียบร้อยหรือชัดเจน กลายเป็นเรื่องที่มีปัญหาหรือมองไม่ออก การใช้สำนวนนี้สะท้อนถึงการกระทำที่ไม่จำเป็นหรือเป็นการจงใจสร้างปัญหาหรือความวุ่นวาย ทำให้สถานการณ์ที่เคยเรียบร้อยกลับแย่ลง ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนไกลปืนเที่ยง ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. ไกลปืนเที่ยง ไกลปืนเที่ยง หมายถึง สำนวน “ไกลปืนเที่ยง” หมายถึง สถานที่ห่างไกลจากความเจริญ หรือผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ไม่ได้รับรู้ข่าวสารหรือวัฒนธรรมจากภายนอกมากนัก มักใช้เพื่อบอกถึงสถานที่หรือคนที่ไม่ทันต่อเหตุการณ์หรือการพัฒนาทางสังคม คล้ายกับการอยู่ในถิ่นทุรกันดาร กล่าวคือ “คนที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเพราะอยู่ห่างไกลความเจริญ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้ที่มาจากยุคโบราณที่ใช้ปืนใหญ่เป็นสัญญาณบอกเวลาในช่วงเที่ยงวัน ซึ่งปืนใหญ่มักประจำการอยู่ในเมืองหลวงหรือศูนย์กลางของเมืองที่เจริญ ดังนั้นผู้ที่อยู่ไกลออกไปจากเมืองจึงไม่สามารถได้ยินเสียงปืนสัญญาณนี้ การบอกเวลาของคนไทยในยุคโบราณที่ใช้ปืนใหญ่ ประจำการในเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่เพื่อยิงเป็นสัญญาณบอกเวลาเที่ยงวัน เสียงปืนนี้ใช้เพื่อให้คนในเมืองรู้เวลาและสามารถจัดกิจกรรมหรือนัดหมายได้ตามความเจริญที่มีอยู่เฉพาะในเมืองใหญ่ ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากเมืองใหญ่ เช่น ชนบทหรือพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก มักจะไม่ได้ยินเสียงปืนเที่ยง และไม่สามารถรับรู้เวลาได้ จึงใช้คำว่า “ไกลปืนเที่ยง” เป็นสำนวนที่สื่อถึงคนที่อาศัยอยู่ห่างไกลจากความเจริญ ขาดการติดต่อกับโลกภายนอก และไม่ค่อยได้รับรู้ข่าวสารหรือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น สำนวนนี้สะท้อนวิถีชีวิตของคนไทยสมัยก่อนที่มีความแตกต่างระหว่างพื้นที่เมืองและชนบทอย่างชัดเจน ตัวอย่างการใช้สำนวน