รู้จักสำนวนเกลือจิ้มเกลือ ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ก. เกลือจิ้มเกลือ

เกลือจิ้มเกลือ หมายถึง

สำนวน “เกลือจิ้มเกลือ” หมายถึง การตอบโต้หรือแก้ปัญหาด้วยวิธีการเดียวกัน หรือการใช้สิ่งที่มีลักษณะคล้ายกันมารับมือหรือแก้ไขปัญหา เช่น การใช้ความรุนแรงตอบโต้ความรุนแรง หรือใช้เล่ห์เหลี่ยมแก้เล่ห์เหลี่ยม สำนวนนี้สื่อถึงการรับมือกับสถานการณ์โดยใช้วิธีการที่สมดุลหรือเท่าเทียมกัน เมื่อฝ่ายหนึ่งกระทำสิ่งใด อีกฝ่ายก็ใช้วิธีเดียวกันแก้เผ็ดกลับไปเพื่อให้สมน้ำสมเนื้อหรือเสมอกันในสถานการณ์นั้น ๆ กล่าวคือ “ไม่ยอมเสียเปรียบกัน, แก้เผ็ดให้สาสมกัน” นั่นเอง

ที่มาและความหมายเก็บหอมรอมริบ

ที่มาของสำนวนนี้

มีที่มาจากการเปรียบเทียบการใช้ เกลือ ซึ่งเป็นของรสเค็ม มาจิ้มกับเกลือด้วยกันเอง สื่อถึงการใช้สิ่งที่มีลักษณะหรือคุณสมบัติเดียวกันเพื่อตอบโต้หรือรับมือกัน

วิถีชีวิตของคนไทยที่นิยมใช้เกลือในการจิ้มผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะม่วง มะยม หรือผลไม้ชนิดอื่น เพื่อช่วยกลบรสเปรี้ยวและทำให้รสชาติกลมกล่อมขึ้น เกลือจึงไม่ได้ทำหน้าที่แค่เพิ่มรสชาติ แต่ยังช่วยสร้างสมดุลระหว่างรสเปรี้ยวกับเค็ม

อย่างไรก็ตาม หากนำ เกลือมากับจิ้มเกลือ ซึ่งมีรสเค็มเหมือนกัน จะไม่เกิดความกลมกล่อมหรือการเปลี่ยนแปลงของรสชาติ แต่กลับทำให้รับรู้ถึงความเค็มที่ชัดเจนยิ่งขึ้น การเปรียบเทียบนี้สะท้อนถึงการใช้สิ่งที่เหมือนกันหรือมีคุณสมบัติเดียวกันมาต่อสู้หรือตอบโต้กันเอง โดยไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ จึงเกิดเป็นสำนวนที่หมายถึงการใช้วิธีหรือสิ่งที่เท่าเทียมกันมาตอบโต้กันอย่างสมดุล

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • ในการประชุมธุรกิจ ผู้บริหารคนหนึ่งพยายามต่อรองกดดันคู่ค้าด้วยการลดราคาสินค้าให้ต่ำลงเพื่อได้เปรียบ แต่คู่ค้าเองกลับลดราคาสินค้าเหมือนกันจนไม่มีใครได้เปรียบ (การตอบโต้ด้วยวิธีเดียวกัน ทำให้สถานการณ์กลับมาเสมอกัน)
  • พนักงานในออฟฟิศชอบทำตัวขี้เกียจ หลบงานโดยส่งงานให้คนอื่นทำ แต่เมื่อหัวหน้างานรู้เรื่อง จึงมอบหมายงานที่หนักและยากกว่าให้เขาแก้ปัญหาเอง (การตอบโต้พฤติกรรมหลบงานด้วยวิธีที่ทำให้เขาต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง สะท้อนถึงการใช้เกลือจิ้มเกลือ)
  • เพื่อนบ้านหลังหนึ่งทิ้งขยะหน้าบ้านของอีกหลังหนึ่ง ทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ จึงตอบโต้ด้วยการกวาดขยะกลับไปที่หน้าบ้านคนแรกจนทั้งสองฝ่ายเริ่มทะเลาะกัน (การใช้พฤติกรรมเดียวกันโต้กลับเพื่อให้เกิดผลสมดุล เป็นตัวอย่างชัดของเกลือจิ้มเกลือ)
  • ในละคร ตัวร้ายขโมยสมบัติของตัวเอกด้วยกลโกง ตัวเอกจึงใช้แผนลับย้อนกลับไปโกงสมบัติคืนมาได้สำเร็จ (การตอบโต้ด้วยกลโกงในแบบเดียวกันเพื่อเอาคืน สะท้อนถึงการใช้เกลือจิ้มเกลือ)
  • เจ้าของร้านสองแห่งในตลาดพยายามดึงลูกค้ากันด้วยการลดราคาสินค้าแบบไม่มีใครยอมใคร สุดท้ายทั้งสองฝ่ายขายสินค้าแบบขาดทุน (การลดราคาของทั้งสองร้านตอบโต้กันจนไม่มีฝ่ายใดได้ประโยชน์ เป็นการใช้เกลือจิ้มเกลือในเชิงลบ)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายสำนวนนี้

  • ชิงไหวชิงพริบ หมายถึง: การต่อสู้หรือแข่งขันโดยใช้เล่ห์เหลี่ยมหรือไหวพริบที่เท่าเทียมกัน

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนเก็บหอมรอมริบ ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ก. เก็บหอมรอมริบ

เก็บหอมรอมริบ หมายถึง

สำนวน “เก็บหอมรอมริบ” หมายถึง การประหยัดอดออมและสะสมทรัพย์สินทีละเล็กละน้อยอย่างอดทน เพื่อใช้ในยามจำเป็นหรือเพื่อเป้าหมายในอนาคต เปรียบเหมือนการเก็บ “หอม” (สิ่งเล็กๆ น้อยๆ) และ “รอมริบ” (สะสมไว้) ซึ่งแม้จะเป็นสิ่งเล็กน้อย แต่เมื่อสะสมไปเรื่อย ๆ ก็จะกลายเป็นทรัพย์สินหรือเงินทองจำนวนมากในภายหลัง สำนวนนี้มักใช้เพื่อส่งเสริมความพากเพียรและความอดออมในชีวิต กล่าวคือ “การเก็บรวบรวมไว้ทีละเล็กละน้อย” นั่นเอง

ที่มาและความหมายเก็บหอมรอมริบ

ที่มาของสำนวนนี้

มีที่มาจากการเปรียบเปรยถึงการเก็บสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น “หอม” ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายถึงพืชชนิดหนึ่ง แต่หมายถึงสิ่งเล็ก ๆ หรือเงินจำนวนเล็กน้อย รวมถึงคำว่า “รอมริบ” ที่หมายถึงการเก็บสะสมอย่างต่อเนื่อง ด้วยความอดทน

ในอดีต คนไทยให้ความสำคัญกับการอดออมและสะสมทรัพย์สิน แม้จะเป็นเพียงจำนวนเล็กน้อย แต่เมื่อสะสมไปเรื่อย ๆ ก็จะกลายเป็นทรัพย์สินที่มีค่าในระยะยาว สำนวนนี้จึงสื่อถึงวิถีชีวิตและแนวคิดเรื่องความพอเพียงและการวางแผนทางการเงินในยุคก่อน โดยเน้นความขยันหมั่นเพียรและความอดทนในการเก็บเล็กผสมน้อยเพื่อความมั่นคงในอนาคต

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • เขาเก็บหอมรอมริบจากเงินเดือนเล็ก ๆ น้อย ๆ จนสามารถซื้อบ้านหลังแรกได้สำเร็จ (หมายถึงการสะสมเงินอย่างอดทนจนบรรลุเป้าหมายใหญ่)
  • พ่อแม่สอนให้เรารู้จักเก็บหอมรอมริบตั้งแต่เด็ก เพื่อจะได้มีเงินเก็บไว้ใช้ในอนาคต (หมายถึงการปลูกฝังนิสัยการออมเงินตั้งแต่ยังเล็ก)
  • ถึงรายได้จะไม่มาก แต่ถ้าเก็บหอมรอมริบไปเรื่อย ๆ วันหนึ่งเราก็จะมีเงินก้อนสำหรับลงทุน (หมายถึงการประหยัดและสะสมเงินเล็กน้อยอย่างต่อเนื่อง)
  • เธอเก็บหอมรอมริบจากการขายของออนไลน์จนสามารถเปิดร้านของตัวเองได้ (หมายถึงการสะสมเงินจากรายได้ทีละเล็กทีละน้อยจนมีทุนสำหรับทำสิ่งที่ใหญ่ขึ้น)
  • เขาต้องเก็บหอมรอมริบจากการทำงานพิเศษเพื่อจ่ายค่าเล่าเรียนด้วยตัวเอง (หมายถึงการสะสมเงินอย่างอดทนเพื่อเป้าหมายทางการศึกษา)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายสำนวนนี้

  • เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน หมายถึง: การเก็บเล็กผสมน้อย, ทำอะไรที่ประกอบด้วยส่วนเล็กส่วนน้อย โน่นบ้างนี่บ้าง จนสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
  • เข้าพกเข้าห่อ หมายถึง: การรู้จักเก็บสิ่งของหรือผลประโยชน์ไว้เป็นส่วนของตัวเอง โดยมักสื่อถึงความรอบคอบในการเก็บออม ไม่ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย หรือการเก็บสิ่งที่ได้มาไว้เพื่อนำไปใช้ในอนาคต
  • ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม หมายถึง: การทำสิ่งใดด้วยความอดทนและค่อยเป็นค่อยไป ย่อมได้ผลลัพธ์ที่ดี

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนเก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ก. เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน

เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน หมายถึง

สำนวน “เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน” หมายถึง การเก็บเล็กผสมน้อย หรือสะสมสิ่งละเล็กละน้อยไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็นสิ่งที่มีค่าหรือมากขึ้น เปรียบเหมือนการเก็บ “เบี้ย” หรือเหรียญเล็ก ๆ ที่หล่นอยู่ใต้ถุนร้าน แม้จะดูเล็กน้อย แต่เมื่อสะสมไปเรื่อย ๆ ก็สามารถรวมเป็นจำนวนที่มีค่าได้ สำนวนนี้จึงสื่อถึงความพยายามและความอดทนในการเก็บหรือสะสมสิ่งเล็ก ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อเป้าหมายใหญ่ กล่าวคือ “การเก็บเล็กผสมน้อย, ทำอะไรที่ประกอบด้วยส่วนเล็กส่วนน้อย โน่นบ้างนี่บ้าง จนสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา” นั่นเอง

ที่มาและความหมายเก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน

ที่มาของสำนวนนี้

มาจากวิถีชีวิตของคนไทยในอดีตที่มักค้าขายหรือทำกิจกรรมต่างๆ บนร้านยกพื้นสูง โดยใต้ถุนร้านมักมีเศษเหรียญหรือสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ ตกหล่นอยู่ โดยเบี้ยคือเปลือกหอยทะเลชนิดหนึ่ง ในสมัยก่อนเรียกว่าเบี้ยจั่น คนไทยสมัยก่อนใช้แทนเงิน คนที่ต้องการเก็บสิ่งเหล่านั้นจำเป็นต้องใช้ความอดทนในการค้นหาและเก็บสะสมสิ่งละเล็กละน้อย ซึ่งแม้จะดูไม่มีค่ามากในตอนแรก แต่เมื่อสะสมได้มากพอก็กลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่า

สำนวนนี้ปรากฎในบทร้องเล่นของเด็กไทยว่ำ “รีรีข้าวสำร สองทะนำนข้ำวเปลือก เลือกท้องใบลำน คดข้าวใส่จำน เก็บเบี้ยใต้ถุนร้ำน พานเอาคนข้างหลังไว้”

สำนวนนี้จึงใช้เปรียบเปรยถึงการค่อย ๆ สะสมหรือทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อย่างสม่ำเสมอ จนเกิดผลสำเร็จหรือคุณค่ามากขึ้นในระยะยาว สะท้อนถึงความพยายามและความอดทนในการทำสิ่งที่อาจดูเล็กน้อย แต่เมื่อทำต่อเนื่องก็จะเกิดผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • แม้รายได้จะน้อย แต่ถ้าเก็บเบี้ยใต้ถุนร้านไปเรื่อยๆ ก็จะมีเงินพอสำหรับอนาคต (หมายถึงการเก็บเงินทีละเล็กละน้อยจนกลายเป็นเงินก้อนใหญ่)
  • เขาทำงานพาร์ทไทม์หลายที่พร้อมกัน เพราะเชื่อว่าการเก็บเบี้ยใต้ถุนร้านจะช่วยให้เขาเก็บเงินเรียนจบได้ (หมายถึงการทำงานหลายอย่างเพื่อสะสมรายได้เล็กๆ น้อยๆ)
  • ธุรกิจของเธอเริ่มต้นจากการเก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน สะสมเงินเล็กๆ น้อยๆ มาลงทุนจนกลายเป็นร้านใหญ่ได้สำเร็จ (หมายถึงการเริ่มต้นสะสมทุนทีละเล็กทีละน้อยจนธุรกิจเติบโต)
  • พ่อแม่สอนให้เราประหยัดตั้งแต่เด็ก เพราะการเก็บเบี้ยใต้ถุนร้านจะช่วยให้เราไม่เดือดร้อนในอนาคต (หมายถึงการปลูกฝังให้รู้จักสะสมสิ่งเล็กๆ เพื่อใช้ในอนาคต)
  • แม้จะเป็นงานเล็ก ๆ แต่เขาก็ไม่ท้อ เพราะถือว่าเป็นการเก็บเบี้ยใต้ถุนร้านเพื่อสร้างอนาคตที่ดี (หมายถึงการสะสมประสบการณ์หรือทรัพยากรทีละเล็กน้อยเพื่อเป้าหมายระยะยาว)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายสำนวนนี้

  • เก็บหอมรอมริบ หมายถึง: การประหยัดและสะสมทีละเล็กน้อยเพื่อให้เกิดผลในอนาคต
  • เข้าพกเข้าห่อ หมายถึง: การรู้จักเก็บสิ่งของหรือผลประโยชน์ไว้เป็นส่วนของตัวเอง โดยมักสื่อถึงความรอบคอบในการเก็บออม ไม่ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย หรือการเก็บสิ่งที่ได้มาไว้เพื่อนำไปใช้ในอนาคต
  • มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท หมายถึง: การรู้จักเก็บหอมรอมริบ ค่อยเก็บสะสมเงินที่ละเล็กทีละน้อย เผื่อไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย
  • ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม หมายถึง: การทำสิ่งใดด้วยความอดทนและค่อยเป็นค่อยไป ย่อมได้ผลลัพธ์ที่ดี

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนกัดก้อนเกลือกิน ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ก. กัดก้อนเกลือกิน

กัดก้อนเกลือกิน หมายถึง

สำนวน “กัดก้อนเกลือกิน” หมายถึง การยอมใช้ชีวิตอย่างลำบากหรืออดทนต่อความยากจน โดยไม่ย่อท้อต่อปัญหา สื่อถึงความพอเพียงและความมุ่งมั่นที่จะอยู่ร่วมกัน แม้จะไม่มีความสะดวกสบายหรือความมั่งคั่งก็ตาม เปรียบเสมือนการกินเกลือ ซึ่งเป็นของที่เรียบง่ายและขาดรสชาติ แต่ก็ยังพอประทังชีวิตได้ กล่าวคือ “ใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้นมาก” นั่นเอง

ที่มาและความหมายกัดก้อนเกลือกิน

ที่มาของสำนวนนี้

มีที่มาจากวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยก่อนที่เกลือถือเป็นเครื่องปรุงพื้นฐานที่หาได้ง่ายที่สุด แม้ในยามขัดสน ไม่มีอาหารอื่น ก็ยังสามารถพึ่งพาเกลือเพื่อประทังความหิวได้ เปรียบเสมือนการใช้ชีวิตที่ยากจนข้นแค้นแสนลำบาก ถึงขนาดต้องกัดก้อนเกลือกินกับข้าว หรือกินข้าวโรยเกลือบนกับข้าวแทนอาหาร

สำนวนนี้มักใช้เพื่อสื่อถึงคู่ชีวิตหรือคนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างกันในทุกสภาพ ไม่ว่าจะยากดีมีจนหรือพบเจอปัญหาในชีวิตมากแค่ไหน การยอมอดทนใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย แม้จะขัดสน แต่ยังคงอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ย่อท้อต่อความลำบาก ก็พร้อมจะสู้ไปด้วยกัน แม้จะต้อง “กัดก้อนเกลือกิน” ก็ตาม

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • ถึงเราจะไม่ได้มีเงินทองมากมาย แต่ฉันก็พร้อมกัดก้อนเกลือกินกับเธอไปตลอดชีวิต (หมายถึงความรักที่มั่นคงและพร้อมจะอดทนไปด้วยกันในทุกสภาพ)
  • ในช่วงแรกของการสร้างธุรกิจ เขาและหุ้นส่วนต้องกัดก้อนเกลือกิน แต่สุดท้ายก็ก้าวมาสู่ความสำเร็จได้ (หมายถึงการอดทนในช่วงเวลาที่ยากลำบากเพื่ออนาคตที่ดีกว่า)
  • พ่อแม่ของเราเคยกัดก้อนเกลือกินตอนที่ยังไม่มีอะไรเลย แต่ก็ช่วยกันสร้างครอบครัวจนมั่นคงในวันนี้ (หมายถึงความเสียสละและความอดทนของพ่อแม่ในอดีตเพื่อครอบครัว)
  • ถ้าไม่มีใครช่วย ฉันก็จะกัดก้อนเกลือกินและสู้ต่อไปด้วยตัวเอง (หมายถึงการยอมอดทนต่อความยากลำบากเพื่อลุกขึ้นสู้ด้วยตัวเอง)
  • แม้จะเจอปัญหามากมาย แต่เขาก็ไม่บ่น เพราะรู้ว่าชีวิตต้องกัดก้อนเกลือกินในช่วงเวลานี้ (หมายถึงการยอมรับและอดทนต่อความลำบากในชีวิตปัจจุบัน)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายสำนวนนี้

  • ข้าวยากหมากแพง ความหมาย: สถานการณ์ที่บ้านเมืองประสบปัญหาความขาดแคลน อาหารและของใช้จำเป็นมีราคาแพง ทำให้การดำรงชีวิตยากลำบาก

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนก้นหม้อไม่ทันดำ ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ก. สำนวนก้นหม้อไม่ทันดำ

สำนวนก้นหม้อไม่ทันดำ หมายถึง

สำนวน “ก้นหม้อไม่ทันดำ” หมายถึง คนที่พึ่งแต่งงาน ใช้ชีวิตอยู่ร่วมด้วยกันได้ยังไม่นาน เป็นเพียงระยะอันแสนสั้น แต่ต้องมาเลิกอย่าล้างกันแล้วด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ เปรียบเปรยกับการหุงข้าวที่ยังไม่ทันใช้งานหม้อนานพอจนก้นหม้อดำ ก็แยกจากกันเสียก่อน สื่อถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ยืนยาว หรือการแต่งงานที่จบลงอย่างรวดเร็วโดยไม่มีโอกาสสร้างรากฐานชีวิตร่วมกันอย่างแท้จริง กล่าวคิอ “คู่สมรสที่อยู่ด้วยกันไม่นานก็เลิกร้างกันไป” นั่นเอง

ที่มาและความหมายก้นหม้อไม่ทันดำ

ที่มาของสำนวนนี้

มาจากวิถีชีวิตการหุงข้าวต้มแกงในสมัยก่อน ที่นิยมใช้หม้อดินและเตาฟืน เมื่อหม้อถูกตั้งบนเตาที่ใช้ฟืนเป็นเชื้อไฟนานเข้า เขม่าดำจากควันไฟจะติดก้นหม้อจนดำสนิท แต่หากหม้อถูกใช้งานเพียงไม่นาน ก้นหม้อก็จะยังไม่ทันดำ สำนวนนี้จึงถูกนำมาเปรียบเทียบกับคู่สมรสที่อยู่ด้วยกันเพียงไม่นานก็เลิกร้างกันไป โดยมีความหมายเชิงตำหนิว่าไม่มีความอดทนหรือไม่ให้โอกาสกันในชีวิตคู่

ตัวอย่างของสำนวนนี้ปรากฏในบทละครนอกเรื่องไชยเชษฐ์ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โดยท้าวสิงหลได้กล่าวตำหนิพระไชยเชษฐ์ที่ไล่นางสุวิญชาออกจากเมืองว่า:

“เสียแรงเราออกปากฝากฝังไว้ จะโกรธขึ้งถึงกระไรก็นานนาน อยู่ด้วยกันก้นหม้อไม่ทันดำ หรือมาทำเฉินฉุกสนุกจ้าน”

แม้ในปัจจุบันการหุงหาอาหารจะเปลี่ยนไป ไม่ได้ใช้เตาฟืนเช่นในอดีต สำนวนนี้ก็ยังคงใช้กันอยู่ในความหมายเดิมเมื่อกล่าวถึงสามีภรรยาที่ใช้ชีวิตคู่ไม่นานแล้วแยกทางกัน

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • เพื่อนบ้านแต่งงานใหญ่โตแต่ไม่นานก็เลิกกัน คนเลยพูดกันว่าอยู่ด้วยกันก้นหม้อไม่ทันดำ (หมายถึงชีวิตคู่ที่จบลงอย่างรวดเร็วหลังแต่งงาน)
  • ดาราสาวที่พึ่งเป็นข่าวประกาศอยู่กินกับนักการเมืองท้องถิ่น ออกข่าวเสียใหญ่โต ยังไม่ทันไรก็เลิกกันแล้ว เรียกว่าก้นหม้อยังไม่ทันดำ ขาเตียงก็หักเสียแล้ว (หมายถึงความสัมพันธ์ที่พึ่งเริ่มต้นไม่นาน แต่กลับจบลงอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันสร้างรากฐานชีวิตคู่ให้มั่นคง)
  • เห็นเขารักกันดีตอนแรก แต่ก้นหม้อไม่ทันดำก็เลิกกันเสียแล้ว น่าเสียดาย (หมายถึงความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นอย่างสวยงาม แต่จบลงอย่างรวดเร็ว)
  • น้องชายแต่งงานไม่ถึงปี ภรรยาก็ขอแยกทาง พวกญาติๆ เลยพูดว่า ก้นหม้อไม่ทันดำก็เลิกกันเสียแล้ว (หมายถึงความสัมพันธ์ชีวิตคู่ที่สิ้นสุดลงก่อนเวลาจะผ่านไปนาน)
  • คู่นี้เพิ่งอยู่ด้วยกันได้ไม่กี่เดือน ก็มีเรื่องทะเลาะกันจนเลิก ก้นหม้อไม่ทันดำจริงๆ (หมายถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ยืนยาวและจบลงอย่างรวดเร็ว)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจากสำนักงานราชบัณฑิตยสภา

รู้จักสำนวนกินน้ำใต้ศอก ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ก. กินน้ำใต้ศอก

กินน้ำใต้ศอก หมายถึง

สำนวน “กินน้ำใต้ศอก” หมายถึง การยอมเป็นรองผู้อื่นหรือยอมอยู่ในฐานะที่ต่ำกว่า โดยเฉพาะในความสัมพันธ์ที่มีความรักหรือผูกพัน แต่ไม่สามารถเป็นตัวเลือกหลักหรือคนสำคัญได้ มักใช้ในบริบทของความรักที่ต้องยอมรับสถานะที่ด้อยกว่าคนอื่น หรือเป็นคนที่ต้องอยู่ในเงื่อนไขที่เสียเปรียบ กล่าวคือ “จำต้องยอมเป็นรองเขา, ไม่เทียมหน้าเทียมตาเท่า, (มักหมายถึงเมียน้อยที่ต้องยอมลงให้แก่เมียหลวง)” นั่นเอง

ที่มาและความหมายกินน้ำใต้ศอก

ที่มาของสำนวนนี้

มาจากการเปรียบเทียบการกินน้ำด้วยกระบวย น้ำที่รั่วออกมาตรงด้ามกระบวยจะไหลมาสู่แขนแล้วสิ้นสุดหยดลงตรงปลายข้อศอก คาดว่ามาจากวัฒนธรรมของอินเดียการแบ่งชนชั้นวรรณะ โดยการกินสะอาด คนกินน้ำแล้วมีคนอีกคนหนึ่งก้มลงแล้วเอามือไปรองกินน้ำที่หยดใต้ศอก คนที่ไปกินน้ำที่ใต้ศอกเขานั้น คงจะเป็นจัณฑาล หรือไม่ก็ศูทร จึงจะไปกินน้ำร่วมบ่อกับคนที่วรรณะสูงไม่ได้ เพราะตำแหน่งหรือสถานะที่ต่ำกว่า โดยคำว่า น้ำใต้ศอก หมายถึงน้ำที่ไหลจากส่วนล่างของแขนหรือศอก ซึ่งเป็นบริเวณที่ต่ำสุดเมื่อยืนหรือนั่ง

แต่ในสังคมและวัฒนธรรมไทยให้ความสำคัญกับลำดับชั้นในครอบครัว โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างสามีและภรรยา ในบริบทของสังคมไทย ภรรยาหลวงหรือคู่สมรสหลักจะถูกยอมรับว่าเป็นผู้มีศักดิ์ศรีและสถานะที่สูงกว่า ซึ่งแสดงถึงการได้รับการยอมรับและให้เกียรติ ขณะที่เมียน้อยหรือผู้ที่มาอยู่ในฐานะรองจะต้องยอมรับในสถานะที่ด้อยกว่าและไม่ถูกยอมรับอย่างเต็มที่ในสังคม

การใช้สำนวนนี้เปรียบเหมือนน้ำใต้ศอก ซึ่งหมายถึงการยอมอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่า และไม่ได้รับสิทธิ์หรือความสำคัญเทียบเท่าภรรยาหลวง เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการที่คนไทยให้ความสำคัญกับลำดับชั้นและศักดิ์ศรีในครอบครัว รวมถึงการต้องการให้สถานภาพของภรรยาหลวงชัดเจนและเป็นที่ยอมรับ ขณะที่เมียน้อยจะต้องยอมรับสถานะของตนว่าเป็นรอง

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • เธอยอมกินน้ำใต้ศอกคนอื่นเพื่อจะได้อยู่ใกล้เขา ทั้งที่รู้ว่าเขามีแฟนแล้ว (หมายถึงเธอยอมรับสถานะที่ด้อยกว่า ยอมเป็นรองแฟนของเขา)
  • ทำไมต้องยอมกินน้ำใต้ศอกแบบนี้ อยู่คนเดียวอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ (หมายถึงการเตือนว่าควรเลือกอยู่ในสถานะที่มีศักดิ์ศรีมากกว่ายอมเป็นรองคนอื่น)
  • พี่สาวคอยบอกน้องสาวเสมอว่า อย่ายอมกินน้ำใต้ศอกใคร ถ้ารักใครต้องเป็นตัวจริงเท่านั้น (แสดงถึงการเตือนน้องสาวไม่ให้ยอมอยู่ในสถานะรองหรือเป็นเพียงตัวเลือกที่ด้อยกว่า)
  • เขายอมกินน้ำใต้ศอกทั้งที่รู้ว่าคนที่เขารักไม่ให้ความสำคัญกับเขาเลย (หมายถึงการยอมรับสถานะที่ด้อยกว่าของคนที่ตนรัก แม้จะไม่ได้รับความสำคัญเท่าที่ควร)
  • ฉันไม่อยากเห็นเพื่อนต้องกินน้ำใต้ศอกใครแล้ว ถ้าเขาไม่เห็นค่าเธอ ก็ถอยออกมาดีกว่า (เป็นการแนะนำเพื่อนให้เลิกยอมเป็นรองในความสัมพันธ์ที่ไม่ให้คุณค่า)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนกลมเป็นลูกมะนาว ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ก. กลมเป็นลูกมะนาว

กลมเป็นลูกมะนาว หมายถึง

สำนวน “กลมเป็นลูกมะนาว” หมายถึง คนที่มีความสามารถในการหลบเลี่ยงหรือหลีกเลี่ยงปัญหาได้คล่องแคล่ว จนจับตัวไม่ได้หรือจัดการไม่ได้ มักใช้ในทางไม่ดี เพื่อบอกถึงคนที่มีพฤติกรรมหลบเลี่ยงความรับผิดชอบ หรือใช้เล่ห์เหลี่ยมหลีกหนีปัญหาที่ตนเองก่อขึ้น เปรียบเสมือนลูกมะนาวที่มีความกลม สามารถกลิ้งไปได้ในทุกทิศทาง จึงจับหรือตรึงให้อยู่ที่ใดที่หนึ่งได้ยาก กล่าวคือ “หลบหลีกไปได้คล่องจนจับไม่ติด (มักใช้ในทางไม่ดี)” นั่นเอง

ที่มาและความหมายกลมเป็นลูกมะนาว

ที่มาของสำนวนนี้

สำนวน “กลมเป็นลูกมะนาว” มาจากการเปรียบเทียบกับลูกมะนาวที่มีลักษณะกลม ซึ่งสามารถกลิ้งไปได้ในทุกทิศทาง จับยึดไว้ได้ยาก เมื่อนำมาใช้ในเชิงเปรียบเปรย จึงสื่อถึงคนที่มีความสามารถในการหลบหลีกปัญหาได้อย่างคล่องแคล่ว จนจับตัวไม่ได้ โดยเฉพาะในกรณีที่คนคนนั้นพยายามเลี่ยงความรับผิดชอบหรือใช้เล่ห์เหลี่ยมในการหนีจากสถานการณ์ลำบาก

ที่มาของสำนวนนี้สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกของผู้ที่พยายาม “จับ” หรือควบคุมคนที่มีลักษณะหลบหลีกเก่ง เปรียบได้กับการพยายามจับลูกมะนาวที่กลิ้งไปมา จึงยากที่จะทำให้หยุดนิ่งได้

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • พนักงานคนนี้กลมเป็นลูกมะนาวจริงๆ เจ้านายเรียกมาคุยทีไรก็หายตัวไปทุกที (หมายถึงพนักงานคนนี้มีความสามารถในการหลบเลี่ยงการเผชิญหน้าหรือรับผิดชอบงานจากเจ้านาย)
  • พี่ชายพยายามขอให้เขามารับผิดชอบงานที่ค้างไว้ แต่เขากลมเป็นลูกมะนาว เลี่ยงตอบคำถามตลอด (หมายถึงคนที่พยายามเลี่ยงการรับผิดชอบด้วยการหลีกเลี่ยงการตอบคำถาม)
  • คนนี้ติดหนี้แต่ไม่ยอมชดใช้ แถมยังกลมเป็นลูกมะนาว เปลี่ยนที่อยู่ไปเรื่อยๆ (หมายถึงคนที่มีพฤติกรรมหลบหนี ไม่ยอมชดใช้หนี้โดยย้ายที่อยู่บ่อยๆ)
  • ทุกครั้งที่มีปัญหาใหญ่ เขาก็ทำตัวกลมเป็นลูกมะนาว หลบเลี่ยงไม่เข้าประชุม (หมายถึงการหลบเลี่ยงไม่เผชิญปัญหาโดยไม่เข้าร่วมการประชุม)
  • พอถามถึงเรื่องที่เขาทำผิด เขากลมเป็นลูกมะนาว บ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่นแทน (หมายถึงการหลีกเลี่ยงตอบเรื่องที่ตัวเองทำผิดด้วยการเปลี่ยนหัวข้อสนทนา)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนกวนน้ำให้ขุ่น ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ก. กวนน้ำให้ขุ่น

กวนน้ำให้ขุ่น หมายถึง

สำนวน “กวนน้ำให้ขุ่น” หมายถึง การทำให้สถานการณ์ที่สงบเรียบร้อยกลับยุ่งเหยิงหรือแย่ลง หรือการสร้างความสับสนและวุ่นวายให้กับเรื่องที่ไม่มีปัญหา เปรียบเหมือนการกวนน้ำที่ใสให้กลายเป็นน้ำขุ่น ทำให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ยากขึ้น สื่อถึงการกระทำที่ทำให้สถานการณ์ที่ชัดเจนหรือเรียบร้อยกลับสับสนและมีปัญหาขึ้นมา กล่าวคือ “ทำเรื่องราวที่สงบอยู่แล้วให้เกิดเป็นปัญหาขึ้นมา” นั่นเอง

ที่มาและความหมายกวนน้ำให้ขุ่น

ที่มาของสำนวนนี้

มาจากการเปรียบเทียบกับการกวนน้ำที่ใสสะอาด ซึ่งทำให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ใต้น้ำได้ชัดเจน เมื่อกวนน้ำให้ขุ่น จะทำให้น้ำไม่ใสและมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ใต้น้ำอีกต่อไป เปรียบเสมือนกับการสร้างความยุ่งยากหรือความสับสนให้กับสถานการณ์ที่เคยสงบเรียบร้อยหรือชัดเจน กลายเป็นเรื่องที่มีปัญหาหรือมองไม่ออก

การใช้สำนวนนี้สะท้อนถึงการกระทำที่ไม่จำเป็นหรือเป็นการจงใจสร้างปัญหาหรือความวุ่นวาย ทำให้สถานการณ์ที่เคยเรียบร้อยกลับแย่ลง

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • ทุกคนกำลังคุยกันเข้าใจดีแล้ว แต่เขากลับมาพูดแทรกทำให้กวนน้ำให้ขุ่นไปหมด (หมายถึงการแทรกเข้ามาทำให้การสนทนาที่เข้าใจกันดีแล้วเกิดความสับสน)
  • โครงการนี้กำลังจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่มีคนบางคนคอยกวนน้ำให้ขุ่น พูดแต่ปัญหาทำให้คนอื่นลังเล (หมายถึงการสร้างปัญหาหรือทำให้คนอื่นเกิดความสงสัยในโครงการที่กำลังไปได้ด้วยดี)
  • ในที่ประชุม ทุกคนกำลังตกลงกันได้ แต่เขาเข้ามากวนน้ำให้ขุ่น ทำให้การตัดสินใจช้าลง (หมายถึงการเข้ามาทำให้บรรยากาศหรือการตัดสินใจในที่ประชุมล่าช้าหรือยุ่งยาก)
  • งานก็เดินไปได้ปกติอยู่แล้ว แต่เขาดันเข้ามากวนน้ำให้ขุ่น พูดเรื่องที่ไม่เกี่ยว ทำให้ทีมเสียเวลา (หมายถึงการแทรกเข้ามาด้วยเรื่องที่ไม่สำคัญ ทำให้งานช้าหรือเกิดความสับสน)
  • เราตกลงกันดีอยู่แล้ว แต่นายประสงค์ก็มากวนน้ำให้ขุ่นเสียอีก ทำให้ทุกคนเริ่มไม่พอใจ (หมายถึงการที่ประสงค์เข้ามาทำให้สถานการณ์ที่ตกลงกันได้กลับยุ่งเหยิงและเกิดความไม่พอใจในกลุ่ม)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายสำนวนนี้

  • ชักใบให้เรือเสีย หมายถึง: การกระทำหรือคำพูดที่ทำให้เรื่องที่กำลังดำเนินไปอย่างราบรื่นเกิดปัญหาหรือเสียหาย

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนไกลปืนเที่ยง ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ก. ไกลปืนเที่ยง

ไกลปืนเที่ยง หมายถึง

สำนวน “ไกลปืนเที่ยง” หมายถึง สถานที่ห่างไกลจากความเจริญ หรือผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ไม่ได้รับรู้ข่าวสารหรือวัฒนธรรมจากภายนอกมากนัก มักใช้เพื่อบอกถึงสถานที่หรือคนที่ไม่ทันต่อเหตุการณ์หรือการพัฒนาทางสังคม คล้ายกับการอยู่ในถิ่นทุรกันดาร กล่าวคือ “คนที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเพราะอยู่ห่างไกลความเจริญ” นั่นเอง

ที่มาและความหมายไกลปืนเที่ยง

ที่มาของสำนวนนี้

สำนวนนี้ที่มาจากยุคโบราณที่ใช้ปืนใหญ่เป็นสัญญาณบอกเวลาในช่วงเที่ยงวัน ซึ่งปืนใหญ่มักประจำการอยู่ในเมืองหลวงหรือศูนย์กลางของเมืองที่เจริญ ดังนั้นผู้ที่อยู่ไกลออกไปจากเมืองจึงไม่สามารถได้ยินเสียงปืนสัญญาณนี้

การบอกเวลาของคนไทยในยุคโบราณที่ใช้ปืนใหญ่ ประจำการในเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่เพื่อยิงเป็นสัญญาณบอกเวลาเที่ยงวัน เสียงปืนนี้ใช้เพื่อให้คนในเมืองรู้เวลาและสามารถจัดกิจกรรมหรือนัดหมายได้ตามความเจริญที่มีอยู่เฉพาะในเมืองใหญ่

ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากเมืองใหญ่ เช่น ชนบทหรือพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก มักจะไม่ได้ยินเสียงปืนเที่ยง และไม่สามารถรับรู้เวลาได้ จึงใช้คำว่า “ไกลปืนเที่ยง” เป็นสำนวนที่สื่อถึงคนที่อาศัยอยู่ห่างไกลจากความเจริญ ขาดการติดต่อกับโลกภายนอก และไม่ค่อยได้รับรู้ข่าวสารหรือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น สำนวนนี้สะท้อนวิถีชีวิตของคนไทยสมัยก่อนที่มีความแตกต่างระหว่างพื้นที่เมืองและชนบทอย่างชัดเจน

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • หมู่บ้านนี้ห่างไกลความเจริญ ถนนยังเป็นดินลูกรังอยู่ เรียกได้ว่าไกลปืนเที่ยงจริง ๆ (หมายถึงหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลและขาดความเจริญพื้นฐาน)
  • คุณป้าอยู่ในชุมชนห่างไกล ถึงกับไม่รู้จักเทคโนโลยีใหม่ ๆ เหมือนคนไกลปืนเที่ยง (หมายถึงการที่คุณป้าขาดการเข้าถึงเทคโนโลยีเพราะอยู่ในที่ห่างไกล)
  • เด็ก ๆ ในพื้นที่นี้ไม่ได้เรียนออนไลน์ เพราะเป็นแถบไกลปืนเที่ยง ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตเลย (แสดงถึงพื้นที่ห่างไกลที่ขาดการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและความเจริญ)
  • เขาทำตัวเหมือนคนไกลปืนเที่ยง ไม่เคยรู้เรื่องราวทันสมัยหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกเลย (หมายถึงคนที่ไม่มีความรู้ทันสมัย หรือไม่ได้ติดตามข่าวสาร)
  • นักท่องเที่ยวต่างชาติมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ นี้ถึงกับตกใจ บอกว่าดูเหมือนไกลปืนเที่ยง ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์หรือร้านค้าอะไรเลย (แสดงถึงหมู่บ้านที่ขาดความเจริญจนผู้มาเยือนรู้สึกว่าเหมือนอยู่ในถิ่นห่างไกล)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนไก่บินไม่ตกดิน ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ก. ไก่บินไม่ตกดิน

ไก่บินไม่ตกดิน หมายถึง

สำนวน “ไก่บินไม่ตกดิน” หมายถึง บริเวณที่มีอาคารบ้านเรือนหนาแน่นแออัดจนไม่มีพื้นที่ว่าง หลังคาติดกัน เปรียบเสมือนการที่ไก่บินผ่าน แต่ไม่สามารถตกถึงพื้นได้เพราะมีสิ่งกีดขวางเต็มพื้นที่ บินไปก็ตกถึงหลังคา หาพื้นหาดินไม่เจอ ซึ่งแสดงถึงความแออัดของบ้านเรือนที่ตั้งติดกันโดยไม่มีพื้นที่ว่าง ทั้งในชุมชนเมืองใหญ่หรือเขตที่มีประชากรหนาแน่น กล่าวคือ “บริเวณที่มีอาคารบ้านเรือนหนาแน่นแออัด” นั่นเอง

ที่มาและความหมายไก่บินไม่ตกดิน

ที่มาของสำนวนนี้

มาจากวิถีชีวิตของคนสมัยก่อนที่นิยมเลี้ยงไก่ตามบ้านและชุมชน ทำให้เห็นพฤติกรรมของไก่อยู่บ่อย ๆ เมื่อไก่บิน จะสังเกตได้ว่ามันต้องการลงสู่พื้นดินเพราะเป็นที่ที่ปลอดภัยและคุ้นเคย หากไก่บินผ่านพื้นที่ที่แออัดไปด้วยอาคารบ้านเรือน หรือมีหลังคาปกคลุมแน่นขนัดจนไม่มีที่ว่างให้ลง คนจึงนำภาพนี้มาเปรียบเทียบว่า ไก่บินไม่ตกดิน เพื่อสื่อถึงพื้นที่ที่มีความแออัดมากจนไม่มีช่องว่างให้ลงถึงพื้น

และเขตที่มีความหนาแน่นและคับคั่งของอาคารบ้านเรือนในไทยสมัยก่อน โดยเฉพาะที่สำเพ็ง ซึ่งเป็นย่านการค้าขายที่สำคัญ จำหน่ายสินค้าหลากหลายจากเมืองจีน เช่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ ข้าวของเครื่องใช้ ผลไม้ และยังเป็นแหล่งรวมอบายมุขขนาดใหญ่ ทั้งโรงฝิ่น บ่อนการพนัน และสถานบริการหลายแห่ง ด้วยความหนาแน่นของอาคารบ้านเรือนในย่านนี้ ที่ต่างปลูกเรียงติดกันจนหลังคาเกยกันเต็มพื้นที่ ทำให้ผู้คนในยุคนั้นมองว่าหากไก่บินผ่านสำเพ็ง จะไม่มีที่ว่างให้ลงพื้นได้เพราะพื้นที่ถูกปกคลุมด้วยหลังคาอาคารจนหมด สำนวนนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อสะท้อนถึงความแออัดของย่านชุมชนในเมืองใหญ่

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • ย่านนี้สร้างตึกสูงกันเต็มไปหมด เหมือนจะเป็นย่านไก่บินไม่ตกดินไปแล้ว (หมายถึงพื้นที่นี้มีอาคารสร้างอย่างหนาแน่นจนไม่มีที่ว่าง)
  • ตลาดเก่าของเมืองนี้ทั้งร้านค้าและบ้านคนเรียงติดกัน จนกลายเป็นย่านไก่บินไม่ตกดิน (บรรยายตลาดที่มีอาคารเรียงชิดกันหนาแน่นในลักษณะเหมือนกับสำนวน)
  • เวลาเดินผ่านสำเพ็ง รู้สึกเหมือนเดินในย่านไก่บินไม่ตกดิน เพราะร้านค้าตั้งเรียงรายกันแน่นขนัด (หมายถึงการเดินในพื้นที่ที่หนาแน่นด้วยอาคารหรือร้านค้า)
  • เมืองใหม่ที่กำลังขยายตอนนี้ ถ้าไม่วางผังเมืองดี ๆ อาจกลายเป็นไก่บินไม่ตกดินเหมือนเมืองเก่า (แสดงความกังวลเกี่ยวกับการสร้างเมืองใหม่ให้หนาแน่นเกินไปจนไม่มีที่ว่าง)
  • ฉันเคยไปเยาวราชตอนกลางคืน บรรยากาศเหมือนย่านไก่บินไม่ตกดิน ร้านค้าและผู้คนเยอะจนแทบไม่มีที่ยืน (หมายถึงเยาวราชมีร้านค้าและผู้คนหนาแน่นจนไม่มีพื้นที่ว่าง)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT