Tag: สำนวนไทย ก.

  • รู้จักสำนวนไก่รองบ่อน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนไก่รองบ่อน ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. ไก่รองบ่อน ไก่รองบ่อน หมายถึง สำนวน “ไก่รองบ่อน” หมายถึง ผู้ที่อยู่ในฐานะตัวสำรอง หรือคนที่ถูกมองว่าไม่ใช่ตัวเลือกหลัก ในการทำงานหรือการแข่งขัน แต่จะถูกเรียกมาใช้เมื่อจำเป็นหรือเมื่อคนหลักไม่สามารถทำหน้าที่ได้ เช่น การเปรียบเทียบกับไก่ที่ไม่ใช่ไก่หลักในการชนในบ่อน แต่จะถูกนำมาใช้แทนเมื่อไก่หลักไม่พร้อมหรือไม่สามารถแข่งขันได้ โดยมักจะถูกมองว่าเป็นคนที่มีคุณค่าน้อยกว่าหรือไม่ค่อยได้รับโอกาสในบทบาทสำคัญ กล่าวคือ “ผู้ที่อยู่ในฐานะตัวสำรอง ซึ่งจะเรียกมาใช้เมื่อไรก็ได้” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มีที่มาจากการชนไก่ ซึ่งเป็นการพนันที่นิยมในสมัยก่อน โดยในบ่อนพนันมักจะมีไก่ตัวหลัก ที่ได้รับการฝึกฝนและคาดหวังว่าจะชนะในการแข่งขัน ส่วนไก่รองบ่อน คือไก่ที่ไม่ได้เป็นตัวหลัก แต่จะถูกเตรียมไว้ในกรณีที่ไก่ตัวหลักไม่สามารถเข้าร่วมได้ หรือเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การบาดเจ็บของไก่ตัวหลัก ไก่รองบ่อนจึงมีบทบาทเพียงเมื่อจำเป็น โดยมีคุณค่าน้อยกว่าตัวหลัก จึงถูกนำมาใช้เปรียบเทียบกับคนที่ไม่ใช่ตัวเลือกหลักในกลุ่มหรือในสถานการณ์หนึ่งๆ แต่สามารถถูกเรียกใช้ได้เมื่อจำเป็น. ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายสำนวนนี้

  • รู้จักสำนวนแกะดำ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนแกะดำ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. แกะดำ แกะดำ หมายถึง สำนวน “แกะดำ” หมายถึง คนที่ทำตัวผิดแผกจากคนส่วนใหญ่ หรือทำตัวไม่เหมือนคนทั่วไปในกลุ่ม เปรียบเปรยถึงแกะขนสีดำ ซึ่งผิดแปลกจากสีขนแกะของกลุ่มที่ปกติมีขนสีขาว เช่น คนที่ทำผิดประเพณี หรือไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่ตั้งไว้ ซึ่งมักจะถูกมองว่าเป็นคนที่ไม่เหมาะสมหรือแปลกแยกจากสังคมที่ตั้งไว้ กล่าวคือ “คนที่ทำอะไรผิดเพื่อนผิดฝูงในกลุ่มนั้นๆ (ใช้ในทางไม่ดี)” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบระหว่าง “แกะ” ที่โดยปกติจะมีขนสีขาว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนโยนและเป็นระเบียบเรียบร้อย กับ “แกะดำ” ที่มีขนสีดำ หายาก ซึ่งผิดปกติจากแกะทั่วไป เมื่อเปรียบเทียบกับคนในสังคมหรือกลุ่มที่ทำตัวผิดแผกจากคนส่วนใหญ่ หรือไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบในกลุ่ม จึงใช้คำว่า “แกะดำ” เพื่อบอกถึงคนที่ไม่เข้ากับสังคม หรือทำตัวแตกต่างจากคนอื่น ๆ ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนเกลือเป็นหนอน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนเกลือเป็นหนอน ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. เกลือเป็นหนอน เกลือเป็นหนอน หมายถึง สำนวน “เกลือเป็นหนอน” หมายถึง การที่คนในครอบครัวหรือคนใกล้ชิด เช่น ญาติมิตร สามีภรรยา หรือเพื่อนร่วมงาน กลับทรยศหรือทำร้ายกันเอง แทนที่จะช่วยเหลือหรือสนับสนุนกัน เปรียบเสมือนกับเกลือ (ที่มีประโยชน์) กลับกลายเป็นหนอน (ที่ไม่มีประโยชน์) กล่าวคือ “ญาติมิตร สามีภรรยา บุตรธิดา เพื่อนร่วมงาน หรือคนในบ้าน คิดคดทรยศ, ไส้เป็นหนอน ก็ว่า” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการใช้ภาพเปรียบเทียบระหว่างเกลือ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่าหรือประโยชน์ในการรักษาอาหาร และหนอนที่เป็นศัตรูหรือสิ่งที่ทำลายความดีงามหรือคุณค่าของสิ่งนั้น ๆ ในอดีต การเก็บรักษาเกลือไว้ใช้ในบ้านหรือชุมชนมักจะเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเกลือช่วยในการถนอมอาหาร เช่น การหมักหรือแปรรูปอาหารต่าง ๆ แต่หากเกลือถูกทิ้งไว้ในสภาพที่ไม่ดี หรือไม่มีการดูแลอย่างเหมาะสม ก็อาจจะมีหนอนมากัดกินหรือทำลายได้ การใช้คำว่า “หนอน“ ที่มักจะเป็นสิ่งที่ทำลายและทำให้เสียหาย สะท้อนถึงการทรยศหรือการกระทำไม่ดีจากคนใกล้ชิดที่ทำลายความดีของคนที่มีคุณค่าหรือคนที่ไว้ใจ เช่นญาติมิตรหรือเพื่อนฝูง ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนก้างขวางคอ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนก้างขวางคอ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. ก้างขวางคอ ก้างขวางคอ หมายถึง สำนวน “ก้างขวางคอ” หมายถึง การมีอุปสรรคหรือสิ่งที่ขัดขวางการทำงานหรือการกระทำบางอย่าง ทำให้ไม่สามารถทำสิ่งนั้นได้สะดวกหรือไม่ราบรื่น เหมือนกับก้างปลาที่ติดอยู่ในคอทำให้ไม่สามารถกลืนอาหารได้ง่ายหรือสะดวก โดยมักใช้เพื่อบรรยายถึงคนหรือสิ่งที่ขัดขวางการดำเนินการ หรือทำให้การทำงานของคนอื่นไม่ลื่นไหลหรือเกิดความล่าช้า กล่าวคือ “ผู้ขัดขวางไม่ให้ทำการได้สะดวก, ผู้ขัดขวางให้ผู้อื่นเสียประโยชน์” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบถึงการติดขัดหรืออุปสรรคที่เกิดขึ้นในกระบวนการทำบางสิ่งบางอย่าง เหมือนกับก้างปลาที่ติดคอทำให้ไม่สามารถกลืนอาหารได้สะดวก ซึ่งเป็นความรู้สึกอึดอัดที่เกิดขึ้นขณะพยายามทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จ ในบริบทของสำนวนนี้ “ก้าง” จึงหมายถึงสิ่งที่ขัดขวางหรือเป็นอุปสรรค ในกรณีที่มีคนหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาขัดแย้งหรือทำให้กระบวนการทำงานไม่ราบรื่น หรือทำให้ผู้อื่นไม่สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้สะดวกตามที่ตั้งใจไว้ ทำให้เกิดความล่าช้าหรือเสียเวลาไปโดยไม่จำเป็น เหตุผลที่ต้องใช้ก้างขวางคอในการเปรียบเทียบ เพราะมันเป็นภาพที่คุ้นเคยและสามารถทำให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านเข้าใจถึงความรู้สึกอึดอัดได้ทันทีจากประสบการณ์ทั่วไปในการกินอาหาร ที่มีบางสิ่งขวางคอไม่ให้ทำการได้ตามปกติ ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนกัดหางตัวเอง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนกัดหางตัวเอง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กัดหางตัวเอง กัดหางตัวเอง หมายถึง สำนวน “กัดหางตัวเอง” หมายถึง อาการของคนที่พูดจาวกไปวนมา พูดไม่รู้เรื่อง ขาดความชัดเจนและหาสาระไม่ได้ เหมือนการพูดที่วนเวียนกลับมาจุดเดิมโดยไม่มีเนื้อหาที่ชัดเจน เปรียบเหมือนหมาที่พยายามกัดหางของตัวเองซ้ำไปซ้ำมาแล้วเดินหมุนวนไปวนมา โดยไม่สามารถหาทางออกหรือทำให้เกิดความกระจ่างใด ๆ สำนวนนี้มักใช้กับคนที่พูดหรืออธิบายเรื่องใดเรื่องหนึ่งซ้ำซาก แต่ไม่ได้สร้างความเข้าใจหรือความหมายที่ชัดเจน กล่าวคือ “คนที่พูดวกไปวนมา” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากพฤติกรรมของสุนัขที่บางครั้งกัดหางตัวเอง ซึ่งเกิดจากปัญหาทางระบบประสาท ความเครียด หรือสภาพแวดล้อมที่ส่งผลต่ออารมณ์และความคิดของสุนัข ทำให้มันแสดงพฤติกรรมซ้ำซากและวนเวียน สุนัขอาจไม่รู้ว่ากำลังทำร้ายตัวเองหรือวนอยู่กับสิ่งเดิม ๆ หรือบางครั้งก็คันหางจึงกัดและหมุนวนเป็นวงกลมวนไปวนมาอยู่อย่างนั้น สำนวนนี้จึงถูกนำมาเปรียบเปรยถึงคนที่พูดจาวกวน ซ้ำไปซ้ำมา และขาดความกระจ่างชัดในสาระ หรือการกระทำที่ไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีสาระ ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนกินเกลือกินกะปิ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนกินเกลือกินกะปิ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กินเกลือกินกะปิ กินเกลือกินกะปิ หมายถึง สำนวน “กินเกลือกินกะปิ” หมายถึง คนที่สามารถอดทนและใช้ชีวิตอยู่ได้แม้จะต้องเผชิญกับความลำบากยากแค้น ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและพอเพียง ไม่บ่นหรือเรียกร้องสิ่งที่เกินความจำเป็น เปรียบเสมือนการกินเพียงเกลือและกะปิ ซึ่งเป็นอาหารพื้นฐานที่หาง่ายและราคาถูก สำนวนนี้สะท้อนถึงความอดทนต่อสภาวะที่ขาดแคลนและความสามารถในการใช้ชีวิตอย่างสมถะ กล่าวคือ “การอดทนต่อความลำบากยากแค้น” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากวิถีชีวิตของคนไทยในอดีต โดยเฉพาะกลุ่มคนชนชั้นล่างหรือคนที่มีฐานะยากจน ซึ่งมักใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและประหยัด เนื่องจากขาดแคลนทรัพยากรหรือทุนทรัพย์ที่จะซื้ออาหารดี ๆ เกลือและกะปิจึงเป็นวัตถุดิบพื้นฐานที่ราคาถูกและหาได้ง่ายในท้องถิ่น คนไทยกลุ่มนี้อาศัยเพียงอาหารพื้นบ้านง่าย ๆ ที่พอมีอยู่ โดยไม่ฟุ่มเฟือยหรือเรียกร้องสิ่งที่เกินจำเป็น สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเปรยถึงคนที่มีความอดทนต่อความลำบาก สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้แม้ในสภาพแวดล้อมที่ขาดแคลน และพร้อมยอมรับสิ่งที่มีอยู่อย่างพอเพียง ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนกินเหล็กกินไหล ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนกินเหล็กกินไหล ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กินเหล็กกินไหล กินเหล็กกินไหล หมายถึง สำนวน “กินเหล็กกินไหล” หมายถึง คนที่สามารถทนทานต่อความเหนื่อยล้าหรือความเจ็บปวดได้มากกว่าปกติ มีความแข็งแกร่งทั้งทางร่างกายและจิตใจ จนไม่ย่อท้อต่อความยากลำบากใด ๆ เปรียบเหมือนคนที่มีเหล็กไหลในร่างกาย ทำให้ไม่รู้สึกเหนื่อยหรือเจ็บง่าย ๆ กล่าวคือ “คนที่ทนต่อความเหน็ดเหนื่อยหรือความเจ็บปวดได้อย่างผิดปรกติ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากความเชื่อคนไทยในไสยศาสตร์ไทยที่ถือว่าเหล็กไหล เป็นวัตถุมงคลศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีคุณสมบัติคงทนแข็งแกร่ง สามารถป้องกันภยันตรายและทำให้ผู้ครอบครองอยู่ยงคงกระพัน เหล็กไหลมักเป็นวัตถุที่ผ่านการปลุกเสกโดยพระหรือเกจิอาจารย์ผู้มีวิชาอาคมสูง ทำให้เหล็กไหลกลายเป็นเครื่องรางที่เชื่อกันว่าสามารถคุ้มครองผู้ที่พกพาให้ทนทานต่อสิ่งต่าง ๆ ทั้งการบาดเจ็บและอุปสรรคใด ๆ ได้เป็นพิเศษ คนโบราณจึงถูกนำมาใช้เปรียบเทียบกับคนที่มีความสามารถทนทานต่อความเจ็บปวดหรือความเหน็ดเหนื่อยได้อย่างผิดปกติ ดุจดั่งผู้ที่ได้พลังจากเหล็กไหลในร่างกาย ทำให้ไม่หวั่นเกรงหรือย่อท้อต่อสภาพร่างกายที่เหนื่อยล้า หรือสามารถฝ่าฟันปัญหาและความทุกข์ยากได้โดยไม่ถอดใจ ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • สำนวนกินรังแตน ที่มาและความหมาย

    สำนวนกินรังแตน ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กินรังแตน กินรังแตน หมายถึง สำนวน “กินรังแตน” หมายถึง การมีอารมณ์ฉุนเฉียว หงุดหงิด หรือโกรธง่าย เปรียบเหมือนคนที่ไปยุ่งกับรังแตนหรือรังต่อซึ่งเป็นสัตว์ที่ดุร้ายและพร้อมจะโจมตีหากถูกรบกวน สำนวนนี้จึงใช้บรรยายลักษณะของคนที่โมโหง่ายหรือแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดอย่างรุนแรง กล่าวคือ “คนที่มีอารมณ์เสียหงุดหงิดบ่นว่าเกินกว่าเหตุ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากธรรมชาติของแตนหรือสัตว์ในตระกูลแตน ซึ่งเป็นแมลงที่มีลักษณะดุร้ายและพร้อมจะต่อยเมื่อถูกรบกวน หากมีใครไปยุ่งหรือทำลายรังแตน จะถูกแตนจำนวนมากไล่ต่อยอย่างดุเดือด สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเทียบกับคนที่มีอารมณ์ฉุนเฉียว โกรธง่าย หรือแสดงความเกรี้ยวกราดออกมาอย่างรุนแรง เปรียบเสมือนคนที่ “กินรังแตน” จนแสดงอารมณ์ดุดันและพร้อมปะทุออกมา ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนกินตามน้ำ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนกินตามน้ำ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กินตามน้ำ กินตามน้ำ หมายถึง สำนวน “กินตามน้ำ” หมายถึง การรับผลประโยชน์หรือสิ่งของที่มีคนนำมาให้โดยไม่ได้เรียกร้อง เปรียบเสมือนการ “รับตามน้ำ” ที่ไหลมาหาโดยไม่ต้องพยายามมาก ซึ่งมักใช้ในบริบทของเจ้าหน้าที่หรือผู้มีอำนาจที่ได้รับของสมนาคุณหรือผลประโยชน์เพิ่มเติมจากผู้อื่น เพราะตำแหน่งหรืออำนาจที่มีอยู่ เช่น การรับของฝากหรือของกำนัลจากผู้มาติดต่อโดยไม่ได้ร้องขอ สะท้อนถึงการใช้สถานการณ์ที่เอื้ออำนวยให้เกิดประโยชน์โดยไม่ต้องออกแรง กล่าวคือ “การรับของสมนาคุณที่เขาเอามาให้โดยไม่ได้เรียกร้อง (มักใช้แก่เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจ)” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับการรับสิ่งของหรือประโยชน์ที่ลอยตามน้ำมาโดยไม่ต้องพยายามไล่ตามหรือออกแรงเปลี่ยนทิศทางของน้ำ เหมือนการที่คนหนึ่งได้รับสิ่งต่าง ๆ ตามที่สถานการณ์เอื้ออำนวย เช่น การรับของที่ผู้อื่นนำมาให้เพราะอำนาจหน้าที่ หรือตำแหน่งที่มีอยู่ การ “กินตามน้ำ” จึงสะท้อนถึงการได้รับประโยชน์ที่เกิดขึ้นง่ายดายและสะดวก เปรียบเหมือนของที่ลอยตามน้ำมาให้ถึงมือ ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนกินปูนร้อนท้อง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนกินปูนร้อนท้อง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กินปูนร้อนท้อง กินปูนร้อนท้อง หมายถึง สำนวน “กินปูนร้อนท้อง” หมายถึง การที่คนทำความผิดหรือมีความลับบางอย่างแล้วเกิดความวิตกกังวล เดือดร้อนขึ้นเอง กลัวว่าคนอื่นจะรู้ จนแสดงท่าทีที่ผิดปกติหรือเผยพิรุธออกมา คำว่า “ปูน” ในที่นี้ หมายถึงปูนแดงที่ใช้กินกับหมาก ซึ่งหากกินเข้าไปอาจทำให้รู้สึกไม่สบายหรือแสบท้องได้ การเปรียบเปรยนี้จึงสื่อถึงคนที่ทำผิดแล้วรู้สึกกระวนกระวาย จนเผลอแสดงอาการหรือคำพูดที่ทำให้คนอื่นสังเกตได้ กล่าวคือ “การทำอาการมีพิรุธขึ้นเอง, แสดงอาการเดือดร้อนขึ้นเอง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากความเชื่อพื้นบ้านที่ว่าหากนำปูนแดง (ปูนที่ใช้กินกับหมาก) ไปล่อให้ตุ๊กแกกินเข้าไป ตุ๊กแกจะมีอาการผิดปกติ เช่น งัวเงียหรือส่งเสียงร้องแก๊ก ๆ ไม่หยุด ซึ่งคนโบราณมักตีความว่าอาการที่ตุ๊กแกแสดงออกมานั้นเกิดจากการรู้สึกร้อนท้องหรือไม่สบายหลังจากกินปูนเข้าไป การเปรียบเปรยนี้จึงถูกนำมาใช้กับคนที่ทำผิดหรือมีความลับ แล้วแสดงอาการกระวนกระวายหรือพิรุธออกมา คล้ายกับตุ๊กแกที่กินปูนแล้วมีอาการไม่สบาย การที่คนทำผิดแล้ววิตกกังวลว่าจะถูกจับได้จึงมักเผลอแสดงท่าทีผิดปกติออกมาให้คนสังเกตเห็น สำนวนนี้จึงกลายเป็นเครื่องเตือนใจว่า ความรู้สึกผิดที่ซ่อนอยู่ในใจมักทำให้คนแสดงออกอย่างไม่ตั้งใจ ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนกินนอกกินใน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนกินนอกกินใน ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กินนอกกินใน กินนอกกินใน หมายถึง สำนวน “กินนอกกินใน” หมายถึง การคดโกงหรือหาผลประโยชน์ทั้งจากภายในและภายนอกพร้อมกัน โดยแสดงถึงการที่คนหนึ่งรับผลประโยชน์อย่างไม่ซื่อสัตย์จากหลายฝ่าย ทั้งจากคนใกล้ตัวและคนไกลตัว หรือจากหลายแหล่ง เปรียบเสมือนการกินจากทุกทิศทางโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องหรือศีลธรรม สำนวนนี้มักใช้ในเชิงตำหนิพฤติกรรมที่ไม่ซื่อสัตย์และเอาเปรียบผู้อื่น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ “การเอากำไรในการซื้อขาย ทั้งในราคาและนอกราคาที่กำหนด” นั่นเอง ที่มาของสำนวนนี้ มาจากการเปรียบเปรยกับพฤติกรรมของคนที่หาประโยชน์จากทั้งภายในและภายนอก เปรียบเหมือนการ “กิน” หรือรับประโยชน์จากทุกทิศทาง โดยไม่จำกัดแหล่งที่มาและไม่คำนึงถึงความถูกต้องหรือความซื่อสัตย์ “นอก” และ “ใน” ในที่นี้หมายถึงทั้งภายในที่ใกล้ตัวหรือในที่ทำงาน และภายนอกที่อาจหมายถึงคู่ค้าหรือหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การเอากำไรในการซื้อขายทั้งในราคาและนอกราคาที่กำหนด รวมถึงการเอาประโยชน์แบบเอาทั้งขึ้นทั้งล่อง สำนวนนี้จึงสื่อถึงพฤติกรรมคดโกงที่เอาเปรียบทุกฝ่ายพร้อมกันเพื่อหาผลประโยชน์ส่วนตัว ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • รู้จักสำนวนกินน้ำพริกถ้วยเก่า ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนกินน้ำพริกถ้วยเก่า ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กินน้ำพริกถ้วยเก่า กินน้ำพริกถ้วยเก่า หมายถึง สำนวน “กินน้ำพริกถ้วยเก่า” หมายถึง ชายที่หวนกลับไปหาคนรักหรือคู่ครองเก่าหลังจากเลิกรากันไป หรือการกลับไปใช้ชีวิตคู่กับคนที่เคยอยู่ด้วยกันมาแล้ว เปรียบเหมือนการกลับมากินน้ำพริกถ้วยเก่าที่คุ้นเคย กินน้ำพริกแบบเก่า ๆ ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงกรรมวิธีในการทำเลย เพราะคนตำน้ำพริกก็คนเดิม ใช้กับชายที่กลับมาอยู่กับเมียคนเดิม แม้อาจจะเคยเปลี่ยนใจไปชั่วคราว แต่สุดท้ายก็กลับมาใช้ชีวิตกับสิ่งเดิม กล่าวคือ “การกลับมาอยู่กับเมียคนเดิม” นั่นเอง ที่มาของสำนวน ที่มาของสำนวนนี้มาจากวิถีชีวิตและวัฒนธรรมการกินของคนไทยที่คุ้นเคยกับการกินน้ำพริก ซึ่งเป็นอาหารพื้นบ้านที่ทำง่ายและกินบ่อยในครัวเรือน น้ำพริกถ้วยเก่าจึงเป็นสิ่งที่คุ้นเคยและเข้ากันได้ดี แม้จะมีอาหารใหม่หรือแปลกตาเข้ามา แต่สุดท้ายคนก็มักกลับมากินน้ำพริกถ้วยเดิมที่อร่อยและพอใจอยู่แล้ว อุปมาอุปไมยการกินน้ำพริกแบบเก่า ๆ ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงกรรมวิธีในการทำเลย เพราะคนตำน้ำพริกก็คนเดิม จึงใช้กรรมวิธีการทำแบบเดิม ๆ จึงกินอยู่อย่างซ้ำๆ ซากๆ เหมือนเดิม รสเดิมอย่างจำเจจำใจ แม้กระทั่งถ้วยที่ใส่ก็ถ้วยเดิมอีก สำนวนนี้จึงถูกใช้เปรียบเปรยถึงชายที่กลับไปหาคนรักหรือคู่ครองเก่าที่เคยเลิกรากันไป แต่เมื่อผ่านประสบการณ์ใหม่ ๆ มาแล้วก็ยังคงกลับไปหาสิ่งที่คุ้นเคย เปรียบเหมือนการกลับมากินน้ำพริกถ้วยเดิมที่มีรสชาติที่คุ้นชินและลงตัว ตัวอย่างการใช้สำนวน