Tag: สำนวนไทย ก.
-
รู้จักสำนวนไก่บินไม่ตกดิน ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. ไก่บินไม่ตกดิน ไก่บินไม่ตกดิน หมายถึง สำนวน “ไก่บินไม่ตกดิน” หมายถึง บริเวณที่มีอาคารบ้านเรือนหนาแน่นแออัดจนไม่มีพื้นที่ว่าง หลังคาติดกัน เปรียบเสมือนการที่ไก่บินผ่าน แต่ไม่สามารถตกถึงพื้นได้เพราะมีสิ่งกีดขวางเต็มพื้นที่ บินไปก็ตกถึงหลังคา หาพื้นหาดินไม่เจอ ซึ่งแสดงถึงความแออัดของบ้านเรือนที่ตั้งติดกันโดยไม่มีพื้นที่ว่าง ทั้งในชุมชนเมืองใหญ่หรือเขตที่มีประชากรหนาแน่น กล่าวคือ “บริเวณที่มีอาคารบ้านเรือนหนาแน่นแออัด” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากวิถีชีวิตของคนสมัยก่อนที่นิยมเลี้ยงไก่ตามบ้านและชุมชน ทำให้เห็นพฤติกรรมของไก่อยู่บ่อย ๆ เมื่อไก่บิน จะสังเกตได้ว่ามันต้องการลงสู่พื้นดินเพราะเป็นที่ที่ปลอดภัยและคุ้นเคย หากไก่บินผ่านพื้นที่ที่แออัดไปด้วยอาคารบ้านเรือน หรือมีหลังคาปกคลุมแน่นขนัดจนไม่มีที่ว่างให้ลง คนจึงนำภาพนี้มาเปรียบเทียบว่า “ไก่บินไม่ตกดิน“ เพื่อสื่อถึงพื้นที่ที่มีความแออัดมากจนไม่มีช่องว่างให้ลงถึงพื้น และเขตที่มีความหนาแน่นและคับคั่งของอาคารบ้านเรือนในไทยสมัยก่อน โดยเฉพาะที่สำเพ็ง ซึ่งเป็นย่านการค้าขายที่สำคัญ จำหน่ายสินค้าหลากหลายจากเมืองจีน เช่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ ข้าวของเครื่องใช้ ผลไม้ และยังเป็นแหล่งรวมอบายมุขขนาดใหญ่ ทั้งโรงฝิ่น บ่อนการพนัน และสถานบริการหลายแห่ง ด้วยความหนาแน่นของอาคารบ้านเรือนในย่านนี้ ที่ต่างปลูกเรียงติดกันจนหลังคาเกยกันเต็มพื้นที่ ทำให้ผู้คนในยุคนั้นมองว่าหากไก่บินผ่านสำเพ็ง จะไม่มีที่ว่างให้ลงพื้นได้เพราะพื้นที่ถูกปกคลุมด้วยหลังคาอาคารจนหมด สำนวนนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อสะท้อนถึงความแออัดของย่านชุมชนในเมืองใหญ่ ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนไก่แก่แม่ปลาช่อน ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. ไก่แก่แม่ปลาช่อน ไก่แก่แม่ปลาช่อน หมายถึง สำนวน “ไก่แก่แม่ปลาช่อน” หมายถึง ผู้หญิงที่มีมารยาและเล่ห์เหลี่ยมมากซึ่งมักใช้เพื่อเปรียบเปรยผู้หญิงที่มีอายุมากหรือมีประสบการณ์สูงในด้านการใช้กลวิธีและการโน้มน้าวใจคนอื่น โดยคำนี้เป็นสำนวนจากวรรณคดีไทยหลายเรื่องที่โดยเป็นคำที่คล้องจองพ้องกัน ดังนั้นจึงนำมาใช้ในสำนวนนี้เพื่อสื่อถึงผู้หญิงที่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว รู้จักวิธีจัดการกับคนอื่นด้วยการแสดงออกหรือพูดจาที่แฝงไปด้วยชั้นเชิง กล่าคือ “ผู้หญิงค่อนข้างมีอายุที่มีมารยาและเล่ห์เหลี่ยมมาก และมีกิริยาจัดจ้านเดิมพูดว่า กระต่ายแก่แม่ปลาช่อน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากวรรณคดีไทย โดยเพี้ยนมาจากสำนวนเดิมว่า “กระต่ายแก่แม่ปลาช่อน” ซึ่งพบได้ในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง เช่น เรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่ ที่พระอภัยมณีกล่าวกับนางสุวรรณมาลีว่า “ขี้เกียจเกี้ยวเคี่ยวขับข้ารับแพ้ กระต่ายแก่แม่ปลาช่อนงอนไม่หาย” ในบริบทนี้ สำนวนหมายถึงผู้หญิงที่มีแง่งอนและมารยา นอกจากนี้ยังพบในเรื่องคาวี พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ที่พระคาวีกล่าวถึงนางคันธมาลีว่า “ไม่พอที่ตีวัวกระทบคราด สัญชาติกระต่ายแก่แม่ปลาช่อน แสร้งสบิ้งสะบัดตัดรอน จะช่วยสอนให้ดีก็มิเอา” ซึ่งสำนวน “กระต่ายแก่แม่ปลาช่อน” ในวรรณคดีทั้งสองเรื่องนี้มีความหมายเชิงลบ โดยเปรียบเทียบถึงผู้หญิงที่มีความแง่งอน เจ้าเล่ห์ และมารยา ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนไก่รองบ่อน ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. ไก่รองบ่อน ไก่รองบ่อน หมายถึง สำนวน “ไก่รองบ่อน” หมายถึง ผู้ที่อยู่ในฐานะตัวสำรอง หรือคนที่ถูกมองว่าไม่ใช่ตัวเลือกหลัก ในการทำงานหรือการแข่งขัน แต่จะถูกเรียกมาใช้เมื่อจำเป็นหรือเมื่อคนหลักไม่สามารถทำหน้าที่ได้ เช่น การเปรียบเทียบกับไก่ที่ไม่ใช่ไก่หลักในการชนในบ่อน แต่จะถูกนำมาใช้แทนเมื่อไก่หลักไม่พร้อมหรือไม่สามารถแข่งขันได้ โดยมักจะถูกมองว่าเป็นคนที่มีคุณค่าน้อยกว่าหรือไม่ค่อยได้รับโอกาสในบทบาทสำคัญ กล่าวคือ “ผู้ที่อยู่ในฐานะตัวสำรอง ซึ่งจะเรียกมาใช้เมื่อไรก็ได้” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มีที่มาจากการชนไก่ ซึ่งเป็นการพนันที่นิยมในสมัยก่อน โดยในบ่อนพนันมักจะมีไก่ตัวหลัก ที่ได้รับการฝึกฝนและคาดหวังว่าจะชนะในการแข่งขัน ส่วนไก่รองบ่อน คือไก่ที่ไม่ได้เป็นตัวหลัก แต่จะถูกเตรียมไว้ในกรณีที่ไก่ตัวหลักไม่สามารถเข้าร่วมได้ หรือเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การบาดเจ็บของไก่ตัวหลัก ไก่รองบ่อนจึงมีบทบาทเพียงเมื่อจำเป็น โดยมีคุณค่าน้อยกว่าตัวหลัก จึงถูกนำมาใช้เปรียบเทียบกับคนที่ไม่ใช่ตัวเลือกหลักในกลุ่มหรือในสถานการณ์หนึ่งๆ แต่สามารถถูกเรียกใช้ได้เมื่อจำเป็น. ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายสำนวนนี้
-
รู้จักสำนวนแกะดำ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. แกะดำ แกะดำ หมายถึง สำนวน “แกะดำ” หมายถึง คนที่ทำตัวผิดแผกจากคนส่วนใหญ่ หรือทำตัวไม่เหมือนคนทั่วไปในกลุ่ม เปรียบเปรยถึงแกะขนสีดำ ซึ่งผิดแปลกจากสีขนแกะของกลุ่มที่ปกติมีขนสีขาว เช่น คนที่ทำผิดประเพณี หรือไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่ตั้งไว้ ซึ่งมักจะถูกมองว่าเป็นคนที่ไม่เหมาะสมหรือแปลกแยกจากสังคมที่ตั้งไว้ กล่าวคือ “คนที่ทำอะไรผิดเพื่อนผิดฝูงในกลุ่มนั้นๆ (ใช้ในทางไม่ดี)” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบระหว่าง “แกะ” ที่โดยปกติจะมีขนสีขาว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนโยนและเป็นระเบียบเรียบร้อย กับ “แกะดำ” ที่มีขนสีดำ หายาก ซึ่งผิดปกติจากแกะทั่วไป เมื่อเปรียบเทียบกับคนในสังคมหรือกลุ่มที่ทำตัวผิดแผกจากคนส่วนใหญ่ หรือไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบในกลุ่ม จึงใช้คำว่า “แกะดำ” เพื่อบอกถึงคนที่ไม่เข้ากับสังคม หรือทำตัวแตกต่างจากคนอื่น ๆ ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนเกลือเป็นหนอน ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. เกลือเป็นหนอน เกลือเป็นหนอน หมายถึง สำนวน “เกลือเป็นหนอน” หมายถึง การที่คนในครอบครัวหรือคนใกล้ชิด เช่น ญาติมิตร สามีภรรยา หรือเพื่อนร่วมงาน กลับทรยศหรือทำร้ายกันเอง แทนที่จะช่วยเหลือหรือสนับสนุนกัน เปรียบเสมือนกับเกลือ (ที่มีประโยชน์) กลับกลายเป็นหนอน (ที่ไม่มีประโยชน์) กล่าวคือ “ญาติมิตร สามีภรรยา บุตรธิดา เพื่อนร่วมงาน หรือคนในบ้าน คิดคดทรยศ, ไส้เป็นหนอน ก็ว่า” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการใช้ภาพเปรียบเทียบระหว่างเกลือ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่าหรือประโยชน์ในการรักษาอาหาร และหนอนที่เป็นศัตรูหรือสิ่งที่ทำลายความดีงามหรือคุณค่าของสิ่งนั้น ๆ ในอดีต การเก็บรักษาเกลือไว้ใช้ในบ้านหรือชุมชนมักจะเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเกลือช่วยในการถนอมอาหาร เช่น การหมักหรือแปรรูปอาหารต่าง ๆ แต่หากเกลือถูกทิ้งไว้ในสภาพที่ไม่ดี หรือไม่มีการดูแลอย่างเหมาะสม ก็อาจจะมีหนอนมากัดกินหรือทำลายได้ การใช้คำว่า “หนอน“ ที่มักจะเป็นสิ่งที่ทำลายและทำให้เสียหาย สะท้อนถึงการทรยศหรือการกระทำไม่ดีจากคนใกล้ชิดที่ทำลายความดีของคนที่มีคุณค่าหรือคนที่ไว้ใจ เช่นญาติมิตรหรือเพื่อนฝูง ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนก้างขวางคอ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. ก้างขวางคอ ก้างขวางคอ หมายถึง สำนวน “ก้างขวางคอ” หมายถึง การมีอุปสรรคหรือสิ่งที่ขัดขวางการทำงานหรือการกระทำบางอย่าง ทำให้ไม่สามารถทำสิ่งนั้นได้สะดวกหรือไม่ราบรื่น เหมือนกับก้างปลาที่ติดอยู่ในคอทำให้ไม่สามารถกลืนอาหารได้ง่ายหรือสะดวก โดยมักใช้เพื่อบรรยายถึงคนหรือสิ่งที่ขัดขวางการดำเนินการ หรือทำให้การทำงานของคนอื่นไม่ลื่นไหลหรือเกิดความล่าช้า กล่าวคือ “ผู้ขัดขวางไม่ให้ทำการได้สะดวก, ผู้ขัดขวางให้ผู้อื่นเสียประโยชน์” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบถึงการติดขัดหรืออุปสรรคที่เกิดขึ้นในกระบวนการทำบางสิ่งบางอย่าง เหมือนกับก้างปลาที่ติดคอทำให้ไม่สามารถกลืนอาหารได้สะดวก ซึ่งเป็นความรู้สึกอึดอัดที่เกิดขึ้นขณะพยายามทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จ ในบริบทของสำนวนนี้ “ก้าง” จึงหมายถึงสิ่งที่ขัดขวางหรือเป็นอุปสรรค ในกรณีที่มีคนหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาขัดแย้งหรือทำให้กระบวนการทำงานไม่ราบรื่น หรือทำให้ผู้อื่นไม่สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้สะดวกตามที่ตั้งใจไว้ ทำให้เกิดความล่าช้าหรือเสียเวลาไปโดยไม่จำเป็น เหตุผลที่ต้องใช้ก้างขวางคอในการเปรียบเทียบ เพราะมันเป็นภาพที่คุ้นเคยและสามารถทำให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านเข้าใจถึงความรู้สึกอึดอัดได้ทันทีจากประสบการณ์ทั่วไปในการกินอาหาร ที่มีบางสิ่งขวางคอไม่ให้ทำการได้ตามปกติ ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนกัดหางตัวเอง ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กัดหางตัวเอง กัดหางตัวเอง หมายถึง สำนวน “กัดหางตัวเอง” หมายถึง อาการของคนที่พูดจาวกไปวนมา พูดไม่รู้เรื่อง ขาดความชัดเจนและหาสาระไม่ได้ เหมือนการพูดที่วนเวียนกลับมาจุดเดิมโดยไม่มีเนื้อหาที่ชัดเจน เปรียบเหมือนหมาที่พยายามกัดหางของตัวเองซ้ำไปซ้ำมาแล้วเดินหมุนวนไปวนมา โดยไม่สามารถหาทางออกหรือทำให้เกิดความกระจ่างใด ๆ สำนวนนี้มักใช้กับคนที่พูดหรืออธิบายเรื่องใดเรื่องหนึ่งซ้ำซาก แต่ไม่ได้สร้างความเข้าใจหรือความหมายที่ชัดเจน กล่าวคือ “คนที่พูดวกไปวนมา” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากพฤติกรรมของสุนัขที่บางครั้งกัดหางตัวเอง ซึ่งเกิดจากปัญหาทางระบบประสาท ความเครียด หรือสภาพแวดล้อมที่ส่งผลต่ออารมณ์และความคิดของสุนัข ทำให้มันแสดงพฤติกรรมซ้ำซากและวนเวียน สุนัขอาจไม่รู้ว่ากำลังทำร้ายตัวเองหรือวนอยู่กับสิ่งเดิม ๆ หรือบางครั้งก็คันหางจึงกัดและหมุนวนเป็นวงกลมวนไปวนมาอยู่อย่างนั้น สำนวนนี้จึงถูกนำมาเปรียบเปรยถึงคนที่พูดจาวกวน ซ้ำไปซ้ำมา และขาดความกระจ่างชัดในสาระ หรือการกระทำที่ไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีสาระ ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนกินเกลือกินกะปิ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กินเกลือกินกะปิ กินเกลือกินกะปิ หมายถึง สำนวน “กินเกลือกินกะปิ” หมายถึง คนที่สามารถอดทนและใช้ชีวิตอยู่ได้แม้จะต้องเผชิญกับความลำบากยากแค้น ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและพอเพียง ไม่บ่นหรือเรียกร้องสิ่งที่เกินความจำเป็น เปรียบเสมือนการกินเพียงเกลือและกะปิ ซึ่งเป็นอาหารพื้นฐานที่หาง่ายและราคาถูก สำนวนนี้สะท้อนถึงความอดทนต่อสภาวะที่ขาดแคลนและความสามารถในการใช้ชีวิตอย่างสมถะ กล่าวคือ “การอดทนต่อความลำบากยากแค้น” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากวิถีชีวิตของคนไทยในอดีต โดยเฉพาะกลุ่มคนชนชั้นล่างหรือคนที่มีฐานะยากจน ซึ่งมักใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและประหยัด เนื่องจากขาดแคลนทรัพยากรหรือทุนทรัพย์ที่จะซื้ออาหารดี ๆ เกลือและกะปิจึงเป็นวัตถุดิบพื้นฐานที่ราคาถูกและหาได้ง่ายในท้องถิ่น คนไทยกลุ่มนี้อาศัยเพียงอาหารพื้นบ้านง่าย ๆ ที่พอมีอยู่ โดยไม่ฟุ่มเฟือยหรือเรียกร้องสิ่งที่เกินจำเป็น สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเปรยถึงคนที่มีความอดทนต่อความลำบาก สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้แม้ในสภาพแวดล้อมที่ขาดแคลน และพร้อมยอมรับสิ่งที่มีอยู่อย่างพอเพียง ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนกินเหล็กกินไหล ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กินเหล็กกินไหล กินเหล็กกินไหล หมายถึง สำนวน “กินเหล็กกินไหล” หมายถึง คนที่สามารถทนทานต่อความเหนื่อยล้าหรือความเจ็บปวดได้มากกว่าปกติ มีความแข็งแกร่งทั้งทางร่างกายและจิตใจ จนไม่ย่อท้อต่อความยากลำบากใด ๆ เปรียบเหมือนคนที่มีเหล็กไหลในร่างกาย ทำให้ไม่รู้สึกเหนื่อยหรือเจ็บง่าย ๆ กล่าวคือ “คนที่ทนต่อความเหน็ดเหนื่อยหรือความเจ็บปวดได้อย่างผิดปรกติ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากความเชื่อคนไทยในไสยศาสตร์ไทยที่ถือว่าเหล็กไหล เป็นวัตถุมงคลศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีคุณสมบัติคงทนแข็งแกร่ง สามารถป้องกันภยันตรายและทำให้ผู้ครอบครองอยู่ยงคงกระพัน เหล็กไหลมักเป็นวัตถุที่ผ่านการปลุกเสกโดยพระหรือเกจิอาจารย์ผู้มีวิชาอาคมสูง ทำให้เหล็กไหลกลายเป็นเครื่องรางที่เชื่อกันว่าสามารถคุ้มครองผู้ที่พกพาให้ทนทานต่อสิ่งต่าง ๆ ทั้งการบาดเจ็บและอุปสรรคใด ๆ ได้เป็นพิเศษ คนโบราณจึงถูกนำมาใช้เปรียบเทียบกับคนที่มีความสามารถทนทานต่อความเจ็บปวดหรือความเหน็ดเหนื่อยได้อย่างผิดปกติ ดุจดั่งผู้ที่ได้พลังจากเหล็กไหลในร่างกาย ทำให้ไม่หวั่นเกรงหรือย่อท้อต่อสภาพร่างกายที่เหนื่อยล้า หรือสามารถฝ่าฟันปัญหาและความทุกข์ยากได้โดยไม่ถอดใจ ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
สำนวนกินรังแตน ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กินรังแตน กินรังแตน หมายถึง สำนวน “กินรังแตน” หมายถึง การมีอารมณ์ฉุนเฉียว หงุดหงิด หรือโกรธง่าย เปรียบเหมือนคนที่ไปยุ่งกับรังแตนหรือรังต่อซึ่งเป็นสัตว์ที่ดุร้ายและพร้อมจะโจมตีหากถูกรบกวน สำนวนนี้จึงใช้บรรยายลักษณะของคนที่โมโหง่ายหรือแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดอย่างรุนแรง กล่าวคือ “คนที่มีอารมณ์เสียหงุดหงิดบ่นว่าเกินกว่าเหตุ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากธรรมชาติของแตนหรือสัตว์ในตระกูลแตน ซึ่งเป็นแมลงที่มีลักษณะดุร้ายและพร้อมจะต่อยเมื่อถูกรบกวน หากมีใครไปยุ่งหรือทำลายรังแตน จะถูกแตนจำนวนมากไล่ต่อยอย่างดุเดือด สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเทียบกับคนที่มีอารมณ์ฉุนเฉียว โกรธง่าย หรือแสดงความเกรี้ยวกราดออกมาอย่างรุนแรง เปรียบเสมือนคนที่ “กินรังแตน” จนแสดงอารมณ์ดุดันและพร้อมปะทุออกมา ตัวอย่างการใช้สำนวน