Tag: สำนวนไทย ก.

  • รู้จักสำนวนกินตามน้ำ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนกินตามน้ำ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กินตามน้ำ กินตามน้ำ หมายถึง สำนวน “กินตามน้ำ” หมายถึง การรับผลประโยชน์หรือสิ่งของที่มีคนนำมาให้โดยไม่ได้เรียกร้อง เปรียบเสมือนการ “รับตามน้ำ” ที่ไหลมาหาโดยไม่ต้องพยายามมาก ซึ่งมักใช้ในบริบทของเจ้าหน้าที่หรือผู้มีอำนาจที่ได้รับของสมนาคุณหรือผลประโยชน์เพิ่มเติมจากผู้อื่น เพราะตำแหน่งหรืออำนาจที่มีอยู่ เช่น การรับของฝากหรือของกำนัลจากผู้มาติดต่อโดยไม่ได้ร้องขอ สะท้อนถึงการใช้สถานการณ์ที่เอื้ออำนวยให้เกิดประโยชน์โดยไม่ต้องออกแรง กล่าวคือ “การรับของสมนาคุณที่เขาเอามาให้โดยไม่ได้เรียกร้อง (มักใช้แก่เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจ)” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับการรับสิ่งของหรือประโยชน์ที่ลอยตามน้ำมาโดยไม่ต้องพยายามไล่ตามหรือออกแรงเปลี่ยนทิศทางของน้ำ เหมือนการที่คนหนึ่งได้รับสิ่งต่าง ๆ ตามที่สถานการณ์เอื้ออำนวย เช่น การรับของที่ผู้อื่นนำมาให้เพราะอำนาจหน้าที่ หรือตำแหน่งที่มีอยู่ การ “กินตามน้ำ” จึงสะท้อนถึงการได้รับประโยชน์ที่เกิดขึ้นง่ายดายและสะดวก เปรียบเหมือนของที่ลอยตามน้ำมาให้ถึงมือ ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนกินปูนร้อนท้อง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนกินปูนร้อนท้อง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กินปูนร้อนท้อง กินปูนร้อนท้อง หมายถึง สำนวน “กินปูนร้อนท้อง” หมายถึง การที่คนทำความผิดหรือมีความลับบางอย่างแล้วเกิดความวิตกกังวล เดือดร้อนขึ้นเอง กลัวว่าคนอื่นจะรู้ จนแสดงท่าทีที่ผิดปกติหรือเผยพิรุธออกมา คำว่า “ปูน” ในที่นี้ หมายถึงปูนแดงที่ใช้กินกับหมาก ซึ่งหากกินเข้าไปอาจทำให้รู้สึกไม่สบายหรือแสบท้องได้ การเปรียบเปรยนี้จึงสื่อถึงคนที่ทำผิดแล้วรู้สึกกระวนกระวาย จนเผลอแสดงอาการหรือคำพูดที่ทำให้คนอื่นสังเกตได้ กล่าวคือ “การทำอาการมีพิรุธขึ้นเอง, แสดงอาการเดือดร้อนขึ้นเอง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากความเชื่อพื้นบ้านที่ว่าหากนำปูนแดง (ปูนที่ใช้กินกับหมาก) ไปล่อให้ตุ๊กแกกินเข้าไป ตุ๊กแกจะมีอาการผิดปกติ เช่น งัวเงียหรือส่งเสียงร้องแก๊ก ๆ ไม่หยุด ซึ่งคนโบราณมักตีความว่าอาการที่ตุ๊กแกแสดงออกมานั้นเกิดจากการรู้สึกร้อนท้องหรือไม่สบายหลังจากกินปูนเข้าไป การเปรียบเปรยนี้จึงถูกนำมาใช้กับคนที่ทำผิดหรือมีความลับ แล้วแสดงอาการกระวนกระวายหรือพิรุธออกมา คล้ายกับตุ๊กแกที่กินปูนแล้วมีอาการไม่สบาย การที่คนทำผิดแล้ววิตกกังวลว่าจะถูกจับได้จึงมักเผลอแสดงท่าทีผิดปกติออกมาให้คนสังเกตเห็น สำนวนนี้จึงกลายเป็นเครื่องเตือนใจว่า ความรู้สึกผิดที่ซ่อนอยู่ในใจมักทำให้คนแสดงออกอย่างไม่ตั้งใจ ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนกินนอกกินใน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนกินนอกกินใน ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กินนอกกินใน กินนอกกินใน หมายถึง สำนวน “กินนอกกินใน” หมายถึง การคดโกงหรือหาผลประโยชน์ทั้งจากภายในและภายนอกพร้อมกัน โดยแสดงถึงการที่คนหนึ่งรับผลประโยชน์อย่างไม่ซื่อสัตย์จากหลายฝ่าย ทั้งจากคนใกล้ตัวและคนไกลตัว หรือจากหลายแหล่ง เปรียบเสมือนการกินจากทุกทิศทางโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องหรือศีลธรรม สำนวนนี้มักใช้ในเชิงตำหนิพฤติกรรมที่ไม่ซื่อสัตย์และเอาเปรียบผู้อื่น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ “การเอากำไรในการซื้อขาย ทั้งในราคาและนอกราคาที่กำหนด” นั่นเอง ที่มาของสำนวนนี้ มาจากการเปรียบเปรยกับพฤติกรรมของคนที่หาประโยชน์จากทั้งภายในและภายนอก เปรียบเหมือนการ “กิน” หรือรับประโยชน์จากทุกทิศทาง โดยไม่จำกัดแหล่งที่มาและไม่คำนึงถึงความถูกต้องหรือความซื่อสัตย์ “นอก” และ “ใน” ในที่นี้หมายถึงทั้งภายในที่ใกล้ตัวหรือในที่ทำงาน และภายนอกที่อาจหมายถึงคู่ค้าหรือหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การเอากำไรในการซื้อขายทั้งในราคาและนอกราคาที่กำหนด รวมถึงการเอาประโยชน์แบบเอาทั้งขึ้นทั้งล่อง สำนวนนี้จึงสื่อถึงพฤติกรรมคดโกงที่เอาเปรียบทุกฝ่ายพร้อมกันเพื่อหาผลประโยชน์ส่วนตัว ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • รู้จักสำนวนกินน้ำพริกถ้วยเก่า ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนกินน้ำพริกถ้วยเก่า ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กินน้ำพริกถ้วยเก่า กินน้ำพริกถ้วยเก่า หมายถึง สำนวน “กินน้ำพริกถ้วยเก่า” หมายถึง ชายที่หวนกลับไปหาคนรักหรือคู่ครองเก่าหลังจากเลิกรากันไป หรือการกลับไปใช้ชีวิตคู่กับคนที่เคยอยู่ด้วยกันมาแล้ว เปรียบเหมือนการกลับมากินน้ำพริกถ้วยเก่าที่คุ้นเคย กินน้ำพริกแบบเก่า ๆ ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงกรรมวิธีในการทำเลย เพราะคนตำน้ำพริกก็คนเดิม ใช้กับชายที่กลับมาอยู่กับเมียคนเดิม แม้อาจจะเคยเปลี่ยนใจไปชั่วคราว แต่สุดท้ายก็กลับมาใช้ชีวิตกับสิ่งเดิม กล่าวคือ “การกลับมาอยู่กับเมียคนเดิม” นั่นเอง ที่มาของสำนวน ที่มาของสำนวนนี้มาจากวิถีชีวิตและวัฒนธรรมการกินของคนไทยที่คุ้นเคยกับการกินน้ำพริก ซึ่งเป็นอาหารพื้นบ้านที่ทำง่ายและกินบ่อยในครัวเรือน น้ำพริกถ้วยเก่าจึงเป็นสิ่งที่คุ้นเคยและเข้ากันได้ดี แม้จะมีอาหารใหม่หรือแปลกตาเข้ามา แต่สุดท้ายคนก็มักกลับมากินน้ำพริกถ้วยเดิมที่อร่อยและพอใจอยู่แล้ว อุปมาอุปไมยการกินน้ำพริกแบบเก่า ๆ ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงกรรมวิธีในการทำเลย เพราะคนตำน้ำพริกก็คนเดิม จึงใช้กรรมวิธีการทำแบบเดิม ๆ จึงกินอยู่อย่างซ้ำๆ ซากๆ เหมือนเดิม รสเดิมอย่างจำเจจำใจ แม้กระทั่งถ้วยที่ใส่ก็ถ้วยเดิมอีก สำนวนนี้จึงถูกใช้เปรียบเปรยถึงชายที่กลับไปหาคนรักหรือคู่ครองเก่าที่เคยเลิกรากันไป แต่เมื่อผ่านประสบการณ์ใหม่ ๆ มาแล้วก็ยังคงกลับไปหาสิ่งที่คุ้นเคย เปรียบเหมือนการกลับมากินน้ำพริกถ้วยเดิมที่มีรสชาติที่คุ้นชินและลงตัว ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนกิ่งทองใบหยก ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนกิ่งทองใบหยก ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กิ่งทองใบหยก กิ่งทองใบหยก หมายถึง สำนวน “กิ่งทองใบหยก” หมายถึง การจับคู่หรือความสัมพันธ์ที่เหมาะสมและสวยงาม ทั้งในแง่ของความเหมาะสมทางสังคมหรือฐานะ เช่น การแต่งงานของคนสองคนที่มีความเหมาะสมทั้งด้านฐานะ ครอบครัว หรือสถานภาพทางสังคม สำนวนนี้เปรียบเปรยถึงสิ่งที่เข้ากันได้ดีและดูงดงามเหมือนกิ่งทองและใบหยกที่เสริมส่งกัน กล่าวคือ “ความเหมาะสมกัน (ใช้แก่หญิงกับชายที่จะแต่งงานกัน)” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากสิ่งประดิษฐ์และศิลปวัตถุที่มีความสวยงามและเป็นที่ยอมรับในสังคมไทยมาตั้งแต่อดีต กิ่งทองและใบหยกเป็นสิ่งของที่ทำจากวัสดุมีค่าหรือมีความสวยงาม เช่น กิ่งทองที่อาจทำจากทองคำและใบหยกที่ทำจากหินหยก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความงดงาม ความมั่งคั่ง และความสมบูรณ์ การนำสองสิ่งนี้มารวมกันจึงสื่อถึงความงามและความเหมาะสมที่ลงตัว การเปรียบเทียบสิ่งที่มีค่าและงดงามอย่าง “กิ่งทอง” และ “ใบหยก” ซึ่งทั้งสองอย่างเป็นของที่สวยงามและมีค่า เมื่ออยู่ด้วยกันจะเสริมความงดงามและดูเหมาะสมกัน สำนวนนี้จึงถูกใช้เปรียบเปรยถึงความสัมพันธ์ที่เหมาะสม ลงตัว และดูดีในทุกด้าน เช่น การจับคู่ของคนที่มีฐานะและคุณสมบัติเข้ากันได้ดี เหมือนกับกิ่งทองและใบหยกที่อยู่ร่วมกันแล้วดูสวยงามและลงตัว สำนวนนี้ผูกพันกับวัฒนธรรมไทยโดยมักถูกนำมาใช้ในบริบทของงานมงคล เช่น การอวยพรคู่แต่งงานหรือการชื่นชมความเหมาะสมของคู่รัก สื่อถึงความเป็นคู่ที่ดีงามและสมบูรณ์พร้อม ซึ่งแสดงถึงการให้ความสำคัญกับการมีความสัมพันธ์ที่ดีและการจับคู่ที่เหมาะสมตามค่านิยมของสังคมไทยในอดีตและปัจจุบัน การใช้สำนวนนี้ยังแฝงความหมายของการให้เกียรติและความเคารพในความสัมพันธ์ที่สวยงามและสมบูรณ์ ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนกาหลงรัง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนกาหลงรัง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กาหลงรัง กาหลงรัง หมายถึง สำนวน “กาหลงรัง” หมายถึง คนที่รู้สึกหลงลืมตัวหรือหลงในสิ่งที่ไม่ใช่ของตนเอง หรือสถานที่ที่ไม่ใช่บ้านเกิดหรือถิ่นที่อยู่เดิมของตน เปรียบเหมือนอีกาที่หลงไปอยู่รังที่ไม่ใช่ของตัวเอง สำนวนนี้ใช้เพื่อบรรยายถึงการที่คนหนึ่งลืมรากเหง้า หรือรู้สึกสับสนในตัวเองและสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคยง กล่าวคือ “ผู้ที่ไปหลงติดอยู่ ณ บ้านใดบ้านหนึ่งแล้วไม่ยอมกลับบ้านของตน, ผู้เร่ร่อนไปไม่มีที่พักพิงเป็นหลักแหล่ง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากธรรมชาติของนกกา ซึ่งเป็นนกที่สามารถปรับตัวได้เก่งและมีความสามารถในการขยายพันธุ์ในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างกว้างขวางทั่วเอเชีย กามีความสามารถในการกินอาหารได้หลากหลายและยืดหยุ่น ทำให้สามารถขยายไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ ได้ง่ายดาย ในบางครั้ง กาจะทิ้งรังเดิมของตัวเองเพื่อหาแหล่งอาหารใหม่ ๆ หรือสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตและการเอาชีวิตรอด การกระทำนี้ทำให้เกิดภาพลักษณ์ของการทิ้งถิ่นหรือสถานที่เดิม และไปอยู่ในที่ที่ไม่ใช่บ้านหรือรังของตัวเอง สำนวน “กาหลงรัง” จึงเปรียบเปรยถึงคนที่หลงลืมถิ่นกำเนิดหรือบ้านเดิมของตนเอง หรือตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่ไม่ใช่ของตนเอง ทำให้รู้สึกไม่กลมกลืนหรือสับสนในที่ที่ไม่คุ้นเคย การใช้สำนวนนี้ยังสะท้อนถึงการแสวงหาความอยู่รอดและการปรับตัว แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงนัยของการหลงลืมตัวตนหรือการห่างไกลจากสิ่งที่เป็นรากเหง้าของตนเอง ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนกาฝาก ที่มาและความมาย

    รู้จักสำนวนกาฝาก ที่มาและความมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กาฝาก กาฝาก หมายถึง สำนวน “กาฝาก” หมายถึง คนที่อาศัยผู้อื่นในการดำรงชีวิตหรืออยู่ได้ด้วยการพึ่งพาผู้อื่น โดยไม่สร้างคุณประโยชน์ให้กับตัวเองหรือคนรอบข้าง เปรียบเสมือนกาฝากที่เกาะอยู่กับต้นไม้และดูดสารอาหารจากต้นไม้ต้นนั้น ทำให้ต้นไม้เสื่อมโทรมลง สำนวนนี้ใช้ในเชิงลบเพื่อบรรยายคนที่พึ่งพาคนอื่นมากเกินไปและไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ กล่าวคือ “การแฝงตัวอาศัยอยู่กับผู้อื่นโดยที่ไม่ช่วยเหลือ หรือทำประโยชน์อะไรให้ คอยแต่จะเกาะเอาประโยชน์จากผู้อื่น” นั่นเอง ที่มาของสำนวนนี้ มาจากธรรมชาติของพืชชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “กาฝาก” ซึ่งเป็นพืชปรสิตที่เติบโตและอาศัยอยู่บนต้นไม้ใหญ่ กาฝากจะเกาะติดและดูดสารอาหารจากต้นไม้นั้น ๆ เพื่อการเจริญเติบโตของตนเอง ทำให้ต้นไม้ที่ถูกกาฝากเกาะนั้นเสื่อมโทรมลงและอาจตายในที่สุด ลักษณะการเกาะกินของกาฝากที่ไม่สร้างประโยชน์อะไรให้กับต้นไม้ แต่กลับทำให้ต้นไม้อ่อนแอและเสียสารอาหารไป สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเปรยถึงคนที่อาศัยผู้อื่นเพื่อประโยชน์ของตัวเอง โดยไม่พยายามสร้างคุณประโยชน์หรือช่วยเหลือผู้อื่นเลย ในสังคมไทย คำว่ากาฝากจึงถูกใช้ในทางเชิงลบ เพื่อบรรยายลักษณะของคนที่ไม่พึ่งพาตัวเองและต้องพึ่งพาผู้อื่นอยู่เสมอ เป็นการเตือนใจให้เห็นถึงการกระทำที่ไม่เหมาะสม และควรจะพัฒนาตนเองให้มีความสามารถพึ่งพาตนเองได้แทนการเกาะเกี่ยวผู้อื่น ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • รู้จักสำนวนกาในฝูงหงส์ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนกาในฝูงหงส์ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กาในฝูงหงส์ กาในฝูงหงส์ หมายถึง สำนวน “กาในฝูงหงส์” หมายถึง คนที่มีความด้อยกว่าหรือแตกต่างไปจากคนอื่นในกลุ่มที่มีความโดดเด่น มีความงาม หรือมีคุณสมบัติที่ดีเลิศ เปรียบเสมือนอีกาที่อยู่ท่ามกลางฝูงหงส์ซึ่งเป็นนกที่สง่างามและสวยงาม สำนวนนี้ใช้เพื่อบรรยายถึงการที่คนหนึ่งดูไม่เข้าพวกหรือไม่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมหรือกลุ่มคนที่อยู่ กล่าวคือ “คนที่ต่ำต้อยไม่มีเกียรติ ไปอยู่ท่ามกลางสังคมผู้ดี ผู้สูงศักดิ์ ทำให้ถูกดูหมิ่น ดูแคลน เป็นที่รังเกียจ” นั่นเอง ที่มาของสำนวนน ที่มาของสำนวนนี้คาดว่ามีรากฐานมาจากการสังเกตธรรมชาติและการใช้การเปรียบเทียบในวรรณคดีและวัฒนธรรมของคนไทยที่นิยมใช้สัตว์เป็นสัญลักษณ์ในการสื่อความหมาย อีกาและหงส์ถูกเลือกมาเปรียบเทียบเพราะลักษณะที่ต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งสี ขนาด และความสง่างาม หงส์มักถูกยกย่องในวรรณคดีและตำนานต่าง ๆ ว่าเป็นสัตว์ที่มีความงามและสง่างาม ในขณะที่อีกามักถูกมองว่าเป็นนกธรรมดา ไม่โดดเด่น เมื่อเปรียบอีกาที่อยู่ท่ามกลางฝูงหงส์ จะเห็นความแตกต่างและความไม่กลมกลืนอย่างชัดเจน สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเทียบคนที่มีลักษณะด้อยกว่าหรือไม่เหมาะสมในกลุ่มที่มีคนที่มีคุณสมบัติที่โดดเด่นหรือสูงส่งกว่า สะท้อนถึงความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนในแง่ของความสามารถ รูปลักษณ์ หรือคุณสมบัติอื่น ๆ ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนกาคาบพริก ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนกาคาบพริก ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กาคาบพริก กาคาบพริก หมายถึง สำนวน “การคาบพริก” หมายถึง ลักษณะของคนที่มีผิวดำหรือผิวคล้ำที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีแดง ซึ่งเปรียบเสมือนอีกาที่คาบพริกสีแดงในปาก ดูมีความตัดกันระหว่างสีของตัวกับพริกที่คาบไว้ สำนวนนี้ใช้เพื่อบรรยายถึงความโดดเด่นที่ไม่กลมกลืนระหว่างสีผิวกับสีของเสื้อผ้าที่ใส่ โดยสื่อถึงความไม่เข้ากันหรือการตัดกันของสีที่ชัดเจน ทำให้คนที่มองเห็นรู้สึกสะดุดตาและจำได้ง่าย กล่าวคือ “ลักษณะคนผิวดำที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีแดงหรือสีฉูดฉาดตัดกับสีผิว” นั่นเอง สำนวนนี้เป็นการเปรียบเทียบที่ชัดเจนและตรงไปตรงมาในวัฒนธรรมไทยที่สื่อถึงความโดดเด่นของคนผิวคล้ำที่สวมเสื้อผ้าสีสด เช่น สีแดงที่มีความตัดกันกับสีผิวอย่างชัดเจน ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากการเปรียบเปรยภาพที่เห็นในธรรมชาติ ซึ่งอีกาเป็นนกที่มีสีดำสนิท และเมื่อนำมาคาบพริกสีแดงสดไว้ในปาก จะเห็นความตัดกันของสีอย่างชัดเจน สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเทียบกับคนที่มีผิวดำหรือผิวคล้ำที่สวมใส่เสื้อผ้าสีแดงหรือสีสดใส ซึ่งทำให้เกิดการตัดกันของสีที่ชัดเจนและสะดุดตา ในวัฒนธรรมไทย การใช้สีในการแต่งกายมีความหมายและการตีความที่หลากหลาย สำนวนนี้สะท้อนถึงการมองภาพลักษณ์ภายนอกที่มีความโดดเด่นและไม่กลมกลืน ซึ่งเกิดจากการเลือกสีเสื้อผ้าที่มีความคอนทราสต์กับสีผิว ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนกระชังหน้าใหญ่ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนกระชังหน้าใหญ่ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กระชังหน้าใหญ่ กระชังหน้าใหญ่ หมายถึง สำนวน “กระชังหน้าใหญ่” หมายถึง คนที่ชอบแสดงตัวออกหน้าเป็นหัวเรือใหญ่ ชอบแสดงบทบาทนำในสถานการณ์ต่าง ๆ หรือชอบทำตัวเป็นผู้นำในการจัดการเรื่องราว ชอบออกหน้ารับผิดชอบหรือแสดงความจัดจ้านในการแก้ไขปัญหาหรือแสดงความคิดเห็น สำนวนนี้ใช้บรรยายลักษณะของคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงและไม่ลังเลที่จะออกตัวในสถานการณ์ต่าง ๆ กล่าวคือ “ผู้ที่ชอบแสดงตัวออกหน้าเป็นหัวเรือใหญ่, จัดจ้าน, ออกหน้ารับเสียเอง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากกระชังซึ่งเป็นเครื่องมือทำด้วยไม้ไผ่ ใช้สำหรับดักจับปลาหรือเลี้ยงปลาในน้ำ โดยมีลักษณะหน้าใหญ่ที่สามารถรับปลาได้มากและมีความจุเยอะ คนไทยกับกระชังมีความผูกพันกันมานาน โดยเฉพาะในวิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการประมงและการเลี้ยงปลาในชนบท กระชังมักถูกทำจากไม้ไผ่หรือวัสดุธรรมชาติ และใช้ในการดักจับปลา เก็บกักปลา หรือเลี้ยงปลาในแม่น้ำและบ่อน้ำ ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในวิถีชีวิตของชาวบ้าน เนื่องจากกระชังมีขนาดใหญ่และสามารถรองรับจำนวนปลาได้มาก จึงเปรียบเสมือนความสามารถในการรับผิดชอบหรือการทำหน้าที่ที่หนักหนาของผู้ใช้ การนำคำว่า “กระชังหน้าใหญ่“ มาใช้เป็นสำนวน เปรียบเปรยถึงลักษณะของคนที่ชอบออกรับหน้าที่ใหญ่ ๆ หรือทำตัวเป็นผู้นำในกลุ่มคน ด้วยกระชังที่มีหน้าใหญ่สามารถรับสิ่งต่าง ๆ ได้มาก คนที่เปรียบเหมือนกระชังหน้าใหญ่ก็คือคนที่ชอบทำตัวโดดเด่น รับผิดชอบงานหรือภาระต่าง ๆ ด้วยความเต็มใจ หรือเป็นคนที่มีท่าทีจัดจ้าน พูดจาฉะฉาน ออกรับและแสดงบทบาทในทุกสถานการณ์ สำนวนนี้จึงสะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างคุณสมบัติของกระชังที่สามารถรองรับปลาได้มาก กับลักษณะของคนที่ชอบรับผิดชอบหรือแสดงตัวเป็นผู้นำในสังคม คนไทยจึงนำสำนวนนี้มาใช้เปรียบเปรยให้เห็นภาพได้ชัดเจน ตัวอย่างการใช้สำนวน