รู้จักสำนวนกินปูนร้อนท้อง ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ก. กินปูนร้อนท้อง

กินปูนร้อนท้อง หมายถึง

สำนวน “กินปูนร้อนท้อง” หมายถึง การที่คนทำความผิดหรือมีความลับบางอย่างแล้วเกิดความวิตกกังวล เดือดร้อนขึ้นเอง กลัวว่าคนอื่นจะรู้ จนแสดงท่าทีที่ผิดปกติหรือเผยพิรุธออกมา คำว่า “ปูน” ในที่นี้ หมายถึงปูนแดงที่ใช้กินกับหมาก ซึ่งหากกินเข้าไปอาจทำให้รู้สึกไม่สบายหรือแสบท้องได้ การเปรียบเปรยนี้จึงสื่อถึงคนที่ทำผิดแล้วรู้สึกกระวนกระวาย จนเผลอแสดงอาการหรือคำพูดที่ทำให้คนอื่นสังเกตได้ กล่าวคือ “ทำอาการมีพิรุธขึ้นเอง, แสดงอาการเดือดร้อนขึ้นเอง” นั่นเอง

ที่มาและความหมายกินปูนร้อนท้อง

ที่มาของสำนวนนี้

มาจากความเชื่อพื้นบ้านที่ว่าหากนำปูนแดง (ปูนที่ใช้กินกับหมาก) ไปล่อให้ตุ๊กแกกินเข้าไป ตุ๊กแกจะมีอาการผิดปกติ เช่น งัวเงียหรือส่งเสียงร้องแก๊ก ๆ ไม่หยุด ซึ่งคนโบราณมักตีความว่าอาการที่ตุ๊กแกแสดงออกมานั้นเกิดจากการรู้สึกร้อนท้องหรือไม่สบายหลังจากกินปูนเข้าไป

การเปรียบเปรยนี้จึงถูกนำมาใช้กับคนที่ทำผิดหรือมีความลับ แล้วแสดงอาการกระวนกระวายหรือพิรุธออกมา คล้ายกับตุ๊กแกที่กินปูนแล้วมีอาการไม่สบาย การที่คนทำผิดแล้ววิตกกังวลว่าจะถูกจับได้จึงมักเผลอแสดงท่าทีผิดปกติออกมาให้คนสังเกตเห็น สำนวนนี้จึงกลายเป็นเครื่องเตือนใจว่า ความรู้สึกผิดที่ซ่อนอยู่ในใจมักทำให้คนแสดงออกอย่างไม่ตั้งใจ

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • เมื่อเงินในแผนกหายไป ผู้จัดการเริ่มตั้งคำถามกับทุกคน ทันใดนั้นสมชายเริ่มแสดงอาการกระสับกระส่ายและตอบไม่ตรงคำถาม ทำให้เพื่อนร่วมงานสังเกตได้ว่าเขาดูมีพิรุธอย่างมาก (เปรียบถึงการที่คนทำผิดแล้วรู้สึกวิตกจนเผยพิรุธออกมา)
  • หลังจากที่ข่าวลือเรื่องเอกสารลับรั่วไหลไปถึงฝ่ายตรงข้าม พนักงานคนหนึ่งแสดงท่าทางระแวงและรีบหลบเลี่ยงไม่อยากถูกสอบสวน ทั้งที่ไม่มีใครเอ่ยถึงเขา ทำให้ทุกคนเริ่มสงสัยในตัวเขามากขึ้นเรื่อย ๆ (แสดงถึงความกระวนกระวายที่แสดงออกมาเพราะรู้สึกผิด)
  • นิดาซึ่งเป็นผู้ถือเงินค่าอาหารของกลุ่ม แอบเอาเงินบางส่วนไปใช้ พอเพื่อน ๆ ถามเรื่องค่าใช้จ่าย เธอกลับหลบตาและแสดงอาการไม่สบายใจ เพื่อน ๆ จึงเริ่มสังเกตและคิดว่าเธอน่าจะทำอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง (บ่งบอกถึงการเผยความลับผ่านท่าทางเพราะความรู้สึกผิด)
  • เมื่อครูถามว่ามีใครในห้องที่แอบลอกการบ้านกัน นักเรียนทุกคนเงียบ มีเพียงจ่อยที่หันไปมองเพื่อนข้าง ๆ อย่างร้อนรน จนครูสังเกตได้ว่าเขามีอาการไม่ปกติ (แสดงถึงการเผยความลับออกมาเพราะความกลัว)
  • หลังจากทำความผิดแล้วไม่มีใครรู้ตัว หัวหน้าที่ทำผิดพยายามจะนิ่งเฉย แต่พอมีการสอบถามรายละเอียด เขากลับพูดแก้ตัวซ้ำไปซ้ำมา ราวกับคนกินปูนร้อนท้อง จนเพื่อนร่วมงานจับได้ว่าเขาดูมีท่าทีไม่ปกติ (สื่อถึงคนที่มีความลับแล้วแสดงอาการผิดปกติออกมา)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนกินนอกกินใน ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ก. กินนอกกินใน

กินนอกกินในหมายถึง

สำนวน “กินนอกกินใน” หมายถึง การคดโกงหรือหาผลประโยชน์ทั้งจากภายในและภายนอกพร้อมกัน โดยแสดงถึงการที่คนหนึ่งรับผลประโยชน์อย่างไม่ซื่อสัตย์จากหลายฝ่าย ทั้งจากคนใกล้ตัวและคนไกลตัว หรือจากหลายแหล่ง เปรียบเสมือนการกินจากทุกทิศทางโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องหรือศีลธรรม สำนวนนี้มักใช้ในเชิงตำหนิพฤติกรรมที่ไม่ซื่อสัตย์และเอาเปรียบผู้อื่น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ “เอากำไรในการซื้อขาย ทั้งในราคาและนอกราคาที่กำหนด” นั่นเอง

ที่มาและความหมายกินนอกกินใน

ที่มาของสำนวนนี้

มาจากการเปรียบเปรยกับพฤติกรรมของคนที่หาประโยชน์จากทั้งภายในและภายนอก เปรียบเหมือนการ “กิน” หรือรับประโยชน์จากทุกทิศทาง โดยไม่จำกัดแหล่งที่มาและไม่คำนึงถึงความถูกต้องหรือความซื่อสัตย์ “นอก” และ “ใน” ในที่นี้หมายถึงทั้งภายในที่ใกล้ตัวหรือในที่ทำงาน และภายนอกที่อาจหมายถึงคู่ค้าหรือหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การเอากำไรในการซื้อขายทั้งในราคาและนอกราคาที่กำหนด รวมถึงการเอาประโยชน์แบบเอาทั้งขึ้นทั้งล่อง สำนวนนี้จึงสื่อถึงพฤติกรรมคดโกงที่เอาเปรียบทุกฝ่ายพร้อมกันเพื่อหาผลประโยชน์ส่วนตัว

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อทำข้อตกลงกับบริษัทภายนอก โดยรับค่าตอบแทนพิเศษจากราคาที่ตกลงกันไว้ นอกจากจะได้ผลประโยชน์จากบริษัทตัวเองแล้ว ยังได้กำไรจากบริษัทคู่ค้าอีกด้วย จนพนักงานคนอื่นเริ่มจับตาพฤติกรรมที่ไม่ซื่อสัตย์ของเขา (เปรียบถึงการหากำไรจากทุกทิศทาง ทั้งจากภายในและภายนอก)
  • นายหน้าขายที่ดินรายหนึ่งแจ้งราคาซื้อขายที่ดินให้ผู้ขายต่ำกว่าความเป็นจริง แต่กลับเรียกราคาจากผู้ซื้อสูงกว่าเดิมมาก ทำให้เขาได้กำไรทั้งจากผู้ขายและผู้ซื้อ สร้างผลประโยชน์ส่วนตัวจากทุกฝ่ายแบบกินนอกกินใน (แสดงถึงการเอาเปรียบจากทั้งสองฝ่ายโดยไม่ซื่อสัตย์)
  • สมศักดิ์ซึ่งเป็นคนกลางในการประมูลงาน ใช้โอกาสในการเจรจากับทั้งฝ่ายผู้ว่าจ้างและผู้รับเหมาหลายเจ้า แอบเรียกรับผลประโยชน์จากทั้งสองฝ่าย ทำให้เขาได้กำไรจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จนหลายคนเริ่มรู้สึกว่าพฤติกรรมนี้ไม่เหมาะสม (เปรียบถึงการแสวงหาผลประโยชน์จากหลายฝ่ายพร้อมกัน)
  • หัวหน้าทีมขายเพิ่มราคาสินค้าให้กับลูกค้า แต่ในขณะเดียวกันก็ลดคุณภาพของวัสดุที่ใช้ในการผลิต ทำให้ได้กำไรเพิ่มขึ้นโดยที่ลูกค้าและบริษัทไม่ทันสังเกต (สะท้อนถึงการคดโกงเพื่อสร้างผลประโยชน์จากทั้งภายในและภายนอก)
  • ผู้คุมงานก่อสร้างใช้วัสดุที่ราคาต่ำกว่าที่สั่งไว้ในสัญญา แต่กลับเก็บเงินลูกค้าในราคาวัสดุเกรดดี ทำให้เขาได้ประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งล่องจากราคาที่ไม่เป็นธรรม จนมีคนสังเกตเห็นและตักเตือนว่าเป็นพฤติกรรมการกินนอกกินใน (หมายถึงการแสวงหาประโยชน์ที่ไม่เป็นธรรมจากทุกฝ่าย)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายกัน

  • จับปลาสองมือ หมายถึง: การพยายามได้ประโยชน์จากสองฝ่ายหรือสองสิ่งพร้อมกัน ซึ่งอาจทำให้ไม่ประสบความสำเร็จหรือเกิดผลเสียตามมา

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนกินน้ำพริกถ้วยเก่า ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ก. กินน้ำพริกถ้วยเก่า

กินน้ำพริกถ้วยเก่าหมายถึง

สำนวน “กินน้ำพริกถ้วยเก่า” หมายถึง ชายที่หวนกลับไปหาคนรักหรือคู่ครองเก่าหลังจากเลิกรากันไป หรือการกลับไปใช้ชีวิตคู่กับคนที่เคยอยู่ด้วยกันมาแล้ว เปรียบเหมือนการกลับมากินน้ำพริกถ้วยเก่าที่คุ้นเคย กินน้ำพริกแบบเก่า ๆ ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงกรรมวิธีในการทำเลย เพราะคนตำน้ำพริกก็คนเดิม ใช้กับชายที่กลับมาอยู่กับเมียคนเดิม แม้อาจจะเคยเปลี่ยนใจไปชั่วคราว แต่สุดท้ายก็กลับมาใช้ชีวิตกับสิ่งเดิม กล่าวคือ “กลับมาอยู่กับเมียคนเดิม” นั่นเอง

ที่มาและความหมายกินน้ำพริกถ้วยเก่า

ที่มาของสำนวนนี้

ที่มาของสำนวนนี้มาจากวิถีชีวิตและวัฒนธรรมการกินของคนไทยที่คุ้นเคยกับการกินน้ำพริก ซึ่งเป็นอาหารพื้นบ้านที่ทำง่ายและกินบ่อยในครัวเรือน น้ำพริกถ้วยเก่าจึงเป็นสิ่งที่คุ้นเคยและเข้ากันได้ดี แม้จะมีอาหารใหม่หรือแปลกตาเข้ามา แต่สุดท้ายคนก็มักกลับมากินน้ำพริกถ้วยเดิมที่อร่อยและพอใจอยู่แล้ว

อุปมาอุปไมยการกินน้ำพริกแบบเก่า ๆ ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงกรรมวิธีในการทำเลย เพราะคนตำน้ำพริกก็คนเดิม จึงใช้กรรมวิธีการทำแบบเดิม ๆ จึงกินอยู่อย่างซ้ำๆ ซากๆ เหมือนเดิม รสเดิมอย่างจำเจจำใจ แม้กระทั่งถ้วยที่ใส่ก็ถ้วยเดิมอีก

สำนวนนี้จึงถูกใช้เปรียบเปรยถึงชายที่กลับไปหาคนรักหรือคู่ครองเก่าที่เคยเลิกรากันไป แต่เมื่อผ่านประสบการณ์ใหม่ ๆ มาแล้วก็ยังคงกลับไปหาสิ่งที่คุ้นเคย เปรียบเหมือนการกลับมากินน้ำพริกถ้วยเดิมที่มีรสชาติที่คุ้นชินและลงตัว

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • หลังจากแยกทางกันไปสักพัก สมชายได้คบกับคนใหม่ แต่สุดท้ายก็รู้สึกว่าไม่มีใครเข้ากับเขาได้ดีเท่าคนรักเก่า จึงตัดสินใจกลับมาหาเธออีกครั้ง ราวกับการกลับมากินน้ำพริกถ้วยเดิมที่เคยคุ้น (หมายถึงการกลับไปหาคนเดิมหลังจากลองเปลี่ยนใจ)
  • หลังจากสมศรีหย่ากับสามี เธอพยายามเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่ แต่พบว่าคนใหม่ไม่เข้าใจเธออย่างที่เคยเป็น จนสุดท้ายเธอกลับมาอยู่กับอดีตสามี เพราะรู้สึกว่าอยู่ด้วยแล้วสบายใจและคุ้นเคยดี (เปรียบกับการเลือกสิ่งที่เคยมีและรู้จักดี)
  • นิดาออกจากงานเก่าที่ทำมานานเพื่อลองไปทำงานที่ใหม่ แต่ไม่นานก็รู้สึกไม่ชอบสภาพแวดล้อมใหม่ จึงตัดสินใจกลับไปทำงานเดิมเพราะที่นั่นคือที่ที่เธอรู้สึกอบอุ่นและคุ้นเคย (สะท้อนถึงการกลับไปหาสิ่งที่เคยเป็นที่ของตนเอง)
  • แม้จะมีการพูดถึงร้านอาหารใหม่ ๆ ที่เปิดตัวขึ้น แต่พ่อกลับชอบกลับไปกินร้านน้ำพริกถ้วยเก่าที่เปิดมานาน เพราะรู้สึกว่ายังไงก็อร่อยและคุ้นปากที่สุด (เปรียบกับความพึงพอใจในสิ่งที่คุ้นเคย)
  • หลังจากคบคนใหม่ได้ไม่นาน แดงเริ่มรู้สึกว่าแฟนเก่าของเขาเป็นคนที่เข้ากันได้ดีมากกว่า สุดท้ายเขาตัดสินใจกลับไปคบกับคนเดิม เหมือนการกลับมากินน้ำพริกถ้วยเก่าที่อร่อยและคุ้นเคยมากกว่า (หมายถึงการกลับไปหาคนรักเก่าที่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดี)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนกิ่งทองใบหยก ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ก. กิ่งทองใบหยก

กิ่งทองใบหยกหมายถึง

สำนวน “กิ่งทองใบหยก” หมายถึง การจับคู่หรือความสัมพันธ์ที่เหมาะสมและสวยงาม ทั้งในแง่ของความเหมาะสมทางสังคมหรือฐานะ เช่น การแต่งงานของคนสองคนที่มีความเหมาะสมทั้งด้านฐานะ ครอบครัว หรือสถานภาพทางสังคม สำนวนนี้เปรียบเปรยถึงสิ่งที่เข้ากันได้ดีและดูงดงามเหมือนกิ่งทองและใบหยกที่เสริมส่งกัน กล่าวคือ “เหมาะสมกัน (ใช้แก่หญิงกับชายที่จะแต่งงานกัน)” นั่นเอง

ที่มาและความหมายกิ่งทองใบหยก

ที่มาของสำนวนนี้

มาจากสิ่งประดิษฐ์และศิลปวัตถุที่มีความสวยงามและเป็นที่ยอมรับในสังคมไทยมาตั้งแต่อดีต กิ่งทองและใบหยกเป็นสิ่งของที่ทำจากวัสดุมีค่าหรือมีความสวยงาม เช่น กิ่งทองที่อาจทำจากทองคำและใบหยกที่ทำจากหินหยก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความงดงาม ความมั่งคั่ง และความสมบูรณ์ การนำสองสิ่งนี้มารวมกันจึงสื่อถึงความงามและความเหมาะสมที่ลงตัว

การเปรียบเทียบสิ่งที่มีค่าและงดงามอย่าง “กิ่งทอง” และ “ใบหยก” ซึ่งทั้งสองอย่างเป็นของที่สวยงามและมีค่า เมื่ออยู่ด้วยกันจะเสริมความงดงามและดูเหมาะสมกัน สำนวนนี้จึงถูกใช้เปรียบเปรยถึงความสัมพันธ์ที่เหมาะสม ลงตัว และดูดีในทุกด้าน เช่น การจับคู่ของคนที่มีฐานะและคุณสมบัติเข้ากันได้ดี เหมือนกับกิ่งทองและใบหยกที่อยู่ร่วมกันแล้วดูสวยงามและลงตัว

สำนวนนี้ผูกพันกับวัฒนธรรมไทยโดยมักถูกนำมาใช้ในบริบทของงานมงคล เช่น การอวยพรคู่แต่งงานหรือการชื่นชมความเหมาะสมของคู่รัก สื่อถึงความเป็นคู่ที่ดีงามและสมบูรณ์พร้อม ซึ่งแสดงถึงการให้ความสำคัญกับการมีความสัมพันธ์ที่ดีและการจับคู่ที่เหมาะสมตามค่านิยมของสังคมไทยในอดีตและปัจจุบัน การใช้สำนวนนี้ยังแฝงความหมายของการให้เกียรติและความเคารพในความสัมพันธ์ที่สวยงามและสมบูรณ์

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • งานแต่งงานของคู่รักที่ทั้งสองฝ่ายมาจากครอบครัวที่มีฐานะดีและมีการศึกษาสูง แขกในงานต่างพูดกันว่าทั้งคู่เหมาะสมกันมาก เหมือนเป็นกิ่งทองใบหยก (เปรียบถึงความเหมาะสมของคู่ที่ได้รับการยอมรับในสังคม)
  • การจับคู่ของเจ้าชายกับหญิงสาวผู้เป็นลูกของขุนนางในราชสำนักทำให้ทุกคนในวังต่างชื่นชมและกล่าวว่านี่คือการผสมผสานที่ลงตัวที่สุด (สะท้อนถึงความเหมาะสมและความกลมกลืนระหว่างบุคคลสองคนที่มีสถานะใกล้เคียงกัน)
  • เมื่อนักธุรกิจหนุ่มคนหนึ่งที่มีความสามารถโดดเด่นได้ประกาศหมั้นกับนักการเมืองสาวที่เฉลียวฉลาดและมีชื่อเสียง ผู้คนในแวดวงต่างชื่นชมว่านี่คือคู่ที่เหมาะสมราวกับสิ่งที่ถูกสร้างมาเพื่อกันและกัน (บ่งบอกถึงความสมดุลและการเข้ากันได้อย่างดี)
  • ในงานอีเวนต์การกุศลที่เต็มไปด้วยผู้มีชื่อเสียง คู่รักดาราคู่ใหม่ที่ทั้งหล่อและสวยปรากฏตัวด้วยกัน ทำให้สื่อมวลชนแสดงความคิดเห็นว่าทั้งคู่ดูเหมาะสมและโดดเด่นราวกับเป็นคู่ที่เกิดมาเพื่อกันและกัน (แสดงถึงการที่คู่รักมีความงดงามและเหมาะสมกัน)
  • เมื่อพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายเห็นลูกชายและลูกสาวที่กำลังจะแต่งงานกัน ต่างพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มและยอมรับว่านี่คือคู่ที่เหมาะสมเหมือนกิ่งทองใบหยก ที่ผสานกันอย่างลงตัว (สื่อถึงการที่ทั้งสองครอบครัวเห็นพ้องต้องกันว่าทั้งคู่เหมาะสมกัน)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนกาหลงรัง ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ก. กาหลงรัง

กาหลงรังหมายถึง

สำนวน “กาหลงรัง” หมายถึง คนที่รู้สึกหลงลืมตัวหรือหลงในสิ่งที่ไม่ใช่ของตนเอง หรือสถานที่ที่ไม่ใช่บ้านเกิดหรือถิ่นที่อยู่เดิมของตน เปรียบเหมือนอีกาที่หลงไปอยู่รังที่ไม่ใช่ของตัวเอง สำนวนนี้ใช้เพื่อบรรยายถึงการที่คนหนึ่งลืมรากเหง้า หรือรู้สึกสับสนในตัวเองและสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคยง กล่าวคือ “ผู้ที่ไปหลงติดอยู่ ณ บ้านใดบ้านหนึ่งแล้วไม่ยอมกลับบ้านของตน, ผู้เร่ร่อนไปไม่มีที่พักพิงเป็นหลักแหล่ง” นั่นเอง

ที่มาและความหมายกาหลงรัง

ที่มาของสำนวนนี้

มาจากธรรมชาติของนกกา ซึ่งเป็นนกที่สามารถปรับตัวได้เก่งและมีความสามารถในการขยายพันธุ์ในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างกว้างขวางทั่วเอเชีย กามีความสามารถในการกินอาหารได้หลากหลายและยืดหยุ่น ทำให้สามารถขยายไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ ได้ง่ายดาย ในบางครั้ง กาจะทิ้งรังเดิมของตัวเองเพื่อหาแหล่งอาหารใหม่ ๆ หรือสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตและการเอาชีวิตรอด การกระทำนี้ทำให้เกิดภาพลักษณ์ของการทิ้งถิ่นหรือสถานที่เดิม และไปอยู่ในที่ที่ไม่ใช่บ้านหรือรังของตัวเอง

สำนวน “กาหลงรัง” จึงเปรียบเปรยถึงคนที่หลงลืมถิ่นกำเนิดหรือบ้านเดิมของตนเอง หรือตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่ไม่ใช่ของตนเอง ทำให้รู้สึกไม่กลมกลืนหรือสับสนในที่ที่ไม่คุ้นเคย การใช้สำนวนนี้ยังสะท้อนถึงการแสวงหาความอยู่รอดและการปรับตัว แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงนัยของการหลงลืมตัวตนหรือการห่างไกลจากสิ่งที่เป็นรากเหง้าของตนเอง

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • สาวชาวบ้านจากต่างจังหวัดที่ย้ายไปทำงานในเมืองใหญ่เริ่มใช้ชีวิตแบบคนเมืองเต็มตัว จนลืมวิถีชีวิตดั้งเดิมที่บ้านเกิด เพื่อนเก่าที่กลับมาเจอเธอพูดกันว่าเธอเหมือน กาหลงรัง เพราะไม่เหมือนคนเดิมอีกแล้ว (เปรียบถึงคนที่ลืมรากเหง้าของตนเองเมื่อมาอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่)
  • นักเรียนทุนที่ไปเรียนต่างประเทศรู้สึกตื่นเต้นกับวัฒนธรรมใหม่และพยายามทำทุกอย่างให้เหมือนกับคนท้องถิ่น แต่กลับรู้สึกแปลกแยกและสับสน เพราะรู้สึกว่าไม่ใช่ตัวตนของตัวเอง (สะท้อนถึงความรู้สึกไม่เข้ากันและหลงลืมตัวตนเดิม)
  • เมื่อย้ายมาทำงานที่เมืองใหญ่ แดงพยายามทำตัวให้เข้ากับเพื่อนร่วมงานและสังคมใหม่จนลืมวิถีชีวิตเรียบง่ายที่บ้านเกิด เพื่อนสนิทแซวว่าเขาดูเหมือน กาหลงรัง ที่พยายามปรับตัวแต่กลับไม่เหมือนเดิม (แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงตัวตนเพื่อให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่)
  • แพรได้เข้าทำงานในบริษัทใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยคนเก่งและมีการแข่งขันสูง เธอรู้สึกเหมือนต้องปรับตัวและพยายามทำทุกอย่างให้เหมือนกับคนอื่น ๆ จนบางครั้งลืมวิธีการทำงานและความเป็นตัวของตัวเองที่เคยมี (แสดงถึงการพยายามปรับตัวแต่รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง)
  • ในการย้ายบ้านจากชนบทมาอยู่ในเมือง ส้มต้องปรับตัวอย่างมากเพื่อให้เข้ากับสังคมใหม่ แต่ในใจเธอยังคงโหยหาความเงียบสงบและความอบอุ่นแบบเดิมที่บ้านเกิด ทำให้เธอรู้สึกแปลกแยกและเหมือนอยู่ในที่ที่ไม่ใช่ของตนเอง (สะท้อนถึงความรู้สึกหลงลืมตัวตนเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนกาฝาก ที่มาและความมาย

สำนวนหมวดหมู่ ก. กาฝาก

กาฝากหมายถึง

สำนวน “กาฝาก” หมายถึง คนที่อาศัยผู้อื่นในการดำรงชีวิตหรืออยู่ได้ด้วยการพึ่งพาผู้อื่น โดยไม่สร้างคุณประโยชน์ให้กับตัวเองหรือคนรอบข้าง เปรียบเสมือนกาฝากที่เกาะอยู่กับต้นไม้และดูดสารอาหารจากต้นไม้ต้นนั้น ทำให้ต้นไม้เสื่อมโทรมลง สำนวนนี้ใช้ในเชิงลบเพื่อบรรยายคนที่พึ่งพาคนอื่นมากเกินไปและไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ กล่าวคือ “การแฝงตัวอาศัยอยู่กับผู้อื่นโดยที่ไม่ช่วยเหลือ หรือทำประโยชน์อะไรให้ คอยแต่จะเกาะเอาประโยชน์จากผู้อื่น” นั่นเอง

ที่มาและความหมายกาฝาก

ที่มาของสำนวนนี้

มาจากธรรมชาติของพืชชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “กาฝาก” ซึ่งเป็นพืชปรสิตที่เติบโตและอาศัยอยู่บนต้นไม้ใหญ่ กาฝากจะเกาะติดและดูดสารอาหารจากต้นไม้นั้น ๆ เพื่อการเจริญเติบโตของตนเอง ทำให้ต้นไม้ที่ถูกกาฝากเกาะนั้นเสื่อมโทรมลงและอาจตายในที่สุด ลักษณะการเกาะกินของกาฝากที่ไม่สร้างประโยชน์อะไรให้กับต้นไม้ แต่กลับทำให้ต้นไม้อ่อนแอและเสียสารอาหารไป สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเปรยถึงคนที่อาศัยผู้อื่นเพื่อประโยชน์ของตัวเอง โดยไม่พยายามสร้างคุณประโยชน์หรือช่วยเหลือผู้อื่นเลย

ในสังคมไทย คำว่า “กาฝาก” จึงถูกใช้ในทางเชิงลบ เพื่อบรรยายลักษณะของคนที่ไม่พึ่งพาตัวเองและต้องพึ่งพาผู้อื่นอยู่เสมอ เป็นการเตือนใจให้เห็นถึงการกระทำที่ไม่เหมาะสม และควรจะพัฒนาตนเองให้มีความสามารถพึ่งพาตนเองได้แทนการเกาะเกี่ยวผู้อื่น

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • น้อยเป็นคนที่ไม่ชอบทำงาน แต่กลับอาศัยอยู่บ้านพี่ชายและใช้เงินจากพี่ชายทุกเดือน โดยไม่คิดจะหางานทำหรือช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในบ้าน เพื่อน ๆ จึงพูดกันว่าเขาใช้ชีวิตเหมือนกาฝาก ที่พึ่งพาคนอื่นโดยไม่สร้างคุณค่าให้ตัวเอง (เปรียบถึงคนที่อาศัยคนอื่นโดยไม่พยายามทำอะไรเอง)
  • ในที่ทำงาน สมศรีมักไม่ทำงานหนักเหมือนคนอื่น แต่กลับเข้าร่วมกลุ่มเพื่อนร่วมงานที่ขยัน เพื่อให้ได้ส่วนแบ่งโบนัสหรือเครดิตในงาน ทำให้คนในแผนกต่างรู้สึกว่าเธอเป็นคนที่ชอบพึ่งคนอื่นเพื่อผลประโยชน์ (บ่งบอกถึงพฤติกรรมที่ใช้ความขยันของผู้อื่นเพื่อประโยชน์ตนเอง)
  • ลูกชายของลุงแก้วไม่เคยออกไปหางานทำ แต่กลับขอเงินจากพ่อแม่ไปใช้จ่ายและไม่ช่วยทำงานบ้านเลย เพื่อนบ้านต่างพากันบ่นว่าเด็กคนนี้ใช้ชีวิตแบบที่ไม่พึ่งพาตนเองเลย (สะท้อนถึงการอาศัยคนอื่นเพื่อความอยู่รอด)
  • ในชมรมของมหาวิทยาลัย แดงเข้าร่วมโดยไม่เคยช่วยงานใด ๆ เลย แต่เมื่อมีการแบ่งทุนหรือผลประโยชน์ต่าง ๆ เขาจะเข้ารับสิทธิ์ทันที เพื่อน ๆ ในชมรมเริ่มรู้สึกว่าแดงทำตัวเหมือนกาฝาก ที่ใช้ความพยายามของคนอื่นเพื่อให้ได้ผลประโยชน์โดยไม่ลงมือทำเอง (แสดงถึงการใช้ประโยชน์จากกลุ่มโดยไม่ช่วยสร้างอะไร)
  • ในครอบครัวใหญ่ มีน้าชายที่ไม่ทำงานเป็นหลักแหล่งและมักจะขอเงินจากคนอื่น ๆ ในครอบครัวอยู่เสมอ ญาติ ๆ ต่างพากันบ่นว่าเขาเป็นคนที่ชอบพึ่งพาผู้อื่นโดยไม่คิดจะทำอะไรด้วยตนเอง (เปรียบถึงการพึ่งพาผู้อื่นโดยไม่พยายามสร้างความมั่นคงให้ตนเอง)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายกัน

  • มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ หมายถึง: คนที่ไม่ช่วยเหลือหรือทำงาน แต่กลับสร้างปัญหาหรือเป็นภาระให้กับผู้อื่น

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนกาในฝูงหงส์ ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ก. กาในฝูงหงส์

กาในฝูงหงส์หมายถึง

สำนวน “กาในฝูงหงส์” หมายถึง คนที่มีความด้อยกว่าหรือแตกต่างไปจากคนอื่นในกลุ่มที่มีความโดดเด่น มีความงาม หรือมีคุณสมบัติที่ดีเลิศ เปรียบเสมือนอีกาที่อยู่ท่ามกลางฝูงหงส์ซึ่งเป็นนกที่สง่างามและสวยงาม สำนวนนี้ใช้เพื่อบรรยายถึงการที่คนหนึ่งดูไม่เข้าพวกหรือไม่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมหรือกลุ่มคนที่อยู่ กล่าวคือ “คนที่ต่ำต้อยไม่มีเกียรติ ไปอยู่ท่ามกลางสังคมผู้ดี ผู้สูงศักดิ์ ทำให้ถูกดูหมิ่น ดูแคลน เป็นที่รังเกียจ” นั่นเอง

ที่มาและความหมายกาในฝูงหงส์

ที่มาของสำนวนนี้

ที่มาของสำนวนนี้คาดว่ามีรากฐานมาจากการสังเกตธรรมชาติและการใช้การเปรียบเทียบในวรรณคดีและวัฒนธรรมของคนไทยที่นิยมใช้สัตว์เป็นสัญลักษณ์ในการสื่อความหมาย อีกาและหงส์ถูกเลือกมาเปรียบเทียบเพราะลักษณะที่ต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งสี ขนาด และความสง่างาม หงส์มักถูกยกย่องในวรรณคดีและตำนานต่าง ๆ ว่าเป็นสัตว์ที่มีความงามและสง่างาม ในขณะที่อีกามักถูกมองว่าเป็นนกธรรมดา ไม่โดดเด่น

เมื่อเปรียบอีกาที่อยู่ท่ามกลางฝูงหงส์ จะเห็นความแตกต่างและความไม่กลมกลืนอย่างชัดเจน สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเทียบคนที่มีลักษณะด้อยกว่าหรือไม่เหมาะสมในกลุ่มที่มีคนที่มีคุณสมบัติที่โดดเด่นหรือสูงส่งกว่า สะท้อนถึงความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนในแง่ของความสามารถ รูปลักษณ์ หรือคุณสมบัติอื่น ๆ

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • นิดาได้รับทุนการศึกษาไปเรียนที่มหาวิทยาลัยชั้นนำที่มีแต่นักศึกษาจากครอบครัวร่ำรวยและมีชื่อเสียง ด้วยความที่นิดามาจากครอบครัวธรรมดาและไม่คุ้นเคยกับสังคมเช่นนั้น เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นกาในฝูงหงส์ เพราะความแตกต่างในฐานะและความเป็นอยู่ที่เห็นได้ชัดเจน (สะท้อนถึงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่รู้สึกไม่กลมกลืน)
  • สมชายที่เป็นช่างซ่อมรถธรรมดาได้ถูกเชิญไปร่วมงานเลี้ยงหรูของคนในวงการธุรกิจระดับสูง การแต่งกายและบุคลิกของเขาทำให้คนในงานมองด้วยความสงสัยและความรู้สึกแปลกแยก (เปรียบถึงการอยู่ในกลุ่มที่ตนเองไม่เหมาะสม)
  • ในการแข่งขันประกวดร้องเพลงระดับประเทศ ผู้เข้าแข่งขันหลายคนมีประสบการณ์การร้องเพลงบนเวทีใหญ่มาแล้ว แต่สำหรับเด็กหนุ่มจากบ้านนอกที่ไม่มีพื้นฐานการร้องเพลงมากนัก เขารู้สึกโดดเดี่ยวและแตกต่างจากคู่แข่งที่มีความสามารถสูงกว่า ราวกับเป็นกาในฝูงหงส์ (บ่งบอกถึงการที่คนหนึ่งมีคุณสมบัติที่ด้อยกว่าในกลุ่ม)
  • แพรวาได้เข้าร่วมงานประชุมผู้นำองค์กรที่มีแต่ผู้บริหารชั้นนำระดับประเทศ เธอเป็นผู้จัดการวัยเยาว์ที่ยังไม่มีชื่อเสียง ทำให้เธอรู้สึกไม่มั่นใจเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ ในที่ประชุม (แสดงถึงความแตกต่างในประสบการณ์และตำแหน่ง)
  • ในการแข่งขันกีฬาโรงเรียน ส้มได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนไปแข่งกับโรงเรียนดัง ๆ ที่มีนักกีฬามืออาชีพจำนวนมาก เธอรู้สึกตื่นเต้นและกังวลเพราะมองไปรอบ ๆ แล้วเห็นแต่นักกีฬาที่มีทักษะสูง ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกาในฝูงหงส์ ที่ไม่มั่นใจในความสามารถของตนเอง (สะท้อนถึงความรู้สึกว่าตนเองไม่เหมาะสมในกลุ่มที่มีคุณสมบัติสูงกว่า)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจากวิกิพจนานุกรม

รู้จักสำนวนกาคาบพริก ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ก. กาคาบพริก

กาคาบพริกหมายถึง

สำนวน “การคาบพริก” หมายถึง ลักษณะของคนที่มีผิวดำหรือผิวคล้ำที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีแดง ซึ่งเปรียบเสมือนอีกาที่คาบพริกสีแดงในปาก ดูมีความตัดกันระหว่างสีของตัวกับพริกที่คาบไว้ สำนวนนี้ใช้เพื่อบรรยายถึงความโดดเด่นที่ไม่กลมกลืนระหว่างสีผิวกับสีของเสื้อผ้าที่ใส่ โดยสื่อถึงความไม่เข้ากันหรือการตัดกันของสีที่ชัดเจน ทำให้คนที่มองเห็นรู้สึกสะดุดตาและจำได้ง่าย กล่าวคือ “ลักษณะที่คนผิวดำแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีแดง” นั่นเอง

คำว่า “กาคาบพริก” เป็นการเปรียบเทียบที่ชัดเจนและตรงไปตรงมาในวัฒนธรรมไทยที่สื่อถึงความโดดเด่นของคนผิวคล้ำที่สวมเสื้อผ้าสีสด เช่น สีแดงที่มีความตัดกันกับสีผิวอย่างชัดเจน

ที่มาและความหมายกาคาบพริก

ที่มาของสำนวนนี้

สำนวนนี้มาจากการเปรียบเปรยภาพที่เห็นในธรรมชาติ ซึ่งอีกาเป็นนกที่มีสีดำสนิท และเมื่อนำมาคาบพริกสีแดงสดไว้ในปาก จะเห็นความตัดกันของสีอย่างชัดเจน สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเทียบกับคนที่มีผิวดำหรือผิวคล้ำที่สวมใส่เสื้อผ้าสีแดงหรือสีสดใส ซึ่งทำให้เกิดการตัดกันของสีที่ชัดเจนและสะดุดตา

ในวัฒนธรรมไทย การใช้สีในการแต่งกายมีความหมายและการตีความที่หลากหลาย สำนวนนี้สะท้อนถึงการมองภาพลักษณ์ภายนอกที่มีความโดดเด่นและไม่กลมกลืน ซึ่งเกิดจากการเลือกสีเสื้อผ้าที่มีความคอนทราสต์กับสีผิว

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • พิมพ์แต่งชุดไทยสีแดงสดไปงานวัด ทำให้เธอดูโดดเด่นเพราะสีของชุดตัดกับผิวคล้ำของเธอ เพื่อน ๆ ต่างหัวเราะและแซวกันว่าเธอกล้าแต่งตัวสะดุดตาแบบนี้ (เปรียบเสมือนการแต่งตัวที่มีความแตกต่างชัดเจนระหว่างสีเสื้อและสีผิว)
  • นางแบบผิวเข้มในงานแฟชั่นโชว์เลือกใส่ชุดสีแดงจัดจ้าน เรียกสายตาจากผู้ชมได้ทันทีด้วยความโดดเด่นของสีเสื้อที่ตัดกับสีผิว จนกลายเป็นจุดสนใจของงาน (สื่อถึงการใช้สีที่ตัดกันเพื่อเพิ่มความโดดเด่น)
  • ป้าจันใส่เสื้อสีแดงไปตลาด ทำให้ผู้คนในละแวกบ้านมองและอมยิ้ม เพราะสีสดของเสื้อทำให้เธอดูสะดุดตาท่ามกลางผู้คนที่ใส่เสื้อผ้าสีเรียบ ๆ (เปรียบถึงความโดดเด่นที่เกิดจากการแต่งกายที่ตัดกับสีผิว)
  • สมชายที่มีผิวคล้ำเลือกใส่เสื้อเชิ้ตสีแดงในวันปีใหม่ ทำให้เพื่อนร่วมงานต้องเหลียวมองและอดยิ้มไม่ได้กับการแต่งตัวที่ดูแปลกตาของเขาในวันพิเศษนี้ (หมายถึงการแต่งตัวที่ใช้สีตัดกันเพื่อให้ดูสะดุดตา)
  • ลูกสาวตัวน้อยของคุณแม่ที่มีผิวเข้มชอบใส่ชุดสีแดงสดไปโรงเรียน ทุกคนในห้องต่างพากันพูดถึงความกล้าของเธอในการเลือกสีเสื้อที่ทำให้เธอดูโดดเด่นไม่เหมือนใคร (สื่อถึงความกล้าหาญในการเลือกแต่งกายที่ทำให้สะดุดตา)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายกัน

  • หัวมังกุท้ายมังกร หมายถึง: ไม่เข้ากัน ไม่กลมกลืนกัน ขัดกันในตัว ทรวดทรงเรือนร่างต่างลักษณะไม่กลมกลืนกันตามที่ควรเป็น มีหลายอย่างปนเปกันจนหมดงาม

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนกระชังหน้าใหญ่ ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ก. กระชังหน้าใหญ่

กระชังหน้าใหญ่หมายถึง

กระชังหน้าใหญ่ หมายถึง คนที่ชอบแสดงตัวออกหน้าเป็นหัวเรือใหญ่ ชอบแสดงบทบาทนำในสถานการณ์ต่าง ๆ หรือชอบทำตัวเป็นผู้นำในการจัดการเรื่องราว ชอบออกหน้ารับผิดชอบหรือแสดงความจัดจ้านในการแก้ไขปัญหาหรือแสดงความคิดเห็น สำนวนนี้ใช้บรรยายลักษณะของคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงและไม่ลังเลที่จะออกตัวในสถานการณ์ต่าง ๆ กล่าวคือ “ผู้ที่ชอบแสดงตัวออกหน้าเป็นหัวเรือใหญ่, จัดจ้าน, ออกหน้ารับเสียเอง” นั่นเอง

ที่มาและความหมายกระชังหน้าใหญ่

ที่มาของสำนวน

มาจากกระชังซึ่งเป็นเครื่องมือทำด้วยไม้ไผ่ ใช้สำหรับดักจับปลาหรือเลี้ยงปลาในน้ำ โดยมีลักษณะหน้าใหญ่ที่สามารถรับปลาได้มากและมีความจุเยอะ คนไทยกับกระชังมีความผูกพันกันมานาน โดยเฉพาะในวิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการประมงและการเลี้ยงปลาในชนบท กระชังมักถูกทำจากไม้ไผ่หรือวัสดุธรรมชาติ และใช้ในการดักจับปลา เก็บกักปลา หรือเลี้ยงปลาในแม่น้ำและบ่อน้ำ ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในวิถีชีวิตของชาวบ้าน เนื่องจากกระชังมีขนาดใหญ่และสามารถรองรับจำนวนปลาได้มาก จึงเปรียบเสมือนความสามารถในการรับผิดชอบหรือการทำหน้าที่ที่หนักหนาของผู้ใช้

การนำคำว่า กระชังหน้าใหญ่ มาใช้เป็นสำนวน เปรียบเปรยถึงลักษณะของคนที่ชอบออกรับหน้าที่ใหญ่ ๆ หรือทำตัวเป็นผู้นำในกลุ่มคน ด้วยกระชังที่มีหน้าใหญ่สามารถรับสิ่งต่าง ๆ ได้มาก คนที่เปรียบเหมือนกระชังหน้าใหญ่ก็คือคนที่ชอบทำตัวโดดเด่น รับผิดชอบงานหรือภาระต่าง ๆ ด้วยความเต็มใจ หรือเป็นคนที่มีท่าทีจัดจ้าน พูดจาฉะฉาน ออกรับและแสดงบทบาทในทุกสถานการณ์

สำนวนนี้จึงสะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างคุณสมบัติของกระชังที่สามารถรองรับปลาได้มาก กับลักษณะของคนที่ชอบรับผิดชอบหรือแสดงตัวเป็นผู้นำในสังคม คนไทยจึงนำสำนวนนี้มาใช้เปรียบเปรยให้เห็นภาพได้ชัดเจน

ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • นายใหญ่ในหมู่บ้านเป็นคนที่ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ เขาจะอาสาเป็นหัวหน้าโครงการเสมอ คนในหมู่บ้านต่างพูดว่าเขาชอบออกรับทุกงาน ทำตัวเป็นหัวเรือใหญ่ที่ทุกคนต้องพึ่งพา (หมายถึงคนที่ชอบทำหน้าที่สำคัญและแสดงบทบาทเป็นผู้นำในทุกสถานการณ์)
  • พนักงานใหม่ที่มีความมั่นใจสูง ชอบเสนอตัวออกความเห็นและออกรับหน้าที่ในที่ประชุมทุกครั้ง จนเพื่อนร่วมงานมองว่าเขาชอบแสดงตัวเกินกว่าที่ควรจะเป็น (เปรียบถึงคนที่มีความมั่นใจและชอบแสดงตัวในที่สาธารณะ)
  • ในงานจัดเลี้ยงโรงเรียน พี่นิดาชอบเข้ามาเป็นคนจัดการทุกอย่าง ตั้งแต่การเตรียมอาหารไปจนถึงการดูแลแขก ทุกคนรู้สึกว่าพี่นิดาเป็นคนที่พร้อมออกรับทุกเรื่องอย่างเต็มใจและมักทำตัวเป็นคนสำคัญ (สื่อถึงคนที่ชอบแสดงบทบาทนำและทำงานอย่างเต็มใจ)
  • สมศรีชอบพูดจาเสียงดังและแสดงความคิดเห็นอย่างจัดจ้านในการประชุมโรงเรียน แม้บางครั้งจะไม่ใช่เรื่องของเธอ ผู้ปกครองหลายคนบอกว่าสมศรีมักชอบแสดงตัวเกินความจำเป็นและออกหน้าเสมอ (หมายถึงคนที่ชอบแสดงตัวหรือพูดจาแบบจัดจ้าน)
  • เจ้านายของเอกชอบแสดงบทบาทเป็นผู้นำในทุกโครงการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับแผนกของตัวเองหรือไม่ ทุกคนในทีมรู้สึกว่าเขาชอบออกรับหน้าที่ทั้งหมดและแสดงตัวอย่างชัดเจนในทุกสถานการณ์ (แสดงถึงการชอบทำตัวเป็นหัวเรือใหญ่และรับผิดชอบเรื่องต่าง ๆ อย่างเต็มที่)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนกระดังงาลนไฟ ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ก. กระดังงาลนไฟ

กระดังงาลนไฟ หมายถึง

สำนวน “กระดังงาลนไฟ” หมายถึง ผู้หญิงที่มีเสน่ห์ดึงดูด โดยเฉพาะผู้หญิงที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาก่อน เช่น เคยแต่งงานผ่านความรักหรือชีวิตคู่มาแล้ว จนมีเสน่ห์เฉพาะตัวและน่าดึงดูดมากขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น เปรียบเหมือนดอกกระดังงาที่ต้องลนไฟเพื่อให้กลิ่นหอมแรงและคงทนกว่าปกติ

สำนวนนี้ใช้เปรียบเปรยถึงผู้หญิงที่มีลักษณะท่าทีสง่างาม นุ่มนวล แต่ซ่อนความมีเสน่ห์ในตัว เหมือนความหอมที่ค่อย ๆ เปล่งออกมาเมื่อโดนลนไฟ เสน่ห์นี้ไม่ได้มีมาตั้งแต่แรก แต่พัฒนาขึ้นจากประสบการณ์และอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้เธอมีความน่าหลงใหลในแบบที่เด็กสาวไม่มี สำนวนนี้แฝงไว้ด้วยความชื่นชมในความงามและเสน่ห์ที่มาพร้อมกับประสบการณ์ชีวิต

ผู้หญิงที่มีประสบการณ์ในเรื่องความรักและความสัมพันธ์ รู้จักชั้นเชิงในการปรนนิบัติและเอาอกเอาใจคู่ครองได้ดี เข้าใจความต้องการของผู้ชาย และสามารถสร้างเสน่ห์ในแบบที่ผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานหรือไม่มีประสบการณ์ไม่สามารถทำได้ นี่คือเสน่ห์ที่ค่อย ๆ สะสมผ่านกาลเวลา ทำให้เธอมีความมั่นใจและท่าทีดึงดูดใจที่ยากจะต้านทาน กล่าวคือ “หญิงที่เคยแต่งงานหรือผ่านผู้ชายมาแล้ว ย่อมรู้จักชั้นเชิงทางปรนนิบัติและเอาอกเอาใจผู้ชายได้ดีกว่าหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน

ที่มาและความหมายกระดังงาลนไฟ

ที่มาของสำนวนนี้

มาจากการเปรียบเทียบเปรียบเปรยถึงกับดอกกระดังงา ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมแรง (ใช้กลั่นทำน้ำอบน้ำหอมได้) ซึ่งเป็นดอกไม้ที่ต้องลนไฟก่อนจึงจะส่งกลิ่นหอมฟุ้งและคงทนกว่าเดิม ในอดีตชาวไทยจะนำดอกกระดังงามาผ่านกระบวนการอบหรือลนไฟเพื่อทำให้กลิ่นหอมกระจายไปได้มากขึ้นและยาวนาน กลิ่นหอมของกระดังงาที่ผ่านการลนไฟมีเอกลักษณ์ที่เย้ายวนใจและติดทน สะท้อนถึงการปรุงแต่งและการทำให้หอมจนโดดเด่น เหมาะสำหรับการนำไปใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ และการประดับตกแต่งเพื่อความสวยงามและกลิ่นหอม

คนไทยมีความผูกพันกับดอกกระดังงาอย่างลึกซึ้ง เนื่องจากกระดังงาถือเป็นหนึ่งในดอกไม้พื้นเมืองที่มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ เมื่อดอกกระดังงาผ่านกระบวนการ “ลนไฟ” หรือการอุ่นไฟ กลิ่นของมันจะยิ่งหอมและฟุ้งได้นานขึ้น ชาวไทยนิยมใช้กระดังงาในพิธีกรรมต่าง ๆ ทั้งในงานมงคลและงานบุญ เช่น การทำน้ำอบไทย น้ำปรุง และประดับตกแต่งตามบ้าน เพื่อสร้างบรรยากาศหอมสดชื่น อีกทั้งยังใช้ในการผลิตน้ำมันหอมระเหยเพราะกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์และติดทนนาน จึงสะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างคนไทยกับดอกกระดังงาในด้านวัฒนธรรมและการใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน

สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเปรยถึงผู้หญิงที่มีประสบการณ์ในความรักและชีวิตคู่ หรือที่เคยผ่านความสัมพันธ์มาบ้างแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการดูแลและการเอาใจใส่คู่ครอง เธอจะเข้าใจชั้นเชิงและท่าทีที่ดึงดูดความสนใจได้อย่างมีชั้นเชิง ทำให้เธอดูมีเสน่ห์ในแบบที่ผู้หญิงที่ยังไม่มีประสบการณ์อาจไม่สามารถทำได้ ผู้หญิงที่มีคุณสมบัติเหมือน “กระดังงาลนไฟ” จึงได้รับความสนใจและชื่นชมจากคนรอบข้าง โดยเสน่ห์นี้ไม่ได้มาจากความสดใหม่หรือความเยาว์วัย แต่เกิดจากความเป็นผู้ใหญ่และประสบการณ์ชีวิตที่หล่อหลอมให้เธอมีความน่าหลงใหลอย่างลึกซึ้ง

ดอกกระดังงาเป็นตัวแทนของผู้หญิงไทยที่มีประสบการณ์และเสน่ห์ที่ลึกซึ้ง เหมือนกับดอกกระดังงาที่ต้องผ่านการลนไฟก่อน กลิ่นถึงจะหอมแรงและติดทน ผู้หญิงที่ผ่านประสบการณ์ความรักและชีวิตคู่มาแล้วมักจะมีความเข้าใจและรู้จักชั้นเชิงในการดูแลเอาใจใส่คู่ครอง มีความมั่นใจและสง่างาม ซึ่งเป็นเสน่ห์ที่น่าดึงดูดใจในแบบที่ผู้หญิงอายุน้อยหรือไม่มีประสบการณ์อาจยังไม่สามารถทำได้

สำนวนนี้ยังสื่อถึงความงามที่ได้รับการขัดเกลาและพัฒนา เหมือนดอกกระดังงาที่ต้องผ่านไฟก่อนจึงจะส่งกลิ่นหอมที่คงทนและโดดเด่น ไม่ได้หอมเพียงแค่ระยะสั้น ๆ แต่ยิ่งนานกลิ่นยิ่งหอมแรงขึ้น เปรียบเหมือนเสน่ห์ของผู้หญิงที่ยิ่งอายุมากขึ้นและมีประสบการณ์มากขึ้น ก็ยิ่งน่าดึงดูดใจ

ดอกกระดังงาเป็นตัวแทนของผู้หญิงไทยที่มีประสบการณ์และเสน่ห์ที่ลึกซึ้ง เหมือนกับดอกกระดังงาที่ต้องผ่านการลนไฟก่อน กลิ่นถึงจะหอมแรงและติดทน ผู้หญิงที่ผ่านประสบการณ์ความรักและชีวิตคู่มาแล้วมักจะมีความเข้าใจและรู้จักชั้นเชิงในการดูแลเอาใจใส่คู่ครอง มีความมั่นใจและสง่างาม ซึ่งเป็นเสน่ห์ที่น่าดึงดูดใจในแบบที่ผู้หญิงอายุน้อยหรือไม่มีประสบการณ์อาจยังไม่สามารถทำได้

การนำดอกกระดังงามาเปรียบกับผู้หญิงในสำนวนนี้จึงเกิดจากความคล้ายคลึงของความหอมที่ต้องผ่านการลนไฟเพื่อให้หอมทน เปรียบเหมือนเสน่ห์ที่มาพร้อมกับกาลเวลาและการขัดเกลาจากประสบการณ์ เหมือนดอกกระดังงาที่ได้รับการปรุงแต่งให้หอมชัดและติดทนนาน

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • คุณยายเล่าว่าสมัยสาว ๆ ถึงจะผ่านการแต่งงานมาแล้ว แต่หนุ่ม ๆ ก็ยังมาตามจีบไม่ขาด เพราะเสน่ห์นั้นยิ่งเพิ่มตามวัยและประสบการณ์ เหมือนกระดังงาลนไฟที่กลิ่นหอมฟุ้งยิ่งกว่าเดิม (เปรียบถึงเสน่ห์ที่มาจากประสบการณ์และอายุมากขึ้น)
  • พี่น้อยเป็นคนที่รู้วิธีพูดจาเข้าหู รู้จักวิธีเข้าถึงคนรอบตัว ทำให้เธอเป็นที่ชื่นชมในบริษัท หลายคนอดทึ่งไม่ได้กับชั้นเชิงและเสน่ห์แบบกระดังงาลนไฟของเธอ (หมายถึงผู้หญิงที่มีประสบการณ์และรู้วิธีดึงดูดใจคน)
  • ถึงคุณแม่จะอายุมากขึ้น แต่กลับมีความเข้าใจและดูแลพ่อได้เป็นอย่างดี จนใคร ๆ ต่างบอกว่าเสน่ห์ของแม่ยิ่งทวีคูณตามกาลเวลา เหมือนดอกกระดังงาที่ต้องลนไฟให้หอมยิ่งขึ้น (การเปรียบเทียบถึงความน่าดึงดูดใจที่มากขึ้นจากความเข้าใจและความเป็นผู้ใหญ่)
  • มิ่งดูสวยสง่าขึ้นหลังแต่งงาน คนรอบตัวต่างชื่นชมว่าดูเป็นผู้ใหญ่และน่ามองมากกว่าเดิม ราวกับกระดังงาลนไฟที่ยิ่งผ่านอะไรมาก็ยิ่งหอมเย้ายวน (เปรียบถึงเสน่ห์ที่เพิ่มขึ้นตามกาลเวลาและประสบการณ์ชีวิต)
  • พี่บีมเป็นคนที่รู้จักวิธีเอาใจใส่และพูดจาเป็นมิตรกับสามี จนใคร ๆ ก็รู้สึกว่าเสน่ห์ในตัวเธอนั้นไม่เหมือนใคร และยิ่งอายุมากยิ่งดูดีขึ้นเรื่อย ๆ (สะท้อนถึงความน่าหลงใหลที่มาจากประสบการณ์และการดูแลเอาใจใส่)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT