Tag: สำนวนไทย ก.
-
รู้จักสำนวนกิ่งทองใบหยก ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กิ่งทองใบหยก กิ่งทองใบหยก หมายถึง สำนวน “กิ่งทองใบหยก” หมายถึง การจับคู่หรือความสัมพันธ์ที่เหมาะสมและสวยงาม ทั้งในแง่ของความเหมาะสมทางสังคมหรือฐานะ เช่น การแต่งงานของคนสองคนที่มีความเหมาะสมทั้งด้านฐานะ ครอบครัว หรือสถานภาพทางสังคม สำนวนนี้เปรียบเปรยถึงสิ่งที่เข้ากันได้ดีและดูงดงามเหมือนกิ่งทองและใบหยกที่เสริมส่งกัน กล่าวคือ “ความเหมาะสมกัน (ใช้แก่หญิงกับชายที่จะแต่งงานกัน)” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากสิ่งประดิษฐ์และศิลปวัตถุที่มีความสวยงามและเป็นที่ยอมรับในสังคมไทยมาตั้งแต่อดีต กิ่งทองและใบหยกเป็นสิ่งของที่ทำจากวัสดุมีค่าหรือมีความสวยงาม เช่น กิ่งทองที่อาจทำจากทองคำและใบหยกที่ทำจากหินหยก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความงดงาม ความมั่งคั่ง และความสมบูรณ์ การนำสองสิ่งนี้มารวมกันจึงสื่อถึงความงามและความเหมาะสมที่ลงตัว การเปรียบเทียบสิ่งที่มีค่าและงดงามอย่าง “กิ่งทอง” และ “ใบหยก” ซึ่งทั้งสองอย่างเป็นของที่สวยงามและมีค่า เมื่ออยู่ด้วยกันจะเสริมความงดงามและดูเหมาะสมกัน สำนวนนี้จึงถูกใช้เปรียบเปรยถึงความสัมพันธ์ที่เหมาะสม ลงตัว และดูดีในทุกด้าน เช่น การจับคู่ของคนที่มีฐานะและคุณสมบัติเข้ากันได้ดี เหมือนกับกิ่งทองและใบหยกที่อยู่ร่วมกันแล้วดูสวยงามและลงตัว สำนวนนี้ผูกพันกับวัฒนธรรมไทยโดยมักถูกนำมาใช้ในบริบทของงานมงคล เช่น การอวยพรคู่แต่งงานหรือการชื่นชมความเหมาะสมของคู่รัก สื่อถึงความเป็นคู่ที่ดีงามและสมบูรณ์พร้อม ซึ่งแสดงถึงการให้ความสำคัญกับการมีความสัมพันธ์ที่ดีและการจับคู่ที่เหมาะสมตามค่านิยมของสังคมไทยในอดีตและปัจจุบัน การใช้สำนวนนี้ยังแฝงความหมายของการให้เกียรติและความเคารพในความสัมพันธ์ที่สวยงามและสมบูรณ์ ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนกาหลงรัง ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กาหลงรัง กาหลงรัง หมายถึง สำนวน “กาหลงรัง” หมายถึง คนที่รู้สึกหลงลืมตัวหรือหลงในสิ่งที่ไม่ใช่ของตนเอง หรือสถานที่ที่ไม่ใช่บ้านเกิดหรือถิ่นที่อยู่เดิมของตน เปรียบเหมือนอีกาที่หลงไปอยู่รังที่ไม่ใช่ของตัวเอง สำนวนนี้ใช้เพื่อบรรยายถึงการที่คนหนึ่งลืมรากเหง้า หรือรู้สึกสับสนในตัวเองและสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคยง กล่าวคือ “ผู้ที่ไปหลงติดอยู่ ณ บ้านใดบ้านหนึ่งแล้วไม่ยอมกลับบ้านของตน, ผู้เร่ร่อนไปไม่มีที่พักพิงเป็นหลักแหล่ง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากธรรมชาติของนกกา ซึ่งเป็นนกที่สามารถปรับตัวได้เก่งและมีความสามารถในการขยายพันธุ์ในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างกว้างขวางทั่วเอเชีย กามีความสามารถในการกินอาหารได้หลากหลายและยืดหยุ่น ทำให้สามารถขยายไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ ได้ง่ายดาย ในบางครั้ง กาจะทิ้งรังเดิมของตัวเองเพื่อหาแหล่งอาหารใหม่ ๆ หรือสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตและการเอาชีวิตรอด การกระทำนี้ทำให้เกิดภาพลักษณ์ของการทิ้งถิ่นหรือสถานที่เดิม และไปอยู่ในที่ที่ไม่ใช่บ้านหรือรังของตัวเอง สำนวน “กาหลงรัง” จึงเปรียบเปรยถึงคนที่หลงลืมถิ่นกำเนิดหรือบ้านเดิมของตนเอง หรือตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่ไม่ใช่ของตนเอง ทำให้รู้สึกไม่กลมกลืนหรือสับสนในที่ที่ไม่คุ้นเคย การใช้สำนวนนี้ยังสะท้อนถึงการแสวงหาความอยู่รอดและการปรับตัว แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงนัยของการหลงลืมตัวตนหรือการห่างไกลจากสิ่งที่เป็นรากเหง้าของตนเอง ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนกาฝาก ที่มาและความมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กาฝาก กาฝาก หมายถึง สำนวน “กาฝาก” หมายถึง คนที่อาศัยผู้อื่นในการดำรงชีวิตหรืออยู่ได้ด้วยการพึ่งพาผู้อื่น โดยไม่สร้างคุณประโยชน์ให้กับตัวเองหรือคนรอบข้าง เปรียบเสมือนกาฝากที่เกาะอยู่กับต้นไม้และดูดสารอาหารจากต้นไม้ต้นนั้น ทำให้ต้นไม้เสื่อมโทรมลง สำนวนนี้ใช้ในเชิงลบเพื่อบรรยายคนที่พึ่งพาคนอื่นมากเกินไปและไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ กล่าวคือ “การแฝงตัวอาศัยอยู่กับผู้อื่นโดยที่ไม่ช่วยเหลือ หรือทำประโยชน์อะไรให้ คอยแต่จะเกาะเอาประโยชน์จากผู้อื่น” นั่นเอง ที่มาของสำนวนนี้ มาจากธรรมชาติของพืชชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “กาฝาก” ซึ่งเป็นพืชปรสิตที่เติบโตและอาศัยอยู่บนต้นไม้ใหญ่ กาฝากจะเกาะติดและดูดสารอาหารจากต้นไม้นั้น ๆ เพื่อการเจริญเติบโตของตนเอง ทำให้ต้นไม้ที่ถูกกาฝากเกาะนั้นเสื่อมโทรมลงและอาจตายในที่สุด ลักษณะการเกาะกินของกาฝากที่ไม่สร้างประโยชน์อะไรให้กับต้นไม้ แต่กลับทำให้ต้นไม้อ่อนแอและเสียสารอาหารไป สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเปรยถึงคนที่อาศัยผู้อื่นเพื่อประโยชน์ของตัวเอง โดยไม่พยายามสร้างคุณประโยชน์หรือช่วยเหลือผู้อื่นเลย ในสังคมไทย คำว่ากาฝากจึงถูกใช้ในทางเชิงลบ เพื่อบรรยายลักษณะของคนที่ไม่พึ่งพาตัวเองและต้องพึ่งพาผู้อื่นอยู่เสมอ เป็นการเตือนใจให้เห็นถึงการกระทำที่ไม่เหมาะสม และควรจะพัฒนาตนเองให้มีความสามารถพึ่งพาตนเองได้แทนการเกาะเกี่ยวผู้อื่น ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้
-
รู้จักสำนวนกาในฝูงหงส์ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กาในฝูงหงส์ กาในฝูงหงส์ หมายถึง สำนวน “กาในฝูงหงส์” หมายถึง คนที่มีความด้อยกว่าหรือแตกต่างไปจากคนอื่นในกลุ่มที่มีความโดดเด่น มีความงาม หรือมีคุณสมบัติที่ดีเลิศ เปรียบเสมือนอีกาที่อยู่ท่ามกลางฝูงหงส์ซึ่งเป็นนกที่สง่างามและสวยงาม สำนวนนี้ใช้เพื่อบรรยายถึงการที่คนหนึ่งดูไม่เข้าพวกหรือไม่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมหรือกลุ่มคนที่อยู่ กล่าวคือ “คนที่ต่ำต้อยไม่มีเกียรติ ไปอยู่ท่ามกลางสังคมผู้ดี ผู้สูงศักดิ์ ทำให้ถูกดูหมิ่น ดูแคลน เป็นที่รังเกียจ” นั่นเอง ที่มาของสำนวนน ที่มาของสำนวนนี้คาดว่ามีรากฐานมาจากการสังเกตธรรมชาติและการใช้การเปรียบเทียบในวรรณคดีและวัฒนธรรมของคนไทยที่นิยมใช้สัตว์เป็นสัญลักษณ์ในการสื่อความหมาย อีกาและหงส์ถูกเลือกมาเปรียบเทียบเพราะลักษณะที่ต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งสี ขนาด และความสง่างาม หงส์มักถูกยกย่องในวรรณคดีและตำนานต่าง ๆ ว่าเป็นสัตว์ที่มีความงามและสง่างาม ในขณะที่อีกามักถูกมองว่าเป็นนกธรรมดา ไม่โดดเด่น เมื่อเปรียบอีกาที่อยู่ท่ามกลางฝูงหงส์ จะเห็นความแตกต่างและความไม่กลมกลืนอย่างชัดเจน สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเทียบคนที่มีลักษณะด้อยกว่าหรือไม่เหมาะสมในกลุ่มที่มีคนที่มีคุณสมบัติที่โดดเด่นหรือสูงส่งกว่า สะท้อนถึงความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนในแง่ของความสามารถ รูปลักษณ์ หรือคุณสมบัติอื่น ๆ ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนกาคาบพริก ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กาคาบพริก กาคาบพริก หมายถึง สำนวน “การคาบพริก” หมายถึง ลักษณะของคนที่มีผิวดำหรือผิวคล้ำที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีแดง ซึ่งเปรียบเสมือนอีกาที่คาบพริกสีแดงในปาก ดูมีความตัดกันระหว่างสีของตัวกับพริกที่คาบไว้ สำนวนนี้ใช้เพื่อบรรยายถึงความโดดเด่นที่ไม่กลมกลืนระหว่างสีผิวกับสีของเสื้อผ้าที่ใส่ โดยสื่อถึงความไม่เข้ากันหรือการตัดกันของสีที่ชัดเจน ทำให้คนที่มองเห็นรู้สึกสะดุดตาและจำได้ง่าย กล่าวคือ “ลักษณะคนผิวดำที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีแดงหรือสีฉูดฉาดตัดกับสีผิว” นั่นเอง สำนวนนี้เป็นการเปรียบเทียบที่ชัดเจนและตรงไปตรงมาในวัฒนธรรมไทยที่สื่อถึงความโดดเด่นของคนผิวคล้ำที่สวมเสื้อผ้าสีสด เช่น สีแดงที่มีความตัดกันกับสีผิวอย่างชัดเจน ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากการเปรียบเปรยภาพที่เห็นในธรรมชาติ ซึ่งอีกาเป็นนกที่มีสีดำสนิท และเมื่อนำมาคาบพริกสีแดงสดไว้ในปาก จะเห็นความตัดกันของสีอย่างชัดเจน สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเทียบกับคนที่มีผิวดำหรือผิวคล้ำที่สวมใส่เสื้อผ้าสีแดงหรือสีสดใส ซึ่งทำให้เกิดการตัดกันของสีที่ชัดเจนและสะดุดตา ในวัฒนธรรมไทย การใช้สีในการแต่งกายมีความหมายและการตีความที่หลากหลาย สำนวนนี้สะท้อนถึงการมองภาพลักษณ์ภายนอกที่มีความโดดเด่นและไม่กลมกลืน ซึ่งเกิดจากการเลือกสีเสื้อผ้าที่มีความคอนทราสต์กับสีผิว ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนกระชังหน้าใหญ่ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กระชังหน้าใหญ่ กระชังหน้าใหญ่ หมายถึง สำนวน “กระชังหน้าใหญ่” หมายถึง คนที่ชอบแสดงตัวออกหน้าเป็นหัวเรือใหญ่ ชอบแสดงบทบาทนำในสถานการณ์ต่าง ๆ หรือชอบทำตัวเป็นผู้นำในการจัดการเรื่องราว ชอบออกหน้ารับผิดชอบหรือแสดงความจัดจ้านในการแก้ไขปัญหาหรือแสดงความคิดเห็น สำนวนนี้ใช้บรรยายลักษณะของคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงและไม่ลังเลที่จะออกตัวในสถานการณ์ต่าง ๆ กล่าวคือ “ผู้ที่ชอบแสดงตัวออกหน้าเป็นหัวเรือใหญ่, จัดจ้าน, ออกหน้ารับเสียเอง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากกระชังซึ่งเป็นเครื่องมือทำด้วยไม้ไผ่ ใช้สำหรับดักจับปลาหรือเลี้ยงปลาในน้ำ โดยมีลักษณะหน้าใหญ่ที่สามารถรับปลาได้มากและมีความจุเยอะ คนไทยกับกระชังมีความผูกพันกันมานาน โดยเฉพาะในวิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการประมงและการเลี้ยงปลาในชนบท กระชังมักถูกทำจากไม้ไผ่หรือวัสดุธรรมชาติ และใช้ในการดักจับปลา เก็บกักปลา หรือเลี้ยงปลาในแม่น้ำและบ่อน้ำ ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในวิถีชีวิตของชาวบ้าน เนื่องจากกระชังมีขนาดใหญ่และสามารถรองรับจำนวนปลาได้มาก จึงเปรียบเสมือนความสามารถในการรับผิดชอบหรือการทำหน้าที่ที่หนักหนาของผู้ใช้ การนำคำว่า “กระชังหน้าใหญ่“ มาใช้เป็นสำนวน เปรียบเปรยถึงลักษณะของคนที่ชอบออกรับหน้าที่ใหญ่ ๆ หรือทำตัวเป็นผู้นำในกลุ่มคน ด้วยกระชังที่มีหน้าใหญ่สามารถรับสิ่งต่าง ๆ ได้มาก คนที่เปรียบเหมือนกระชังหน้าใหญ่ก็คือคนที่ชอบทำตัวโดดเด่น รับผิดชอบงานหรือภาระต่าง ๆ ด้วยความเต็มใจ หรือเป็นคนที่มีท่าทีจัดจ้าน พูดจาฉะฉาน ออกรับและแสดงบทบาทในทุกสถานการณ์ สำนวนนี้จึงสะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างคุณสมบัติของกระชังที่สามารถรองรับปลาได้มาก กับลักษณะของคนที่ชอบรับผิดชอบหรือแสดงตัวเป็นผู้นำในสังคม คนไทยจึงนำสำนวนนี้มาใช้เปรียบเปรยให้เห็นภาพได้ชัดเจน ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนกระดังงาลนไฟ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กระดังงาลนไฟ กระดังงาลนไฟ หมายถึง สำนวน “กระดังงาลนไฟ” หมายถึง ผู้หญิงที่มีเสน่ห์ดึงดูด โดยเฉพาะผู้หญิงที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาก่อน เช่น เคยแต่งงานผ่านความรักหรือชีวิตคู่มาแล้ว จนมีเสน่ห์เฉพาะตัวและน่าดึงดูดมากขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น เปรียบเหมือนดอกกระดังงาที่ต้องลนไฟเพื่อให้กลิ่นหอมแรงและคงทนกว่าปกติ สำนวนนี้ใช้เปรียบเปรยถึงผู้หญิงที่มีลักษณะท่าทีสง่างาม นุ่มนวล แต่ซ่อนความมีเสน่ห์ในตัว เหมือนความหอมที่ค่อย ๆ เปล่งออกมาเมื่อโดนลนไฟ เสน่ห์นี้ไม่ได้มีมาตั้งแต่แรก แต่พัฒนาขึ้นจากประสบการณ์และอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้เธอมีความน่าหลงใหลในแบบที่เด็กสาวไม่มี สำนวนนี้แฝงไว้ด้วยความชื่นชมในความงามและเสน่ห์ที่มาพร้อมกับประสบการณ์ชีวิต ผู้หญิงที่มีประสบการณ์ในเรื่องความรักและความสัมพันธ์ รู้จักชั้นเชิงในการปรนนิบัติและเอาอกเอาใจคู่ครองได้ดี เข้าใจความต้องการของผู้ชาย และสามารถสร้างเสน่ห์ในแบบที่ผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานหรือไม่มีประสบการณ์ไม่สามารถทำได้ นี่คือเสน่ห์ที่ค่อย ๆ สะสมผ่านกาลเวลา ทำให้เธอมีความมั่นใจและท่าทีดึงดูดใจที่ยากจะต้านทาน กล่าวคือ “หญิงที่เคยแต่งงานหรือผ่านผู้ชายมาแล้ว ย่อมรู้จักชั้นเชิงทางปรนนิบัติและเอาอกเอาใจผู้ชายได้ดีกว่าหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบเปรียบเปรยถึงกับดอกกระดังงา ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมแรง (ใช้กลั่นทำน้ำอบน้ำหอมได้) ซึ่งเป็นดอกไม้ที่ต้องลนไฟก่อนจึงจะส่งกลิ่นหอมฟุ้งและคงทนกว่าเดิม ในอดีตชาวไทยจะนำดอกกระดังงามาผ่านกระบวนการอบหรือลนไฟเพื่อทำให้กลิ่นหอมกระจายไปได้มากขึ้นและยาวนาน กลิ่นหอมของกระดังงาที่ผ่านการลนไฟมีเอกลักษณ์ที่เย้ายวนใจและติดทน สะท้อนถึงการปรุงแต่งและการทำให้หอมจนโดดเด่น เหมาะสำหรับการนำไปใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ และการประดับตกแต่งเพื่อความสวยงามและกลิ่นหอม คนไทยมีความผูกพันกับดอกกระดังงาอย่างลึกซึ้ง เนื่องจากกระดังงาถือเป็นหนึ่งในดอกไม้พื้นเมืองที่มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ เมื่อดอกกระดังงาผ่านกระบวนการ “ลนไฟ” หรือการอุ่นไฟ กลิ่นของมันจะยิ่งหอมและฟุ้งได้นานขึ้น ชาวไทยนิยมใช้กระดังงาในพิธีกรรมต่าง…
-
รู้จักสำนวนกระเชอก้นรั่ว ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กระเชอก้นรั่ว กระเชอก้นรั่ว หมายถึง สำนวน “กระเชอก้นรั่ว” หมายถึง บุคคลที่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินจำเป็น ไม่มีการออมเงินหรือจัดการรายได้อย่างเหมาะสม เปรียบได้กับกระเช้าที่ก้นรั่ว ใส่สิ่งของลงไปมากแค่ไหน ของก็ไหลออกจนหมดไม่เหลืออะไร เป็นคำเตือนเรื่องการจัดการการเงินและความประหยัด กล่าวคือ “สุรุ่ยสุร่าย, ไม่รู้จักเก็บหอมรอมริบ, ขาดการประหยัด” คำนี้ยังมีเพี้ยนไปเป็น กระชังก้นรั่ว ก็มี นั่นเอง ที่มาของสำนวนนี้ มีที่มาเกี่ยวข้องกับวิธีชีวิตและการใช้สิ่งของในอดีต โดยคำว่า “กระเชอ” ในที่นี้หมายถึงภาชนะชนิดหนึ่งที่ทำจากไม้ไผ่หรือหวาย ซึ่งถูกถักเป็นรูปกระเช้าสำหรับใส่สิ่งของ ใช้กันอย่างแพร่หลายในสังคมเกษตรกรรมในสมัยก่อน กระเชอมักมีความสำคัญในการใช้ขนของ เช่น ผัก ผลไม้ หรือสิ่งของในชีวิตประจำวัน เนื่องจากทำจากวัสดุธรรมชาติ กระเช้าบางใบเมื่อใช้ไปนาน ๆ ก็อาจเกิดการชำรุดหรือเกิดรอยรั่วที่ก้นได้ กระเชอ เป็นภาชนะพื้นบ้านที่ทำจากไม้ไผ่หรือหวาย โดยคนไทยในอดีตมักใช้กระเชอในการขนส่งและเก็บของ ซึ่งกระเชอมีลักษณะเป็นตะกร้าทรงสูงหรือกึ่งทรงกลม ก้นแคบ ปากกว้าง มีหูจับสำหรับถือหรือคล้องไหล่ได้ การใช้กระเชอเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีการทำเกษตรกรรมเป็นหลัก ในภาคเหนือและภาคอีสาน กระเชอถูกใช้ในการขนผลผลิตทางการเกษตร เช่น ข้าว ผัก ผลไม้ หรือของใช้จำเป็นในครัวเรือน…
-
รู้จักสำนวนกระดูกร้องได้ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กระดูกร้องได้ กระดูกร้องได้ หมายถึง สำนวน “กระดูกร้องได้” หมายถึง การที่เรื่องราวหรือความจริงในอดีตที่เคยถูกปิดบังหรือถูกลืมไว้ มีโอกาสถูกเปิดเผยหรือถูกพูดถึงอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเพราะเงื่อนไขบางอย่างที่ทำให้เรื่องนั้นถูกนำกลับมาสู่ความสนใจหรือถูกเปิดโปง ความหมายยังรวมไปถึงการที่ความจริงที่เคยถูกปิดซ่อนไว้จะไม่สามารถถูกซ่อนตลอดไป เพราะความยุติธรรมจะมีทางปรากฏขึ้นเสมอ กล่าวคือ “ผลสะท้อนของฆาตกรรมที่ทำให้จับตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ คล้ายกับว่ากระดูกของผู้ตายร้องบอก” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากความเชื่อพื้นบ้านของไทยที่เล่าถึงวิญญาณหรือผู้เสียชีวิตที่ไม่ได้รับความยุติธรรม หรือถูกฆ่าโดยไม่ได้รับการชำระแค้น เชื่อกันว่า หากมีการพบกระดูกหรือซากศพในที่ที่ไม่ควร กระดูกนั้นอาจ “ร้องได้” หรือบอกให้ผู้พบเจอรู้ว่ามีความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น สำนวนนี้สะท้อนความเชื่อของคนโบราณในการส่งเสียงของผู้ตายเพื่อขอความยุติธรรมหรือการชำระแค้น ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนกระต่ายแหย่เสือ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กระต่ายแหย่เสือ กระต่ายแหย่เสือหมายถึง สำนวน “กระต่ายแหย่เสือ” หมายถึง การที่ผู้น้อยหรือผู้ที่มีอำนาจน้อยกว่า กล้าล้อเล่นหรือท้าทายกับผู้ที่มีกำลังหรืออำนาจเหนือกว่า ซึ่งการกระทำเช่นนี้มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอันตรายได้ สำนวนนี้แฝงไปด้วยความหมายของการทำในสิ่งที่เกินขอบเขตหรือท้าทายอำนาจโดยประมาท ไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา การเปรียบเปรยถึงกระต่ายที่แหย่เสือสะท้อนถึงความไม่รอบคอบหรือบ้าบิ่นของผู้ที่กล้าท้าทายผู้ที่มีอำนาจบารมีมากกว่า แม้จะรู้ว่าอาจต้องเผชิญผลที่รุนแรง กล่าวคือ “การไปล้อเล่น ท้าทายกับผู้ที่มีอำนาจ บารมีมากกว่า ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายได้” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากนทานชาดกพื้นบ้านเรื่องหนึ่ง โดยมีเนื้อเรื่องว่า เรื่องนี้เล่าถึงกระต่ายที่ต้องการแก้แค้นเสือที่ชอบจับกระต่ายกิน กระต่ายใช้เล่ห์กลแหย่จมูกเสือและแกล้งหลอกเสือให้กินขี้ควาย โดยบอกว่าเป็นข้าวเหนียวเปียกของพระอินทร์ เสือหลงเชื่อและกินขี้ควาย ทำให้โกรธกระต่ายมากและไล่ตาม กระต่ายแกล้งเสือต่อด้วยการหลอกให้เสือฟังเสียง “ฆ้องของพระอินทร์” แต่แท้จริงแล้วเป็นรังผึ้ง เมื่อเสือฟาดรังผึ้ง ฝูงผึ้งก็ต่อยเสือจนบวม เสือโกรธมากยิ่งขึ้น กระต่ายวิ่งหนีมาถึงแม่น้ำและคิดอุบายหลอกจระเข้ให้เรียงตัวเป็นสะพานเพื่อให้ข้ามแม่น้ำ แต่จระเข้แก่ตัวหนึ่งรู้ทัน จึงดำน้ำทำให้กระต่ายตกน้ำ กระต่ายพยายามตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งจนสำเร็จ และรีบวิ่งหนีไป ทำให้เสือไม่สามารถจับกระต่ายได้ทันและกระต่ายรอดพ้นไปอย่างปลอดภัย เนื้อเรื่องเต็ม: มีเสือตัวหนึ่งนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ กระต่ายตัวหนึ่งเดินผ่านมา เห็นเสือกำลังนอนหลับ อยู่นึกโกรธว่าเสือชอบจับกระต่ายกินนัก จึงถอนต้นหญ้าเอามาแหย่จมูกเสือ เสือตกใจตื่นขึ้น เห็นกระต่ายจึงบอกว่า “อย่าเล่นน่า” แล้วเสือก็หลับต่อไป กระต่ายก็ถอนต้นหญ้าแหย่จมูกเสืออีก เสือโกรธมากจึงบอกว่า “เหม่! เดี๋ยวข้าจับกินเสียหรอก” กระต่ายเห็นเสือโกรธเช่นนั้นจึงวิ่งหนี…
-
รู้จักสำนวนกระต่ายหมายจันทร์ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กระต่ายหมายจันทร์ กระต่ายหมายจันทร์ หมายถึง สำนวน “กระต่ายหมายจันทร์” หมายถึง การที่ผู้ชายธรรมดาหมายปองหญิงที่มีฐานะสูงกว่า เช่น หญิงที่มีความงดงาม มีสถานะทางสังคมที่สูง หรือมีความสำเร็จในชีวิตมากกว่า เปรียบเสมือนกระต่ายที่แหงนมองดวงจันทร์บนฟ้าด้วยความปรารถนา ดวงจันทร์ในสำนวนนี้สื่อถึงความสูงส่งที่ยากจะเข้าถึงได้ การที่ผู้ชายหมายปองผู้หญิงที่เหนือกว่าตนเองในทุกด้าน จึงสื่อถึงความรักที่เต็มไปด้วยความหวัง แต่มีโอกาสเป็นจริงได้ยาก กล่าวคือ “ผู้ชายหมายปองผู้หญิงที่มีฐานะดีกว่า” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากนิทานพื้นบ้านที่เล่าถึงกระต่ายตัวหนึ่งที่แหงนมองดวงจันทร์บนท้องฟ้าด้วยความหลงใหลและชื่นชม กระต่ายเฝ้ามองดวงจันทร์ที่ส่องแสงสวยงาม และปรารถนาที่จะไปถึงดวงจันทร์ แม้ว่าในความเป็นจริงกระต่ายไม่สามารถกระโดดไปถึงจันทร์ที่สูงเกินเอื้อมได้ เรื่องราวนี้สะท้อนถึงการมีความปรารถนาหรือความรักในสิ่งที่ดูสูงส่งและไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึงได้ นอกจากนิทานนี้แล้ว ในวรรณคดีของหลายวัฒนธรรมยังมักมีการเปรียบเทียบดวงจันทร์เป็นสัญลักษณ์ของความงดงาม ความบริสุทธิ์ หรือสิ่งที่มีค่าสูง ทำให้เกิดสำนวนนี้ขึ้น ซึ่งใช้ในการเปรียบเทียบถึงการที่ใครบางคนหมายปองสิ่งที่สูงส่งกว่าตน ไม่ว่าจะเป็นความรักที่ดูเกินเอื้อม หรือตำแหน่งที่ยากจะไปถึง ในภาษาไทย สำนวนนี้จึงหมายถึงการที่คนปรารถนาในสิ่งที่เกินกว่าจะไขว่คว้าถึง หรือรักใครบางคนที่มีสถานะและฐานะสูงกว่า โดยที่ความสัมพันธ์นั้นมีโอกาสที่จะเป็นจริงได้น้อยมาก เหมือนกระต่ายที่เฝ้ามองดวงจันทร์บนท้องฟ้าอย่างชื่นชมแต่ไม่อาจไปถึงได้ ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนกระต่ายตื่นตูม ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กระต่ายตื่นตูม กระต่ายตื่นตูม หมายถึง สำนวน “กระต่ายตื่นตูม“ หมายถึง การตื่นตกใจกลัวอย่างไม่มีเหตุผล หรือการตื่นตกใจจนเกินเหตุเพราะเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มักใช้กับคนที่ขาดความรอบคอบหรือตื่นตกใจเกินไปกับข่าวลือหรือสถานการณ์ที่ไม่ร้ายแรง กล่าวคือ “ใช้เปรียบเทียบคนที่แสดงอาการตื่นตกใจง่ายโดยไม่ทันสำรวจให้ถ่องแท้ก่อน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มีที่มาจากนิทานชาดกเรื่อง “โสณนันทชาดก” ซึ่งเล่าว่า กระต่ายตัวหนึ่งนอนพักผ่อนใต้ต้นหว้า เมื่อผลหว้าสุกหล่นลงกระทบพื้น กระต่ายตกใจตื่นและคิดว่าโลกกำลังจะแตก มันวิ่งหนีด้วยความตื่นตกใจโดยไม่ได้คิดให้รอบคอบ ขณะวิ่งหนี กระต่ายตัวนี้ส่งเสียงร้องเตือนสัตว์อื่นๆ จนพวกสัตว์ทั้งหลายตื่นตกใจตามไปด้วย ทำให้เกิดความโกลาหลทั่วป่า ต่อมาสัตว์เจ้าปัญญาอย่างราชสีห์ได้เข้ามาไต่ถาม จึงพบว่าที่แท้แล้วเป็นเพียงผลไม้หล่นเท่านั้น อีกทั้งยังปรากฏนนิทานอีสปเรื่องกระต่ายตื่นตูมอีกด้วย นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การตื่นตระหนกและไม่ใช้เหตุผลในการไตร่ตรองอาจก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายและส่งผลกระทบที่ไม่คาดคิด จึงกลายเป็นที่มาของสำนวน ที่หมายถึงการตกใจเกินกว่าเหตุจากเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือความหวาดกลัวโดยขาดการพิจารณาให้ถี่ถ้วน ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพยที่คล้ายกัน