Tag: สำนวนไทย ก.

  • รู้จักสำนวนกระต่ายสามขา ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนกระต่ายสามขา ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กระต่ายสามขา กระต่ายสามขา หมายถึง สำนวน “กระต่ายสามขา” หมายถึง การยืนกรานหรือยืนยันเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยไม่ยอมรับฟังเหตุผลหรือหลักฐานใดๆ คล้ายกับการตั้งใจดื้อด้าน ไม่เปลี่ยนใจแม้มีข้อโต้แย้ง กล่าวคือ “การยืนกรานไม่ยอมรับ” นั่นเอง ใช้กับคนที่ยืนกรานความคิดตนเอง ไม่ยอมรับผิด ฉันไม่ได้ทำ ฉันเปล่านะ ยืนยันแบบข้าง ๆ คู ๆ และไม่เปลี่ยนความคิด เช่น มีเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากล ซึ่งใคร ๆ ก็เข้าใจอย่างหนึ่งเหมือนกันหมด แต่มีคนคนหนึ่งที่ยืนกรานหนักแน่นว่าไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นคิดแน่นอน ที่มาของสำนวน กระต่ายขาเดียว สำนวนคุ้น ๆ ที่กระต่ายขาเดียว แท้จริงแล้วสำนวนชกระต่ายขาเดียวนี้จริง ๆ แล้วมันชื่อ “กระต่ายสามขา” ต่างหาก… ส่วนเหตุผลว่าทำไมคือ สำนวนนี้มีที่มาจากนิทานเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของเด็กวัดที่วันหนึ่ง กระต่ายป่าตัวหนึ่งบาดเจ็บหนีจากการไล่ล่าของนายพรานเข้ามาตายในวัด ลูกศิษย์เห็นเข้าจึงนำมาทำเป็นอาหารเพื่อถวายอาจารย์ แต่ขณะที่ย่างนั้นเนื้อกระต่ายหอมยั่วยวนใจมากจนอดใจไม่ไหว เขาจึงแอบฉีกขากระต่ายออกมากินเองไปหนึ่งข้างซะงั้น! เมื่อนำกระต่ายไปประเคนให้หลวงพ่อ หลวงพ่อเห็นขากระต่ายข้างหนึ่งหายไป จึงถามเขาว่ามีใครมาแอบกินไปก่อนหรือเปล่า เด็กวัดยืนยันหัวชนฝาว่าไม่มี เพราะกระต่ายตัวนี้มีสามขามาตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ว่าหลวงพ่อจะถามกี่ครั้งเขาก็ยังตอบเช่นเดิม ว่ากระต่ายมีสามขาจริง ๆ ไม่มีใครเอาอีกขาหนึ่งไปทั้งนั้น……

  • รู้จักสำนวนกรวดน้ำคว่ำขัน(กะลา) ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนกรวดน้ำคว่ำขัน(กะลา) ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กรวดน้ำคว่ำขัน(กะลา) กรวดน้ำคว่ำขัน(กะลา) หมายถึง สำนวน “กรวดน้ำคว่ำขัน, กรวดน้ำคว่ำกะลา” หมายถึง การตัดความสัมพันธ์หรือการตัดขาดจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเด็ดขาด ไม่มีการเกี่ยวข้องหรือย้อนกลับไปอีก สำนวนนี้ใช้เมื่อความสัมพันธ์หรือสิ่งที่ทำอยู่ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ และผู้พูดต้องการแสดงถึงการเลิกคบหรือเลิกทำอย่างถาวร กล่าวคือ “ตัดขาดความสัมพันธ์ ไม่ขอเกี่ยวข้องด้วยอีกต่อไป” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากพิธีกรรมการกรวดน้ำในศาสนาพุทธ ซึ่งผู้ทำพิธีจะนำน้ำใส่ขันหรือกะลามากรวดเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับหรือสรรพสัตว์ เมื่อเสร็จพิธีแล้วผู้ทำพิธีจะคว่ำขันหรือกะลาเพื่อแสดงถึงการสิ้นสุดของพิธีและการอุทิศบุญนั้นในครั้งนี้ แต่ในสำนวนนี้ การ “คว่ำขัน” สื่อความหมายในเชิงการตัดขาดอย่างเด็ดขาด ไม่เหลือสิ่งใดที่จะผูกพันหรือเกี่ยวข้องกันอีก เปรียบเสมือนการกรวดน้ำครั้งสุดท้ายที่ไม่มีการหวนคืน ในแง่วัฒนธรรม การกรวดน้ำและคว่ำขันถือเป็นสัญลักษณ์ของการสละสิ่งที่ถือครองและปล่อยวางสิ่งที่เป็นพันธะ การคว่ำขันหรือกะลาในบริบทนี้จึงแฝงด้วยความหมายของการยุติความสัมพันธ์หรือความผูกพันแบบไม่หวนกลับ ทำให้สำนวนนี้ถูกใช้ในการบอกเล่าเรื่องราวของการตัดขาดความสัมพันธ์หรือการเลิกคบกันอย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนไทยกบในกะลาครอบ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนไทยกบในกะลาครอบ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กบในกะลาครอบ กบในกะลาครอบ หมายถึง สำนวน “กบในกะลาครอบ” หมายถึง คนที่มีความรู้ ความคิด หรือมุมมองที่จำกัด และขาดประสบการณ์ในการมองเห็นโลกที่กว้างขวาง คิดว่าตนเองรู้หรือเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งที่ความจริงแล้วยังมีสิ่งอื่น ๆ อีกมากมายที่ยังไม่รู้หรือไม่เข้าใจ สำนวนนี้มักใช้วิพากษ์วิจารณ์คนที่ไม่เปิดใจกว้าง หรือไม่พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ซึ่งสอดคล้องกับการเปิดมุมมองและพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้า กล่าวคือ “ผู้มีความรู้และประสบการณ์น้อย แต่สำคัญตนว่ามีความรู้มาก” นั่นเอง ที่มาของสำนวน ที่มาของสำนวนนี้นั้นสะท้อนวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของไทยในอดีต ซึ่งคนไทยใช้สำนวนเพื่อสอนใจและเตือนสติคนในเรื่องการมองโลก สำนวนนี้ใช้เปรียบเปรยถึงคนที่ถูกปิดกั้นด้วยความคิดหรือความรู้สึกที่จำกัด คล้ายกับกบที่อยู่ในกะลาครอบจนมองไม่เห็นสิ่งอื่นที่กว้างไกลกว่า สำนวนนี้ยังสะท้อนถึงการเตือนให้คนเราเปิดใจและเรียนรู้จากโลกภายนอก และไม่ยึดติดกับสิ่งที่เราคุ้นเคยเพียงอย่างเดียว ในอดีต กะลาเป็นสิ่งที่ผูกพันกับวิถีชีวิตของคนไทยอย่างมาก เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์หลากหลาย เช่น ใช้เป็นภาชนะใส่น้ำ ใส่ของ ใช้ครอบต้นกล้าป้องกันแมลง หรือทำเป็นเครื่องดนตรีอย่างโปงลาง กะลาถูกมองว่าเป็นสิ่งที่คุ้นเคยและใกล้ชิดกับวิถีชีวิตเรียบง่าย กบเองมักอาศัยอยู่ในบ่อหรือน้ำขังเล็ก ๆ ทำให้การใช้กะลาครอบสะท้อนถึงความคับแคบและการปิดกั้นการรับรู้ ในสำนวน “กบในกะลาครอบ” จึงเปรียบเปรยถึงคนที่มีความคิดจำกัดหรือไม่เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ นอกเหนือจากสิ่งที่คุ้นเคย ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนไทยกบเกิดใต้บัวบาน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนไทยกบเกิดใต้บัวบาน ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กบเกิดใต้บัวบาน กบเกิดใต้บัวบาน หมายถึง สำนวน “กบเกิดใต้บัวบาน” หมายถึง คนที่อยู่ในสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมที่ดี มีโอกาสหรือสิ่งที่มีคุณค่าอยู่รอบตัว แต่กลับไม่เห็นความสำคัญหรือคุณค่าของสิ่งเหล่านั้น สำนวนนี้มักใช้เตือนให้คนเราไม่ละเลยหรือมองข้ามสิ่งที่ดีและมีค่าอยู่รอบตัว เพราะบางครั้งการที่เราอยู่ใกล้กับสิ่งเหล่านั้นมากเกินไป อาจทำให้เราชาชินและไม่ตระหนักถึงความสำคัญอย่างแท้จริง กล่าวคือ “คนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ใกล้สิ่งที่ดีงาม แต่กลับไม่เห็นคุณค่าของสิ่งนั้น” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มีที่มาจากการเปรียบเทียบลักษณะการดำรงชีวิตของกบในบ่อน้ำกับดอกบัวที่บานอยู่ด้านบน กบที่อาศัยอยู่ใต้บัวนั้นแม้จะอยู่ใกล้ชิดกับสิ่งสวยงามและสูงค่า แต่ก็ไม่สามารถเห็นความงามของดอกบัวได้ เนื่องจากมุมมองของกบถูกจำกัดอยู่แค่ในน้ำ นอกจากนี้ บัวที่อยู่เหนือน้ำเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งในวัฒนธรรมไทย บัวมีความหมายถึงสิ่งที่ดีและประเสริฐ การใช้คำว่า “กบ” ในสำนวนนี้เปรียบกับคนที่มีชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ดี มีความงามและโอกาสรอบตัว แต่ไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งเหล่านั้น หรือไม่เห็นคุณค่า สำนวนนี้จึงสะท้อนถึงการที่คนมองไม่เห็นหรือไม่รับรู้สิ่งดี ๆ ที่อยู่ใกล้ตัว เหมือนกับกบที่ไม่รู้ว่ามีดอกบัวที่บานอยู่เหนือศีรษะตนเอง ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนกิ้งก่าได้ทอง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนกิ้งก่าได้ทอง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กิ้งก่าได้ทอง กิ้งก่าได้ทอง หมายถึง สำนวน “กิ้งก่าได้ทอง” หมายถึง คนที่เคยยากลําบาก หรือไม่เคยมีอะไรมาก่อน พอประสบความสําเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือได้รับคําสรรเสริญเยินยอก็วางตนเหมือนอยู่เหนือผู้อื่น ยกตนข่มท่าน ลืมฐานะ เดิมของตน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยเป็นมาก่อน เช่น การทำตัวโอ้อวด ทำเกินตัว หรือแสดงออกอย่างเกินความพอดีเมื่อได้ครอบครองสิ่งที่ตนเองไม่เคยมีมาก่อน สำนวนนี้จึงใช้ในบริบทของการวิพากษ์วิจารณ์คนที่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหลังจากได้รับสิ่งที่เหนือความสามารถหรือเกินฐานะของตน กล่าวคือ “คนที่ได้ลาภยศแล้วทะนงตนลืมฐานะเดิม” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากนิทานเรื่องมโหสถ ชาดก เรื่องราวของกิ้งก่าได้ทองนั้นไม่ได้กล่าวถึงกิ้งก่าโดยทั่วไปใน ธรรมชาติ แต่ได้กล่าวถึงกิ้งก่าแสนรู้ตัวหนึ่ง เป็นเรื่องราวครั้งที่พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็น “มโหสถ” บัณฑิต เจ้าปัญญา รับราชการในพระเจ้าวิเทหราช ผู้เป็นราชาแห่งเมืองมิถิลา เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งพระเจ้าวิเทหราชเสด็จประพาสอุทยาน กับมโหสถ มีกิ้งก่าตัวหนึ่งเห็นทั้งคู่เดินมาด้วยกัน ก็ไต่ลงจากเสา มาทําท่า หมอบกราบอยู่เบื้องหน้าพระราชา เมื่อพระราชาเห็นดังนั้นจึงตรัสถามมโหสถว่ากิ้งก่าทําอะไร มโหสถจึงตอบไปว่ากิ้งก่าตัว นี้มาถวายบังคม จะถวายตัวแก่พระราชา พระเจ้าวิเทหราชเห็นว่ากิ้งก่าตัวนั้นเป็นกิ้งก่าแสนรู้ จึงตรัสว่าควรจะให้สิ่งตอบแทนกับมัน มโหสถจึงแนะนําให้ พระราชาพระราชทานเนื้อให้มันกิน พระราชาจึงรับสั่งให้ราชบุรุษผู้เฝ้าอุทยานซื้อเนื้อมูลค่าครึ่งมาสก…

  • รู้จักสำนวน ก ข ไม่กระดิกหู ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวน ก ข ไม่กระดิกหู ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. ก ข ไม่กระดิกหู ก ข ไม่กระดิกหู หมายถึง สำนวน “ก ข ไม่กระดิกหู” หมายถึง คนที่ไม่มีความรู้หรือความเข้าใจในเรื่องที่ควรจะรู้อยู่แล้ว หรือเรื่องพื้นฐานที่คนทั่วไปควรจะเข้าใจได้ สำนวนนี้บ่งบอกถึงการที่คนไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ควรจะเข้าใจได้ เหมือนกับการที่ไม่สามารถเข้าใจตัวอักษรหรือความรู้ที่ง่ายที่สุด เช่น ตัวอักษร “ก ข” ของภาษาไทย กล่าวคือ “ผู้ที่เรียนหนังสือแล้วไม่รู้ อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้” นั่นเอง สำนวนนี้ยังสามารถสื่อถึงการขาดพื้นฐานความรู้ในด้านใดด้านหนึ่ง เช่น ในการทำงาน การศึกษา หรือการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่ควรจะรู้มาก่อนแล้ว แต่กลับไม่สามารถเข้าใจได้เลย สะท้อนถึงความด้อยความรู้หรือการไม่พยายามที่จะเรียนรู้ ที่มาของสำนวน มาจากความเปรียบเปรยเกี่ยวกับความรู้ขั้นพื้นฐานที่ทุกคนควรจะรู้ เช่น การอ่านออกเขียนได้ และการรู้จักตัวอักษรในภาษาไทยที่เริ่มต้นด้วย “ก ข” ซึ่งถือเป็นพื้นฐานแรกในการเรียนรู้ภาษาไทย เมื่อพูดถึงการ “ไม่กระดิกหู” นั้นเป็นการบอกว่าคนคนนั้นไม่สามารถเข้าใจหรือรับรู้สิ่งที่ถูกพูดถึงได้เลย แม้แต่ในระดับพื้นฐานที่สุด สำนวนนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อใช้บรรยายถึงบุคคลที่ขาดความรู้หรือความเข้าใจแม้ในเรื่องที่ควรจะเป็นพื้นฐาน เช่น การอ่าน การเขียน หรือความรู้ในเรื่องสำคัญๆ ที่ควรรู้ สำนวนนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการมีความรู้พื้นฐาน หากคนใดขาดความรู้ในระดับพื้นฐานหรือไม่เข้าใจในสิ่งที่ควรจะเป็นเรื่องง่าย…

  • รู้จักสำนวนกบเลือกนาย ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนกบเลือกนาย ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กบเลือกนาย กบเลือกนาย หมายถึง สำนวน “กบเลือกนาย” หมายถึง การเลือกผู้ปกครองหรือผู้นำใหม่ด้วยความหวังว่าจะได้สิ่งที่ดีกว่า แต่กลับได้ผู้นำที่แย่กว่าเดิมหรือบุคคลที่ต้องการเปลี่ยนผู้บังคับบัญชาบ่อย ๆ ทำให้การงานหรืออาชีพของตนไม่มั่นคงยั่งยืน สุภาษิตนี้ใช้เพื่อเตือนสติในเรื่องการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบ เพราะบางครั้งการเปลี่ยนแปลงอาจนำไปสู่สิ่งที่แย่ลงกว่าที่เป็นอยู่ กล่าวคือ “ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนผู้บังคับบัญชาอยู่เรื่อย ๆ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มีที่มาจากนิทานอีสปเรื่องกบเลือกนายหรือกบปราถนาราชา ที่เล่าถึงกลุ่มกบที่ต้องการมีผู้นำ วันหนึ่งพวกกบจึงขอร้องให้เทพเจ้าส่งนายมาให้พวกเขา เทพเจ้าจึงส่งท่อนไม้ลงมาเป็นผู้นำ แต่กบกลับไม่พอใจเพราะเห็นว่าท่อนไม้ไม่สามารถทำอะไรได้เลย จากนั้นพวกกบจึงขอผู้นำใหม่ที่เข้มแข็งกว่า เทพเจ้าจึงส่งนกกระสาลงมาเป็นนาย ซึ่งในที่สุดนกกระสาก็เริ่มจับกบกินเป็นอาหาร ทำให้กบเสียใจในสิ่งที่ตัวเองเลือกไป เรื่องนี้สะท้อนถึงการที่บางคนไม่พอใจกับสิ่งที่ตนเองมีอยู่แล้วต้องการสิ่งที่ดีกว่า แต่กลับลงเอยด้วยสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม สุภาษิตนี้ใช้เป็นคำเตือนให้ระมัดระวังในการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดๆ เพราะการเลือกสิ่งใหม่อาจไม่ได้นำไปสู่สิ่งที่ดีกว่าเสมอไป ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนกระโถนท้องพระโรง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนกระโถนท้องพระโรง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กระโถนท้องพระโรง กระโถนท้องพระโรง หมายถึง สำนวน “กระโถนท้องพระโรง” หมายถึง คนที่ต้องรองรับความรู้สึกหรือความต้องการของผู้อื่นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ คำสั่ง หรือความกดดันต่าง ๆ โดยไม่มีสิทธิ์โต้แย้งหรือปฏิเสธ บ่อยครั้งจะใช้กับคนที่อยู่ในสถานะที่ต้องคอยทำตามคำสั่งของทุกคน เช่น ลูกน้องในองค์กรที่ต้องรับงานจากทุกฝ่าย หรือคนที่ถูกใช้ประโยชน์จากหลายคนโดยไม่ได้รับความเคารพ กล่าวคือ “ผู้ที่ต้องรองรับภาระงานหรืออารมณ์ของผู้อื่นอยู่คนเดียว” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับภาชนะที่ใช้สำหรับการถ่ายของเสียในสมัยโบราณ ซึ่ง “กระโถน” มักวางอยู่ในที่ที่คนเดินผ่านไปมาบ่อย ๆ โดยเฉพาะในท้องพระโรง ซึ่งเป็นบริเวณที่ใช้ต้อนรับแขกหรือประชุมกัน เมื่อมีคนจำนวนมากผ่านไปมา กระโถนจึงถูกใช้อย่างต่อเนื่องไม่ว่าใครจะเดินผ่านก็ตาม จึงเปรียบเปรยถึงคนที่ถูกใช้หรือได้รับคำสั่งจากทุกทิศทาง โดยไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ สำนวนนี้จึงสะท้อนถึงสภาพของคนที่ต้องรองรับอารมณ์ ความต้องการ หรือคำสั่งจากผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับกระโถนที่ถูกใช้งานตลอดเวลาในที่สาธารณะ ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน