Tag: สำนวนไทย ก.

  • รู้จักสำนวนกระดังงาลนไฟ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนกระดังงาลนไฟ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กระดังงาลนไฟ กระดังงาลนไฟ หมายถึง สำนวน “กระดังงาลนไฟ” หมายถึง ผู้หญิงที่มีเสน่ห์ดึงดูด โดยเฉพาะผู้หญิงที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาก่อน เช่น เคยแต่งงานผ่านความรักหรือชีวิตคู่มาแล้ว จนมีเสน่ห์เฉพาะตัวและน่าดึงดูดมากขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น เปรียบเหมือนดอกกระดังงาที่ต้องลนไฟเพื่อให้กลิ่นหอมแรงและคงทนกว่าปกติ สำนวนนี้ใช้เปรียบเปรยถึงผู้หญิงที่มีลักษณะท่าทีสง่างาม นุ่มนวล แต่ซ่อนความมีเสน่ห์ในตัว เหมือนความหอมที่ค่อย ๆ เปล่งออกมาเมื่อโดนลนไฟ เสน่ห์นี้ไม่ได้มีมาตั้งแต่แรก แต่พัฒนาขึ้นจากประสบการณ์และอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้เธอมีความน่าหลงใหลในแบบที่เด็กสาวไม่มี สำนวนนี้แฝงไว้ด้วยความชื่นชมในความงามและเสน่ห์ที่มาพร้อมกับประสบการณ์ชีวิต ผู้หญิงที่มีประสบการณ์ในเรื่องความรักและความสัมพันธ์ รู้จักชั้นเชิงในการปรนนิบัติและเอาอกเอาใจคู่ครองได้ดี เข้าใจความต้องการของผู้ชาย และสามารถสร้างเสน่ห์ในแบบที่ผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานหรือไม่มีประสบการณ์ไม่สามารถทำได้ นี่คือเสน่ห์ที่ค่อย ๆ สะสมผ่านกาลเวลา ทำให้เธอมีความมั่นใจและท่าทีดึงดูดใจที่ยากจะต้านทาน กล่าวคือ “หญิงที่เคยแต่งงานหรือผ่านผู้ชายมาแล้ว ย่อมรู้จักชั้นเชิงทางปรนนิบัติและเอาอกเอาใจผู้ชายได้ดีกว่าหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบเปรียบเปรยถึงกับดอกกระดังงา ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมแรง (ใช้กลั่นทำน้ำอบน้ำหอมได้) ซึ่งเป็นดอกไม้ที่ต้องลนไฟก่อนจึงจะส่งกลิ่นหอมฟุ้งและคงทนกว่าเดิม ในอดีตชาวไทยจะนำดอกกระดังงามาผ่านกระบวนการอบหรือลนไฟเพื่อทำให้กลิ่นหอมกระจายไปได้มากขึ้นและยาวนาน กลิ่นหอมของกระดังงาที่ผ่านการลนไฟมีเอกลักษณ์ที่เย้ายวนใจและติดทน สะท้อนถึงการปรุงแต่งและการทำให้หอมจนโดดเด่น เหมาะสำหรับการนำไปใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ และการประดับตกแต่งเพื่อความสวยงามและกลิ่นหอม คนไทยมีความผูกพันกับดอกกระดังงาอย่างลึกซึ้ง เนื่องจากกระดังงาถือเป็นหนึ่งในดอกไม้พื้นเมืองที่มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ เมื่อดอกกระดังงาผ่านกระบวนการ “ลนไฟ” หรือการอุ่นไฟ กลิ่นของมันจะยิ่งหอมและฟุ้งได้นานขึ้น ชาวไทยนิยมใช้กระดังงาในพิธีกรรมต่าง…

  • รู้จักสำนวนกระเชอก้นรั่ว ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนกระเชอก้นรั่ว ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กระเชอก้นรั่ว กระเชอก้นรั่ว หมายถึง สำนวน “กระเชอก้นรั่ว” หมายถึง บุคคลที่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินจำเป็น ไม่มีการออมเงินหรือจัดการรายได้อย่างเหมาะสม เปรียบได้กับกระเช้าที่ก้นรั่ว ใส่สิ่งของลงไปมากแค่ไหน ของก็ไหลออกจนหมดไม่เหลืออะไร เป็นคำเตือนเรื่องการจัดการการเงินและความประหยัด กล่าวคือ “สุรุ่ยสุร่าย, ไม่รู้จักเก็บหอมรอมริบ, ขาดการประหยัด” คำนี้ยังมีเพี้ยนไปเป็น กระชังก้นรั่ว ก็มี นั่นเอง ที่มาของสำนวนนี้ มีที่มาเกี่ยวข้องกับวิธีชีวิตและการใช้สิ่งของในอดีต โดยคำว่า “กระเชอ” ในที่นี้หมายถึงภาชนะชนิดหนึ่งที่ทำจากไม้ไผ่หรือหวาย ซึ่งถูกถักเป็นรูปกระเช้าสำหรับใส่สิ่งของ ใช้กันอย่างแพร่หลายในสังคมเกษตรกรรมในสมัยก่อน กระเชอมักมีความสำคัญในการใช้ขนของ เช่น ผัก ผลไม้ หรือสิ่งของในชีวิตประจำวัน เนื่องจากทำจากวัสดุธรรมชาติ กระเช้าบางใบเมื่อใช้ไปนาน ๆ ก็อาจเกิดการชำรุดหรือเกิดรอยรั่วที่ก้นได้ กระเชอ เป็นภาชนะพื้นบ้านที่ทำจากไม้ไผ่หรือหวาย โดยคนไทยในอดีตมักใช้กระเชอในการขนส่งและเก็บของ ซึ่งกระเชอมีลักษณะเป็นตะกร้าทรงสูงหรือกึ่งทรงกลม ก้นแคบ ปากกว้าง มีหูจับสำหรับถือหรือคล้องไหล่ได้ การใช้กระเชอเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีการทำเกษตรกรรมเป็นหลัก ในภาคเหนือและภาคอีสาน กระเชอถูกใช้ในการขนผลผลิตทางการเกษตร เช่น ข้าว ผัก ผลไม้ หรือของใช้จำเป็นในครัวเรือน…

  • รู้จักสำนวนกระดูกร้องได้ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนกระดูกร้องได้ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กระดูกร้องได้ กระดูกร้องได้ หมายถึง สำนวน “กระดูกร้องได้” หมายถึง การที่เรื่องราวหรือความจริงในอดีตที่เคยถูกปิดบังหรือถูกลืมไว้ มีโอกาสถูกเปิดเผยหรือถูกพูดถึงอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเพราะเงื่อนไขบางอย่างที่ทำให้เรื่องนั้นถูกนำกลับมาสู่ความสนใจหรือถูกเปิดโปง ความหมายยังรวมไปถึงการที่ความจริงที่เคยถูกปิดซ่อนไว้จะไม่สามารถถูกซ่อนตลอดไป เพราะความยุติธรรมจะมีทางปรากฏขึ้นเสมอ กล่าวคือ “ผลสะท้อนของฆาตกรรมที่ทำให้จับตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ คล้ายกับว่ากระดูกของผู้ตายร้องบอก” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากความเชื่อพื้นบ้านของไทยที่เล่าถึงวิญญาณหรือผู้เสียชีวิตที่ไม่ได้รับความยุติธรรม หรือถูกฆ่าโดยไม่ได้รับการชำระแค้น เชื่อกันว่า หากมีการพบกระดูกหรือซากศพในที่ที่ไม่ควร กระดูกนั้นอาจ “ร้องได้” หรือบอกให้ผู้พบเจอรู้ว่ามีความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น สำนวนนี้สะท้อนความเชื่อของคนโบราณในการส่งเสียงของผู้ตายเพื่อขอความยุติธรรมหรือการชำระแค้น ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนกระต่ายแหย่เสือ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนกระต่ายแหย่เสือ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กระต่ายแหย่เสือ กระต่ายแหย่เสือหมายถึง สำนวน “กระต่ายแหย่เสือ” หมายถึง การที่ผู้น้อยหรือผู้ที่มีอำนาจน้อยกว่า กล้าล้อเล่นหรือท้าทายกับผู้ที่มีกำลังหรืออำนาจเหนือกว่า ซึ่งการกระทำเช่นนี้มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอันตรายได้ สำนวนนี้แฝงไปด้วยความหมายของการทำในสิ่งที่เกินขอบเขตหรือท้าทายอำนาจโดยประมาท ไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา การเปรียบเปรยถึงกระต่ายที่แหย่เสือสะท้อนถึงความไม่รอบคอบหรือบ้าบิ่นของผู้ที่กล้าท้าทายผู้ที่มีอำนาจบารมีมากกว่า แม้จะรู้ว่าอาจต้องเผชิญผลที่รุนแรง กล่าวคือ “การไปล้อเล่น ท้าทายกับผู้ที่มีอำนาจ บารมีมากกว่า ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายได้” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากนทานชาดกพื้นบ้านเรื่องหนึ่ง โดยมีเนื้อเรื่องว่า เรื่องนี้เล่าถึงกระต่ายที่ต้องการแก้แค้นเสือที่ชอบจับกระต่ายกิน กระต่ายใช้เล่ห์กลแหย่จมูกเสือและแกล้งหลอกเสือให้กินขี้ควาย โดยบอกว่าเป็นข้าวเหนียวเปียกของพระอินทร์ เสือหลงเชื่อและกินขี้ควาย ทำให้โกรธกระต่ายมากและไล่ตาม กระต่ายแกล้งเสือต่อด้วยการหลอกให้เสือฟังเสียง “ฆ้องของพระอินทร์” แต่แท้จริงแล้วเป็นรังผึ้ง เมื่อเสือฟาดรังผึ้ง ฝูงผึ้งก็ต่อยเสือจนบวม เสือโกรธมากยิ่งขึ้น กระต่ายวิ่งหนีมาถึงแม่น้ำและคิดอุบายหลอกจระเข้ให้เรียงตัวเป็นสะพานเพื่อให้ข้ามแม่น้ำ แต่จระเข้แก่ตัวหนึ่งรู้ทัน จึงดำน้ำทำให้กระต่ายตกน้ำ กระต่ายพยายามตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งจนสำเร็จ และรีบวิ่งหนีไป ทำให้เสือไม่สามารถจับกระต่ายได้ทันและกระต่ายรอดพ้นไปอย่างปลอดภัย เนื้อเรื่องเต็ม: มีเสือตัวหนึ่งนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ กระต่ายตัวหนึ่งเดินผ่านมา เห็นเสือกำลังนอนหลับ อยู่นึกโกรธว่าเสือชอบจับกระต่ายกินนัก จึงถอนต้นหญ้าเอามาแหย่จมูกเสือ เสือตกใจตื่นขึ้น เห็นกระต่ายจึงบอกว่า “อย่าเล่นน่า” แล้วเสือก็หลับต่อไป กระต่ายก็ถอนต้นหญ้าแหย่จมูกเสืออีก เสือโกรธมากจึงบอกว่า “เหม่! เดี๋ยวข้าจับกินเสียหรอก” กระต่ายเห็นเสือโกรธเช่นนั้นจึงวิ่งหนี…

  • รู้จักสำนวนกระต่ายหมายจันทร์ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนกระต่ายหมายจันทร์ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กระต่ายหมายจันทร์ กระต่ายหมายจันทร์ หมายถึง สำนวน “กระต่ายหมายจันทร์” หมายถึง การที่ผู้ชายธรรมดาหมายปองหญิงที่มีฐานะสูงกว่า เช่น หญิงที่มีความงดงาม มีสถานะทางสังคมที่สูง หรือมีความสำเร็จในชีวิตมากกว่า เปรียบเสมือนกระต่ายที่แหงนมองดวงจันทร์บนฟ้าด้วยความปรารถนา ดวงจันทร์ในสำนวนนี้สื่อถึงความสูงส่งที่ยากจะเข้าถึงได้ การที่ผู้ชายหมายปองผู้หญิงที่เหนือกว่าตนเองในทุกด้าน จึงสื่อถึงความรักที่เต็มไปด้วยความหวัง แต่มีโอกาสเป็นจริงได้ยาก กล่าวคือ “ผู้ชายหมายปองผู้หญิงที่มีฐานะดีกว่า” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากนิทานพื้นบ้านที่เล่าถึงกระต่ายตัวหนึ่งที่แหงนมองดวงจันทร์บนท้องฟ้าด้วยความหลงใหลและชื่นชม กระต่ายเฝ้ามองดวงจันทร์ที่ส่องแสงสวยงาม และปรารถนาที่จะไปถึงดวงจันทร์ แม้ว่าในความเป็นจริงกระต่ายไม่สามารถกระโดดไปถึงจันทร์ที่สูงเกินเอื้อมได้ เรื่องราวนี้สะท้อนถึงการมีความปรารถนาหรือความรักในสิ่งที่ดูสูงส่งและไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึงได้ นอกจากนิทานนี้แล้ว ในวรรณคดีของหลายวัฒนธรรมยังมักมีการเปรียบเทียบดวงจันทร์เป็นสัญลักษณ์ของความงดงาม ความบริสุทธิ์ หรือสิ่งที่มีค่าสูง ทำให้เกิดสำนวนนี้ขึ้น ซึ่งใช้ในการเปรียบเทียบถึงการที่ใครบางคนหมายปองสิ่งที่สูงส่งกว่าตน ไม่ว่าจะเป็นความรักที่ดูเกินเอื้อม หรือตำแหน่งที่ยากจะไปถึง ในภาษาไทย สำนวนนี้จึงหมายถึงการที่คนปรารถนาในสิ่งที่เกินกว่าจะไขว่คว้าถึง หรือรักใครบางคนที่มีสถานะและฐานะสูงกว่า โดยที่ความสัมพันธ์นั้นมีโอกาสที่จะเป็นจริงได้น้อยมาก เหมือนกระต่ายที่เฝ้ามองดวงจันทร์บนท้องฟ้าอย่างชื่นชมแต่ไม่อาจไปถึงได้ ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนกระต่ายตื่นตูม ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนกระต่ายตื่นตูม ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กระต่ายตื่นตูม กระต่ายตื่นตูม หมายถึง สำนวน “กระต่ายตื่นตูม“ หมายถึง การตื่นตกใจกลัวอย่างไม่มีเหตุผล หรือการตื่นตกใจจนเกินเหตุเพราะเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มักใช้กับคนที่ขาดความรอบคอบหรือตื่นตกใจเกินไปกับข่าวลือหรือสถานการณ์ที่ไม่ร้ายแรง กล่าวคือ “ใช้เปรียบเทียบคนที่แสดงอาการตื่นตกใจง่ายโดยไม่ทันสำรวจให้ถ่องแท้ก่อน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มีที่มาจากนิทานชาดกเรื่อง “โสณนันทชาดก” ซึ่งเล่าว่า กระต่ายตัวหนึ่งนอนพักผ่อนใต้ต้นหว้า เมื่อผลหว้าสุกหล่นลงกระทบพื้น กระต่ายตกใจตื่นและคิดว่าโลกกำลังจะแตก มันวิ่งหนีด้วยความตื่นตกใจโดยไม่ได้คิดให้รอบคอบ ขณะวิ่งหนี กระต่ายตัวนี้ส่งเสียงร้องเตือนสัตว์อื่นๆ จนพวกสัตว์ทั้งหลายตื่นตกใจตามไปด้วย ทำให้เกิดความโกลาหลทั่วป่า ต่อมาสัตว์เจ้าปัญญาอย่างราชสีห์ได้เข้ามาไต่ถาม จึงพบว่าที่แท้แล้วเป็นเพียงผลไม้หล่นเท่านั้น อีกทั้งยังปรากฏนนิทานอีสปเรื่องกระต่ายตื่นตูมอีกด้วย นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การตื่นตระหนกและไม่ใช้เหตุผลในการไตร่ตรองอาจก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายและส่งผลกระทบที่ไม่คาดคิด จึงกลายเป็นที่มาของสำนวน ที่หมายถึงการตกใจเกินกว่าเหตุจากเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือความหวาดกลัวโดยขาดการพิจารณาให้ถี่ถ้วน ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพยที่คล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนกระต่ายสามขา ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนกระต่ายสามขา ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กระต่ายสามขา กระต่ายสามขา หมายถึง สำนวน “กระต่ายสามขา” หมายถึง การยืนกรานหรือยืนยันเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยไม่ยอมรับฟังเหตุผลหรือหลักฐานใดๆ คล้ายกับการตั้งใจดื้อด้าน ไม่เปลี่ยนใจแม้มีข้อโต้แย้ง กล่าวคือ “การยืนกรานไม่ยอมรับ” นั่นเอง ใช้กับคนที่ยืนกรานความคิดตนเอง ไม่ยอมรับผิด ฉันไม่ได้ทำ ฉันเปล่านะ ยืนยันแบบข้าง ๆ คู ๆ และไม่เปลี่ยนความคิด เช่น มีเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากล ซึ่งใคร ๆ ก็เข้าใจอย่างหนึ่งเหมือนกันหมด แต่มีคนคนหนึ่งที่ยืนกรานหนักแน่นว่าไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นคิดแน่นอน ที่มาของสำนวน กระต่ายขาเดียว สำนวนคุ้น ๆ ที่กระต่ายขาเดียว แท้จริงแล้วสำนวนชกระต่ายขาเดียวนี้จริง ๆ แล้วมันชื่อ “กระต่ายสามขา” ต่างหาก… ส่วนเหตุผลว่าทำไมคือ สำนวนนี้มีที่มาจากนิทานเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของเด็กวัดที่วันหนึ่ง กระต่ายป่าตัวหนึ่งบาดเจ็บหนีจากการไล่ล่าของนายพรานเข้ามาตายในวัด ลูกศิษย์เห็นเข้าจึงนำมาทำเป็นอาหารเพื่อถวายอาจารย์ แต่ขณะที่ย่างนั้นเนื้อกระต่ายหอมยั่วยวนใจมากจนอดใจไม่ไหว เขาจึงแอบฉีกขากระต่ายออกมากินเองไปหนึ่งข้างซะงั้น! เมื่อนำกระต่ายไปประเคนให้หลวงพ่อ หลวงพ่อเห็นขากระต่ายข้างหนึ่งหายไป จึงถามเขาว่ามีใครมาแอบกินไปก่อนหรือเปล่า เด็กวัดยืนยันหัวชนฝาว่าไม่มี เพราะกระต่ายตัวนี้มีสามขามาตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ว่าหลวงพ่อจะถามกี่ครั้งเขาก็ยังตอบเช่นเดิม ว่ากระต่ายมีสามขาจริง ๆ ไม่มีใครเอาอีกขาหนึ่งไปทั้งนั้น……

  • รู้จักสำนวนกรวดน้ำคว่ำขัน(กะลา) ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนกรวดน้ำคว่ำขัน(กะลา) ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กรวดน้ำคว่ำขัน(กะลา) กรวดน้ำคว่ำขัน(กะลา) หมายถึง สำนวน “กรวดน้ำคว่ำขัน, กรวดน้ำคว่ำกะลา” หมายถึง การตัดความสัมพันธ์หรือการตัดขาดจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเด็ดขาด ไม่มีการเกี่ยวข้องหรือย้อนกลับไปอีก สำนวนนี้ใช้เมื่อความสัมพันธ์หรือสิ่งที่ทำอยู่ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ และผู้พูดต้องการแสดงถึงการเลิกคบหรือเลิกทำอย่างถาวร กล่าวคือ “ตัดขาดความสัมพันธ์ ไม่ขอเกี่ยวข้องด้วยอีกต่อไป” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากพิธีกรรมการกรวดน้ำในศาสนาพุทธ ซึ่งผู้ทำพิธีจะนำน้ำใส่ขันหรือกะลามากรวดเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับหรือสรรพสัตว์ เมื่อเสร็จพิธีแล้วผู้ทำพิธีจะคว่ำขันหรือกะลาเพื่อแสดงถึงการสิ้นสุดของพิธีและการอุทิศบุญนั้นในครั้งนี้ แต่ในสำนวนนี้ การ “คว่ำขัน” สื่อความหมายในเชิงการตัดขาดอย่างเด็ดขาด ไม่เหลือสิ่งใดที่จะผูกพันหรือเกี่ยวข้องกันอีก เปรียบเสมือนการกรวดน้ำครั้งสุดท้ายที่ไม่มีการหวนคืน ในแง่วัฒนธรรม การกรวดน้ำและคว่ำขันถือเป็นสัญลักษณ์ของการสละสิ่งที่ถือครองและปล่อยวางสิ่งที่เป็นพันธะ การคว่ำขันหรือกะลาในบริบทนี้จึงแฝงด้วยความหมายของการยุติความสัมพันธ์หรือความผูกพันแบบไม่หวนกลับ ทำให้สำนวนนี้ถูกใช้ในการบอกเล่าเรื่องราวของการตัดขาดความสัมพันธ์หรือการเลิกคบกันอย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนไทยกบในกะลาครอบ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนไทยกบในกะลาครอบ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กบในกะลาครอบ กบในกะลาครอบ หมายถึง สำนวน “กบในกะลาครอบ” หมายถึง คนที่มีความรู้ ความคิด หรือมุมมองที่จำกัด และขาดประสบการณ์ในการมองเห็นโลกที่กว้างขวาง คิดว่าตนเองรู้หรือเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งที่ความจริงแล้วยังมีสิ่งอื่น ๆ อีกมากมายที่ยังไม่รู้หรือไม่เข้าใจ สำนวนนี้มักใช้วิพากษ์วิจารณ์คนที่ไม่เปิดใจกว้าง หรือไม่พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ซึ่งสอดคล้องกับการเปิดมุมมองและพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้า กล่าวคือ “ผู้มีความรู้และประสบการณ์น้อย แต่สำคัญตนว่ามีความรู้มาก” นั่นเอง ที่มาของสำนวน ที่มาของสำนวนนี้นั้นสะท้อนวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของไทยในอดีต ซึ่งคนไทยใช้สำนวนเพื่อสอนใจและเตือนสติคนในเรื่องการมองโลก สำนวนนี้ใช้เปรียบเปรยถึงคนที่ถูกปิดกั้นด้วยความคิดหรือความรู้สึกที่จำกัด คล้ายกับกบที่อยู่ในกะลาครอบจนมองไม่เห็นสิ่งอื่นที่กว้างไกลกว่า สำนวนนี้ยังสะท้อนถึงการเตือนให้คนเราเปิดใจและเรียนรู้จากโลกภายนอก และไม่ยึดติดกับสิ่งที่เราคุ้นเคยเพียงอย่างเดียว ในอดีต กะลาเป็นสิ่งที่ผูกพันกับวิถีชีวิตของคนไทยอย่างมาก เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์หลากหลาย เช่น ใช้เป็นภาชนะใส่น้ำ ใส่ของ ใช้ครอบต้นกล้าป้องกันแมลง หรือทำเป็นเครื่องดนตรีอย่างโปงลาง กะลาถูกมองว่าเป็นสิ่งที่คุ้นเคยและใกล้ชิดกับวิถีชีวิตเรียบง่าย กบเองมักอาศัยอยู่ในบ่อหรือน้ำขังเล็ก ๆ ทำให้การใช้กะลาครอบสะท้อนถึงความคับแคบและการปิดกั้นการรับรู้ ในสำนวน “กบในกะลาครอบ” จึงเปรียบเปรยถึงคนที่มีความคิดจำกัดหรือไม่เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ นอกเหนือจากสิ่งที่คุ้นเคย ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนไทยกบเกิดใต้บัวบาน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนไทยกบเกิดใต้บัวบาน ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ก. กบเกิดใต้บัวบาน กบเกิดใต้บัวบาน หมายถึง สำนวน “กบเกิดใต้บัวบาน” หมายถึง คนที่อยู่ในสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมที่ดี มีโอกาสหรือสิ่งที่มีคุณค่าอยู่รอบตัว แต่กลับไม่เห็นความสำคัญหรือคุณค่าของสิ่งเหล่านั้น สำนวนนี้มักใช้เตือนให้คนเราไม่ละเลยหรือมองข้ามสิ่งที่ดีและมีค่าอยู่รอบตัว เพราะบางครั้งการที่เราอยู่ใกล้กับสิ่งเหล่านั้นมากเกินไป อาจทำให้เราชาชินและไม่ตระหนักถึงความสำคัญอย่างแท้จริง กล่าวคือ “คนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ใกล้สิ่งที่ดีงาม แต่กลับไม่เห็นคุณค่าของสิ่งนั้น” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มีที่มาจากการเปรียบเทียบลักษณะการดำรงชีวิตของกบในบ่อน้ำกับดอกบัวที่บานอยู่ด้านบน กบที่อาศัยอยู่ใต้บัวนั้นแม้จะอยู่ใกล้ชิดกับสิ่งสวยงามและสูงค่า แต่ก็ไม่สามารถเห็นความงามของดอกบัวได้ เนื่องจากมุมมองของกบถูกจำกัดอยู่แค่ในน้ำ นอกจากนี้ บัวที่อยู่เหนือน้ำเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งในวัฒนธรรมไทย บัวมีความหมายถึงสิ่งที่ดีและประเสริฐ การใช้คำว่า “กบ” ในสำนวนนี้เปรียบกับคนที่มีชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ดี มีความงามและโอกาสรอบตัว แต่ไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งเหล่านั้น หรือไม่เห็นคุณค่า สำนวนนี้จึงสะท้อนถึงการที่คนมองไม่เห็นหรือไม่รับรู้สิ่งดี ๆ ที่อยู่ใกล้ตัว เหมือนกับกบที่ไม่รู้ว่ามีดอกบัวที่บานอยู่เหนือศีรษะตนเอง ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน