Tag: สำนวนไทย ข.
-
รู้จักสำนวนขึ้นคาน ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ขึ้นคาน ขึ้นคาน หมายถึง สำนวน “ขึ้นคาน” หมายถึง หญิงที่มีอายุมากแล้วยังไม่ได้แต่งงาน หรือไม่มีใครมาสู่ขอ โดยมักใช้ในเชิงแซวหรือล้อเลียนอย่างขำ ๆ ว่าอายุเลยวัยแต่งงานแล้ว แต่ยังครองตัวเป็นโสดอยู่ เปรียบเสมือน “คาน” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างบ้านที่ใช้รับน้ำหนัก ไม่มีการเคลื่อนย้ายหรือใช้งานอื่น จึงสื่อถึงการ “อยู่กับที่” หรือ “ไม่มีใครมาขยับเขยื้อน” ในเชิงเปรียบเปรยถึงชีวิตรักที่หยุดนิ่งนั่นเอง กล่าวคือ “หญิงโสดที่หาคู่แต่งงานหรือคู่ครองที่คู่ควรไม่ได้” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากแนวคิดเชิงเปรียบเปรยในสมัยโบราณ ซึ่งเชื่อมโยงกับ “คานไม้” ที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างบ้าน โดยเฉพาะในบ้านเรือนไทยที่มีไม้คานพาดอยู่สูงและไม่ได้ถูกใช้งานโดยตรง เช่น ใช้ตากของ แขวนของ หรืออยู่เฉย ๆ ไม่เคลื่อนย้าย เมื่อนำมาเปรียบกับหญิงสาวที่อายุมากแล้วยังไม่ได้แต่งงาน จึงเกิดสำนวนว่า “ขึ้นหิ้งขึ้นคาน” ซึ่งหมายถึง หญิงโสดที่อยู่ตัวคนเดียวมานาน ไม่มีใครมาสู่ขอ เหมือนกับของที่วางพาดบนคาน ไม่ได้ถูกหยิบไปใช้ หรือไม่ได้ “ขยับเขยื้อน” จากสถานะเดิม สำนวนนี้จึงมักใช้ในเชิงหยอกล้อหรือล้อเล่นเกี่ยวกับสถานะโสด โดยเฉพาะกับหญิงวัยกลางคนหรือมากกว่า ที่ยังไม่มีคู่ครอง และยังมีความหมายอีกนัยหนึ่งว่า “มีฝีมือในทางใดทางหนึ่งจนไม่มีคู่แข่งขัน” ซึ่งไม่ได้ใช้กันอย่างแพร่หลายในความหมายนี้…
-
รู้จักสำนวนข้านอกเจ้าบ่าวนอกนาย ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ข้านอกเจ้าบ่าวนอกนาย ข้านอกเจ้าบ่าวนอกนาย หมายถึง สำนวน “ข้านอกเจ้าบ่าวนอกนาย” หมายถึง คนที่กระทำหรือประพฤตินอกเหนือจากคำสั่ง หรือไม่ปฏิบัติตามแบบอย่าง ขนบธรรมเนียม หรือธรรมเนียมปฏิบัติที่ถือปฏิบัติกันมา สะท้อนถึงการละเลยระเบียบที่ควรยึดถือในสังคม หรือการทำตัวไม่อยู่ในกรอบของกฎเกณฑ์ที่เหมาะสม กล่าวคือ “ผู้ที่กระทำหรือประพฤตินอกเหนือคำสั่งหรือแบบอย่างขนบธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติกันมา” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบในระบบสังคมดั้งเดิมของไทยที่มีลำดับชั้นชัดเจน โดยเฉพาะในยุคที่ข้าทาส บ่าว และนาย มีความสัมพันธ์ตามลำดับอำนาจและหน้าที่ ข้าหรือบ่าวต้องปฏิบัติตามคำสั่งและกฎเกณฑ์ของนายผู้ปกครอง คำว่า “ข้านอกเจ้า” และ “บ่าวนอกนาย” หมายถึง คนที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ที่ควรเคารพหรือดูแล หรือไม่อยู่ในกรอบของธรรมเนียมปฏิบัติที่สังคมยอมรับ เช่น ข้าทาสที่แยกตัวไปทำสิ่งอื่นนอกเหนือจากที่เจ้านายกำหนด หรือบ่าวที่ไม่ทำหน้าที่ตามความเหมาะสม คำว่า “นอก” ในสุภาษิต “ข้านอกเจ้าบ่าวนอกนาย” หมายถึง การกระทำหรือประพฤติตนที่อยู่นอกเหนือคำสั่ง ระเบียบ หรือขนบธรรมเนียมที่กำหนดไว้ “ข้านอกเจ้า” หมายถึง ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้านาย หรือแสดงพฤติกรรมที่ขัดต่อกฎระเบียบ “บ่าวนอกนาย” หมายถึง คนรับใช้ที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อผู้บังคับบัญชา หรือปฏิบัติตนผิดแปลกไปจากหน้าที่และธรรมเนียมที่ควรยึดถือ สำนวนนี้สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบของการกระทำที่ละเมิดขนบธรรมเนียมและกฎเกณฑ์ของสังคม ซึ่งอาจทำให้เกิดความวุ่นวายหรือความแตกแยกในระบบที่เคยมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนข้านอกเจ้าข้าวนอกหม้อ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ข้านอกเจ้าข้าวนอกหม้อ ข้านอกเจ้าข้าวนอกหม้อ หมายถึง สำนวน “ข้านอกเจ้าข้าวนอกหม้อ” หมายถึง จำนวนคนที่มีมาก ย่อมมีบางส่วนที่ประพฤตินอกเหนือจากคำสั่ง กฎเกณฑ์ หรือขนบธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติกันมา เปรียบได้กับคนที่ไม่อยู่ภายใต้การปกครองหรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบของกลุ่มหรือผู้มีอำนาจ กล่าวคือ “จำนวนคนซึ่งมีจำนวนมาก ย่อมกระทำหรือประพฤตินอกออกไปจากคำสั่งหรือแบบอย่างขนบธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติกันมามากเช่นกัน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากพระราชหัตถเลขาในรัชกาลที่ 4 ซึ่งกล่าวถึงสภาพสังคมในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงด้านการปกครองและจำนวนคนในสังคมมากขึ้น พระองค์ทรงเปรียบเทียบว่า ในอดีตที่มีเจ้านายน้อยและจำนวนคนไม่มาก ทุกคนอยู่ในระเบียบ ไม่เกิดความรั่วร้ำหรือแตกแยก แต่เมื่อจำนวนเจ้านายและคนในสังคมเพิ่มขึ้น กลับเกิดปัญหาความแตกแยกและการไม่ยอมอยู่ในอำนาจปกครองหรือกฎเกณฑ์ จึงเกิดคำว่า “ข้านอกเจ้า” และ “ข้าวนอกหม้อ” เพื่ออธิบายถึงผู้ที่แยกตัวออกไปจากระเบียบของผู้มีอำนาจหรือไม่ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมที่เคยถือปฏิบัติกันมา “ข้านอกเจ้า” หมายถึง คนที่ไม่ยอมอยู่ภายใต้การปกครองหรืออำนาจของผู้ที่ควรเคารพ เปรียบเสมือนข้าทาสที่แยกตัวออกจากเจ้านาย หรือไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ที่ควรทำ สะท้อนถึงการขาดความจงรักภักดีหรือการปฏิบัติผิดไปจากระเบียบของสังคมที่ตนควรปฏิบัติ “ข้าวนอกหม้อ” หมายถึง คนที่ไม่ได้อยู่ในความดูแลหรือความรับผิดชอบของผู้ดูแล เปรียบเหมือนข้าวที่ไม่อยู่ในหม้อ ซึ่งไม่สามารถควบคุมหรือดูแลได้ สื่อถึงคนที่แยกตัวออกไปหรือไม่ทำตามกรอบกติกาที่สังคมหรือกลุ่มกำหนดไว้ การเปรียบเปรยทั้งสองคำนี้สะท้อนถึงความแตกแยกและการไม่ปฏิบัติตามระบบหรือระเบียบแบบแผนที่วางไว้ เช่นเดียวกับข้าทาสที่หลบหนีจากการปกครองของเจ้านาย (ข้านอกเจ้า) หรือข้าวที่หลุดออกจากหม้อ (ข้าวนอกหม้อ) ที่ไม่สามารถใช้งานหรือนำกลับมาอยู่ในระบบได้อย่างสมบูรณ์ ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก ขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก หมายถึง สำนวน “ขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก” หมายถึง การอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงหรือยากลำบาก ซึ่งไม่สามารถถอยหรือถอนตัวออกมาได้โดยง่าย ต้องดำเนินต่อไปให้สุด หยุดกลางคันไม่ได้ เปรียบเสมือนการขึ้นไปบนหลังเสือที่อันตราย เพราะหากลงมาโดยไม่ระวัง เสืออาจหันกลับมาทำร้ายได้ สำนวนนี้มักใช้กล่าวถึงการตัดสินใจที่นำไปสู่สถานการณ์ที่ไม่สามารถกลับไปแก้ไขหรือถอยหนีได้ ต้องอยู่ต่อและรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นจนถึงที่สุด สำนวนนี้มักใช้กับคนที่ท้าทายหรือเกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจหรือสิ่งที่อันตราย เมื่อเริ่มต้นไปแล้วก็จะถอนตัวออกได้ยาก ต้องเผชิญกับผลที่ตามมา ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ง่าย ๆ กล่าวคือ “การกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วพบอุปสรรค แต่ถูกสถานการณ์บีบบังคับให้ดำเนินต่อไปจนถึงที่สุด โดยไม่อาจหยุดกลางคันได้” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่บุคคลขึ้นไปอยู่บนหลังเสือ ซึ่งเสือเป็นสัตว์ที่ดุร้ายและอันตราย หากอยู่บนหลังเสือก็ต้องระมัดระวังอย่างมาก เพราะหากพยายามลงมาโดยไม่รอบคอบ เสืออาจหันกลับมาทำร้ายได้ สำนวนนี้จึงสะท้อนถึงสถานการณ์ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เสี่ยงหรืออันตราย และเมื่อเข้าไปแล้ว การจะถอนตัวออกมาอย่างปลอดภัยเป็นเรื่องยาก จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับปัญหาหรือสถานการณ์นั้นต่อไปให้สุดอย่างระมัดระวัง ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนขึ้นต้นไม้ปะรังแตน ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ขึ้นต้นไม้ปะรังแตน ขึ้นต้นไม้ปะรังแตน หมายถึง สำนวน “ขึ้นต้นไม้ปะรังแตน” หมายถึง การพยายามหนีจากภัยอันตรายหรือปัญหาอย่างหนึ่ง แต่กลับไปเจอกับปัญหาหรือภัยอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่อาจร้ายแรงยิ่งกว่า เปรียบเหมือนคนที่พยายามหลบหนีศัตรูหรืออันตรายด้วยการปีนขึ้นต้นไม้ แต่กลับไปเจอรังแตนที่พร้อมจะรุมต่อยจนได้รับความเดือดร้อนมากขึ้น สำนวนนี้สะท้อนถึงสถานการณ์ที่ยากลำบากที่ไม่ว่าทางเลือกใดก็เต็มไปด้วยอุปสรรคหรือผลเสียในท้ายที่สุด กล่าวคือ “การหนีจากปัญหาหรือภัยหนึ่งไปเจออีกปัญหาหนึ่ง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่บุคคลพยายามหลบหนีหรือหาทางแก้ไขปัญหาด้วยการปีนขึ้นต้นไม้ ซึ่งควรจะเป็นสถานที่ปลอดภัยจากภัยที่อยู่ด้านล่าง เช่น สัตว์นักล่าหรืออันตรายอื่น ๆ แต่แทนที่จะปลอดภัย กลับไปเจอรังแตนอยู่บนต้นไม้ ซึ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้น เพราะแตนเป็นสัตว์ที่ดุร้าย หากถูกรบกวนก็จะรุมต่อยจนได้รับบาดเจ็บ สำนวนนี้จึงสะท้อนถึง การหนีจากปัญหาหรือภัยหนึ่งไปเจออีกปัญหาหนึ่งที่อาจเลวร้ายกว่าเดิม โดยแสดงถึงความพยายามแก้ไขปัญหาที่ไม่ได้ผลและอาจนำไปสู่ความเดือดร้อนเพิ่มเติม ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนไข่ในหิน ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ไข่ในหิน ไข่ในหิน หมายถึง สำนวน “ไข่ในหิน” หมายถึง สิ่งที่ได้รับการดูแลหรือปกป้องอย่างดี ด้วยความระมัดระวังและเอาใจใส่เป็นพิเศษ เปรียบเสมือนการดูแลไข่ที่อยู่ในหินซึ่งเปราะบางและแตกง่าย ต้องได้รับการปกป้องไม่ให้เสียหาย สำนวนนี้มักใช้พูดถึงคนหรือสิ่งของที่ได้รับการดูแลแบบทะนุถนอมอย่างมาก กล่าวคือ “สิ่งที่ต้องระมัดระวัง ทะนุถนอมอย่างยิ่ง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับไข่ซึ่งเป็นสิ่งที่เปราะบางและแตกง่าย และหินซึ่งเป็นของแข็งที่มักปกป้องไข่จากการกระทบกระแทก แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องอาศัยความระมัดระวังอย่างมากในการดูแลไม่ให้ไข่ภายในแตกเสียหาย สำนวนนี้ยังปรากฏในวรรณคดีไทยเรื่องขุนช้างขุนแผน โดยในตอนหนึ่ง นางวันทองได้กล่าวตัดพ้อขุนแผนถึงการที่เธอพยายามรักษาความบริสุทธิ์และความดีของตนเองไว้ “เสียแรงน้องครองตัวไม่มัวหมอง ดังแว่นทองส่องสว่างพระเคหา ดุจไข่ฝังไว้ในศิลา อุตส่าห์ซ่อนเร้นทั้งเรือดไร” ในอีกแง่หนึ่ง สำนวนนี้ยังถูกใช้ในเชิงประชดประชันเมื่อมีการทะนุถนอมสิ่งใดหรือใครบางคนจนเกินเหตุ เช่นเดียวกับการเปรียบเทียบไข่ที่อยู่ท่ามกลางหิน ซึ่งเป็นสิ่งเปราะบางในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ทำให้ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากเพื่อไม่ให้ไข่แตกหรือเสียหาย ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่มีความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนเข้าไต้เข้าไฟ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. เข้าไต้เข้าไฟ เข้าไต้เข้าไฟ หมายถึง สำนวน “เข้าไต้เข้าไฟ” หมายถึง ช่วงเวลาพลบค่ำ หรือช่วงที่แสงสว่างเริ่มลดลงจนต้องใช้แสงจากไต้หรือไฟช่วยในการมองเห็น ใช้สื่อถึงเวลารอยต่อระหว่างกลางวันและกลางคืนที่ต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนความมืดจะเข้ามาโดยสมบูรณ์ กล่าวคือ “ช่วงเวลาพลบค่ำ เป็นช่วงเวลาหลังจากพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ท้องฟ้ายังไม่มืดสนิท แต่บรรยากาศเริ่มมืดสลัวลงจนมองอะไรไม่ค่อยเห็น จึงต้องอาศัยแสงไฟช่วย” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากวิถีชีวิตของคนสมัยก่อนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ เมื่อถึงช่วงเวลาพลบค่ำหรือแสงสว่างเริ่มลดลง จำเป็นต้องอาศัยแสงจากไต้ (ไม้ที่ชุบน้ำมันสำหรับจุดไฟ) หรือแสงจากไฟ เพื่อช่วยให้มองเห็นและทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การทำงานในบ้านหรือการเดินทาง การเข้าไต้เข้าไฟจึงสะท้อนถึงช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านระหว่างกลางวันและกลางคืน ซึ่งต้องเตรียมความพร้อมในการใช้แสงไฟเพื่อดำเนินชีวิตต่อในความมืดของกลางคืน คนแต่ก่อนใช้ฟืนก่อเป็นกองไฟ หรือมิฉะนั้นก็จุดไต้ ไต้ ทำด้วยไม้ผุคลุกกับน้ำมันยาง แล้วห่อด้วยใบไม้ เปลือกไม้ หรือใส่กระบอกเป็นดุ้นยาว ๆ ด้วยเหตุนี้จึงเรียกเวลาในตอนหัวค่ำที่คนเริ่มจุดไต้ก่อไฟว่า การพูดว่า “เข้าไต้เข้าไฟ” จึงสะท้อนถึงการเตรียมตัวในช่วงเวลานี้เพื่อให้สามารถทำกิจกรรมหรือดำเนินชีวิตต่อได้ เช่น การเตรียมตะเกียง จุดไต้ หรือจุดไฟให้สว่างเพื่อใช้ในบ้าน คำว่า “เข้า” ในสำนวนนี้แสดงถึงการเริ่มต้นเข้าสู่ช่วงเวลาที่ต้องพึ่งพาแสงจากไต้หรือไฟ ทำให้สำนวนนี้ถูกใช้แทนช่วงเวลาพลบค่ำ หรือช่วงเวลาที่ต้องเตรียมพร้อมสำหรับกลางคืนที่กำลังมาถึง ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนเข้าพกเข้าห่อ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. เข้าพกเข้าห่อ เข้าพกเข้าห่อ หมายถึง สำนวน “เข้าพกเข้าห่อ” หมายถึง การรู้จักเก็บสิ่งของหรือผลประโยชน์ไว้เป็นส่วนของตัวเอง โดยมักสื่อถึงความรอบคอบในการเก็บออม ไม่ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย หรือการเก็บสิ่งที่ได้มาไว้เพื่อนำไปใช้ในอนาคต เปรียบเสมือนการเก็บสิ่งของเข้าพกหรือห่อไว้เพื่อความมั่นคงและความจำเป็นในยามขาดแคลน สำนวนนี้มักใช้ในเชิงเตือนให้คนรู้จักจัดการทรัพย์สินหรือสิ่งที่มีอย่างเหมาะสม ไม่ฟุ่มเฟือยจนทำให้ขาดแคลนในภายหลัง กล่าวคือ “การเอาไว้เป็นส่วนของตัว, รู้จักเก็บออมไว้บ้าง, รู้จักเก็บออมไม่ใช้สุรุ่ยสุร่าย” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากวิถีชีวิตของคนสมัยก่อนที่ใช้พก (ถุงเล็ก ๆ) และห่อ (ผ้าหรือวัสดุสำหรับห่อสิ่งของ) ในการเก็บทรัพย์สินหรือสิ่งของมีค่าไว้ติดตัว การนำสิ่งของเข้าพกเข้าห่อเปรียบเสมือนการเก็บรักษาทรัพย์สินไว้อย่างรอบคอบเพื่อใช้ในอนาคต สำนวนนี้จึงสะท้อนถึงการรู้จักเก็บออม หรือการเก็บสิ่งของไว้เป็นของตัวเอง ไม่สุรุ่ยสุร่ายหรือใช้โดยไม่คิด ซึ่งสะท้อนถึงความคิดเรื่องการจัดการทรัพยากรอย่างมีระเบียบของคนในอดีต ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนเข้ารกเข้าพง ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. เข้ารกเข้าพง เข้ารกเข้าพง หมายถึง สำนวน “เข้ารกเข้าพง” หมายถึง การพูดหรือการกระทำที่ผิดพลาดหรือหลุดจากประเด็น เนื่องจากขาดความรู้ความเข้าใจหรือความชำนาญในเรื่องนั้น หรือการพูดหรือการทำสิ่งใดที่ออกนอกประเด็นหลุดจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพราะไม่รู้จริง จนทำให้สถานการณ์ยุ่งยากหรือไม่เป็นระเบียบ เปรียบเสมือนการเดินเข้าไปในป่ารกที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและหาทางออกได้ยาก สะท้อนถึงความยุ่งเหยิงหรือการหลงทางในความคิดหรือการกระทำ กล่าวคือ “การพูดหรือทำไม่ถูกต้องกับเรื่อง เพราะขาดความชำนาญในเรื่องนั้น” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับการเดินทางในพื้นที่ป่าหรือทุ่งหญ้าที่รกชัฏ (รก) และเต็มไปด้วยพุ่มไม้หรือพงหนาม (พง) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เดินยากลำบากและอาจหลงทางได้ง่าย การเดินเข้าไปในที่เช่นนี้มักทำให้หลุดจากเส้นทางเดิมหรือเป้าหมายที่ตั้งไว้ สำนวนนี้จึงสะท้อนถึงการกระทำหรือการพูดที่ออกนอกประเด็นจนยุ่งเหยิง หรือสถานการณ์ที่ซับซ้อนจนยากจะหาทางแก้ไข ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา หมายถึง สำนวน “เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา” หมายถึง การที่บอกหรือสอนสิ่งใดกับคนหนึ่งแล้วไม่ได้ผล เพราะเขาไม่ได้ใส่ใจหรือสนใจสิ่งที่พูด หรือการฟังสิ่งใดแล้วไม่ได้จดจำหรือใส่ใจ ฟังแล้วปล่อยผ่านไปโดยไม่สนใจสิ่งที่ได้ยิน เปรียบเสมือนคำพูดที่ผ่านเข้าหูด้านหนึ่งและทะลุออกไปอีกด้านโดยไม่เกิดการจดจำหรือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใด ๆ สะท้อนถึงความพยายามที่สูญเปล่าในการสื่อสารหรือให้คำแนะนำแก่คนที่ไม่เปิดใจรับฟัง กล่าวคือ “บอกหรือสอนไม่ได้ผล” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบการฟังที่ไม่ได้ตั้งใจหรือไม่ใส่ใจกับคำพูดหรือสิ่งที่ได้ยิน เสมือนคำพูดที่ผ่านเข้าหูด้านหนึ่งแล้วทะลุออกไปอีกด้าน โดยไม่เข้าสมอง ผ่านไปเลย ไม่มีการหยุดอยู่หรือจดจำใด ๆ สำนวนนี้สะท้อนถึงพฤติกรรมของคนที่ไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ผู้อื่นพูดหรือแนะนำ เช่น การฟังแบบผ่าน ๆ โดยไม่มีผลต่อความคิดหรือการกระทำในภายหลัง ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่มีความหมายคล้ายกัน