รู้จักสำนวนข้านอกเจ้าบ่าวนอกนาย ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ข. ข้านอกเจ้าบ่าวนอกนาย

ข้านอกเจ้าบ่าวนอกนาย หมายถึง

สำนวน “ข้านอกเจ้าบ่าวนอกนาย” หมายถึง คนที่กระทำหรือประพฤตินอกเหนือจากคำสั่ง หรือไม่ปฏิบัติตามแบบอย่าง ขนบธรรมเนียม หรือธรรมเนียมปฏิบัติที่ถือปฏิบัติกันมา สะท้อนถึงการละเลยระเบียบที่ควรยึดถือในสังคม หรือการทำตัวไม่อยู่ในกรอบของกฎเกณฑ์ที่เหมาะสม กล่าวคือ “ผู้ที่กระทำหรือประพฤตินอกเหนือคำสั่งหรือแบบอย่างขนบธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติกันมา” นั่นเอง

ที่มาและความหมายข้านอกเจ้าบ่าวนอกนาย

ที่มาของสำนวนนี้

มาจากการเปรียบเทียบในระบบสังคมดั้งเดิมของไทยที่มีลำดับชั้นชัดเจน โดยเฉพาะในยุคที่ข้าทาส บ่าว และนาย มีความสัมพันธ์ตามลำดับอำนาจและหน้าที่ ข้าหรือบ่าวต้องปฏิบัติตามคำสั่งและกฎเกณฑ์ของนายผู้ปกครอง

คำว่า “ข้านอกเจ้า” และ “บ่าวนอกนาย” หมายถึง คนที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ที่ควรเคารพหรือดูแล หรือไม่อยู่ในกรอบของธรรมเนียมปฏิบัติที่สังคมยอมรับ เช่น ข้าทาสที่แยกตัวไปทำสิ่งอื่นนอกเหนือจากที่เจ้านายกำหนด หรือบ่าวที่ไม่ทำหน้าที่ตามความเหมาะสม

สำนวนนี้สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบของการกระทำที่ละเมิดขนบธรรมเนียมและกฎเกณฑ์ของสังคม ซึ่งอาจทำให้เกิดความวุ่นวายหรือความแตกแยกในระบบที่เคยมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • ในการจัดงานบุญของหมู่บ้าน มีสมาชิกบางคนไม่ทำตามมติของกลุ่ม แต่กลับทำตามใจตนเองจนเกิดความวุ่นวาย ผู้ใหญ่บ้านจึงตำหนิว่า “พวกนี้ทำตัวเหมือนข้านอกเจ้าบ่าวนอกนาย ไม่สนใจระเบียบของหมู่บ้าน” (แสดงถึงการไม่ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมที่ตกลงกันไว้)
  • พนักงานบางคนในบริษัทไม่ทำตามนโยบายที่หัวหน้ากำหนด เช่น มาสายหรือไม่ส่งงานตามกำหนดเวลา หัวหน้าจึงกล่าวว่า “ถ้าทำตัวเหมือนบ่าวนอกนายแบบนี้ คงอยู่ในองค์กรไปนานไม่ได้” (ตำหนิพฤติกรรมที่ไม่ปฏิบัติตามกฎขององค์กร)
  • เด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งไม่เชื่อฟังคำสั่งครู ออกนอกแถวและก่อความวุ่นวายในโรงเรียน ครูจึงกล่าวว่า “เด็กพวกนี้เหมือนข้านอกเจ้าบ่าวนอกนาย ไม่ยอมทำตามกฎระเบียบของโรงเรียน” (เตือนถึงผลเสียจากการไม่ปฏิบัติตามกฎ)
  • ในราชสำนักยุคโบราณ มีข้าราชการบางคนที่ละเมิดคำสั่งของเจ้านายและกระทำการโดยพลการ ทำให้เกิดปัญหาขัดแย้งในราชการ ผู้ใหญ่ในสำนักจึงกล่าวว่า “พฤติกรรมแบบนี้คือข้านอกเจ้าบ่าวนอกนาย สร้างแต่ความเสียหาย” (เตือนถึงการไม่เชื่อฟังและละเมิดระเบียบ)
  • ลูกจ้างในร้านอาหารบางคนไม่ทำงานตามที่นายจ้างมอบหมาย แต่กลับใช้เวลาไปทำเรื่องส่วนตัว เจ้าของร้านจึงบอกว่า “ทำตัวเหมือนบ่าวนอกนายแบบนี้ คงต้องหาคนที่มีวินัยมาทำงานแทน” (กล่าวถึงพฤติกรรมที่ไม่อยู่ในความรับผิดชอบ)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายกัน

  • ข้านอกเจ้าข้าวนอกหม้อ หมายถึง: จำนวนคนซึ่งมีจำนวนมาก ย่อมกระทำหรือประพฤตินอกออกไปจากคำสั่งหรือแบบอย่างขนบธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติกันมามากเช่นกัน

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก Longdo Dict

รู้จักสำนวนข้านอกเจ้าข้าวนอกหม้อ ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ข. ข้านอกเจ้าข้าวนอกหม้อ

ข้านอกเจ้าข้าวนอกหม้อ หมายถึง

สำนวน “ข้านอกเจ้าข้าวนอกหม้อ” หมายถึง จำนวนคนที่มีมาก ย่อมมีบางส่วนที่ประพฤตินอกเหนือจากคำสั่ง กฎเกณฑ์ หรือขนบธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติกันมา เปรียบได้กับคนที่ไม่อยู่ภายใต้การปกครองหรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบของกลุ่มหรือผู้มีอำนาจ กล่าวคือ “จำนวนคนซึ่งมีจำนวนมาก ย่อมกระทำหรือประพฤตินอกออกไปจากคำสั่งหรือแบบอย่างขนบธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติกันมามากเช่นกัน” นั่นเอง

ที่มาและความหมายข้านอกเจ้าข้าวนอกหม้อ

ที่มาของสำนวนนี้

มาจากพระราชหัตถเลขาในรัชกาลที่ 4 ซึ่งกล่าวถึงสภาพสังคมในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงด้านการปกครองและจำนวนคนในสังคมมากขึ้น พระองค์ทรงเปรียบเทียบว่า ในอดีตที่มีเจ้านายน้อยและจำนวนคนไม่มาก ทุกคนอยู่ในระเบียบ ไม่เกิดความรั่วร้ำหรือแตกแยก

แต่เมื่อจำนวนเจ้านายและคนในสังคมเพิ่มขึ้น กลับเกิดปัญหาความแตกแยกและการไม่ยอมอยู่ในอำนาจปกครองหรือกฎเกณฑ์ จึงเกิดคำว่า “ข้านอกเจ้า” และ “ข้าวนอกหม้อ” เพื่ออธิบายถึงผู้ที่แยกตัวออกไปจากระเบียบของผู้มีอำนาจหรือไม่ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมที่เคยถือปฏิบัติกันมา

“ข้านอกเจ้า” หมายถึง คนที่ไม่ยอมอยู่ภายใต้การปกครองหรืออำนาจของผู้ที่ควรเคารพ เปรียบเสมือนข้าทาสที่แยกตัวออกจากเจ้านาย หรือไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ที่ควรทำ สะท้อนถึงการขาดความจงรักภักดีหรือการปฏิบัติผิดไปจากระเบียบของสังคมที่ตนควรปฏิบัติ

“ข้าวนอกหม้อ” หมายถึง คนที่ไม่ได้อยู่ในความดูแลหรือความรับผิดชอบของผู้ดูแล เปรียบเหมือนข้าวที่ไม่อยู่ในหม้อ ซึ่งไม่สามารถควบคุมหรือดูแลได้ สื่อถึงคนที่แยกตัวออกไปหรือไม่ทำตามกรอบกติกาที่สังคมหรือกลุ่มกำหนดไว้

การเปรียบเปรยทั้งสองคำนี้สะท้อนถึงความแตกแยกและการไม่ปฏิบัติตามระบบหรือระเบียบแบบแผนที่วางไว้ เช่นเดียวกับข้าทาสที่หลบหนีจากการปกครองของเจ้านาย (ข้านอกเจ้า) หรือข้าวที่หลุดออกจากหม้อ (ข้าวนอกหม้อ) ที่ไม่สามารถใช้งานหรือนำกลับมาอยู่ในระบบได้อย่างสมบูรณ์

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • ในหมู่บ้านที่ทุกคนเคารพผู้นำ มีชาวบ้านบางคนปฏิเสธไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และแยกตัวไปทำสิ่งต่าง ๆ โดยไม่สนใจส่วนรวม ผู้ใหญ่บ้านจึงพูดว่า “พวกนี้เหมือนข้านอกเจ้าข้าวนอกหม้อ ไม่ยอมอยู่ในระเบียบเดียวกัน” (แสดงถึงการแยกตัวออกจากความร่วมมือในชุมชน)
  • ในที่ทำงาน กลุ่มพนักงานบางคนไม่ทำตามนโยบายบริษัทและมักแยกตัวไปทำงานในแบบที่ตนเองพอใจ หัวหน้าจึงตำหนิว่า “การทำตัวเหมือนข้านอกเจ้า ข้าวนอกหม้อแบบนี้ จะสร้างปัญหาให้ทีมในระยะยาว” (เตือนถึงผลกระทบจากการไม่ปฏิบัติตามระบบ)
  • ในราชสำนัก มีขุนนางบางคนไม่ยอมรับคำสั่งจากกษัตริย์และแอบทำเรื่องในทางตรงข้ามจนเกิดความวุ่นวาย คนในราชสำนักกล่าวว่า “นี่คือพฤติกรรมของข้านอกเจ้า ข้าวนอกหม้อ ที่ไม่จงรักภักดี” (แสดงถึงการไม่อยู่ในอำนาจปกครอง)
  • ครอบครัวใหญ่ที่มีพี่น้องหลายคน แต่มีบางคนไม่ยอมรับฟังคำแนะนำจากพ่อแม่และแยกตัวไปใช้ชีวิตโดยไม่สนใจความเห็นของครอบครัว ญาติคนหนึ่งจึงพูดว่า “การทำตัวเหมือนข้าวนอกหม้อแบบนี้ จะทำให้เสียชื่อเสียงครอบครัว” (กล่าวถึงการแยกตัวโดยไม่สนใจครอบครัว)
  • ในองค์กรชุมชนที่จัดกิจกรรมร่วมกัน สมาชิกบางคนไม่ยอมเข้าร่วมประชุมและไม่ปฏิบัติตามมติของกลุ่ม แต่ยังวิจารณ์การทำงานของคนอื่น คนในกลุ่มจึงบอกว่า “แบบนี้เรียกว่าข้านอกเจ้า ข้าวนอกหม้อ ไม่ช่วยแล้วยังขัดขวางอีก” (ตำหนิพฤติกรรมที่ไม่ร่วมมือและแยกตัวออกจากส่วนรวม)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายกัน

  • ข้านอกเจ้าบ่าวนอกนาย หมายถึง: ผู้ที่กระทำหรือประพฤตินอกเหนือคำสั่งหรือแบบอย่างขนบธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติกันมา

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ข. ขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก

ขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก หมายถึง

สำนวน “ขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก” หมายถึง การอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงหรือยากลำบาก ซึ่งไม่สามารถถอยหรือถอนตัวออกมาได้โดยง่าย ต้องดำเนินต่อไปให้สุด หยุดกลางคันไม่ได้ เปรียบเสมือนการขึ้นไปบนหลังเสือที่อันตราย เพราะหากลงมาโดยไม่ระวัง เสืออาจหันกลับมาทำร้ายได้ สำนวนนี้มักใช้กล่าวถึงการตัดสินใจที่นำไปสู่สถานการณ์ที่ไม่สามารถกลับไปแก้ไขหรือถอยหนีได้ ต้องอยู่ต่อและรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นจนถึงที่สุด

สำนวนนี้มักใช้กับคนที่ท้าทายหรือเกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจหรือสิ่งที่อันตราย เมื่อเริ่มต้นไปแล้วก็จะถอนตัวออกได้ยาก ต้องเผชิญกับผลที่ตามมา ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ง่าย ๆ

กล่าวคือ “การกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วพบอุปสรรค แต่ถูกสถานการณ์บีบบังคับให้ดำเนินต่อไปจนถึงที่สุด โดยไม่อาจหยุดกลางคันได้” นั่นเอง

ที่มาและความหมายขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก

ที่มาของสำนวนนี้

มาจากการเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่บุคคลขึ้นไปอยู่บนหลังเสือ ซึ่งเสือเป็นสัตว์ที่ดุร้ายและอันตราย หากอยู่บนหลังเสือก็ต้องระมัดระวังอย่างมาก เพราะหากพยายามลงมาโดยไม่รอบคอบ เสืออาจหันกลับมาทำร้ายได้ สำนวนนี้จึงสะท้อนถึงสถานการณ์ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เสี่ยงหรืออันตราย และเมื่อเข้าไปแล้ว การจะถอนตัวออกมาอย่างปลอดภัยเป็นเรื่องยาก จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับปัญหาหรือสถานการณ์นั้นต่อไปให้สุดอย่างระมัดระวัง

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • สมชายยอมรับตำแหน่งหัวหน้าทีมที่มีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพการทำงาน ตอนแรกคิดว่าแก้ไขได้ง่าย แต่เมื่อเข้ามาจริงกลับเจอปัญหามากมายที่ต้องจัดการจนไม่สามารถถอยออกมาได้ เหมือนขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก เพราะลาออกก็กลัวเสียชื่อเสียง ต้องพยายามแก้ไขปัญหาไปทีละเรื่อง (การยอมรับบทบาทที่เสี่ยงและไม่สามารถถอนตัวได้ง่าย)
  • นิดาตัดสินใจรับงานโปรเจกต์ใหญ่ที่เต็มไปด้วยความกดดัน แม้เธอจะเริ่มรู้สึกว่างานนี้เกินความสามารถ แต่เมื่อเริ่มแล้วก็ไม่สามารถปฏิเสธหรือละทิ้งงานได้ เพราะกลัวกระทบต่อชื่อเสียงและความไว้วางใจของลูกค้า สถานการณ์นี้ทำให้เธอเหมือนขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก ต้องฝืนสู้ต่อไปจนกว่าจะสำเร็จ (การรับผิดชอบงานที่มีความเสี่ยงและกดดัน)
  • เจ้านายของบริษัทใหญ่ตัดสินใจปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อพนักงานจำนวนมาก เมื่อเริ่มดำเนินการก็พบว่าเกิดปัญหาใหญ่ตามมา เช่น ความไม่พอใจของพนักงานและแรงต้านจากคู่แข่ง แต่เขาก็ไม่สามารถยกเลิกแผนได้ เพราะจะเสียความเชื่อมั่นจากผู้ถือหุ้น เหมือนขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก ต้องเดินหน้าต่อแม้จะลำบาก (การตัดสินใจที่ส่งผลกระทบและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้)
  • ทนายคดีอาญารายหนึ่งรับว่าความให้ลูกความที่มีชื่อเสียงในคดีสำคัญ แต่เมื่อเริ่มคดี เขาพบว่าหลักฐานและพยานมีความเสี่ยงสูงต่อการพ่ายแพ้ในศาล แต่เขาก็ไม่สามารถถอนตัวจากคดีได้ เพราะจะส่งผลต่อชื่อเสียงในวงการ เหมือนขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก ต้องใช้ความสามารถทั้งหมดเพื่อสู้ต่อไป (การรับหน้าที่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงและไม่สามารถถอยได้)
  • นายทุนรายหนึ่งให้เงินสนับสนุนธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง แต่หลังจากลงเงินไปแล้ว ธุรกิจกลับมีปัญหาหนี้สินเพิ่มขึ้น หากถอนตัวก็จะขาดทุนมหาศาล เขาจึงต้องเดินหน้าหาทางช่วยฟื้นฟูกิจการ แม้จะรู้ว่ามีความเสี่ยงสูงมาก เหมือนขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก ต้องสู้ต่อเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง (การลงทุนในสิ่งที่เสี่ยงและไม่สามารถถอนตัวได้)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจากวิกิพจนานุกรม

รู้จักสำนวนขึ้นต้นไม้ปะรังแตน ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ข. ขึ้นต้นไม้ปะรังแตน

ขึ้นต้นไม้ปะรังแตน หมายถึง

สำนวน “ขึ้นต้นไม้ปะรังแตน” หมายถึง การพยายามหนีจากภัยอันตรายหรือปัญหาอย่างหนึ่ง แต่กลับไปเจอกับปัญหาหรือภัยอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่อาจร้ายแรงยิ่งกว่า เปรียบเหมือนคนที่พยายามหลบหนีศัตรูหรืออันตรายด้วยการปีนขึ้นต้นไม้ แต่กลับไปเจอรังแตนที่พร้อมจะรุมต่อยจนได้รับความเดือดร้อนมากขึ้น สำนวนนี้สะท้อนถึงสถานการณ์ที่ยากลำบากที่ไม่ว่าทางเลือกใดก็เต็มไปด้วยอุปสรรคหรือผลเสียในท้ายที่สุด กล่าวคือ “การหนีจากปัญหาหรือภัยหนึ่งไปเจออีกปัญหาหนึ่ง” นั่นเอง

ที่มาและความหมายขึ้นต้นไม้ปะรังแตน

ที่มาของสำนวนนี้

มาจากการเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่บุคคลพยายามหลบหนีหรือหาทางแก้ไขปัญหาด้วยการปีนขึ้นต้นไม้ ซึ่งควรจะเป็นสถานที่ปลอดภัยจากภัยที่อยู่ด้านล่าง เช่น สัตว์นักล่าหรืออันตรายอื่น ๆ แต่แทนที่จะปลอดภัย กลับไปเจอรังแตนอยู่บนต้นไม้ ซึ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้น เพราะแตนเป็นสัตว์ที่ดุร้าย หากถูกรบกวนก็จะรุมต่อยจนได้รับบาดเจ็บ

สำนวนนี้จึงสะท้อนถึง การหนีจากปัญหาหรือภัยหนึ่งไปเจออีกปัญหาหนึ่งที่อาจเลวร้ายกว่าเดิม โดยแสดงถึงความพยายามแก้ไขปัญหาที่ไม่ได้ผลและอาจนำไปสู่ความเดือดร้อนเพิ่มเติม

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • สมชายพยายามหนีหนี้สินจากเจ้าหนี้รายหนึ่งด้วยการยืมเงินจากนายทุนรายใหม่ แต่ดอกเบี้ยของนายทุนรายนี้กลับสูงจนเขาไม่สามารถชำระได้ เหมือนขึ้นต้นไม้ปะรังแตน ยิ่งแก้ปัญหายิ่งเจอปัญหาใหญ่กว่าเดิม (การแก้ปัญหาที่ทำให้สถานการณ์แย่ลง)
  • นิดาตัดสินใจลาออกจากงานเพราะรู้สึกว่าหัวหน้ากดดันเกินไป แต่เมื่อย้ายไปทำงานที่ใหม่ เธอกลับเจอหัวหน้าที่เข้มงวดและตำหนิทุกเรื่อง เหมือนขึ้นต้นไม้ปะรังแตนจากปัญหาเดิมไปเจอปัญหาใหม่ที่หนักกว่า (การหลีกหนีปัญหาแต่กลับเจอสถานการณ์ที่แย่กว่า)
  • ระหว่างที่หนีจากฝูงหมาวิ่งไล่ สมปองปีนขึ้นต้นไม้เพื่อเอาชีวิตรอด แต่กลับไปเจอรังแตนใหญ่เข้า ทำให้เขาถูกแตนต่อยจนต้องกระโดดลงมาอย่างรวดเร็ว สถานการณ์นี้ช่างเหมือนขึ้นต้นไม้ปะรังแตนจริง ๆ (การพยายามเอาตัวรอดแต่กลับเจอภัยใหม่)
  • เจ้านายพยายามแก้ไขปัญหาการผลิตที่ล่าช้าด้วยการเพิ่มกำลังคนในโรงงาน แต่กลับเจอปัญหาความวุ่นวายในการจัดการพนักงานที่มากเกินไป สุดท้ายก็ไม่ได้ผล เหมือนขึ้นต้นไม้ปะรังแตน แก้ปัญหาเดิมแต่เจอปัญหาใหม่ (การแก้ปัญหาที่ทำให้เกิดปัญหาอื่นตามมา)
  • นักการเมืองคนหนึ่งลาออกจากพรรคเดิมเพราะไม่พอใจกับนโยบาย แต่เมื่อย้ายไปพรรคใหม่ กลับเจอการเมืองภายในที่ยุ่งยากและการแย่งชิงอำนาจระหว่างกลุ่มในพรรค เหมือนขึ้นต้นไม้ปะรังแตน หนีจากปัญหาเดิมไปเจอปัญหาที่ซับซ้อนกว่าเดิม (การเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายสำนวนนี้

  • หนีเสือปะจระเข้ หมายถึง: การที่หนีอันตรายหรือสิ่งเลวร้ายอย่างหนึ่ง แต่กลับเจออันตรายอีกอันหนึ่ง

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจากทรูปลูกปัญญา

รู้จักสำนวนไข่ในหิน ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ข. ไข่ในหิน

ไข่ในหิน หมายถึง

สำนวน “ไข่ในหิน” หมายถึง สิ่งที่ได้รับการดูแลหรือปกป้องอย่างดี ด้วยความระมัดระวังและเอาใจใส่เป็นพิเศษ เปรียบเสมือนการดูแลไข่ที่อยู่ในหินซึ่งเปราะบางและแตกง่าย ต้องได้รับการปกป้องไม่ให้เสียหาย สำนวนนี้มักใช้พูดถึงคนหรือสิ่งของที่ได้รับการดูแลแบบทะนุถนอมอย่างมาก กล่าวคือ “สิ่งที่ต้องระมัดระวัง ทะนุถนอมอย่างยิ่ง” นั่นเอง

ที่มาและความหมายไข่ในหิน

ที่มาของสำนวนนี้

มาจากการเปรียบเทียบกับไข่ซึ่งเป็นสิ่งที่เปราะบางและแตกง่าย และหินซึ่งเป็นของแข็งที่มักปกป้องไข่จากการกระทบกระแทก แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องอาศัยความระมัดระวังอย่างมากในการดูแลไม่ให้ไข่ภายในแตกเสียหาย

สำนวนนี้ยังปรากฏในวรรณคดีไทยเรื่อง ขุนช้างขุนแผน โดยในตอนหนึ่ง นางวันทองได้กล่าวตัดพ้อขุนแผนถึงการที่เธอพยายามรักษาความบริสุทธิ์และความดีของตนเองไว้

“เสียแรงน้องครองตัวไม่มัวหมอง ดังแว่นทองส่องสว่างพระเคหา ดุจไข่ฝังไว้ในศิลา อุตส่าห์ซ่อนเร้นทั้งเรือดไร”

ในอีกแง่หนึ่ง สำนวนนี้ยังถูกใช้ในเชิงประชดประชันเมื่อมีการทะนุถนอมสิ่งใดหรือใครบางคนจนเกินเหตุ เช่นเดียวกับการเปรียบเทียบไข่ที่อยู่ท่ามกลางหิน ซึ่งเป็นสิ่งเปราะบางในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ทำให้ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากเพื่อไม่ให้ไข่แตกหรือเสียหาย

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • คุณแม่ดูแลลูกชายเหมือนไข่ในหิน ไม่ยอมให้ไปไหนคนเดียวเลย แม้แต่ไปโรงเรียนก็ต้องไปส่งเองทุกวัน เพราะกลัวว่าจะเกิดอันตราย (การดูแลลูกด้วยความระมัดระวังจนเกินเหตุ)
  • สมชายเป็นลูกคนเดียวของบ้าน ทุกคนในครอบครัวดูแลเขาเหมือนไข่ในหิน ไม่ให้ทำงานหนักหรือออกไปทำกิจกรรมเสี่ยง ๆ เพราะกลัวว่าเขาจะบาดเจ็บหรือเดือดร้อน (การดูแลอย่างประคบประหงมจนเกินความจำเป็น)
  • ในที่ทำงาน เจ้านายมักปฏิบัติต่อพนักงานใหม่เหมือนไข่ในหิน ไม่กล้าสั่งงานหนักหรือมอบหมายงานที่ท้าทาย เพราะกลัวว่าจะทำให้พนักงานกดดันหรือไม่พอใจ (การปฏิบัติอย่างทะนุถนอมจนขาดความสมดุล)
  • นางสมรเลี้ยงแมวที่บ้านเหมือนไข่ในหิน เธอไม่ยอมให้แมวออกนอกบ้านเลย เพราะกลัวว่าจะเกิดอันตรายจากหมาในละแวกนั้น (การดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างระวังมากเกินไป)
  • เมื่อบริษัทได้รับโปรเจกต์สำคัญ เจ้านายสั่งให้ทุกคนดูแลเอกสารสำคัญในโครงการนี้เหมือนไข่ในหิน เพราะถ้าเอกสารเสียหายหรือสูญหายจะส่งผลต่อชื่อเสียงของบริษัทอย่างมาก (การระมัดระวังเป็นพิเศษในงานที่สำคัญ)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายสำนวนนี้

  • ใส่สาแหรกแขวนไว้ หมายถึง: การเลี้ยงดูอย่างดี เอาอกเอาใจเกินสมควร พะเน้าพะนอไม่ต้องให้ทำอะไร

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจากสำนักงานราชบัณฑิตยสภา

รู้จักสำนวนเข้าไต้เข้าไฟ ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ข. เข้าไต้เข้าไฟ

เข้าไต้เข้าไฟ หมายถึง

สำนวน “เข้าไต้เข้าไฟ” หมายถึง ช่วงเวลาพลบค่ำ หรือช่วงที่แสงสว่างเริ่มลดลงจนต้องใช้แสงจากไต้หรือไฟช่วยในการมองเห็น ใช้สื่อถึงเวลารอยต่อระหว่างกลางวันและกลางคืนที่ต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนความมืดจะเข้ามาโดยสมบูรณ์ กล่าวคือ “ช่วงเวลาพลบค่ำ เป็นช่วงเวลาหลังจากพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ท้องฟ้ายังไม่มืดสนิท แต่บรรยากาศเริ่มมืดสลัวลงจนมองอะไรไม่ค่อยเห็น จึงต้องอาศัยแสงไฟช่วย” นั่นเอง

ที่มาและความหมายเข้าไต้เข้าไฟ

ที่มาของสำนวนนี้

มาจากวิถีชีวิตของคนสมัยก่อนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ เมื่อถึงช่วงเวลาพลบค่ำหรือแสงสว่างเริ่มลดลง จำเป็นต้องอาศัยแสงจาก ไต้ (ไม้ที่ชุบน้ำมันสำหรับจุดไฟ) หรือแสงจาก ไฟ เพื่อช่วยให้มองเห็นและทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การทำงานในบ้านหรือการเดินทาง การเข้าไต้เข้าไฟจึงสะท้อนถึงช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านระหว่างกลางวันและกลางคืน ซึ่งต้องเตรียมความพร้อมในการใช้แสงไฟเพื่อดำเนินชีวิตต่อในความมืดของกลางคืน

คนแต่ก่อนใช้ฟืนก่อเป็นกองไฟ หรือมิฉะนั้นก็จุดไต้ ไต้ ทำด้วยไม้ผุคลุกกับน้ำมันยาง แล้วห่อด้วยใบไม้ เปลือกไม้ หรือใส่กระบอกเป็นดุ้นยาว ๆ ด้วยเหตุนี้จึงเรียกเวลาในตอนหัวค่ำที่คนเริ่มจุดไต้ก่อไฟว่า

การพูดว่า “เข้าไต้เข้าไฟ” จึงสะท้อนถึงการเตรียมตัวในช่วงเวลานี้เพื่อให้สามารถทำกิจกรรมหรือดำเนินชีวิตต่อได้ เช่น การเตรียมตะเกียง จุดไต้ หรือจุดไฟให้สว่างเพื่อใช้ในบ้าน

คำว่า “เข้า” ในสำนวนนี้แสดงถึงการเริ่มต้นเข้าสู่ช่วงเวลาที่ต้องพึ่งพาแสงจากไต้หรือไฟ ทำให้สำนวนนี้ถูกใช้แทนช่วงเวลาพลบค่ำ หรือช่วงเวลาที่ต้องเตรียมพร้อมสำหรับกลางคืนที่กำลังมาถึง

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • หลังจากที่ใช้เวลาทั้งวันทำงานในสวนผลไม้ สมชายบอกลูก ๆ ให้รีบช่วยกันเก็บเครื่องมือให้เสร็จก่อนเวลาเข้าไต้เข้าไฟ เพราะถ้ารอจนมืดจะมองไม่เห็นและอาจลืมเครื่องมือไว้ในสวน ซึ่งอาจเสียหายได้ พ่อยังย้ำอีกว่า ช่วงนี้งูชอบออกมาหากินตอนค่ำ ยิ่งต้องระวังให้มาก (สถานการณ์ที่เตือนให้รีบเก็บงานก่อนพลบค่ำเพื่อความปลอดภัย)
  • ในชนบทสมัยก่อน คุณตาเล่าให้หลานฟังว่า เมื่อถึงเวลาเข้าไต้เข้าไฟ ทุกบ้านจะเริ่มจุดตะเกียงน้ำมันหรือจุดไต้ไว้ที่ลานบ้าน เพราะเป็นช่วงที่คนในบ้านมักจะรวมตัวกัน ทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การนั่งล้อมวงกินข้าวเย็นหรือเล่านิทานให้เด็ก ๆ ฟัง บรรยากาศในช่วงนี้จึงอบอุ่นและเงียบสงบ (เล่าถึงวิถีชีวิตในอดีตที่สะท้อนถึงการใช้แสงไฟในช่วงพลบค่ำ)
  • ระหว่างเดินป่าศึกษาธรรมชาติในช่วงเย็น ครูวินัยบอกนักเรียนให้รีบเร่งฝีเท้า เพราะอีกไม่นานจะถึงเวลาเข้าไต้เข้าไฟ และในป่าจะมืดเร็วกว่าปกติ ถ้าไม่รีบออกจากป่าก่อนมืด อาจเกิดอันตรายจากการหลงทางหรือเจอกับสัตว์ป่า (สถานการณ์ในป่าที่ต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนพลบค่ำ)
  • คุณยายของน้อยมักจะบอกว่าเมื่อถึงเวลาเข้าไต้เข้าไฟ เป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเตรียมตัวพักผ่อน คุณยายจะเริ่มจุดตะเกียงเพื่อให้แสงสว่างพอประมาณในบ้าน และชวนหลาน ๆ มาอยู่ใกล้ ๆ เพราะในสมัยก่อนมักจะมีความเชื่อว่าช่วงเวลานี้ภูตผีอาจออกมาเดินเพ่นพ่าน (เล่าถึงความเชื่อพื้นบ้านเกี่ยวกับช่วงพลบค่ำ)
  • พี่ใหญ่ของบ้านกำลังจุดไต้เพื่อให้แสงสว่างในลานบ้าน เพราะคืนนี้มีการจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ กับญาติ ๆ พี่น้อง เมื่อเข้าไต้เข้าไฟแล้วแสงธรรมชาติเริ่มหมดไป พี่ใหญ่บอกว่าการจุดไต้ไม่เพียงช่วยให้มองเห็น แต่ยังสร้างบรรยากาศอบอุ่นให้กับงานในยามค่ำคืน (การใช้แสงไฟช่วยสร้างบรรยากาศในงานช่วงค่ำ)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจากสำนักงานราชบัณฑิตยสภา

รู้จักสำนวนเข้าพกเข้าห่อ ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ข. เข้าพกเข้าห่อ

เข้าพกเข้าห่อ หมายถึง

สำนวน “เข้าพกเข้าห่อ” หมายถึง การรู้จักเก็บสิ่งของหรือผลประโยชน์ไว้เป็นส่วนของตัวเอง โดยมักสื่อถึงความรอบคอบในการเก็บออม ไม่ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย หรือการเก็บสิ่งที่ได้มาไว้เพื่อนำไปใช้ในอนาคต เปรียบเสมือนการเก็บสิ่งของเข้าพกหรือห่อไว้เพื่อความมั่นคงและความจำเป็นในยามขาดแคลน สำนวนนี้มักใช้ในเชิงเตือนให้คนรู้จักจัดการทรัพย์สินหรือสิ่งที่มีอย่างเหมาะสม ไม่ฟุ่มเฟือยจนทำให้ขาดแคลนในภายหลัง กล่าวคือ “การเอาไว้เป็นส่วนของตัว, รู้จักเก็บออมไว้บ้าง, รู้จักเก็บออมไม่ใช้สุรุ่ยสุร่าย” นั่นเอง

ที่มาและความหมายเข้าพกเข้าห่อ

ที่มาของสำนวนนี้

มาจากวิถีชีวิตของคนสมัยก่อนที่ใช้ พก (ถุงเล็ก ๆ) และ ห่อ (ผ้าหรือวัสดุสำหรับห่อสิ่งของ) ในการเก็บทรัพย์สินหรือสิ่งของมีค่าไว้ติดตัว การนำสิ่งของเข้าพกเข้าห่อเปรียบเสมือนการเก็บรักษาทรัพย์สินไว้อย่างรอบคอบเพื่อใช้ในอนาคต สำนวนนี้จึงสะท้อนถึงการรู้จักเก็บออม หรือการเก็บสิ่งของไว้เป็นของตัวเอง ไม่สุรุ่ยสุร่ายหรือใช้โดยไม่คิด ซึ่งสะท้อนถึงความคิดเรื่องการจัดการทรัพยากรอย่างมีระเบียบของคนในอดีต

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • เมื่อได้รับโบนัสจากที่ทำงาน สมชายเลือกที่จะเข้าพกเข้าห่อโดยนำเงินไปฝากธนาคารแทนการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเหมือนปีที่ผ่านมา เพราะเขาเริ่มวางแผนเก็บเงินเพื่อซื้อบ้านในอนาคต (การรู้จักเก็บออมเงินเพื่อเป้าหมายที่สำคัญ)
  • แม่บอกนิดว่าอย่าซื้อของไม่จำเป็นทุกครั้งที่ได้เงินค่าขนม ควรรู้จักเข้าพกเข้าห่อบ้าง เผื่อวันไหนต้องการเงินจะได้ไม่เดือดร้อน (การสอนให้รู้จักเก็บเงินไว้ใช้ยามจำเป็น)
  • หลังจากขายผลผลิตในไร่ได้ พ่อเลือกที่จะเข้าพกเข้าห่อ โดยเก็บส่วนหนึ่งไว้เป็นเงินสำรองในครอบครัว และอีกส่วนหนึ่งใช้จ่ายเฉพาะสิ่งจำเป็น (การจัดการรายได้อย่างรอบคอบและไม่ใช้จ่ายเกินตัว)
  • ทุกครั้งที่ไปตลาด ยายมักบอกหลานว่าให้ซื้อเฉพาะของที่จำเป็น อย่าใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย แต่ควรเข้าพกเข้าห่อไว้เพื่อเก็บเป็นเงินออมสำหรับอนาคต (การเตือนให้ใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง)
  • น้อยทำงานพิเศษในช่วงสุดสัปดาห์และเลือกที่จะเข้าพกเข้าห่อรายได้ที่ได้มา โดยเก็บเงินไว้เรียนต่อ ไม่ใช้ไปกับสิ่งของฟุ่มเฟือยเหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ (การเก็บเงินไว้เพื่อการลงทุนในอนาคต)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายสำนวนนี้

  • เก็บหอมรอมริบ หมายถึง: การประหยัดและสะสมทีละเล็กน้อยเพื่อให้เกิดผลในอนาคต
  • เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน หมายถึง: การเก็บเล็กผสมน้อย หรือสะสมสิ่งละเล็กละน้อยไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็นสิ่งที่มีค่าหรือมากขึ้น
  • มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท หมายถึง: การรู้จักเก็บหอมรอมริบ ค่อยเก็บสะสมเงินที่ละเล็กทีละน้อย เผื่อไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนเข้ารกเข้าพง ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ข. เข้ารกเข้าพง

เข้ารกเข้าพง หมายถึง

สำนวน “เข้ารกเข้าพง” หมายถึง การพูดหรือการกระทำที่ผิดพลาดหรือหลุดจากประเด็น เนื่องจากขาดความรู้ความเข้าใจหรือความชำนาญในเรื่องนั้น หรือการพูดหรือการทำสิ่งใดที่ออกนอกประเด็นหลุดจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพราะไม่รู้จริง จนทำให้สถานการณ์ยุ่งยากหรือไม่เป็นระเบียบ เปรียบเสมือนการเดินเข้าไปในป่ารกที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและหาทางออกได้ยาก สะท้อนถึงความยุ่งเหยิงหรือการหลงทางในความคิดหรือการกระทำ กล่าวคือ “การพูดหรือทำไม่ถูกต้องกับเรื่อง เพราะขาดความชำนาญในเรื่องนั้น” นั่นเอง

ที่มาและความหมายเข้ารกเข้าพง

ที่มาของสำนวนนี้

มาจากการเปรียบเทียบกับการเดินทางในพื้นที่ป่าหรือทุ่งหญ้าที่รกชัฏ (รก) และเต็มไปด้วยพุ่มไม้หรือพงหนาม (พง) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เดินยากลำบากและอาจหลงทางได้ง่าย การเดินเข้าไปในที่เช่นนี้มักทำให้หลุดจากเส้นทางเดิมหรือเป้าหมายที่ตั้งไว้ สำนวนนี้จึงสะท้อนถึงการกระทำหรือการพูดที่ออกนอกประเด็นจนยุ่งเหยิง หรือสถานการณ์ที่ซับซ้อนจนยากจะหาทางแก้ไข

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • การประชุมเกี่ยวกับการเพิ่มยอดขายสินค้าเริ่มต้นได้ดี แต่เมื่อถึงช่วงอภิปราย สมชายกลับพูดถึงปัญหาส่วนตัวของทีมงานที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเป้าหมายหลักเลย ทำให้หัวหน้าต้องหยุดการประชุมชั่วคราวเพราะเข้ารกเข้าพงไปไกล ทุกคนเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์และต้องกลับมาทบทวนวาระประชุมใหม่ (การหลุดจากประเด็นหลักจนทำให้การประชุมล้มเหลว)
  • นิดพยายามอธิบายวิธีทำอาหารให้เพื่อนฟัง โดยเริ่มต้นด้วยขั้นตอนที่ถูกต้อง แต่หลังจากนั้นเธอกลับเล่าเรื่องราวที่ไม่เกี่ยวข้อง เช่น ประสบการณ์ที่ร้านอาหาร ซึ่งทำให้เพื่อนงงและไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย สุดท้ายสิ่งที่เธอตั้งใจสอนกลายเป็นการเข้ารกเข้าพงจนไม่มีใครเข้าใจ (การสื่อสารที่หลุดประเด็นจนคนฟังสับสน)
  • ระหว่างการสัมภาษณ์งานของแก้ว เธอตั้งใจจะเล่าถึงประสบการณ์การทำงานที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่สมัคร แต่เธอกลับพูดถึงเรื่องชีวิตครอบครัวและปัญหาส่วนตัวที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับงานเลย ทำให้ผู้สัมภาษณ์รู้สึกว่าเธอไม่สามารถนำเสนอจุดเด่นของตัวเองได้ชัดเจน และมองว่าเธอเข้ารกเข้าพงไปกับเรื่องที่ไม่จำเป็น (การพูดหลุดประเด็นที่ทำให้เสียโอกาสในการสร้างความประทับใจ)
  • ครูถามนักเรียนเกี่ยวกับแนวคิดของบทเรียนที่เพิ่งสอนจบ แต่แทนที่นักเรียนจะตอบคำถามตามที่ถูกถาม กลับพูดถึงเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับบทเรียน เช่น เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องเรียนเมื่อวาน ครูจึงต้องหยุดนักเรียนและบอกว่าอย่าพูดให้เข้ารกเข้าพง ให้กลับมาที่คำถามเดิมแทน (การตอบคำถามที่หลุดจากประเด็นจนเสียเวลา)
  • ระหว่างที่ทีมกำลังวางแผนโปรเจกต์ใหม่สำหรับลูกค้าใหญ่ ภูมิเริ่มพูดถึงโครงการเก่าที่ทำเสร็จไปแล้ว ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่กำลังวางแผนอยู่ หัวหน้าทีมจึงต้องตัดบทและขอให้ทุกคนกลับมาโฟกัสที่แผนปัจจุบัน เพราะการสนทนากำลังเข้ารกเข้าพงและไม่มีความคืบหน้า (การสนทนาที่หลุดเป้าหมายหลักจนเสียประสิทธิภาพของการทำงานร่วมกัน)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายสำนวนนี้

  • กัดหางตัวเอง หมายถึง: อาการของคนที่พูดจาวกไปวนมา พูดไม่รู้เรื่อง หาสาระไม่ได้ ไม่ได้ความ
  • งู ๆ ปลา ๆ หมายถึง: มีความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ รู้ไม่จริงในเรื่องนั้นๆ หรือมีความรู้ในเรื่องนั้น ๆ ไม่มากนัก หรือก็คือไม่รู้จริงนั้นเอง
  • ตาบอดสอดตาเห็น หมายถึง: อวดรู้ในเรื่องที่ตนไม่รู้ อวดรู้อวดเก่งในเรื่องที่ไม่รู้จริง ไม่ฉลาดจริง

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ข. เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา

เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา หมายถึง

สำนวน “เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา” หมายถึง การที่บอกหรือสอนสิ่งใดกับคนหนึ่งแล้วไม่ได้ผล เพราะเขาไม่ได้ใส่ใจหรือสนใจสิ่งที่พูด หรือการฟังสิ่งใดแล้วไม่ได้จดจำหรือใส่ใจ ฟังแล้วปล่อยผ่านไปโดยไม่สนใจสิ่งที่ได้ยิน เปรียบเสมือนคำพูดที่ผ่านเข้าหูด้านหนึ่งและทะลุออกไปอีกด้านโดยไม่เกิดการจดจำหรือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใด ๆ สะท้อนถึงความพยายามที่สูญเปล่าในการสื่อสารหรือให้คำแนะนำแก่คนที่ไม่เปิดใจรับฟัง กล่าวคือ “บอกหรือสอนไม่ได้ผล” นั่นเอง

ที่มาและความหมายเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา

ที่มาของสำนวนนี้

มาจากการเปรียบเทียบการฟังที่ไม่ได้ตั้งใจหรือไม่ใส่ใจกับคำพูดหรือสิ่งที่ได้ยิน เสมือนคำพูดที่ผ่านเข้าหูด้านหนึ่งแล้วทะลุออกไปอีกด้าน โดยไม่เข้าสมอง ผ่านไปเลย ไม่มีการหยุดอยู่หรือจดจำใด ๆ สำนวนนี้สะท้อนถึงพฤติกรรมของคนที่ไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ผู้อื่นพูดหรือแนะนำ เช่น การฟังแบบผ่าน ๆ โดยไม่มีผลต่อความคิดหรือการกระทำในภายหลัง

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • พ่อของนิดบอกให้เธอเก็บเงินไว้ใช้ยามจำเป็น เพราะรายได้ช่วงนี้ไม่แน่นอน แต่นิดกลับเอาเงินไปซื้อเสื้อผ้าใหม่โดยไม่ได้สนใจคำพูดของพ่อเลย ดูเหมือนคำเตือนของพ่อจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาสำหรับเธอ (การไม่ใส่ใจคำแนะนำเรื่องการใช้จ่ายที่เหมาะสมในสถานการณ์ที่ต้องประหยัด)
  • ครูสั่งให้นักเรียนเตรียมตัวสอบปลายภาคโดยให้เน้นอ่านเนื้อหาบางบทเป็นพิเศษ แต่ต้นและกลุ่มเพื่อนกลับไปเที่ยวเล่นกันทั้งวัน โดยไม่ได้สนใจคำแนะนำจากครู ผลคือวันสอบพวกเขาทำข้อสอบไม่ได้ เพราะทุกคำเตือนที่ได้รับเหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา (การละเลยคำสั่งของครูจนเกิดผลเสียตามมา)
  • หัวหน้าเตือนสมชายหลายครั้งให้ปรับปรุงการทำงานให้มีความละเอียดรอบคอบมากขึ้น เพราะงานที่ส่งมักมีข้อผิดพลาด แต่สมชายก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ยังคงทำงานแบบเดิม ทำให้หัวหน้ารู้สึกว่าคำพูดของเขาเหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปหมด (การไม่สนใจคำเตือนเรื่องการพัฒนาการทำงาน)
  • ระหว่างการประชุม ทีมงานได้แจ้งเตือนคุณเอกให้รีบดำเนินโครงการใหม่ให้ทันกำหนด แต่คุณเอกกลับไม่ใส่ใจและยังคงทำงานช้า ๆ ตามสไตล์ของเขาเอง เมื่อถึงกำหนดส่งโครงการไม่เสร็จ ทุกคนในทีมจึงรู้สึกว่าคำพูดที่บอกเขาไปเหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา (การไม่ใส่ใจต่อความรับผิดชอบร่วมกันในทีม)
  • น้ำหวานเล่าให้เพื่อนฟังว่าคุณหมอเตือนให้ลดอาหารหวานและเริ่มออกกำลังกาย เพราะสุขภาพเธอเริ่มมีปัญหา แต่เธอยังคงกินขนมทุกวันและไม่สนใจคำแนะนำเลย เพื่อน ๆ จึงบอกว่าที่หมอพูดไปคงเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาเหมือนทุกครั้ง (การละเลยคำแนะนำเกี่ยวกับสุขภาพจนมีผลกระทบต่อร่างกาย)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายสำนวนนี้

  • ก ข ไม่กระดิกหู หมายถึง: ผู้ที่เรียนหนังสือแล้วไม่รู้ ไม่เข้าใจ อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
  • ตักน้ำรดหัวตอ หมายถึง: แนะนำเท่าไร พร่ำสอนเท่าไร ก็ไม่ได้ผล นิยมใช้กับคนที่รับรู้อะไรยาก สอนยากสอนเย็น สอนเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักจำ อาจจะเพราะหัวไม่ดีหรือเพราะความดื้อรั้นไม่ยอมรับรู้
  • สีซอให้ควายฟัง หมายถึง: การสอนหรือแนะนำสิ่งต่างๆให้กับคนที่มีความรู้น้อย ปัญญาทึบ ไม่ว่าจะสอนกี่ครั้งก็ยังไม่เข้าใจหรือไม่ตั้งใจที่จะฟัง ไม่ยอมทำตาม หัวไม่เอาอะไรเลย ทำให้ผู้สอนนั้นเสียเวลาเปล่า

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนเข้าด้ายเข้าเข็ม ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ข. เข้าด้ายเข้าเข็ม

เข้าด้ายเข้าเข็ม หมายถึง

สำนวน “เข้าด้ายเข้าเข็ม” หมายถึง การอยู่ในช่วงเวลาหรือสถานการณ์ที่สำคัญและกำลังจะถึงจุดตัดสิน ซึ่งไม่ควรหยุดหรือขัดจังหวะ ช่วงเวลาสำคัญหรือคับขันที่มีผลต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวของสิ่งที่กำลังทำ เปรียบเสมือนการเย็บผ้าที่ด้ายกำลังจะร้อยเข้ากับเข็ม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญและต้องใช้ความระมัดระวัง หากถูกขัดจังหวะหรือหยุดกลางคัน อาจทำให้เกิดความล่าช้าหรือปัญหาตามมา สำนวนนี้มักใช้ในบริบทที่เน้นว่าต้องให้ความสำคัญกับช่วงเวลานั้นและไม่ควรขัดจังหวะ กล่าวคือ “การอยู่ในช่วงเวลาสำคัญหรือคับขัน” นั่นเอง

ที่มาและความหมายเข้าด้ายเข้าเข็ม

ที่มาของสำนวนนี้

มาจากการเย็บผ้าของคนสมัยก่อน โดยเฉพาะขั้นตอนที่ต้องร้อยด้ายผ่านรูเข็ม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้ความระมัดระวังและความตั้งใจสูง หากเกิดการขัดจังหวะในขณะนี้ อาจทำให้ด้ายหลุดหรือหรือไม่สามารถผ่านรูเข็มได้ ทำให้กระบวนการล่าช้า จึงต้องใช้ความจดจ่อแน่วแน่เพื่อให้สำเร็จ เปรียบเสมือนช่วงเวลาที่สำคัญหรือคับขันในชีวิตหรือสถานการณ์หนึ่ง ๆ ที่ต้องการสมาธิและความต่อเนื่อง เพื่อให้สิ่งที่กำลังทำสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

สำนวนนี้จึงถูกใช้เพื่อสะท้อนถึงช่วงเวลาหรือเหตุการณ์ที่สำคัญและต้องการการใส่ใจอย่างเต็มที่

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • การประชุมวันนี้กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม ผู้จัดการกำลังเจรจาส่วนสำคัญของข้อตกลงกับลูกค้า หากมีใครขัดจังหวะตอนนี้ อาจทำให้ข้อเสนอไม่สำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย (การเจรจาที่อยู่ในช่วงเวลาสำคัญซึ่งผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับการจัดการในขณะนั้น)
  • เขากำลังซ่อมมอเตอร์ไซค์ที่เสีย โดยเฉพาะส่วนที่ต้องปรับจูนเครื่องยนต์ให้พอดี ถือว่าเข้าด้ายเข้าเข็ม หากมีใครมาเรียกหรือดึงความสนใจตอนนี้ อาจทำให้ต้องเริ่มต้นแก้ไขใหม่ทั้งหมด (การแก้ปัญหาที่อยู่ในจุดสำคัญซึ่งต้องใช้สมาธิอย่างมาก)
  • ระหว่างที่เธอกำลังสอบสัมภาษณ์งาน คำถามที่ถูกถามเป็นเรื่องที่สำคัญและชี้ขาดว่าเธอจะได้รับงานหรือไม่ เธอจึงต้องตั้งใจตอบคำถามโดยไม่มีอะไรมาขัดจังหวะ เพราะมันคือช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มของการสัมภาษณ์ (สถานการณ์ที่ผลลัพธ์สำคัญขึ้นอยู่กับการตอบสนองในขณะนั้น)
  • นักเขียนกำลังแต่งบทสุดท้ายของนิยายที่ต้องใส่รายละเอียดและอารมณ์ความรู้สึกลงไปอย่างลึกซึ้ง ช่วงเวลานี้เข้าด้ายเข้าเข็ม หากมีใครมารบกวน อาจทำให้เขาสูญเสียจินตนาการที่กำลังหลั่งไหลออกมา (การทำงานสร้างสรรค์ที่ต้องใช้สมาธิในจุดที่สำคัญที่สุด)
  • ระหว่างที่ช่างกำลังติดตั้งสายไฟในบ้านใหม่ เขาต้องระมัดระวังอย่างมากเพราะเป็นขั้นตอนที่เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายและส่งผลต่อการใช้งานไฟฟ้าภายในบ้าน ช่วงนี้ถือว่าเข้าด้ายเข้าเข็มที่สุด หากเกิดการรบกวนจะทำให้เกิดความเสียหายและต้องทำใหม่ทั้งหมด (การทำงานที่ต้องการความละเอียดและไม่ควรมีสิ่งรบกวนในช่วงเวลาที่สำคัญ)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายสำนวนนี้

  • ตีเหล็กเมื่อแดง กินแกงเมื่อร้อน หมายถึง: คิดจะทำการใดต้องทำให้ถูกจังหวะ เหมาะสมแก่เวลาและโอกาสจะทำให้ได้ผลดี

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT