รู้จักสำนวนเขียนเสือให้วัวกลัว ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ข. เขียนเสือให้วัวกลัว

เขียนเสือให้วัวกลัว หมายถึง

สำนวน “เขียนเสือให้วัวกลัว” หมายถึง การข่มขู่หรือแสดงอำนาจเพื่อทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัว หรือยำเกรง โดยที่บางครั้งสิ่งนั้นอาจไม่ได้มีความน่ากลัวจริง ๆ แต่เป็นการแสดงออกเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ดูน่าเกรงขาม เปรียบเสมือนการวาดภาพเสือเพื่อข่มวัวให้กลัว แม้ว่าเสือนั้นจะเป็นเพียงภาพวาด ไม่ใช่เสือจริง กล่าวคือ “การทำอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียขวัญหรือเกรงขาม” นั่นเอง

ที่มาและความหมายเขียนเสือให้วัวกลัว

ที่มาของสำนวนนี้

มาจากการเปรียบเทียบในชีวิตเกษตรกรรมของคนสมัยก่อน โดยเสือถือเป็นสัตว์ที่มีความน่าเกรงขามและเป็นภัยต่อสัตว์อื่น ๆ เช่น วัวหรือควาย หากวัวเห็นเสือ แม้จะเป็นเพียงภาพวาดของเสือ ก็อาจทำให้เกิดความหวาดกลัวเพราะเชื่อว่าเป็นเสือจริง การวาดภาพเสือในที่นี้จึงเปรียบเสมือนการสร้างภาพลวงหรือการแสดงออกที่ดูน่าเกรงขาม เพื่อข่มขู่ให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือยำเกรง แม้ความจริงอาจไม่ได้มีสิ่งใดที่น่ากลัวอยู่เลย

สำนวนนี้จึงสะท้อนถึงพฤติกรรมของคนที่ใช้เล่ห์กลหรือสร้างภาพลักษณ์เพื่อให้ตนเองดูมีอำนาจหรือเหนือกว่าผู้อื่น

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • ผู้จัดการเขียนเสือให้วัวกลัวด้วยการพูดถึงบทลงโทษที่รุนแรงหากพนักงานไม่ทำงานตามเป้าหมาย ทั้งที่จริงเขาไม่ได้ตั้งใจจะลงโทษใครเลย (การสร้างความหวาดกลัวเพื่อควบคุมสถานการณ์)
  • คู่แข่งทางธุรกิจโพสต์รูปเครื่องจักรที่ทันสมัยลงโซเชียลมีเดีย เพื่อเขียนเสือให้วัวกลัว ทำให้คนอื่นคิดว่าเขามีความพร้อมมากกว่าที่เป็นจริง (การแสดงภาพลักษณ์ที่น่าเกรงขามเพื่อสร้างความหวาดกลัว)
  • ครูบอกนักเรียนว่าถ้าไม่ส่งการบ้านจะถูกหักคะแนนจนสอบไม่ผ่าน เขียนเสือให้วัวกลัวแบบนี้ทำให้นักเรียนทุกคนรีบทำการบ้านอย่างเร่งด่วน (การใช้คำข่มขู่เพื่อกระตุ้นให้คนทำตาม)
  • นักการเมืองกล่าวถึงกฎหมายที่เข้มงวดเพื่อเขียนเสือให้วัวกลัว หวังให้ประชาชนปฏิบัติตามนโยบายของเขาโดยไม่ตั้งคำถาม (การใช้คำพูดหรืออำนาจเพื่อสร้างความกลัวในผู้อื่น)
  • หัวหน้างานพูดถึงการปลดพนักงานจำนวนมากเพื่อเขียนเสือให้วัวกลัว ทั้งที่จริงบริษัทไม่ได้มีแผนจะปลดใครในเร็ว ๆ นี้ (การสร้างสถานการณ์ให้ดูน่ากลัวเพื่อควบคุมคนอื่น)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนเข็นครกขึ้นภูเขา ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ข. เข็นครกขึ้นภูเขา

เข็นครกขึ้นภูเขา หมายถึง

สำนวน “เข็นครกขึ้นภูเขา” หมายถึง การทำงานหรือพยายามทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ยากลำบากมาก เปรียบเสมือนการพยายามเข็นครกซึ่งมีน้ำหนักมากให้ขึ้นไปบนภูเขา อันเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้หรือสำเร็จได้ยาก สำนวนนี้มักใช้เพื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก แต่ผลสำเร็จอาจไม่คุ้มค่าหรือยากเกินกว่าจะทำได้สำเร็จ กล่าวคือ “การทำงานที่ยากลำบากอย่างยิ่งโดยต้องใช้ความเพียรพยายามและอดทนอย่างมาก หรือบางทีก็เกินกำลังความสามารถหรือสติปัญญาของตน” นั่นเอง

ที่มาและความหมายเข็นครกขึ้นภูเขา

ที่มาของสำนวนนี้

มาจากการเปรียบเทียบถึงความยากลำบากในการทำงานที่ดูแทบจะเป็นไปไม่ได้ โดย ครก ในที่นี้หมายถึงครกหินหรือครกไม้ที่มีน้ำหนักมาก และ ภูเขา หมายถึงความสูงชันและเป็นอุปสรรค การเข็นครกขึ้นภูเขาจึงเป็นภาพลักษณ์ของความพยายามที่เกินกำลัง หรือการทำสิ่งที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและความยากลำบาก จนดูเหมือนไม่สามารถสำเร็จได้

สำนวนนี้สะท้อนถึงความรู้สึกท้อแท้หรือการเผชิญกับภารกิจที่ยากเกินตัว ซึ่งมักใช้เพื่อเตือนหรือแสดงความเห็นต่อการกระทำที่อาจไม่มีความเป็นไปได้หรือไม่คุ้มค่ากับความพยายามที่ลงทุนลงแรงไป

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • เขาพยายามเปลี่ยนนิสัยของเพื่อนที่ติดการพนัน แต่ดูเหมือนจะเป็นการเข็นครกขึ้นภูเขา เพราะเพื่อนไม่ได้คิดจะปรับปรุงตัวเองเลย (การพยายามทำสิ่งที่ยากและไม่น่าจะสำเร็จ)
  • การพยายามผลักดันนโยบายที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย ก็เหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา เพราะไม่มีใครสนับสนุนหรือให้ความร่วมมือ (การทำสิ่งที่ยากและเต็มไปด้วยอุปสรรค)
  • เธอพยายามเรียนวิชาที่เธอไม่มีพื้นฐานเลย ก็เหมือนการเข็นครกขึ้นภูเขา เพราะต้องใช้เวลามากและความพยายามสูงมากกว่าจะเข้าใจ (การทำสิ่งที่ยากเกินความสามารถ)
  • การจะทำให้ทีมที่มีความคิดเห็นแตกต่างกันมาก ๆ มาทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น ก็ไม่ต่างจากเข็นครกขึ้นภูเขา เพราะไม่มีใครยอมปรับตัว (การแก้ปัญหาที่ยากมากและซับซ้อน)
  • นายจ้างพยายามลดค่าใช้จ่ายของบริษัทโดยไม่กระทบพนักงานเลย แต่การจะทำเช่นนั้นได้ก็เหมือนการเข็นครกขึ้นภูเขา เพราะเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน (การพยายามทำสิ่งที่แทบจะสำเร็จไม่ได้)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายสำนวนนี้

  • งมเข็มในมหาสมุทร หมายถึง: การค้นหาอะไรบางอย่าง มีบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งยากแก่การค้นหา และแทบจะไม่มีโอกาสที่จะหาเจอเลย
  • พายเรือทวนน้ำ หมายถึง: การทำอะไรด้วยความยากลำบาก หรือการกระทำสิ่งใดด้วยความยากลำบาก ยากที่จะสำเร็จได้

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ข. ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า

ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า หมายถึง

สำนวน “ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า” หมายถึง การบังคับหรือฝืนใจผู้อื่นให้ทำในสิ่งที่เขาไม่เต็มใจหรือไม่ต้องการทำ โดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกหรือความสมัครใจของเขา เปรียบเสมือนการบังคับโคให้กินหญ้าทั้งที่มันอาจไม่อยากกินหญ้าในตอนนั้น กล่าวคือ “การบังคับขืนใจผู้อื่นให้ทำตามที่ตนต้องการ” นั่นเอง

ที่มาและความหมายข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า

ที่มาของสำนวน

มาจากการเปรียบเทียบกับการบังคับวัวหรือโคให้กินหญ้าในสถานการณ์ที่มันไม่ต้องการ ซึ่งในวิถีชีวิตเกษตรกรรมของคนสมัยก่อน โคถือเป็นสัตว์สำคัญที่ใช้ในการทำไร่ไถนา หากโคไม่กินหญ้าหรืออาหาร อาจส่งผลต่อสุขภาพและแรงงานในภายหลัง บางครั้งชาวบ้านอาจใช้วิธีการบังคับหรือขืนใจโคให้กินอาหาร เพื่อให้มันแข็งแรงพร้อมใช้งาน แม้ว่าจะไม่เป็นไปตามธรรมชาติของมัน

การเปรียบเทียบนี้สะท้อนถึงพฤติกรรมของคนที่พยายามบังคับหรือกดดันผู้อื่นให้ทำตามที่ตัวเองต้องการ โดยไม่คำนึงถึงความสมัครใจหรือความเหมาะสมของอีกฝ่าย

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • ผู้จัดการบังคับให้พนักงานทำงานล่วงเวลาโดยไม่สนใจว่าพนักงานจะมีธุระส่วนตัวหรือไม่ ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้าเช่นนี้ ทำให้พนักงานรู้สึกไม่พอใจและขาดแรงจูงใจในการทำงาน (การบังคับให้ผู้อื่นทำสิ่งที่ไม่เต็มใจ)
  • พ่อแม่พยายามให้ลูกเรียนสาขาที่ตนเองต้องการ แม้ว่าลูกจะไม่มีความสนใจในด้านนั้นเลย ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า ทำให้ลูกไม่มีความสุขในการเรียนและอาจส่งผลเสียต่ออนาคตของเขา (การฝืนใจผู้อื่นให้ทำตามความต้องการของตน)
  • การที่รัฐบาลออกกฎหมายบังคับให้ประชาชนปฏิบัติโดยไม่รับฟังความคิดเห็น ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้าเช่นนี้ อาจนำไปสู่ความไม่พอใจและการประท้วงในสังคม (การบังคับโดยไม่คำนึงถึงความสมัครใจของผู้อื่น)
  • เขาพยายามให้เพื่อนเข้าร่วมกิจกรรมที่เพื่อนไม่ชอบ ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนเริ่มมีปัญหาและอาจเกิดความขัดแย้ง (การบังคับเพื่อนให้ทำสิ่งที่ไม่ต้องการ)
  • นายจ้างบังคับให้ลูกน้องเซ็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า ทำให้ลูกน้องรู้สึกถูกเอาเปรียบและอาจหาทางลาออกหรือฟ้องร้อง (การใช้ความได้เปรียบบังคับผู้อื่น)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนขุดบ่อล่อปลา ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ข. ขุดบ่อล่อปลา

ขุดบ่อล่อปลา หมายถึง

สำนวน “ขุดบ่อล่อปลา” หมายถึง การใช้กลอุบายเพื่อให้ฝ่ายหนึ่งหลงเชื่อโดยหวังผลประโยชน์จากอีกฝ่ายหนึ่ง เปรียบเสมือนการขุดบ่อเพื่อดักปลาที่จะว่ายเข้ามาในบ่อ โดยเจ้าของบ่อใช้กลอุบายให้ปลาหลงทางหรือหลงเชื่อเข้าไปในบ่อเพื่อจับปลาได้ง่าย กล่าวคือ “การทำกลอุบายเพื่อให้ฝ่ายหนึ่งหลงเชื่อโดยหวังประโยชน์จากอีกฝ่ายหนึ่ง” นั่นเอง

ที่มาและความหมายขุดบ่อล่อปลา

ที่มาของสำนวนนี้

มาจากการทำประมงโดยการขุดบ่อเพื่อจับปลา ซึ่งเป็นวิธีที่คนโบราณใช้ในการดักจับปลาในบ่อที่ขุดไว้ โดยการวางเบ็ดหรือข่ายเพื่อดึงดูดปลาหรือหลอกให้ปลาว่ายเข้าไปในบ่อที่เตรียมไว้แล้ว เมื่อปลาหลงเข้าไปก็จะตกเป็นเหยื่อหรือถูกจับได้ง่าย ๆ

การขุดบ่อในที่นี้จึงเปรียบเสมือนการใช้กลอุบายหรือแผนการเพื่อดึงดูดปลาให้หลงเชื่อหรือเข้ามาในสถานการณ์ที่เราเตรียมไว้นั่นเอง

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • เขาขุดบ่อล่อปลาโดยการเสนอข้อเสนอที่ดูดีเกินจริงกับลูกค้า เพื่อล่อให้ลูกค้าลงทุนในโครงการของเขา แม้ว่าในที่สุดจะเป็นเขาที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุด (ใช้กลอุบายเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามตกหลุมพราง)
  • นายหน้าขุดบ่อล่อปลาโดยการให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ เพื่อดึงดูดผู้ซื้อที่ไม่รู้เรื่องมากมายเข้าไปซื้อในราคาสูง (การใช้ข้อมูลหลอกล่อให้ฝ่ายอื่นหลงเชื่อ)
  • การที่เขาสัญญาจะช่วยเหลือพนักงานในเรื่องการเลื่อนตำแหน่ง ถือเป็นการขุดบ่อล่อปลาเพื่อให้พนักงานทำงานหนักขึ้นโดยหวังผลประโยชน์จากการขยายงานในอนาคต (การใช้คำมั่นสัญญาหวังผลประโยชน์ในภายหลัง)
  • ผู้จัดการขุดบ่อล่อปลาโดยการเสนอโปรโมชันสุดพิเศษในช่วงเวลาจำกัด เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าโดยไม่ทันได้คิด (การเสนอสิ่งที่ดึงดูดเพื่อให้เกิดการตัดสินใจที่เร็ว)
  • นักการเมืองขุดบ่อล่อปลาโดยการให้คำมั่นสัญญาที่ดูดีในระหว่างการหาเสียง โดยหวังจะดึงคะแนนเสียงจากประชาชนมาใช้ประโยชน์ในอนาคต (การใช้คำสัญญาหวังผลประโยชน์จากการเชื่อมั่นในระยะยาว)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายสำนวนนี้

  • แปดเหลี่ยมสิบสองคม หมายถึง: คนที่มีกลอุบาย มีเล่ห์เลี่ยม ไหวพริบรอบตัวมาก
  • สิบแปดมงกุฎ หมายถึง: ผู้ที่มีเล่ห์เหลี่ยม ปลิ้นปล้อน หลอกลวง กล่าวคือ มิจฉาชีพหรือผู้ที่ทำมาหากินไม่สุจริตโดยใช้เล่ห์เหลี่ยมกลอุบายหลอกลวงให้ผู้อื่นหลงเชื่อ

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนขายผ้าเอาหน้ารอด ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ข. ขายผ้าเอาหน้ารอด

ขายผ้าเอาหน้ารอด หมายถึง

สำนวน “ขายผ้าเอาหน้ารอด” หมายถึง การยอมสละหรือทิ้งสิ่งที่สำคัญหรือจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของตนเอง เพียงเพื่อรักษาหน้าหรือชื่อเสียงของตัวเองไว้ เช่น อาจจะยอมขายทรัพย์สินหรือสละสิ่งของที่มีค่า เพื่อให้ดูเหมือนว่าอยู่ในสถานะที่ดีในสายตาคนอื่น แม้จะมีผลกระทบในระยะยาวกับชีวิตหรือความเป็นอยู่ของตัวเอง

หรือความหมายอีกนัยหนึ่งคือ การแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าให้รอดพ้นไปได้ โดยอาจต้องเสียสละหรือนำสิ่งของที่มีอยู่ออกมาใช้ เช่น การยืมเงินเพื่อนมาจ่ายหนี้ จำเป็นต้องขายผ้าเอาหน้ารอดไว้ก่อน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาในทันที

กล่าวคือ “การยอมเสียสละแม้แต่ของจำเป็นที่ตนมีอยู่ เพื่อรักษาชื่อเสียงของตนไว้, ทำให้สำเร็จลุล่วงไป เพื่อรักษาชื่อเสียงของตนไว้” นั่นเอง

สำนวนนี้สะท้อนถึงความสำคัญของการรักษาหน้าตาหรือสถานภาพในสังคม ซึ่งบางครั้งอาจทำให้คนยอมเสียสละสิ่งที่จำเป็นจริง ๆ เพื่อภาพลักษณ์ที่ดูดี

ที่มาและความหมายขายผ้าเอาหน้ารอด

ที่มาของสำนวนนี้

มาจากการเปรียบเทียบถึงการขายผ้าที่มีความสำคัญ โดยเฉพาะผ้าที่ทอขึ้นมาเพื่อใส่ในวันสำคัญ เช่น วันแต่งงาน ซึ่งเป็นผ้าที่มีค่าทางจิตใจและมีคุณค่าสำหรับเจ้าของ การขายผ้าดังกล่าวจึงไม่ใช่เรื่องธรรมดา แต่เป็นการสละสิ่งที่รักและหวงแหน เพื่อรักษาหน้าหรือสถานภาพของตนเองในสังคม การทำเช่นนี้หมายถึงการยอมทิ้งสิ่งที่มีค่าหรือสิ่งที่ตัวเองภาคภูมิใจ เพื่อให้รอดพ้นจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก หรือเพื่อรักษาภาพลักษณ์ในสายตาผู้อื่น นั่นคือ การทำสิ่งที่จำเป็นแม้จะต้องสูญเสียบางอย่างไป แต่เพื่อให้สามารถก้าวผ่านปัญหาหรือวิกฤตไปได้ในที่สุด

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • เมื่อธุรกิจของเขาเจอปัญหาหนัก เขาต้องขายผ้าเอาหน้ารอดโดยการขายที่ดินที่มีไว้เพื่อการเกษียณอายุ แม้จะเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก แต่เขาก็ต้องทำเพื่อให้บริษัทสามารถจ่ายหนี้และดำเนินกิจการต่อไปได้ในช่วงเวลานั้น (การยอมสละทรัพย์สินที่มีค่าเพื่อต่อชีวิตธุรกิจในระยะสั้น)
  • หลังจากที่เธอประสบปัญหาการเงินหนักจนไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้แม่ เธอตัดสินใจขายผ้าเอาหน้ารอดโดยการขายเครื่องประดับที่เคยได้รับมรดกจากปู่ย่า เพื่อเอาเงินมาจ่ายค่ารักษาในทันที แม้จะรู้สึกเสียดาย แต่ต้องทำเพื่อความจำเป็น (การยอมสละสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจเพื่อรักษาสถานการณ์เฉพาะหน้า)
  • เขาไม่ต้องการขายบ้านที่ซื้อมาใหม่ เพราะมันเป็นที่ที่เขาฝันอยากจะใช้ชีวิต แต่เมื่อเขาเจอวิกฤตการเงิน เขาต้องขายผ้าเอาหน้ารอดโดยการขายบ้านนั้น เพื่อจ่ายหนี้และรักษาความเป็นอยู่ของครอบครัวไปก่อน (การสละสิ่งที่มีคุณค่าเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะสั้น)
  • ในการประมูลสินค้าครั้งใหญ่ เขาต้องขายผ้าเอาหน้ารอดโดยการยืมเงินจากเพื่อนเพื่อเข้าร่วมการประมูล แม้ว่าจะเสี่ยงมากแต่เขาก็ต้องทำเพื่อไม่ให้เสียโอกาสในการขยายธุรกิจ (การใช้วิธีการชั่วคราวเพื่อรักษาสถานะทางธุรกิจในระยะยาว)
  • หลังจากที่เธอได้รับข้อเสนองานใหม่ที่ดีกว่า แม้จะรู้สึกไม่สะดวก แต่เธอก็ขายผ้าเอาหน้ารอดโดยการตัดสินใจลาออกจากงานเก่าและยอมสละโบนัสประจำปีที่เพิ่งจะได้รับ เพื่อเริ่มต้นในที่ใหม่ที่มีโอกาสดีกว่า (การยอมละทิ้งสิ่งที่แน่นอนเพื่อไปสู่สิ่งที่อาจจะดีกว่าในอนาคต)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจากสำนักงานราชบัณฑิตยสภา

รู้จักสำนวนขมิ้นกับปูน ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ข. ขมิ้นกับปูน

ขมิ้นกับปูน หมายถึง

สำนวน “ขมิ้นกับปูน” หมายถึง คนหรือสิ่งที่ไม่ถูกกัน หรือไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ มักทะเลาะวิวาทกัน เพราะมักจะมีความแตกต่างหรือขัดแย้งกันอย่างรุนแรง จนไม่สามารถทนหรือเข้ากันได้ในระยะยาว และมักทำให้เกิดปัญหาหรือวิวาทกันอยู่เสมอ กล่าวคือ “คนที่ไม่ถูกกันชอบวิวาทกันอยู่เสมอเมื่ออยู่ใกล้กัน” นั่นเอง

สำนวนนี้ถูกใช้เพื่อบรรยายถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ดี เช่น คู่รักที่ทะเลาะกันบ่อย ๆ หรือเพื่อนร่วมงานที่ไม่สามารถทำงานด้วยกันได้

ที่มาและความหมายขมิ้นกับปูน

ที่มาของสำนวนนี้

มาจากหมาก ที่ผลมีรสฝาด ใช้เคี้ยวกินกับปูน พลู ซึ่งรวมเรียกว่า กินหมาก โดยในสมัยก่อนคนไทยนิยมกินหมาก วิธีการกินหมากนั้นคือใช้ปูนแดงบ้ายบนใบพลู ม้วนจีบเป็นรูปยาว ๆ แล้วเคี้ยวกับหมาก อาจเคี้ยวยาจืดหรือยาฉุนและเครื่องหอมอื่น ๆ เช่น กานพลู พิมเสน ร่วมไปด้วย เมื่อเคี้ยวแล้วจะมีน้ำลายออกมาปนกับหมากพลูเป็นน้ำหมากสีแดงซึ่งผู้กินหมากจะบ้วนทิ้ง ปูนแดงนี้ทำจากหินปูนหรือเปลือกหอยเผาให้ไหม้เป็นผง มีสีขาว เมื่อนำปูนขาวนี้มาผสมกับน้ำขมิ้นซึ่งมีสีเหลือง จะเกิดปฏิกิริยาทำให้ปูนเปลี่ยนสีเป็นสีแดงทันที ขมิ้นกับปูนที่มีปฏิกิริยากันเช่นนี้ คนโบราณถือว่าเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกัน จึงนำมาเปรียบกับคนที่ไม่ถูกกัน มักวิวาทกัน ว่า เหมือนขมิ้นกับปูน

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • เขาทั้งสองเหมือนขมิ้นกับปูน ไม่ว่าคิดเรื่องอะไรหรือจะทำอะไรก็ขัดแย้งกันตลอดเวลา เช่น เวลาเค้าจะตัดสินใจในเรื่องสำคัญ เค้าจะไม่สามารถหาข้อสรุปที่ตรงกันได้เลย บางครั้งถึงขนาดที่คุยกันไปก็ไม่รู้จะตกลงกันได้ยังไง เพราะความคิดเห็นของทั้งสองต่างกันมาก แค่การเลือกอาหารมื้อเย็นยังทะเลาะกันได้เลย (การเปรียบเทียบถึงคนที่ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้เลย เพราะมีทัศนคติที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง)
  • ถึงแม้ทั้งสองจะเคยเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่ช่วงหลังมานี้เริ่มเหมือนขมิ้นกับปูน บางทีแค่พูดคุยกันเรื่องส่วนตัวก็กลายเป็นการโต้เถียงเรื่องใหญ่ไปแล้ว ขนาดจะออกไปทานข้าวด้วยกันยังทำไม่ได้เลย เพราะต่างฝ่ายต่างมีความคิดที่ขัดแย้งกันมากขึ้นเรื่อย ๆ (การใช้สำนวนเพื่อบอกถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ลงตัวระหว่างเพื่อนที่เคยสนิทกัน แต่เริ่มมีการทะเลาะหรือขัดแย้งกันในทุกเรื่อง)
  • คู่รักของเขาทั้งสองเหมือนขมิ้นกับปูน แม้ว่าจะรักกันมาก แต่ก็มีเหตุผลที่แตกต่างกันในเรื่องสำคัญ ๆ เช่น การเงิน การเลี้ยงลูก หรือแม้กระทั่งเรื่องการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็กลายเป็นชนวนเหตุให้ทะเลาะกันใหญ่โต และบางครั้งก็ไม่มีใครยอมใคร ทำให้ความสัมพันธ์เริ่มมีปัญหา (การเปรียบเทียบถึงคู่รักที่มีความขัดแย้งในเรื่องต่าง ๆ จนทำให้เกิดการทะเลาะกันเป็นประจำ)
  • สองบริษัทที่เคยร่วมมือกันในโครงการใหญ่ กลับเหมือนขมิ้นกับปูน พอเริ่มทำงานร่วมกันจริง ๆ ปัญหาก็ตามมา ทั้งเรื่องวิธีการทำงานที่ไม่ตรงกัน การแบ่งงานที่ไม่ชัดเจน หรือแม้แต่การสื่อสารที่ไม่ดี จนทำให้โครงการไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น (การใช้สำนวนเพื่อบอกถึงความไม่ลงรอยกันระหว่างสองฝ่ายที่เคยร่วมมือ แต่สุดท้ายเกิดปัญหาขึ้นเนื่องจากความคิดที่ไม่ตรงกัน)
  • บรรยากาศในทีมงานตอนนี้เหมือนขมิ้นกับปูน เพราะทุกครั้งที่เราจะประชุมกัน มักจะมีคนหนึ่งที่มีความคิดเห็นขัดแย้งกับคนอื่น ๆ เสมอ พอเริ่มพูดถึงไอเดียหรือแนวทางการทำงานใหม่ ๆ ก็จะเกิดการโต้แย้งและทำให้ทีมไม่สามารถตัดสินใจได้ทันที จนบางครั้งทีมงานต้องหยุดชะงักเพราะความขัดแย้งนี้ (การใช้สำนวนเปรียบเทียบถึงทีมที่ทำงานร่วมกันได้ยากเพราะมีความเห็นที่ขัดแย้งกันบ่อยครั้ง)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายสำนวนนี้

  • ไม้เบื่อไม้เมา หมายถึง: คนสองคนที่ไม่ถูกกัน ไม่ลงรอยกัน มีเรื่องขัดแย้งกันตลอด ทะเลาะกันเป็นประจำ

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจากสำนักงานราชบัณฑิตยสภา

รู้จักสำนวนขนหน้าแข้งไม่ร่วง ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ข. ขนหน้าแข้งไม่ร่วง

ขนหน้าแข้งไม่ร่วง หมายถึง

สำนวน “ขนหน้าแข้งไม่ร่วง” หมายถึง การทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วไม่กระทบกระเทือนหรือไม่เสียหายถึงตัวเองหรือไม่กระทบต่อทรัพย์สินหรือฐานะ เพราะมีกำลังมากพอ ใช้กับคนที่ไม่รู้สึกเดือดร้อนแม้จะต้องเสียอะไรบางอย่างไป หรือบางครั้งอาจหมายถึงการทำสิ่งที่อาจจะดูเหมือนยากหรือเสียหาย แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของตัวเอง กล่าวคือ “คนที่ไม่กระทบกระเทือนถึงเดือดร้อน ใช้กับที่คนมั่งมีที่ต้องจ่ายเงินแม้จะมากแต่ก็ดูเหมือนเป็นจำนวนเล็ก ๆ น้อย ๆ” นั่นเอง

โดยทั่วไปจะใช้เมื่อพูดถึงคนที่มีฐานะดี หรือมีสถานะที่แข็งแรง โดยแม้จะต้องจ่ายหรือสูญเสียอะไรไป ก็ยังไม่ทำให้เขารู้สึกเดือดร้อนหรือเสียหายอะไร

ที่มาและความหมายขนหน้าแข้งไม่ร่วง

ที่มาของสำนวนนี้

มีที่มาจากการเปรียบเทียบถึงลักษณะของขนหน้าแข้ง ซึ่งเป็นส่วนที่มีความสำคัญในลักษณะทางกายภาพของร่างกาย โดยขนหน้าแข้งมักจะไม่ตกหรือร่วงง่ายเหมือนกับส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เพราะมันเป็นส่วนที่แข็งแรงและไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น การที่ขนหน้าแข้งไม่ร่วง จึงเปรียบเทียบกับการทำสิ่งที่ไม่ทำให้เกิดความเสียหายหรือไม่กระทบถึงความมั่นคงในชีวิตของผู้ทำ

ในทางสำนวน จึงหมายถึงการที่ทำอะไรแล้วไม่มีผลกระทบหรือไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ ซึ่งมักใช้พูดถึงคนที่มีฐานะหรือสถานะที่มั่นคง แม้จะต้องจ่ายหรือสูญเสียอะไรบางอย่างไป ก็ไม่รู้สึกเดือดร้อนมากนัก

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • แม้จะเสียเงินเป็นจำนวนมากไปในการลงทุนใหม่ แต่บริษัทใหญ่ก็ขนหน้าแข้งไม่ร่วง เพราะยังมีกำไรเหลือเฟือจากธุรกิจหลัก (หมายถึง บริษัทที่มีฐานะการเงินดี ไม่ได้รับผลกระทบแม้จะลงทุนไปมาก)
  • ถึงแม้ว่าจะจ่ายเงินค่าปรับไปหลายหมื่น แต่คุณหนูขนหน้าแข้งไม่ร่วง เพราะครอบครัวของเขามีทรัพย์สินมากมาย (หมายถึง คนที่มีฐานะทางการเงินดี แม้จะจ่ายเงินเป็นจำนวนมากก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร)
  • เขาซื้อบ้านหลังใหม่ในทำเลดี แม้ราคาจะสูงเกินกว่าที่คิดไว้ แต่ขนหน้าแข้งไม่ร่วง เพราะมีรายได้เข้ามาทุกเดือน (หมายถึง คนที่มีรายได้มั่นคง จะทำการใช้จ่ายอะไรก็ไม่กระทบหรือเดือดร้อน)
  • แม้จะต้องจ่ายเงินเพื่อชดเชยความเสียหายจำนวนมาก แต่บริษัทก็ขนหน้าแข้งไม่ร่วง เพราะมีกำไรจากการขายสินค้าในตลาดต่างประเทศ (หมายถึง บริษัทที่มีเงินสำรองหรือผลกำไรเหลือเพียงพอที่จะทดแทนได้)
  • พ่อของเขาเพิ่งซื้อรถคันใหม่มูลค่าหลายล้านบาท แต่ขนหน้าแข้งไม่ร่วงเลย เพราะพ่อเขาคือเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ (หมายถึง คนที่มีความมั่งคั่ง สามารถใช้จ่ายสิ่งที่ต้องการโดยไม่รู้สึกกระทบกับฐานะการเงิน)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนขีดเส้นตาย ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ข. ขีดเส้นตาย

ขีดเส้นตาย หมายถึง

สำนวน “ขีดเส้นตาย” หมายถึง การกำหนดเวลาให้เสร็จสิ้นภารกิจหรือการกระทำบางอย่างวันสุดท้ายอย่างชัดเจน หากไม่สามารถทำได้ทันภายในเวลาที่กำหนด อาจมีผลเสียหรือบทลงโทษตามมา สื่อถึงการตั้งกำหนดเส้นตายเพื่อสร้างความเร่งรีบหรือบังคับให้เกิดความสำเร็จตามเป้าหมาย กล่าวคือ “การกำหนดวันหรือเวลาสุดท้ายให้” นั่นเอง

ที่มาและความหมายขีดเส้นตาย

ที่มาของสำนวน

มาจากคำภาษาอังกฤษ “Deadline” ซึ่งแปลตรงตัวว่า “เส้นตาย” มีที่มาจากระบบการควบคุมในเรือนจำยุคเก่า โดยในเรือนจำจะมีการขีดเส้นรอบพื้นที่ เพื่อกำหนดเขตที่นักโทษสามารถเคลื่อนไหวได้ หากนักโทษคนใดก้าวออกนอกเส้นนี้ ผู้คุมมีสิทธิ์ยิงจนเสียชีวิตได้โดยทันที เส้นนี้จึงเปรียบเหมือนเส้นแห่งความเป็นและความตาย

ต่อมา “เส้นตาย” ถูกนำมาใช้ในบริบทการทำงานและการบริหารเวลา หมายถึง กำหนดเวลาสุดท้าย ที่งานจะต้องเสร็จสิ้น หากไม่สามารถทำตามได้ทัน ก็อาจเกิดผลกระทบที่ร้ายแรง เช่น โครงการล้มเหลว หรือผู้ที่รับผิดชอบต้องเผชิญกับบทลงโทษ เปรียบเหมือนการก้าวข้ามเส้นที่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์

การนำคำว่า “ขีดเส้นตาย” มาใช้ในภาษาไทย จึงสะท้อนถึงความจริงจังและความเคร่งครัดในเรื่องของการกำหนดเวลา เพื่อให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงความสำคัญของการทำงานให้เสร็จตามกำหนดที่วางไว้

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • ผู้จัดการกล่าวว่า “แผนการตลาดสำหรับสินค้าใหม่ต้องเสร็จภายในวันศุกร์นี้ ผมขีดเส้นตายให้ทุกคนส่งเอกสารและรายงานภายในเวลา 5 โมงเย็น หากใครส่งล่าช้าจะไม่อนุมัติให้เข้ากระบวนการผลิต” ทีมงานทุกคนจึงต้องเร่งมือทำงานอย่างหนัก เพื่อให้ทันกำหนดที่วางไว้ (หมายถึงการกำหนดเวลาให้ชัดเจน เพื่อให้คนในทีมรู้ถึงความสำคัญและเร่งรัดให้งานเสร็จตรงเวลา)
  • ครูประกาศว่า “ครูขีดเส้นตายให้นักเรียนทุกคนส่งโครงงานภายในสิ้นสัปดาห์นี้ หากใครส่งไม่ทันจะถูกตัดคะแนน 20% ของคะแนนรวม” นักเรียนบางคนที่ยังทำงานไม่เสร็จรีบกลับบ้านไปทำงานให้เสร็จในคืนนั้น (หมายถึงการกำหนดเวลาและผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นหากไม่ปฏิบัติตาม)
  • หัวหน้าฝ่ายผลิตแจ้งว่า “ผมขีดเส้นตายให้ทีมงานทุกฝ่ายเร่งผลิตสินค้าล็อตนี้ให้เสร็จภายใน 3 วัน เพราะลูกค้าต้องการสินค้าโดยด่วน หากไม่ทันกำหนด บริษัทจะต้องเสียค่าปรับจำนวนมาก” ทำให้ทุกคนในสายการผลิตทำงานอย่างเต็มที่แม้ต้องเพิ่มชั่วโมงการทำงาน (หมายถึงการกำหนดเวลากับแรงกดดันที่มีผลกระทบตามมา)
  • แม่พูดกับลูกว่า “แม่ขีดเส้นตายให้ลูกเก็บห้องให้เรียบร้อยก่อนพรุ่งนี้เช้า ถ้ายังรกอยู่ แม่จะทิ้งของเล่นที่ไม่เก็บให้หมด” ลูกรีบจัดห้องและเก็บของอย่างเป็นระเบียบเพราะกลัวจะถูกแม่ทำตามคำขู่ (หมายถึงการตั้งเงื่อนไขและเวลากับผลที่ตามมาเพื่อให้เกิดการปฏิบัติ)
  • ผู้ควบคุมงานแจ้งว่า “บริษัทขีดเส้นตายให้ส่งมอบโครงการนี้ภายในสิ้นเดือน หากงานล่าช้า บริษัทจะถูกปรับวันละ 100,000 บาท” ทำให้ทีมช่างต้องทำงานตลอดทั้งวันทั้งคืนเพื่อเร่งให้โครงการเสร็จตามกำหนด (หมายถึงการกำหนดเส้นตายที่ชัดเจนเพื่อป้องกันการล่าช้าพร้อมผลกระทบที่ตามมา)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนขว้างงูไม่พ้นคอ ที่มาและความมหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ข. ขว้างงูไม่พ้นคอ

ขว้างงูไม่พ้นคอ หมายถึง

สำนวน “ขว้างงูไม่พ้นคอ” หมายถึง การกระทำบางอย่างที่ตั้งใจจะผลักภาระ ปัญหา หรือผลเสียออกไปจากตัวเอง แต่กลับไม่สำเร็จ ผลร้ายที่หวังจะหลีกเลี่ยงนั้นย้อนกลับมาส่งผลกระทบต่อผู้กระทำเองในที่สุด กล่าวคือ “การทำอะไรแล้วผลร้ายกลับมาสู่ตัวเอง” นั่นเอง

ที่มาและความหมายขว้างงูไม่พ้นคอ

ที่มาของสำนวนนี้

มีที่มาจากการเปรียบเปรยพฤติกรรมของคนที่พยายามหลีกเลี่ยงปัญหาหรือผลเสีย แต่กลับไม่สามารถทำได้สำเร็จ โดยใช้ภาพของงูซึ่งเป็นสัตว์อันตราย หากมีงูอยู่ใกล้ตัว คนย่อมพยายามขว้างหรือผลักงูออกไปให้ไกลจากตัวเอง แต่หากการขว้างนั้นไม่แรงพอหรือไม่ถูกวิธี งูอาจจึงยังใช้หางรัดผู้ขว้างไว้อยู่ดี และงูอาจตกกลับมาที่ตัวหรือพันอยู่ที่คอของผู้ขว้าง

การเปรียบเทียบนี้สะท้อนให้เห็นถึงการกระทำที่พยายามผลักปัญหาออกไป แต่กลับส่งผลย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง สำนวนนี้จึงมักถูกใช้ในบริบทที่ผู้กระทำไม่สามารถแก้ปัญหาหรือหลีกเลี่ยงผลร้ายได้อย่างเด็ดขาด และยังได้รับผลกระทบจากสิ่งนั้นในที่สุด

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • นายจ้างพยายามเลี่ยงจ่ายค่าชดเชยให้พนักงานที่ลาออกโดยอ้างข้อกฎหมาย แต่พนักงานฟ้องร้องกลับและชนะคดี ทำให้นายจ้างต้องจ่ายเงินมากกว่าเดิม นี่คือตัวอย่างของการขว้างงูไม่พ้นคอ (หมายถึงการพยายามหลีกเลี่ยงปัญหาแต่กลับสร้างปัญหาใหญ่กว่า)
  • นักเรียนที่ลอกการบ้านเพื่อนแล้วครูจับได้ ทั้งสองคนถูกเรียกไปตำหนิและตัดคะแนนรวม ทำให้ผลการเรียนของเขาแย่ลง เหมือนกับขว้างงูไม่พ้นคอ (หมายถึงการหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบแต่กลับทำให้ตัวเองเดือดร้อน)
  • บริษัทที่พยายามเลี่ยงจ่ายภาษีโดยปิดบังรายได้ แต่ถูกกรมสรรพากรตรวจสอบย้อนหลังและเรียกเก็บค่าปรับจำนวนมาก กลายเป็นขว้างงูไม่พ้นคอ (หมายถึงการพยายามเลี่ยงปัญหาแต่กลับทำให้สถานการณ์แย่ลง)
  • คนขับรถที่หนีการตรวจแอลกอฮอล์ของตำรวจ แต่ดันไปชนรถคันอื่นระหว่างหนี ถูกดำเนินคดีทั้งสองกรณี นี่แหละคือขว้างงูไม่พ้นคอ (หมายถึงการพยายามหนีความผิดแต่กลับสร้างปัญหาใหญ่กว่า)
  • ผู้บริหารพยายามโยนความผิดเรื่องงบประมาณผิดพลาดให้ทีมงาน แต่หลักฐานกลับชี้ว่าตัวเองเป็นคนอนุมัติสุดท้าย ทำให้ถูกตำหนิหนักกว่าเดิม เป็นตัวอย่างของการขว้างงูไม่พ้นคอ (หมายถึงการโยนความผิดให้คนอื่นแต่กลับถูกจับได้และเดือดร้อนเอง)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายสำนวนนี้

  • หนีเสือปะจระเข้ หมายถึง: พยายามหลีกเลี่ยงปัญหาหรืออันตรายหนึ่ง แต่กลับเจอปัญหาหรืออันตรายที่ใหญ่กว่า
  • วัวพันหลัก หมายถึง: อาการที่วกหรือย้อนกลับไปหาจุดเริ่มต้น
  • ชักใบให้เรือเสีย หมายถึง: การกระทำบางอย่างที่ทำให้ปัญหาหรือสถานการณ์แย่ลงไปอีก
  • เวรสนองเวร กรรมสนองกรรม หมายถึง: ใช้กับคนที่ทำสิ่งไม่ดี แล้วผลลัพธ์ของการกระทำนั้นย้อนกลับมาทำให้เขาเดือดร้อน

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนข้าเก่าเต่าเลี้ยง ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ข. ข้าเก่าเต่าเลี้ยง

ข้าเก่าเต่าเลี้ยง หมายถึง

สำนวน “ข้าเก่าเต่าเลี้ยง” หมายถึง ผู้ที่อยู่รับใช้หรือทำงานให้กับเจ้านายหรือผู้บังคับบัญชามาเป็นเวลานาน จนมีความใกล้ชิดและผูกพันเหมือนคนในครอบครัว หรือคนที่เคยอยู่ด้วยกันมาอย่างยาวนานและซื่อสัตย์ต่อกัน เปรียบเปรยถึงข้ารับใช้หรือผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีความภักดีต่อเจ้านาย เนื่องจากเคยได้รับการดูแลเลี้ยงดูหรืออยู่ร่วมกันมาตั้งแต่ต้น กล่าวคือ “คนที่อยู่ด้วยกันมานานในฐานะรับใช้จนไว้วางใจได้” นั่นเอง

ที่มาและความหมายข้าเก่าเต่าเลี้ยง

ที่มาของสำนวน

มีที่มาจากวิถีชีวิตในสมัยโบราณของไทยที่บ้านเจ้านายหรือผู้มีอันจะกินมักมี ข้ารับใช้ ซึ่งรับใช้และอยู่ร่วมบ้านมานานจนเกิดความผูกพันเหมือนคนในครอบครัว

คำว่า “ข้าเก่า” หมายถึง ผู้ที่รับใช้เจ้านายมานาน ส่วนคำว่า “เต่าเลี้ยง” เปรียบกับเต่าซึ่งเป็นสัตว์อายุยืนและเลี้ยงดูมาอย่างยาวนาน สะท้อนถึงความซื่อสัตย์และความใกล้ชิดระหว่างเจ้านายกับข้ารับใช้ เมื่อสองคำนี้รวมกันเป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยง ทำให้คล้องจองกันอย่างไม่มีที่ติ

สำนวนนี้จึงใช้เปรียบเปรยถึงผู้ที่อยู่รับใช้หรือทำงานให้กับเจ้านายมานาน มีความภักดีและความผูกพันคล้ายกับคนในครอบครัว หรืออาจหมายถึงคนที่มีความคุ้นเคยและร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานาน

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • คุณปู่เล่าให้ลูกหลานฟังว่า นายเหมือนเป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยงของบ้านนี้ เพราะเขารับใช้ครอบครัวเรามาตั้งแต่สมัยปู่ยังเป็นเด็ก (หมายถึงคนรับใช้ที่อยู่รับใช้เจ้านายมานานจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว)
  • พี่เลี้ยงของคุณหญิงทำงานบ้านนี้มานานกว่า 30 ปี จนทุกคนในบ้านเรียกเธอว่าข้าเก่าเต่าเลี้ยง เพราะความซื่อสัตย์และความใกล้ชิดกับครอบครัว (หมายถึงคนที่รับใช้และผูกพันกับเจ้านายมายาวนาน)
  • ในการแต่งตั้งหัวหน้าคนงานใหม่ นายจ้างเลือกนายสมเพราะเขาเป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยงที่อยู่กับบริษัทนี้มานาน มีความซื่อสัตย์และรู้ทุกเรื่องของบริษัท (หมายถึงพนักงานที่ทำงานมายาวนานจนได้รับความไว้วางใจ)
  • เมื่อเจ้านายเก่าของเขาป่วยหนัก นายดำที่เป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยงก็กลับมาช่วยดูแลด้วยความกตัญญูและความผูกพันที่มีต่อกัน (หมายถึงความใกล้ชิดระหว่างเจ้านายกับลูกน้องที่รับใช้กันมานาน)
  • ในหมู่บ้านนี้ คุณลุงที่ทำงานรับใช้ผู้ใหญ่บ้านมา 40 ปี ถูกเรียกว่าเป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยง เพราะเขาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับครอบครัวผู้ใหญ่บ้านมาตั้งแต่สมัยหนุ่ม (หมายถึงความภักดีและความยาวนานของความสัมพันธ์)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT