Tag: สำนวนไทย ข.
-
รู้จักสำนวนเข็นครกขึ้นภูเขา ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. เข็นครกขึ้นภูเขา เข็นครกขึ้นภูเขา หมายถึง สำนวน “เข็นครกขึ้นภูเขา” หมายถึง การทำงานหรือพยายามทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ยากลำบากมาก เปรียบเสมือนการพยายามเข็นครกซึ่งมีน้ำหนักมากให้ขึ้นไปบนภูเขา อันเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้หรือสำเร็จได้ยาก สำนวนนี้มักใช้เพื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก แต่ผลสำเร็จอาจไม่คุ้มค่าหรือยากเกินกว่าจะทำได้สำเร็จ กล่าวคือ “การทำงานที่ยากลำบากอย่างยิ่งโดยต้องใช้ความเพียรพยายามและอดทนอย่างมาก หรือบางทีก็เกินกำลังความสามารถหรือสติปัญญาของตน” นั่นเอง สำนวนนี้ยังมีพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า “กลิ้งครกขึ้นภูเขา” ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบถึงความยากลำบากในการทำงานที่ดูแทบจะเป็นไปไม่ได้ โดยครก ในที่นี้หมายถึงครกหินหรือครกไม้ที่มีน้ำหนักมาก และภูเขา หมายถึงความสูงชันและเป็นอุปสรรค การเข็นครกขึ้นภูเขาจึงเป็นภาพลักษณ์ของความพยายามที่เกินกำลัง หรือการทำสิ่งที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและความยากลำบาก จนดูเหมือนไม่สามารถสำเร็จได้ สำนวนนี้สะท้อนถึงความรู้สึกท้อแท้หรือการเผชิญกับภารกิจที่ยากเกินตัว ซึ่งมักใช้เพื่อเตือนหรือแสดงความเห็นต่อการกระทำที่อาจไม่มีความเป็นไปได้หรือไม่คุ้มค่ากับความพยายามที่ลงทุนลงแรงไป ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า หมายถึง สำนวน “ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า” หมายถึง การบังคับหรือฝืนใจผู้อื่นให้ทำในสิ่งที่เขาไม่เต็มใจหรือไม่ต้องการทำ โดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกหรือความสมัครใจของเขา เปรียบเสมือนการบังคับโคให้กินหญ้าทั้งที่มันอาจไม่อยากกินหญ้าในตอนนั้น กล่าวคือ “การบังคับขืนใจผู้อื่นให้ทำตามที่ตนต้องการ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับการบังคับวัวหรือโคให้กินหญ้าในสถานการณ์ที่มันไม่ต้องการ ซึ่งในวิถีชีวิตเกษตรกรรมของคนสมัยก่อน โคถือเป็นสัตว์สำคัญที่ใช้ในการทำไร่ไถนา หากโคไม่กินหญ้าหรืออาหาร อาจส่งผลต่อสุขภาพและแรงงานในภายหลัง บางครั้งชาวบ้านอาจใช้วิธีการบังคับหรือขืนใจโคให้กินอาหาร เพื่อให้มันแข็งแรงพร้อมใช้งาน แม้ว่าจะไม่เป็นไปตามธรรมชาติของมัน การเปรียบเทียบนี้สะท้อนถึงพฤติกรรมของคนที่พยายามบังคับหรือกดดันผู้อื่นให้ทำตามที่ตัวเองต้องการ โดยไม่คำนึงถึงความสมัครใจหรือความเหมาะสมของอีกฝ่าย ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนขุดบ่อล่อปลา ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ขุดบ่อล่อปลา ขุดบ่อล่อปลา หมายถึง สำนวน “ขุดบ่อล่อปลา” หมายถึง การใช้กลอุบายเพื่อให้ฝ่ายหนึ่งหลงเชื่อโดยหวังผลประโยชน์จากอีกฝ่ายหนึ่ง เปรียบเสมือนการขุดบ่อเพื่อดักปลาที่จะว่ายเข้ามาในบ่อ โดยเจ้าของบ่อใช้กลอุบายให้ปลาหลงทางหรือหลงเชื่อเข้าไปในบ่อเพื่อจับปลาได้ง่าย กล่าวคือ “การทำกลอุบายเพื่อให้ฝ่ายหนึ่งหลงเชื่อโดยหวังประโยชน์จากอีกฝ่ายหนึ่ง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการทำประมงโดยการขุดบ่อเพื่อจับปลา ซึ่งเป็นวิธีที่คนโบราณใช้ในการดักจับปลาในบ่อที่ขุดไว้ โดยการวางเบ็ดหรือข่ายเพื่อดึงดูดปลาหรือหลอกให้ปลาว่ายเข้าไปในบ่อที่เตรียมไว้แล้ว เมื่อปลาหลงเข้าไปก็จะตกเป็นเหยื่อหรือถูกจับได้ง่าย ๆ การขุดบ่อในที่นี้จึงเปรียบเสมือนการใช้กลอุบายหรือแผนการเพื่อดึงดูดปลาให้หลงเชื่อหรือเข้ามาในสถานการณ์ที่เราเตรียมไว้นั่นเอง ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนขายผ้าเอาหน้ารอด ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ขายผ้าเอาหน้ารอด ขายผ้าเอาหน้ารอด หมายถึง สำนวน “ขายผ้าเอาหน้ารอด” หมายถึง การยอมสละหรือทิ้งสิ่งที่สำคัญหรือจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของตนเอง เพียงเพื่อรักษาหน้าหรือชื่อเสียงของตัวเองไว้ เช่น อาจจะยอมขายทรัพย์สินหรือสละสิ่งของที่มีค่า เพื่อให้ดูเหมือนว่าอยู่ในสถานะที่ดีในสายตาคนอื่น แม้จะมีผลกระทบในระยะยาวกับชีวิตหรือความเป็นอยู่ของตัวเอง หรือความหมายอีกนัยหนึ่งคือ การแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าให้รอดพ้นไปได้ โดยอาจต้องเสียสละหรือนำสิ่งของที่มีอยู่ออกมาใช้ เช่น การยืมเงินเพื่อนมาจ่ายหนี้ จำเป็นต้องขายผ้าเอาหน้ารอดไว้ก่อน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาในทันที กล่าวคือ “การยอมเสียสละแม้แต่ของจำเป็นที่ตนมีอยู่ เพื่อรักษาชื่อเสียงของตนไว้, ทำให้สำเร็จลุล่วงไป เพื่อรักษาชื่อเสียงของตนไว้” นั่นเอง สำนวนนี้สะท้อนถึงความสำคัญของการรักษาหน้าตาหรือสถานภาพในสังคม ซึ่งบางครั้งอาจทำให้คนยอมเสียสละสิ่งที่จำเป็นจริง ๆ เพื่อภาพลักษณ์ที่ดูดี ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบถึงการขายผ้าที่มีความสำคัญ โดยเฉพาะผ้าที่ทอขึ้นมาเพื่อใส่ในวันสำคัญ เช่น วันแต่งงาน ซึ่งเป็นผ้าที่มีค่าทางจิตใจและมีคุณค่าสำหรับเจ้าของ การขายผ้าดังกล่าวจึงไม่ใช่เรื่องธรรมดา แต่เป็นการสละสิ่งที่รักและหวงแหน เพื่อรักษาหน้าหรือสถานภาพของตนเองในสังคม การทำเช่นนี้หมายถึงการยอมทิ้งสิ่งที่มีค่าหรือสิ่งที่ตัวเองภาคภูมิใจ เพื่อให้รอดพ้นจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก หรือเพื่อรักษาภาพลักษณ์ในสายตาผู้อื่น นั่นคือ การทำสิ่งที่จำเป็นแม้จะต้องสูญเสียบางอย่างไป แต่เพื่อให้สามารถก้าวผ่านปัญหาหรือวิกฤตไปได้ในที่สุด ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนขมิ้นกับปูน ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ขมิ้นกับปูน ขมิ้นกับปูน หมายถึง สำนวน “ขมิ้นกับปูน” หมายถึง คนหรือสิ่งที่ไม่ถูกกัน หรือไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ มักทะเลาะวิวาทกัน เพราะมักจะมีความแตกต่างหรือขัดแย้งกันอย่างรุนแรง จนไม่สามารถทนหรือเข้ากันได้ในระยะยาว และมักทำให้เกิดปัญหาหรือวิวาทกันอยู่เสมอ กล่าวคือ “คนที่ไม่ถูกกันชอบวิวาทกันอยู่เสมอเมื่ออยู่ใกล้กัน” นั่นเอง สำนวนนี้ถูกใช้เพื่อบรรยายถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ดี เช่น คู่รักที่ทะเลาะกันบ่อย ๆ หรือเพื่อนร่วมงานที่ไม่สามารถทำงานด้วยกันได้ ที่มาของสำนวน มาจากหมาก ที่ผลมีรสฝาด ใช้เคี้ยวกินกับปูน พลู ซึ่งรวมเรียกว่า กินหมาก โดยในสมัยก่อนคนไทยนิยมกินหมาก วิธีการกินหมากนั้นคือใช้ปูนแดงบ้ายบนใบพลู ม้วนจีบเป็นรูปยาว ๆ แล้วเคี้ยวกับหมาก อาจเคี้ยวยาจืดหรือยาฉุนและเครื่องหอมอื่น ๆ เช่น กานพลู พิมเสน ร่วมไปด้วย เมื่อเคี้ยวแล้วจะมีน้ำลายออกมาปนกับหมากพลูเป็นน้ำหมากสีแดงซึ่งผู้กินหมากจะบ้วนทิ้ง ปูนแดงนี้ทำจากหินปูนหรือเปลือกหอยเผาให้ไหม้เป็นผง มีสีขาว เมื่อนำปูนขาวนี้มาผสมกับน้ำขมิ้นซึ่งมีสีเหลือง จะเกิดปฏิกิริยาทำให้ปูนเปลี่ยนสีเป็นสีแดงทันที ขมิ้นกับปูนที่มีปฏิกิริยากันเช่นนี้ คนโบราณถือว่าเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกัน จึงนำมาเปรียบกับคนที่ไม่ถูกกัน มักวิวาทกัน ว่า เหมือนขมิ้นกับปูน ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนขนหน้าแข้งไม่ร่วง ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ขนหน้าแข้งไม่ร่วง ขนหน้าแข้งไม่ร่วง หมายถึง สำนวน “ขนหน้าแข้งไม่ร่วง” หมายถึง การทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วไม่กระทบกระเทือนหรือไม่เสียหายถึงตัวเองหรือไม่กระทบต่อทรัพย์สินหรือฐานะ เพราะมีกำลังมากพอ ใช้กับคนที่ไม่รู้สึกเดือดร้อนแม้จะต้องเสียอะไรบางอย่างไป หรือบางครั้งอาจหมายถึงการทำสิ่งที่อาจจะดูเหมือนยากหรือเสียหาย แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของตัวเอง กล่าวคือ “คนที่ไม่กระทบกระเทือนถึงเดือดร้อน ใช้กับที่คนมั่งมีที่ต้องจ่ายเงินแม้จะมากแต่ก็ดูเหมือนเป็นจำนวนเล็ก ๆ น้อย ๆ” นั่นเอง โดยทั่วไปจะใช้เมื่อพูดถึงคนที่มีฐานะดี หรือมีสถานะที่แข็งแรง โดยแม้จะต้องจ่ายหรือสูญเสียอะไรไป ก็ยังไม่ทำให้เขารู้สึกเดือดร้อนหรือเสียหายอะไร ที่มาของสำนวน มีที่มาจากการเปรียบเทียบถึงลักษณะของขนหน้าแข้ง ซึ่งเป็นส่วนที่มีความสำคัญในลักษณะทางกายภาพของร่างกาย โดยขนหน้าแข้งมักจะไม่ตกหรือร่วงง่ายเหมือนกับส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เพราะมันเป็นส่วนที่แข็งแรงและไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น การที่ขนหน้าแข้งไม่ร่วง จึงเปรียบเทียบกับการทำสิ่งที่ไม่ทำให้เกิดความเสียหายหรือไม่กระทบถึงความมั่นคงในชีวิตของผู้ทำ ในทางสำนวน จึงหมายถึงการที่ทำอะไรแล้วไม่มีผลกระทบหรือไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ ซึ่งมักใช้พูดถึงคนที่มีฐานะหรือสถานะที่มั่นคง แม้จะต้องจ่ายหรือสูญเสียอะไรบางอย่างไป ก็ไม่รู้สึกเดือดร้อนมากนัก ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนขีดเส้นตาย ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ขีดเส้นตาย ขีดเส้นตาย หมายถึง สำนวน “ขีดเส้นตาย” หมายถึง การกำหนดเวลาให้เสร็จสิ้นภารกิจหรือการกระทำบางอย่างวันสุดท้ายอย่างชัดเจน หากไม่สามารถทำได้ทันภายในเวลาที่กำหนด อาจมีผลเสียหรือบทลงโทษตามมา สื่อถึงการตั้งกำหนดเส้นตายเพื่อสร้างความเร่งรีบหรือบังคับให้เกิดความสำเร็จตามเป้าหมาย กล่าวคือ “การกำหนดวันหรือเวลาสุดท้ายให้” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากคำภาษาอังกฤษ “Deadline” ซึ่งแปลตรงตัวว่า “เส้นตาย” มีที่มาจากระบบการควบคุมในเรือนจำยุคเก่า โดยในเรือนจำจะมีการขีดเส้นรอบพื้นที่ เพื่อกำหนดเขตที่นักโทษสามารถเคลื่อนไหวได้ หากนักโทษคนใดก้าวออกนอกเส้นนี้ ผู้คุมมีสิทธิ์ยิงจนเสียชีวิตได้โดยทันที เส้นนี้จึงเปรียบเหมือนเส้นแห่งความเป็นและความตาย ต่อมา “เส้นตาย” ถูกนำมาใช้ในบริบทการทำงานและการบริหารเวลา หมายถึง กำหนดเวลาสุดท้าย ที่งานจะต้องเสร็จสิ้น หากไม่สามารถทำตามได้ทัน ก็อาจเกิดผลกระทบที่ร้ายแรง เช่น โครงการล้มเหลว หรือผู้ที่รับผิดชอบต้องเผชิญกับบทลงโทษ เปรียบเหมือนการก้าวข้ามเส้นที่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ การนำคำว่า “ขีดเส้นตาย” มาใช้ในภาษาไทย จึงสะท้อนถึงความจริงจังและความเคร่งครัดในเรื่องของการกำหนดเวลา เพื่อให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงความสำคัญของการทำงานให้เสร็จตามกำหนดที่วางไว้ ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนขว้างงูไม่พ้นคอ ที่มาและความมหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ขว้างงูไม่พ้นคอ ขว้างงูไม่พ้นคอ หมายถึง สำนวน “ขว้างงูไม่พ้นคอ” หมายถึง การกระทำบางอย่างที่ตั้งใจจะผลักภาระ ปัญหา หรือผลเสียออกไปจากตัวเอง แต่กลับไม่สำเร็จ ผลร้ายที่หวังจะหลีกเลี่ยงนั้นย้อนกลับมาส่งผลกระทบต่อผู้กระทำเองในที่สุด กล่าวคือ “การทำอะไรแล้วผลร้ายกลับมาสู่ตัวเอง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มีที่มาจากการเปรียบเปรยพฤติกรรมของคนที่พยายามหลีกเลี่ยงปัญหาหรือผลเสีย แต่กลับไม่สามารถทำได้สำเร็จ โดยใช้ภาพของงูซึ่งเป็นสัตว์อันตราย หากมีงูอยู่ใกล้ตัว คนย่อมพยายามขว้างหรือผลักงูออกไปให้ไกลจากตัวเอง แต่หากการขว้างนั้นไม่แรงพอหรือไม่ถูกวิธี งูอาจจึงยังใช้หางรัดผู้ขว้างไว้อยู่ดี และงูอาจตกกลับมาที่ตัวหรือพันอยู่ที่คอของผู้ขว้าง การเปรียบเทียบนี้สะท้อนให้เห็นถึงการกระทำที่พยายามผลักปัญหาออกไป แต่กลับส่งผลย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง สำนวนนี้จึงมักถูกใช้ในบริบทที่ผู้กระทำไม่สามารถแก้ปัญหาหรือหลีกเลี่ยงผลร้ายได้อย่างเด็ดขาด และยังได้รับผลกระทบจากสิ่งนั้นในที่สุด ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนข้าเก่าเต่าเลี้ยง ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ข้าเก่าเต่าเลี้ยง ข้าเก่าเต่าเลี้ยง หมายถึง สำนวน “ข้าเก่าเต่าเลี้ยง” หมายถึง ผู้ที่อยู่รับใช้หรือทำงานให้กับเจ้านายหรือผู้บังคับบัญชามาเป็นเวลานาน จนมีความใกล้ชิดและผูกพันเหมือนคนในครอบครัว หรือคนที่เคยอยู่ด้วยกันมาอย่างยาวนานและซื่อสัตย์ต่อกัน เปรียบเปรยถึงข้ารับใช้หรือผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีความภักดีต่อเจ้านาย เนื่องจากเคยได้รับการดูแลเลี้ยงดูหรืออยู่ร่วมกันมาตั้งแต่ต้น กล่าวคือ “คนที่อยู่ด้วยกันมานานในฐานะรับใช้จนเป็นที่ไว้วางใจได้” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มีที่มาจากวิถีชีวิตในสมัยโบราณของไทยที่บ้านเจ้านายหรือผู้มีอันจะกินมักมี ข้ารับใช้ ซึ่งรับใช้และอยู่ร่วมบ้านมานานจนเกิดความผูกพันเหมือนคนในครอบครัว คำว่า “ข้าเก่า” หมายถึง ผู้ที่รับใช้เจ้านายมานาน ส่วนคำว่า “เต่าเลี้ยง” เปรียบกับเต่าซึ่งเป็นสัตว์อายุยืนและเลี้ยงดูมาอย่างยาวนาน สะท้อนถึงความซื่อสัตย์และความใกล้ชิดระหว่างเจ้านายกับข้ารับใช้ เมื่อสองคำนี้รวมกันเป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยง ทำให้คล้องจองกันอย่างไม่มีที่ติ สำนวนนี้จึงใช้เปรียบเปรยถึงผู้ที่อยู่รับใช้หรือทำงานให้กับเจ้านายมานาน มีความภักดีและความผูกพันคล้ายกับคนในครอบครัว หรืออาจหมายถึงคนที่มีความคุ้นเคยและร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานาน ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนข้าวยากหมากแพง ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ข้าวยากหมากแพง ข้าวยากหมากแพง หมายถึง สำนวน “ข้าวยากหมากแพง” หมายถึง สถานการณ์ที่บ้านเมืองประสบปัญหาความขาดแคลน อาหารและของใช้จำเป็นมีราคาแพง ทำให้การดำรงชีวิตยากลำบาก มักใช้ในบริบทของวิกฤตเศรษฐกิจหรือช่วงเวลาที่ทรัพยากรหายาก ส่งผลให้ผู้คนต้องเผชิญกับความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน กล่าวคือ “ภาวะหรือสถานการณ์ที่กำลังขาดแคลนอาหาร” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มีที่มาจากวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยโบราณที่ข้าวและหมากเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันของคนไทย โดย “ข้าว” เป็นอาหารหลักที่ขาดไม่ได้ ส่วน “หมาก” หมายถึง หมากที่กินกับพลูกับ และหมมายถึง ผลไม้ปรากฏในคำว่า ผลหมากรากไม้ และในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงว่า หมากส้ม หมากหวาน หมายถึงผลไม้รสเปรี้ยวและผลไม้รสหวาน ดังนั้น หมากแพง จึงหมายถึง หมากและผลไม้มีราคาแพง เป็นสิ่งที่ผู้คนในยุคนั้นนิยมกินเพื่อความเพลิดเพลินและเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม เมื่อเกิดสถานการณ์ที่บ้านเมืองขาดแคลน เช่น ภัยแล้ง สงคราม หรือเศรษฐกิจตกต่ำ ข้าวและหมากซึ่งเคยมีอยู่มากมายก็กลายเป็นสิ่งหายากและมีราคาแพง จนสะท้อนถึงความลำบากของผู้คนในยุคนั้น สำนวนนี้จึงถูกใช้เปรียบเปรยถึงสถานการณ์ที่ทรัพยากรและของใช้จำเป็นมีราคาสูงและหาได้ยาก ทำให้ชีวิตประจำวันของผู้คนยากลำบากขึ้น ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนข้าวเหลือเกลืออิ่ม ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ข้าวเหลือเกลืออิ่ม ข้าวเหลือเกลืออิ่ม หมายถึง สำนวน “ข้าวเหลือเกลืออิ่ม” หมายถึง บ้านเมืองที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหารและทรัพยากรเพียงพอสำหรับการดำรงชีวิต สะท้อนถึงความมีอยู่มีกินในสังคมที่ทุกคนสามารถเข้าถึงสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นข้าวปลาอาหารหรือเกลือ ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันของคนไทยในสมัยก่อน กล่าวคือ “บ้านเมืองที่บริบูรณ์ด้วยข้าวปลาอาหาร” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มีที่มาจากวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยโบราณ ที่ให้ความสำคัญกับข้าวและเกลือซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ข้าวเป็นอาหารหลักของคนไทยที่สื่อถึงความมั่งคั่งในด้านอาหาร ขณะที่เกลือเป็นสิ่งสำคัญในครัวเรือน ใช้ในการถนอมอาหารและปรุงรส หากบ้านเมืองใดมีทั้งข้าวที่เหลือเฟือและเกลือที่เพียงพอ แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรและความมั่นคงในด้านปากท้อง คำว่า “ข้าวเหลือ” สื่อถึงการมีข้าวหรืออาหารที่เพียงพอและเหลือเฟือ ขณะที่ “เกลืออิ่ม” เปรียบได้กับสิ่งจำเป็นในครัวเรือนที่มีอย่างครบครัน แสดงถึงความมั่งคั่งและความบริบูรณ์ของบ้านเมืองในด้านเศรษฐกิจและทรัพยากร และสองคำนี้ยังคลองจองกันได้อย่างไม่มีที่ติ สำนวนนี้สะท้อนภาพของสังคมที่มีความพร้อมในด้านปัจจัยยังชีพพื้นฐาน ทุกคนสามารถดำรงชีวิตได้อย่างสุขสบาย สำนวนจึงมักใช้เปรียบเปรยถึงบ้านเมืองหรือชุมชนที่บริบูรณ์ด้วยอาหารและทรัพยากรที่เพียงพอสำหรับทุกคน ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนข้าวใหม่ปลามัน ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ข้าวใหม่ปลามัน ข้าวใหม่ปลามัน หมายถึง สำนวน “ข้าวใหม่ปลามัน” หมายถึง ช่วงเวลาเริ่มต้นของสิ่งใหม่ ๆ ที่มีความสดใหม่ น่าตื่นเต้น หรือเต็มไปด้วยความสุข โดยมักใช้เปรียบเทียบกับความสัมพันธ์ของคู่แต่งงานใหม่ที่กำลังหวานชื่น หรือสถานการณ์ที่เพิ่งเริ่มต้นและยังคงมีความตื่นเต้นและความสุขอยู่ เปรียบเหมือนข้าวใหม่ที่นุ่มอร่อย และปลามันที่สดและอุดมด้วยรสชาติ กล่าวคือ “อะไรที่เป็นของใหม่ก็ถือว่าดี, นิยมเรียกช่วงเวลาที่สามีภรรยาเพิ่งแต่งงานกันใหม่ ๆ ว่า ระยะข้าวใหม่ปลามัน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยก่อน เมื่อเข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยว ข้าวที่ได้ใหม่ ๆ จะมีความสด นุ่ม และหอม ส่วนปลาที่จับได้ในช่วงน้ำหลากก็มักจะสมบูรณ์และมีไขมันมาก ทำให้รสชาติดีเป็นพิเศษ เปรยบได้ดั่งเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สดใหม่ การเปรียบเทียบนี้สะท้อนถึงความสดใหม่และความอุดมสมบูรณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันในช่วงเวลานั้น ต่อมาสำนวนนี้ถูกนำมาใช้ในเชิงเปรียบเปรยถึงช่วงเวลาที่สดชื่น น่าตื่นเต้น หรือเต็มไปด้วยความสุข โดยเฉพาะในความสัมพันธ์ของคู่แต่งงานใหม่ที่กำลังหวานชื่น เปรียบเหมือนข้าวใหม่ที่นุ่มอร่อย และปลามันที่สดอุดมไปด้วยรสชาติ ตัวอย่างการใช้สำนวน