Tag: สำนวนไทย ข.

  • รู้จักสำนวนเข้าด้ายเข้าเข็ม ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนเข้าด้ายเข้าเข็ม ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. เข้าด้ายเข้าเข็ม เข้าด้ายเข้าเข็ม หมายถึง สำนวน “เข้าด้ายเข้าเข็ม” หมายถึง การอยู่ในช่วงเวลาหรือสถานการณ์ที่สำคัญและกำลังจะถึงจุดตัดสิน ซึ่งไม่ควรหยุดหรือขัดจังหวะ ช่วงเวลาสำคัญหรือคับขันที่มีผลต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวของสิ่งที่กำลังทำ เปรียบเสมือนการเย็บผ้าที่ด้ายกำลังจะร้อยเข้ากับเข็ม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญและต้องใช้ความระมัดระวัง หากถูกขัดจังหวะหรือหยุดกลางคัน อาจทำให้เกิดความล่าช้าหรือปัญหาตามมา สำนวนนี้มักใช้ในบริบทที่เน้นว่าต้องให้ความสำคัญกับช่วงเวลานั้นและไม่ควรขัดจังหวะ กล่าวคือ “การอยู่ในช่วงเวลาสำคัญหรือคับขัน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเย็บผ้าของคนสมัยก่อน โดยเฉพาะขั้นตอนที่ต้องร้อยด้ายผ่านรูเข็ม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้ความระมัดระวังและความตั้งใจสูง หากเกิดการขัดจังหวะในขณะนี้ อาจทำให้ด้ายหลุดหรือหรือไม่สามารถผ่านรูเข็มได้ ทำให้กระบวนการล่าช้า จึงต้องใช้ความจดจ่อแน่วแน่เพื่อให้สำเร็จ เปรียบเสมือนช่วงเวลาที่สำคัญหรือคับขันในชีวิตหรือสถานการณ์หนึ่ง ๆ ที่ต้องการสมาธิและความต่อเนื่อง เพื่อให้สิ่งที่กำลังทำสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี สำนวนนี้จึงถูกใช้เพื่อสะท้อนถึงช่วงเวลาหรือเหตุการณ์ที่สำคัญและต้องการการใส่ใจอย่างเต็มที่ ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนเขียนเสือให้วัวกลัว ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนเขียนเสือให้วัวกลัว ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. เขียนเสือให้วัวกลัว เขียนเสือให้วัวกลัว หมายถึง สำนวน “เขียนเสือให้วัวกลัว” หมายถึง การข่มขู่หรือแสดงอำนาจเพื่อทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัว หรือยำเกรง โดยที่บางครั้งสิ่งนั้นอาจไม่ได้มีความน่ากลัวจริง ๆ แต่เป็นการแสดงออกเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ดูน่าเกรงขาม เปรียบเสมือนการวาดภาพเสือเพื่อข่มวัวให้กลัว แม้ว่าเสือนั้นจะเป็นเพียงภาพวาด ไม่ใช่เสือจริง กล่าวคือ “การทำอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียขวัญหรือเกรงขาม” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบในชีวิตเกษตรกรรมของคนสมัยก่อน โดยเสือ ถือเป็นสัตว์ที่มีความน่าเกรงขามและเป็นภัยต่อสัตว์อื่น ๆ เช่น วัวหรือควาย หากวัวเห็นเสือ แม้จะเป็นเพียงภาพวาดของเสือ ก็อาจทำให้เกิดความหวาดกลัวเพราะเชื่อว่าเป็นเสือจริง การวาดภาพเสือในที่นี้จึงเปรียบเสมือนการสร้างภาพลวงหรือการแสดงออกที่ดูน่าเกรงขาม เพื่อข่มขู่ให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือยำเกรง แม้ความจริงอาจไม่ได้มีสิ่งใดที่น่ากลัวอยู่เลย สำนวนนี้จึงสะท้อนถึงพฤติกรรมของคนที่ใช้เล่ห์กลหรือสร้างภาพลักษณ์เพื่อให้ตนเองดูมีอำนาจหรือเหนือกว่าผู้อื่น ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนเข็นครกขึ้นภูเขา ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนเข็นครกขึ้นภูเขา ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. เข็นครกขึ้นภูเขา เข็นครกขึ้นภูเขา หมายถึง สำนวน “เข็นครกขึ้นภูเขา” หมายถึง การทำงานหรือพยายามทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ยากลำบากมาก เปรียบเสมือนการพยายามเข็นครกซึ่งมีน้ำหนักมากให้ขึ้นไปบนภูเขา อันเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้หรือสำเร็จได้ยาก สำนวนนี้มักใช้เพื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก แต่ผลสำเร็จอาจไม่คุ้มค่าหรือยากเกินกว่าจะทำได้สำเร็จ กล่าวคือ “การทำงานที่ยากลำบากอย่างยิ่งโดยต้องใช้ความเพียรพยายามและอดทนอย่างมาก หรือบางทีก็เกินกำลังความสามารถหรือสติปัญญาของตน” นั่นเอง สำนวนนี้ยังมีพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า “กลิ้งครกขึ้นภูเขา” ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบถึงความยากลำบากในการทำงานที่ดูแทบจะเป็นไปไม่ได้ โดยครก ในที่นี้หมายถึงครกหินหรือครกไม้ที่มีน้ำหนักมาก และภูเขา หมายถึงความสูงชันและเป็นอุปสรรค การเข็นครกขึ้นภูเขาจึงเป็นภาพลักษณ์ของความพยายามที่เกินกำลัง หรือการทำสิ่งที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและความยากลำบาก จนดูเหมือนไม่สามารถสำเร็จได้ สำนวนนี้สะท้อนถึงความรู้สึกท้อแท้หรือการเผชิญกับภารกิจที่ยากเกินตัว ซึ่งมักใช้เพื่อเตือนหรือแสดงความเห็นต่อการกระทำที่อาจไม่มีความเป็นไปได้หรือไม่คุ้มค่ากับความพยายามที่ลงทุนลงแรงไป ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า หมายถึง สำนวน “ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า” หมายถึง การบังคับหรือฝืนใจผู้อื่นให้ทำในสิ่งที่เขาไม่เต็มใจหรือไม่ต้องการทำ โดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกหรือความสมัครใจของเขา เปรียบเสมือนการบังคับโคให้กินหญ้าทั้งที่มันอาจไม่อยากกินหญ้าในตอนนั้น กล่าวคือ “การบังคับขืนใจผู้อื่นให้ทำตามที่ตนต้องการ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับการบังคับวัวหรือโคให้กินหญ้าในสถานการณ์ที่มันไม่ต้องการ ซึ่งในวิถีชีวิตเกษตรกรรมของคนสมัยก่อน โคถือเป็นสัตว์สำคัญที่ใช้ในการทำไร่ไถนา หากโคไม่กินหญ้าหรืออาหาร อาจส่งผลต่อสุขภาพและแรงงานในภายหลัง บางครั้งชาวบ้านอาจใช้วิธีการบังคับหรือขืนใจโคให้กินอาหาร เพื่อให้มันแข็งแรงพร้อมใช้งาน แม้ว่าจะไม่เป็นไปตามธรรมชาติของมัน การเปรียบเทียบนี้สะท้อนถึงพฤติกรรมของคนที่พยายามบังคับหรือกดดันผู้อื่นให้ทำตามที่ตัวเองต้องการ โดยไม่คำนึงถึงความสมัครใจหรือความเหมาะสมของอีกฝ่าย ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนขุดบ่อล่อปลา ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนขุดบ่อล่อปลา ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ขุดบ่อล่อปลา ขุดบ่อล่อปลา หมายถึง สำนวน “ขุดบ่อล่อปลา” หมายถึง การใช้กลอุบายเพื่อให้ฝ่ายหนึ่งหลงเชื่อโดยหวังผลประโยชน์จากอีกฝ่ายหนึ่ง เปรียบเสมือนการขุดบ่อเพื่อดักปลาที่จะว่ายเข้ามาในบ่อ โดยเจ้าของบ่อใช้กลอุบายให้ปลาหลงทางหรือหลงเชื่อเข้าไปในบ่อเพื่อจับปลาได้ง่าย กล่าวคือ “การทำกลอุบายเพื่อให้ฝ่ายหนึ่งหลงเชื่อโดยหวังประโยชน์จากอีกฝ่ายหนึ่ง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการทำประมงโดยการขุดบ่อเพื่อจับปลา ซึ่งเป็นวิธีที่คนโบราณใช้ในการดักจับปลาในบ่อที่ขุดไว้ โดยการวางเบ็ดหรือข่ายเพื่อดึงดูดปลาหรือหลอกให้ปลาว่ายเข้าไปในบ่อที่เตรียมไว้แล้ว เมื่อปลาหลงเข้าไปก็จะตกเป็นเหยื่อหรือถูกจับได้ง่าย ๆ การขุดบ่อในที่นี้จึงเปรียบเสมือนการใช้กลอุบายหรือแผนการเพื่อดึงดูดปลาให้หลงเชื่อหรือเข้ามาในสถานการณ์ที่เราเตรียมไว้นั่นเอง ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนขายผ้าเอาหน้ารอด ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนขายผ้าเอาหน้ารอด ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ขายผ้าเอาหน้ารอด ขายผ้าเอาหน้ารอด หมายถึง สำนวน “ขายผ้าเอาหน้ารอด” หมายถึง การยอมสละหรือทิ้งสิ่งที่สำคัญหรือจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของตนเอง เพียงเพื่อรักษาหน้าหรือชื่อเสียงของตัวเองไว้ เช่น อาจจะยอมขายทรัพย์สินหรือสละสิ่งของที่มีค่า เพื่อให้ดูเหมือนว่าอยู่ในสถานะที่ดีในสายตาคนอื่น แม้จะมีผลกระทบในระยะยาวกับชีวิตหรือความเป็นอยู่ของตัวเอง หรือความหมายอีกนัยหนึ่งคือ การแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าให้รอดพ้นไปได้ โดยอาจต้องเสียสละหรือนำสิ่งของที่มีอยู่ออกมาใช้ เช่น การยืมเงินเพื่อนมาจ่ายหนี้ จำเป็นต้องขายผ้าเอาหน้ารอดไว้ก่อน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาในทันที กล่าวคือ “การยอมเสียสละแม้แต่ของจำเป็นที่ตนมีอยู่ เพื่อรักษาชื่อเสียงของตนไว้, ทำให้สำเร็จลุล่วงไป เพื่อรักษาชื่อเสียงของตนไว้” นั่นเอง สำนวนนี้สะท้อนถึงความสำคัญของการรักษาหน้าตาหรือสถานภาพในสังคม ซึ่งบางครั้งอาจทำให้คนยอมเสียสละสิ่งที่จำเป็นจริง ๆ เพื่อภาพลักษณ์ที่ดูดี ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบถึงการขายผ้าที่มีความสำคัญ โดยเฉพาะผ้าที่ทอขึ้นมาเพื่อใส่ในวันสำคัญ เช่น วันแต่งงาน ซึ่งเป็นผ้าที่มีค่าทางจิตใจและมีคุณค่าสำหรับเจ้าของ การขายผ้าดังกล่าวจึงไม่ใช่เรื่องธรรมดา แต่เป็นการสละสิ่งที่รักและหวงแหน เพื่อรักษาหน้าหรือสถานภาพของตนเองในสังคม การทำเช่นนี้หมายถึงการยอมทิ้งสิ่งที่มีค่าหรือสิ่งที่ตัวเองภาคภูมิใจ เพื่อให้รอดพ้นจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก หรือเพื่อรักษาภาพลักษณ์ในสายตาผู้อื่น นั่นคือ การทำสิ่งที่จำเป็นแม้จะต้องสูญเสียบางอย่างไป แต่เพื่อให้สามารถก้าวผ่านปัญหาหรือวิกฤตไปได้ในที่สุด ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนขมิ้นกับปูน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนขมิ้นกับปูน ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ขมิ้นกับปูน ขมิ้นกับปูน หมายถึง สำนวน “ขมิ้นกับปูน” หมายถึง คนหรือสิ่งที่ไม่ถูกกัน หรือไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ มักทะเลาะวิวาทกัน เพราะมักจะมีความแตกต่างหรือขัดแย้งกันอย่างรุนแรง จนไม่สามารถทนหรือเข้ากันได้ในระยะยาว และมักทำให้เกิดปัญหาหรือวิวาทกันอยู่เสมอ กล่าวคือ “คนที่ไม่ถูกกันชอบวิวาทกันอยู่เสมอเมื่ออยู่ใกล้กัน” นั่นเอง สำนวนนี้ถูกใช้เพื่อบรรยายถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ดี เช่น คู่รักที่ทะเลาะกันบ่อย ๆ หรือเพื่อนร่วมงานที่ไม่สามารถทำงานด้วยกันได้ ที่มาของสำนวน มาจากหมาก ที่ผลมีรสฝาด ใช้เคี้ยวกินกับปูน พลู ซึ่งรวมเรียกว่า กินหมาก โดยในสมัยก่อนคนไทยนิยมกินหมาก วิธีการกินหมากนั้นคือใช้ปูนแดงบ้ายบนใบพลู ม้วนจีบเป็นรูปยาว ๆ แล้วเคี้ยวกับหมาก อาจเคี้ยวยาจืดหรือยาฉุนและเครื่องหอมอื่น ๆ เช่น กานพลู พิมเสน ร่วมไปด้วย เมื่อเคี้ยวแล้วจะมีน้ำลายออกมาปนกับหมากพลูเป็นน้ำหมากสีแดงซึ่งผู้กินหมากจะบ้วนทิ้ง ปูนแดงนี้ทำจากหินปูนหรือเปลือกหอยเผาให้ไหม้เป็นผง มีสีขาว เมื่อนำปูนขาวนี้มาผสมกับน้ำขมิ้นซึ่งมีสีเหลือง จะเกิดปฏิกิริยาทำให้ปูนเปลี่ยนสีเป็นสีแดงทันที ขมิ้นกับปูนที่มีปฏิกิริยากันเช่นนี้ คนโบราณถือว่าเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกัน จึงนำมาเปรียบกับคนที่ไม่ถูกกัน มักวิวาทกัน ว่า เหมือนขมิ้นกับปูน ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนขนหน้าแข้งไม่ร่วง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนขนหน้าแข้งไม่ร่วง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ขนหน้าแข้งไม่ร่วง ขนหน้าแข้งไม่ร่วง หมายถึง สำนวน “ขนหน้าแข้งไม่ร่วง” หมายถึง การทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วไม่กระทบกระเทือนหรือไม่เสียหายถึงตัวเองหรือไม่กระทบต่อทรัพย์สินหรือฐานะ เพราะมีกำลังมากพอ ใช้กับคนที่ไม่รู้สึกเดือดร้อนแม้จะต้องเสียอะไรบางอย่างไป หรือบางครั้งอาจหมายถึงการทำสิ่งที่อาจจะดูเหมือนยากหรือเสียหาย แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของตัวเอง กล่าวคือ “คนที่ไม่กระทบกระเทือนถึงเดือดร้อน ใช้กับที่คนมั่งมีที่ต้องจ่ายเงินแม้จะมากแต่ก็ดูเหมือนเป็นจำนวนเล็ก ๆ น้อย ๆ” นั่นเอง โดยทั่วไปจะใช้เมื่อพูดถึงคนที่มีฐานะดี หรือมีสถานะที่แข็งแรง โดยแม้จะต้องจ่ายหรือสูญเสียอะไรไป ก็ยังไม่ทำให้เขารู้สึกเดือดร้อนหรือเสียหายอะไร ที่มาของสำนวน มีที่มาจากการเปรียบเทียบถึงลักษณะของขนหน้าแข้ง ซึ่งเป็นส่วนที่มีความสำคัญในลักษณะทางกายภาพของร่างกาย โดยขนหน้าแข้งมักจะไม่ตกหรือร่วงง่ายเหมือนกับส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เพราะมันเป็นส่วนที่แข็งแรงและไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น การที่ขนหน้าแข้งไม่ร่วง จึงเปรียบเทียบกับการทำสิ่งที่ไม่ทำให้เกิดความเสียหายหรือไม่กระทบถึงความมั่นคงในชีวิตของผู้ทำ ในทางสำนวน จึงหมายถึงการที่ทำอะไรแล้วไม่มีผลกระทบหรือไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ ซึ่งมักใช้พูดถึงคนที่มีฐานะหรือสถานะที่มั่นคง แม้จะต้องจ่ายหรือสูญเสียอะไรบางอย่างไป ก็ไม่รู้สึกเดือดร้อนมากนัก ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนขีดเส้นตาย ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนขีดเส้นตาย ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ขีดเส้นตาย ขีดเส้นตาย หมายถึง สำนวน “ขีดเส้นตาย” หมายถึง การกำหนดเวลาให้เสร็จสิ้นภารกิจหรือการกระทำบางอย่างวันสุดท้ายอย่างชัดเจน หากไม่สามารถทำได้ทันภายในเวลาที่กำหนด อาจมีผลเสียหรือบทลงโทษตามมา สื่อถึงการตั้งกำหนดเส้นตายเพื่อสร้างความเร่งรีบหรือบังคับให้เกิดความสำเร็จตามเป้าหมาย กล่าวคือ “การกำหนดวันหรือเวลาสุดท้ายให้” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากคำภาษาอังกฤษ “Deadline” ซึ่งแปลตรงตัวว่า “เส้นตาย” มีที่มาจากระบบการควบคุมในเรือนจำยุคเก่า โดยในเรือนจำจะมีการขีดเส้นรอบพื้นที่ เพื่อกำหนดเขตที่นักโทษสามารถเคลื่อนไหวได้ หากนักโทษคนใดก้าวออกนอกเส้นนี้ ผู้คุมมีสิทธิ์ยิงจนเสียชีวิตได้โดยทันที เส้นนี้จึงเปรียบเหมือนเส้นแห่งความเป็นและความตาย ต่อมา “เส้นตาย” ถูกนำมาใช้ในบริบทการทำงานและการบริหารเวลา หมายถึง กำหนดเวลาสุดท้าย ที่งานจะต้องเสร็จสิ้น หากไม่สามารถทำตามได้ทัน ก็อาจเกิดผลกระทบที่ร้ายแรง เช่น โครงการล้มเหลว หรือผู้ที่รับผิดชอบต้องเผชิญกับบทลงโทษ เปรียบเหมือนการก้าวข้ามเส้นที่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ การนำคำว่า “ขีดเส้นตาย” มาใช้ในภาษาไทย จึงสะท้อนถึงความจริงจังและความเคร่งครัดในเรื่องของการกำหนดเวลา เพื่อให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงความสำคัญของการทำงานให้เสร็จตามกำหนดที่วางไว้ ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนขว้างงูไม่พ้นคอ ที่มาและความมหมาย

    รู้จักสำนวนขว้างงูไม่พ้นคอ ที่มาและความมหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ขว้างงูไม่พ้นคอ ขว้างงูไม่พ้นคอ หมายถึง สำนวน “ขว้างงูไม่พ้นคอ” หมายถึง การกระทำบางอย่างที่ตั้งใจจะผลักภาระ ปัญหา หรือผลเสียออกไปจากตัวเอง แต่กลับไม่สำเร็จ ผลร้ายที่หวังจะหลีกเลี่ยงนั้นย้อนกลับมาส่งผลกระทบต่อผู้กระทำเองในที่สุด กล่าวคือ “การทำอะไรแล้วผลร้ายกลับมาสู่ตัวเอง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มีที่มาจากการเปรียบเปรยพฤติกรรมของคนที่พยายามหลีกเลี่ยงปัญหาหรือผลเสีย แต่กลับไม่สามารถทำได้สำเร็จ โดยใช้ภาพของงูซึ่งเป็นสัตว์อันตราย หากมีงูอยู่ใกล้ตัว คนย่อมพยายามขว้างหรือผลักงูออกไปให้ไกลจากตัวเอง แต่หากการขว้างนั้นไม่แรงพอหรือไม่ถูกวิธี งูอาจจึงยังใช้หางรัดผู้ขว้างไว้อยู่ดี และงูอาจตกกลับมาที่ตัวหรือพันอยู่ที่คอของผู้ขว้าง การเปรียบเทียบนี้สะท้อนให้เห็นถึงการกระทำที่พยายามผลักปัญหาออกไป แต่กลับส่งผลย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง สำนวนนี้จึงมักถูกใช้ในบริบทที่ผู้กระทำไม่สามารถแก้ปัญหาหรือหลีกเลี่ยงผลร้ายได้อย่างเด็ดขาด และยังได้รับผลกระทบจากสิ่งนั้นในที่สุด ตัวอย่างการใช้สำนวน