Tag: สำนวนไทย ข.

  • รู้จักสำนวนขี้หมูราขี้หมาแห้ง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนขี้หมูราขี้หมาแห้ง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ขี้หมูราขี้หมาแห้ง ขี้หมูราขี้หมาแห้ง หมายถึง สำนวน “ขี้หมูราขี้หมาแห้ง” หมายถึง เรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ ไร้สาระ ไร้ประโยชน์แก่นสาร ที่ไม่สำคัญ เปรียบเหมือนการใส่ใจกับขี้หมูที่ขึ้นรา หรือขี้หมาที่แห้งแล้ว ซึ่งไร้ค่าและไม่มีประโยชน์ สื่อถึงความไม่เป็นสาระหรือการใส่ใจในสิ่งที่ไม่มีคุณค่าจนเกินความจำเป็น กล่าวคือ “เรื่องไร้สาระ, ไร้ประโยชน์” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มีที่มาจากการเปรียบเปรยสิ่งที่ไม่มีคุณค่าหรือไม่มีความสำคัญในวิถีชีวิตไทยโบราณ โดย “ขี้หมู” คือของเสียจากหมูที่มักเน่าเสียหรือขึ้นรา และ “ขี้หมา” คือของเสียจากสุนัขที่เมื่อแห้งแล้วก็ยิ่งไม่มีประโยชน์ การนำ “ขี้หมู” และ “ขี้หมา” มาพูดถึงในลักษณะนี้ สื่อให้เห็นถึงสิ่งที่ไร้ค่าและไม่น่าใส่ใจ แต่กลับถูกหยิบยกขึ้นมาพูดหรือทำให้เป็นเรื่องสำคัญ ทั้งที่ควรปล่อยผ่านหรือจบไป สำนวนนี้จึงสะท้อนถึงการใส่ใจหรือให้ค่ากับเรื่องเล็กน้อยจนเกินไป หรือการขยายความเรื่องที่ไม่มีสาระให้กลายเป็นปัญหาใหญ่โดยไม่จำเป็น ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนขี้ใหม่หมาหอม ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนขี้ใหม่หมาหอม ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ขี้ใหม่หมาหอม ขี้ใหม่หมาหอม หมายถึง สำนวน “ขี้ใหม่หมาหอม” หมายถึง คนที่หลงใหลหรือให้ความสนใจในสิ่งใหม่ ๆ เป็นพิเศษในช่วงแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความสนใจหรือความสำคัญนั้นก็ลดลง เปรียบเทียบกับพฤติกรรมของสุนัขที่สนใจดมหรือคลุกคลีกับกองอุจจาระใหม่เพราะกลิ่นยังสด แต่ไม่นานก็จะเลิกสนใจและไปหาสิ่งอื่นแทน กล่าวคือ “คนเห่อของใหม่” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มีที่มาจากการสังเกตพฤติกรรมของสุนัขในวิถีชีวิตไทยโบราณ ซึ่งเมื่อมีอุจจาระหรือ “ขี้” ที่เพิ่งถ่ายใหม่ ๆ สุนัขมักจะเข้าไปดมอย่างสนใจ เพราะกลิ่นยังสดและดึงดูดใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลิ่นจางลง สุนัขก็จะเลิกสนใจและหันไปสนใจสิ่งใหม่แทน สำนวนนี้ถูกนำมาเปรียบเปรยกับพฤติกรรมของคนที่ให้ความสนใจหรือหลงใหลสิ่งใหม่ ๆ ในช่วงแรกอย่างมาก แต่เมื่อความแปลกใหม่หมดไป ความสนใจนั้นก็ค่อย ๆ ลดลงหรือหายไป เช่นเดียวกับสุนัขที่เลิกสนใจ “ขี้ใหม่” เมื่อกลิ่นเริ่มจาง ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนขี้ไม่ให้หมากิน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนขี้ไม่ให้หมากิน ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ขี้ไม่ให้หมากิน ขี้ไม่ให้หมากิน หมายถึง สำนวน “ขี้ไม่ให้หมากิน” หมายถึง คนที่ตระหนี่ถี่เหนียวหรือหวงของจนเกินเหตุ แม้สิ่งของที่ไม่มีคุณค่าหรือไม่มีประโยชน์สำหรับตัวเองก็ยังไม่ยอมให้ผู้อื่น เปรียบเสมือนการขับถ่ายของเสียที่ไม่เกิดประโยชน์กับตัวเอง แต่ยังไม่ยอมให้สุนัขที่อยู่ใต้ถุนบ้านได้กิน สะท้อนถึงพฤติกรรมของคนที่ขาดน้ำใจหรือความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น กล่าวคือ “คนขี้เหนียว, ตระหนี่เหนียวแน่น” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากในสมัยโบราณ บ้านเรือนไทยมักปลูกแบบยกพื้นสูง มีใต้ถุนโล่ง ๆ และพื้นบ้านด้านบนมักมีร่องสำหรับขับถ่ายของเสีย เช่น อุจจาระ ซึ่งเมื่ออุจจาระตกลงมาข้างล่าง สุนัขที่อยู่ใต้ถุนบ้านก็มักจะมากินเป็นเรื่องปกติในวิถีชีวิตของคนยุคนั้น อย่างไรก็ตาม บางบ้านที่ประหยัดมัธยัสถ์ สิ่งใดที่มีประโยชน์ก็มักจะเก็บไว้ใช้งาน เช่น อุจจาระและปัสสาวะที่ถูกเก็บไว้ในถังหรือไห เพื่อนำมาหมักเป็นปุ๋ยสำหรับใส่ผัก จนเกิดการเปรียบเปรยว่า “แม้กระทั่งขี้หมาก็ไม่ได้กิน” สะท้อนถึงความตระหนี่ที่ไม่ยอมให้ผู้อื่นหรือแม้แต่สัตว์ได้ประโยชน์จากสิ่งที่เหลือใช้ ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนขี้ราดโทษล่อง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนขี้ราดโทษล่อง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ขี้ราดโทษล่อง ขี้ราดโทษล่อง หมายถึง สำนวน “ขี้ราดโทษล่อง” หมายถึง การทำผิดหรือก่อปัญหาด้วยตัวเอง แต่กลับโยนความผิดหรือกล่าวโทษคนอื่นแทน เปรียบเสมือนการขับถ่ายเลอะเทอะเอง แต่กลับโทษว่าล่องมีขนาดเล็กหรือไม่เหมาะสม สะท้อนถึงพฤติกรรมที่ขาดความรับผิดชอบ และไม่ยอมรับความผิดของตัวเอง กล่าวคือ “ทำผิดเอง แล้วกลับโทษผู้อื่น” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มีที่มาจากวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยโบราณ ซึ่งนิยมสร้างบ้านยกพื้นสูง ใต้ถุนโปร่ง และส่วนของพื้นบ้าน เช่น พื้นครัวหรือพื้นชาน มักจะมีล่องหรือช่องว่างระหว่างแผ่นไม้ที่เว้นไว้สำหรับระบายน้ำทิ้ง เช่น น้ำล้างจาน น้ำฝน หรือของเสียต่าง ๆ ให้ไหลลงใต้ถุนบ้าน หากผู้ขับถ่ายไม่ระมัดระวังจนทำให้อุจจาระตกนอกล่องและเลอะเทอะ ผู้กระทำอาจกล่าวโทษว่าล่อง มีขนาดเล็กหรือไม่เหมาะสม ทั้งที่ความผิดพลาดเกิดจากความสะเพร่าของตัวเอง การเปรียบเปรยนี้จึงสะท้อนถึงพฤติกรรมของคนที่ทำผิดเอง แต่กลับไม่ยอมรับผิดและพยายามโยนความผิดให้สิ่งอื่นหรือคนอื่นแทน สำนวนนี้จึงเป็นเครื่องเตือนใจให้คนรู้จักรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง และไม่กล่าวโทษสิ่งอื่นเพียงเพื่อปกปิดความผิดของตัวเอง ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนขี่ช้างอย่าวางขอ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนขี่ช้างอย่าวางขอ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ขี่ช้างอย่าวางขอ ขี่ช้างอย่าวางขอ หมายถึง สำนวน “ขี่ช้างอย่าวางขอ” หมายถึง การที่มีลูกน้อง หรือมีผู้น้อยที่อยู่ในความปกครองหรือใต้บังคับบัญชาของเรา ก็อย่าประมาทละเลยเสีย ต้องหมั่นกวดขันกำชับ หรือเมื่อทำงานใหญ่หรือรับผิดชอบเรื่องสำคัญ ต้องทำให้สำเร็จจนถึงที่สุด อย่าทิ้งกลางคันหรือปล่อยปละละเลย เปรียบเสมือนการขี่ช้างที่เป็นสัตว์ใหญ่ หากวางขอ (เครื่องมือบังคับช้าง) จะควบคุมช้างไม่ได้ อาจทำให้เกิดปัญหาหรืออันตรายตามมา สำนวนนี้เตือนให้ตระหนักถึงความรับผิดชอบและความรอบคอบในการทำสิ่งที่สำคัญ กล่าวคือ “การควบคุมดูแลผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาต้องให้อยู่ในระเบียบนั่นเอง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มีที่มาจากวิถีชีวิตของคนไทยในอดีตที่มีการใช้ช้างเป็นสัตว์พาหนะและแรงงาน เช่น ใช้ช้างลากซุงหรือขนส่งสิ่งของ รวมถึงการศึกสงคราม การควบคุมช้างให้ทำงานตามคำสั่งจำเป็นต้องใช้ขอ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่ผู้ควาญช้าง (คนดูแลและขี่ช้าง) ใช้สับหรือบังคับช้างให้อยู่ในความควบคุม ขอจึงเปรียบเสมือนเครื่องมือที่แสดงถึงความรับผิดชอบและความใส่ใจของผู้ควาญช้าง หากวางขอหรือไม่ใช้ขอในการควบคุม ช้างอาจพาลเกเรหรือไม่เชื่อฟังคำสั่ง ทำให้งานไม่สำเร็จหรือเกิดปัญหาตามมา สำนวนนี้จึงถูกนำมาเปรียบเทียบในเชิงสอนใจว่า หากมีหน้าที่ในการดูแลผู้อื่น เช่น ลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชา เราไม่ควรปล่อยปละละเลย แต่ต้องดูแลกำกับและให้คำแนะนำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความเรียบร้อยและความสำเร็จในสิ่งที่ทำ ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนขี่ช้างจับตั๊กแตน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนขี่ช้างจับตั๊กแตน ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ขี่ช้างจับตั๊กแตน ขี่ช้างจับตั๊กแตน หมายถึง สำนวน “ขี่ช้างจับตั๊กแตน” หมายถึง การลงทุนหรือใช้ทรัพยากรที่มากเกินไปสำหรับสิ่งที่ได้กลับมาน้อยหรือไม่คุ้มค่า เปรียบเหมือนการใช้ช้างซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่ที่ต้องการแรงและความพยายามมาก มาจับเพียงตั๊กแตนซึ่งเป็นสิ่งเล็กน้อย สื่อถึงการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผลกับผลลัพธ์ที่ได้รับ กล่าวคือ “การลงทุนมากแต่ได้ผลเพียงนิดหน่อย” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มีที่มาจากการเปรียบเทียบในวิถีชีวิตของคนไทยที่รู้จักใช้ ช้าง ซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่ มีค่าและต้องใช้ทรัพยากรมากในการดูแล เช่น แรงงาน อาหาร และพลังงาน หากนำช้างมาใช้งานเล็กน้อย เช่น การจับตั๊กแตน ซึ่งเป็นสิ่งเล็ก ๆ และไม่มีค่ามากนัก จะถือว่าเป็นการใช้ทรัพยากรที่มากเกินความจำเป็น ไม่คุ้มค่ากับผลลัพธ์ที่ได้รับ สำนวนนี้สะท้อนถึงแนวคิดของคนไทยในเรื่องความเหมาะสมและความคุ้มค่าในสิ่งที่ทำ ไม่ควรใช้สิ่งที่ยิ่งใหญ่หรือมีมูลค่าสูงเกินไปกับสิ่งที่ได้กลับมาน้อยจนเกินความจำเป็น ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนขวานผ่าซาก ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนขวานผ่าซาก ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ขวานผ่าซาก ขวานผ่าซาก หมายถึง สำนวน “ขวานผ่าซาก” หมายถึง การพูดจาอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการอ้อมค้อมหรือเกรงใจ แม้ว่าคำพูดนั้นอาจฟังดูรุนแรงหรือกระทบความรู้สึกของผู้อื่นก็ตาม สื่อถึงการแสดงความคิดเห็นที่ชัดเจนและตรงประเด็น โดยไม่พยายามประนีประนอมหรือเลือกใช้คำที่นุ่มนวล กล่าวคือ “การพูดแบบโผงผางไม่เกรงใจใคร” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับขวาน ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีลักษณะแข็งและคม ใช้สำหรับผ่าไม้หรือสิ่งของที่แข็งแรง เช่น ซากไม้ การใช้ขวานผ่าซากนั้นไม่ได้อาศัยความประณีตหรือความละเอียดอ่อน แต่ใช้แรงและความเด็ดขาดในการผ่า การเปรียบเทียบนี้นำมาใช้ในเชิงภาษาเพื่อสื่อถึงลักษณะของการพูดหรือแสดงความคิดเห็นที่ตรงไปตรงมา ชัดเจน และเด็ดขาด แต่ขาดความนุ่มนวล อาจทำให้ผู้ฟังรู้สึกกระทบกระเทือนหรือไม่สบายใจ เช่นเดียวกับการใช้ขวานผ่าไม้ที่ไม่อ้อมค้อมแต่ตรงจุด สำนวนนี้จึงสะท้อนถึงการพูดที่เน้นความจริงใจ แต่ขาดการประนีประนอม ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนขอมดำดิน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนขอมดำดิน ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ข. ขอมดำดิน ขอมดำดิน หมายถึง สำนวน “ขอมดำดิน” หมายถึง การหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หรือการหลบหนีไปโดยไม่มีใครทราบว่าไปอยู่ที่ไหน มักใช้ในกรณีที่บุคคลหายตัวไปจากสถานการณ์หรือสถานที่อย่างรวดเร็วและลึกลับ เปรียบเหมือน “ขอม” ที่สามารถดำดินหรือหายตัวไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ กล่าวคือ “คนที่ปรากฏตัวขึ้นทันทีอย่างไม่คาดฝัน หรือหายไปอย่างรวดเร็วไม่ทันได้สังเกต” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากตำนานพระร่วง ซึ่งเล่าถึงนายทหารขอมที่ติดตามมาจับตัวพระร่วง โดยในตำนานกล่าวว่านายทหารขอมใช้ฤทธิ์ดำดินลอดกำแพงวัดเข้าไปเพื่อหาพระร่วง แต่พระร่วงผู้มีวาจาสิทธิ์ได้สั่งให้นายทหารขอมหยุดรออยู่ตรงนั้น ทำให้นายทหารขอมกลายเป็นหินติดอยู่ใต้แผ่นดินตรงบริเวณนั้น สำนวนนี้สะท้อนถึงเรื่องเล่าเกี่ยวกับอาคมและความสามารถพิเศษของคนขอมในตำนานที่สามารถ “ดำดิน” หรือหายตัวได้อย่างน่าอัศจรรย์ เรื่องราวของขอมดำดินยังปรากฏในบทละครเรื่องพระร่วงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเล่าถึงตอนที่พระยาเดโชนายทหารขอม ยกทัพมาจับตัวพระร่วงโดยปลอมตัวเป็นคนไทยและเล็ดลอดไปถึงวัดที่เมืองสุโขทัย ในเหตุการณ์นั้น พระร่วงได้พบกับพระยาเดโชโดยบังเอิญ และจากสำเนียงพูดของนายทหาร พระร่วงทรงทราบทันทีว่าเป็นขอมปลอมตัวมา จึงให้ศิษย์วัดช่วยกันจับตัวนายทหารขอมไว้ได้ จากเรื่องเล่านี้ สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้ในความหมายเปรียบเปรยถึงการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หรือการหลบหนีไปโดยไม่สามารถติดตามได้ เช่นเดียวกับความลึกลับในตำนาน ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน