รู้จักสำนวนข้าวยากหมากแพง ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ข. ข้าวยากหมากแพง

ข้าวยากหมากแพง หมายถึง

สำนวน “ข้าวยากหมากแพง” หมายถึง สถานการณ์ที่บ้านเมืองประสบปัญหาความขาดแคลน อาหารและของใช้จำเป็นมีราคาแพง ทำให้การดำรงชีวิตยากลำบาก มักใช้ในบริบทของวิกฤตเศรษฐกิจหรือช่วงเวลาที่ทรัพยากรหายาก ส่งผลให้ผู้คนต้องเผชิญกับความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน กล่าวคือ “ภาวะหรือสถานการณ์ที่กำลังขาดแคลนอาหาร” นั่นเอง

ที่มาและความหมายข้าวยากหมากแพง

ที่มาของสำนวนนี้

มีที่มาจากวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยโบราณที่ข้าวและหมากเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันของคนไทย โดย “ข้าว” เป็นอาหารหลักที่ขาดไม่ได้ ส่วน “หมาก” หมายถึง หมากที่กินกับพลูกับ และหมมายถึง ผลไม้ปรากฏในคำว่า ผลหมากรากไม้ และในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงว่า หมากส้ม หมากหวาน หมายถึงผลไม้รสเปรี้ยวและผลไม้รสหวาน ดังนั้น หมากแพง จึงหมายถึง หมากและผลไม้มีราคาแพง เป็นสิ่งที่ผู้คนในยุคนั้นนิยมกินเพื่อความเพลิดเพลินและเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม

เมื่อเกิดสถานการณ์ที่บ้านเมืองขาดแคลน เช่น ภัยแล้ง สงคราม หรือเศรษฐกิจตกต่ำ ข้าวและหมากซึ่งเคยมีอยู่มากมายก็กลายเป็นสิ่งหายากและมีราคาแพง จนสะท้อนถึงความลำบากของผู้คนในยุคนั้น สำนวนนี้จึงถูกใช้เปรียบเปรยถึงสถานการณ์ที่ทรัพยากรและของใช้จำเป็นมีราคาสูงและหาได้ยาก ทำให้ชีวิตประจำวันของผู้คนยากลำบากขึ้น

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • หลังจากเกิดภัยแล้งยาวนาน พืชผลทางการเกษตรเสียหาย ราคาข้าวสารและของใช้จำเป็นพุ่งสูงขึ้นจนชาวบ้านเดือดร้อน ทุกคนบอกว่าเป็นยุคข้าวยากหมากแพงอย่างแท้จริง (หมายถึงสถานการณ์ที่ขาดแคลนทรัพยากรพื้นฐาน)
  • ในช่วงสงคราม เศรษฐกิจถดถอย ผู้คนต้องซื้ออาหารในราคาที่แพงลิ่ว และสินค้าหลายอย่างขาดตลาด ทำให้ชีวิตประจำวันลำบากจนผู้เฒ่าผู้แก่เปรียบว่ากลับไปสู่ยุคข้าวยากหมากแพง (เปรียบถึงสถานการณ์ความลำบากในช่วงวิกฤต)
  • หลังจากเกิดน้ำท่วมใหญ่ในหลายจังหวัด ข้าวปลาอาหารในตลาดน้อยลง และราคาพุ่งสูงขึ้น ชาวบ้านต่างพูดกันว่านี่เป็นยุคข้าวยากหมากแพงที่ไม่ได้เจอมานาน (หมายถึงสถานการณ์หลังเกิดภัยพิบัติที่ขาดแคลนอาหาร)
  • ราคาน้ำมันและค่าครองชีพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คนหาเช้ากินค่ำใช้ชีวิตลำบากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนอยู่ในยุคข้าวยากหมากแพงที่ต้องประหยัดทุกสิ่ง (หมายถึงสถานการณ์ที่ค่าครองชีพสูงและคนใช้ชีวิตยากลำบาก)
  • เมื่อสินค้าอุปโภคบริโภคถูกกักตุนในช่วงโรคระบาด ผู้คนต้องจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อซื้อของใช้จำเป็น ทั้งที่มีรายได้น้อยลง สถานการณ์นี้จึงเปรียบได้กับยุคข้าวยากหมากแพงที่ทุกคนต้องปรับตัว (หมายถึงความลำบากในการดำรงชีวิตช่วงวิกฤตเศรษฐกิจและโรคระบาด)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายสำนวนนี้

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจากสำนักงานราชบัณฑิตยสภา

รู้จักสำนวนข้าวเหลือเกลืออิ่ม ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ข. ข้าวเหลือเกลืออิ่ม

ข้าวเหลือเกลืออิ่ม หมายถึง

สำนวน “ข้าวเหลือเกลืออิ่ม” หมายถึง บ้านเมืองที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหารและทรัพยากรเพียงพอสำหรับการดำรงชีวิต สะท้อนถึงความมีอยู่มีกินในสังคมที่ทุกคนสามารถเข้าถึงสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นข้าวปลาอาหารหรือเกลือ ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันของคนไทยในสมัยก่อน กล่าวคือ “บ้านเมืองที่บริบูรณ์ด้วยข้าวปลาอาหาร” นั่นเอง

ที่มาและความหมายข้าวเหลือเกลืออิ่ม

ที่มาของสำนวนนี้

มีที่มาจากวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยโบราณ ที่ให้ความสำคัญกับข้าวและเกลือซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ข้าวเป็นอาหารหลักของคนไทยที่สื่อถึงความมั่งคั่งในด้านอาหาร ขณะที่เกลือเป็นสิ่งสำคัญในครัวเรือน ใช้ในการถนอมอาหารและปรุงรส หากบ้านเมืองใดมีทั้งข้าวที่เหลือเฟือและเกลือที่เพียงพอ แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรและความมั่นคงในด้านปากท้อง

คำว่า “ข้าวเหลือ” สื่อถึงการมีข้าวหรืออาหารที่เพียงพอและเหลือเฟือ ขณะที่ “เกลืออิ่ม” เปรียบได้กับสิ่งจำเป็นในครัวเรือนที่มีอย่างครบครัน แสดงถึงความมั่งคั่งและความบริบูรณ์ของบ้านเมืองในด้านเศรษฐกิจและทรัพยากร และสองคำนี้ยังคลองจองกันได้อย่างไม่มีที่ติ

สำนวนนี้สะท้อนภาพของสังคมที่มีความพร้อมในด้านปัจจัยยังชีพพื้นฐาน ทุกคนสามารถดำรงชีวิตได้อย่างสุขสบาย สำนวนจึงมักใช้เปรียบเปรยถึงบ้านเมืองหรือชุมชนที่บริบูรณ์ด้วยอาหารและทรัพยากรที่เพียงพอสำหรับทุกคน

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • บ้านเมืองในยุคนี้เต็มไปด้วยความเจริญ ผู้คนสามารถเข้าถึงอาหารและทรัพยากรได้ง่าย จึงเรียกได้ว่าเป็นยุคแห่งข้าวเหลือเกลืออิ่ม ที่ทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่มั่นคง (เปรียบถึงบ้านเมืองที่อุดมสมบูรณ์)
  • ชุมชนริมแม่น้ำแห่งนี้มีการเกษตรที่อุดมสมบูรณ์ ข้าวปลาหากินง่าย ผลผลิตในท้องถิ่นเพียงพอต่อการดำรงชีวิต ถือเป็นชุมชนที่ข้าวเหลือเกลืออิ่มอย่างแท้จริง (หมายถึงชุมชนที่มีทรัพยากรเหลือเฟือ)
  • หลังจากรัฐบาลสนับสนุนโครงการส่งเสริมการเกษตรและปศุสัตว์ ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลก็เริ่มมีข้าวเหลือเกลืออิ่ม ชีวิตความเป็นอยู่ก็ดีขึ้นอย่างชัดเจน (หมายถึงความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นในชุมชน)
  • เมืองสุโขทัยในอดีตเป็นเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีข้าวปลาอาหารสมบูรณ์ทุกฤดูกาล จึงกล่าวได้ว่าเป็นบ้านเมืองแห่งข้าวเหลือเกลืออิ่มในยุคนั้น (เปรียบถึงความรุ่งเรืองและความมั่งคั่งของบ้านเมือง)
  • ครอบครัวของลุงสมปลูกข้าวเอง เก็บเกี่ยวได้เต็มยุ้งฉาง และยังผลิตเกลือใช้เองในครัวเรือน เรียกได้ว่าเป็นตัวอย่างของวิถีชีวิตที่ข้าวเหลือเกลืออิ่ม แม้จะอยู่อย่างเรียบง่ายแต่ก็เพียงพอและมีความสุข (หมายถึงครอบครัวที่มีความพอเพียงและอุดมสมบูรณ์)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายสำนวนนี้

  • ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว หมายถึง: บ้านเมืองที่อุดมสมบูรณ์ มีทรัพยากรธรรมชาติและอาหารเพียงพอสำหรับทุกคน

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนข้าวใหม่ปลามัน ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ข. ข้าวใหม่ปลามัน

ข้าวใหม่ปลามัน หมายถึง

สำนวน “ข้าวใหม่ปลามัน” หมายถึง ช่วงเวลาเริ่มต้นของสิ่งใหม่ ๆ ที่มีความสดใหม่ น่าตื่นเต้น หรือเต็มไปด้วยความสุข โดยมักใช้เปรียบเทียบกับความสัมพันธ์ของคู่แต่งงานใหม่ที่กำลังหวานชื่น หรือสถานการณ์ที่เพิ่งเริ่มต้นและยังคงมีความตื่นเต้นและความสุขอยู่ เปรียบเหมือนข้าวใหม่ที่นุ่มอร่อย และปลามันที่สดและอุดมด้วยรสชาติ กล่าวคือ “อะไรที่เป็นของใหม่ก็ถือว่าดี, นิยมเรียกช่วงเวลาที่สามีภรรยาเพิ่งแต่งงานกันใหม่ ๆ ว่า ระยะข้าวใหม่ปลามัน” นั่นเอง

ที่มาและความหมายข้าวใหม่ปลามัน

ที่มาของสำนวนนี้

มาจากวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยก่อน เมื่อเข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยว ข้าวที่ได้ใหม่ ๆ จะมีความสด นุ่ม และหอม ส่วนปลาที่จับได้ในช่วงน้ำหลากก็มักจะสมบูรณ์และมีไขมันมาก ทำให้รสชาติดีเป็นพิเศษ เปรยบได้ดั่งเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สดใหม่

การเปรียบเทียบนี้สะท้อนถึงความสดใหม่และความอุดมสมบูรณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันในช่วงเวลานั้น ต่อมาสำนวนนี้ถูกนำมาใช้ในเชิงเปรียบเปรยถึงช่วงเวลาที่สดชื่น น่าตื่นเต้น หรือเต็มไปด้วยความสุข โดยเฉพาะในความสัมพันธ์ของคู่แต่งงานใหม่ที่กำลังหวานชื่น เปรียบเหมือนข้าวใหม่ที่นุ่มอร่อย และปลามันที่สดอุดมไปด้วยรสชาติ

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • คู่บ่าวสาวที่เพิ่งแต่งงานใหม่มักตัวติดกันทุกวัน แสดงความรักหวานชื่นจนคนรอบข้างพูดว่าอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามัน (หมายถึงช่วงแรกของการแต่งงานที่เต็มไปด้วยความสุข)
  • เมื่อเริ่มต้นงานใหม่ เขารู้สึกตื่นเต้นและทุ่มเทกับงานอย่างเต็มที่ เหมือนกับช่วงข้าวใหม่ปลามันที่ทุกอย่างดูสดใสและมีพลัง (หมายถึงช่วงแรกของการทำสิ่งใหม่ที่ยังคงความกระตือรือร้น)
  • หลังจากซื้อรถคันใหม่มา เขาใช้เวลาเกือบทั้งวันทำความสะอาดและดูแลรถอย่างดี เพื่อน ๆ เลยพูดว่าเขากำลังอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามันกับรถคันใหม่ (หมายถึงความตื่นเต้นกับของใหม่)
  • ผู้จัดการคนใหม่เข้ามาทำงานในบริษัท ทุกคนในทีมร่วมมือกันทำงานอย่างมีพลังและตื่นเต้น เหมือนกับช่วงข้าวใหม่ปลามันที่ทุกคนยังรู้สึกสดชื่นกับการเปลี่ยนแปลง (หมายถึงช่วงแรกของการเปลี่ยนแปลงที่มีความกระตือรือร้น)
  • คู่รักที่เพิ่งเริ่มคบกันมักจะตัวติดกันแทบทุกเวลา แสดงความหวานให้คนรอบข้างเห็น จนเพื่อนแซวว่ากำลังอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามัน (หมายถึงความสดใสในช่วงแรกของความสัมพันธ์)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนขี้หมูราขี้หมาแห้ง ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ข. ขี้หมูราขี้หมาแห้ง

ขี้หมูราขี้หมาแห้ง หมายถึง

สำนวน “ขี้หมูราขี้หมาแห้ง” หมายถึง เรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ ไร้สาระ ไร้ประโยชน์แก่นสาร ที่ไม่สำคัญ เปรียบเหมือนการใส่ใจกับขี้หมูที่ขึ้นรา หรือขี้หมาที่แห้งแล้ว ซึ่งไร้ค่าและไม่มีประโยชน์ สื่อถึงความไม่เป็นสาระหรือการใส่ใจในสิ่งที่ไม่มีคุณค่าจนเกินความจำเป็น กล่าวคือ “เรื่องไร้สาระ, ไร้ประโยชน์” นั่นเอง

ที่มาและความหมายขี้หมูราขี้หมาแห้ง

ที่มาของสำนวนนี้

มีที่มาจากการเปรียบเปรยสิ่งที่ไม่มีคุณค่าหรือไม่มีความสำคัญในวิถีชีวิตไทยโบราณ โดย “ขี้หมู” คือของเสียจากหมูที่มักเน่าเสียหรือขึ้นรา และ “ขี้หมา” คือของเสียจากสุนัขที่เมื่อแห้งแล้วก็ยิ่งไม่มีประโยชน์

การนำ “ขี้หมู” และ “ขี้หมา” มาพูดถึงในลักษณะนี้ สื่อให้เห็นถึงสิ่งที่ไร้ค่าและไม่น่าใส่ใจ แต่กลับถูกหยิบยกขึ้นมาพูดหรือทำให้เป็นเรื่องสำคัญ ทั้งที่ควรปล่อยผ่านหรือจบไป สำนวนนี้จึงสะท้อนถึงการใส่ใจหรือให้ค่ากับเรื่องเล็กน้อยจนเกินไป หรือการขยายความเรื่องที่ไม่มีสาระให้กลายเป็นปัญหาใหญ่โดยไม่จำเป็น

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • เพื่อนในกลุ่มทะเลาะกันเรื่องใครควรจ่ายค่าอาหารเพิ่มอีก 10 บาท ทั้งที่จำนวนเงินไม่มาก แต่กลับทำให้เกิดความขัดแย้งยืดเยื้อ คนอื่นเลยบอกว่ามันก็แค่เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง ทำไมต้องให้เป็นเรื่องใหญ่ (หมายถึงการขยายเรื่องเล็กน้อยให้กลายเป็นปัญหา)
  • ในที่ประชุม มีการโต้เถียงกันอย่างหนักว่าเอกสารควรใช้ฟอนต์ไหน ทั้งที่มันไม่มีผลต่อเนื้อหา คนหนึ่งเลยตำหนิว่าอย่าเสียเวลากับเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งเลย (หมายถึงการให้ความสำคัญกับเรื่องที่ไม่สำคัญ)
  • สองพี่น้องทะเลาะกันเรื่องของเล่นที่หายไป ทั้งที่มันเป็นของเล่นเก่าและไม่สำคัญ พ่อจึงเตือนว่าเรื่องนี้มันขี้หมูราขี้หมาแห้ง อย่าทะเลาะกันให้เปลืองเวลา (หมายถึงการทะเลาะกันในเรื่องที่ไม่มีค่า)
  • ลูกค้าโวยวายใส่พนักงานเพียงเพราะน้ำแข็งในแก้วไม่เต็ม จนทำให้บรรยากาศในร้านอึดอัด เจ้าของร้านพูดว่าอย่าให้เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งมาทำให้เสียบรรยากาศ (หมายถึงการทำเรื่องเล็กน้อยให้เป็นเรื่องใหญ่โดยไม่จำเป็น)
  • ชาวบ้านในหมู่บ้านถกเถียงกันว่าใครควรตัดหญ้าบริเวณหน้าบ้าน ทั้งที่มันเป็นพื้นที่เล็ก ๆ และไม่ส่งผลกระทบอะไร หัวหน้าหมู่บ้านเลยพูดว่ามันก็แค่เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง อย่าเสียเวลากับเรื่องนี้เลย (หมายถึงการโต้แย้งเรื่องเล็ก ๆ ที่ไม่สำคัญจนเกินควร)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนขี้ใหม่หมาหอม ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ข. ขี้ใหม่หมาหอม

ขี้ใหม่หมาหอม หมายถึง

สำนวน “ขี้ใหม่หมาหอม” หมายถึง คนที่หลงใหลหรือให้ความสนใจในสิ่งใหม่ ๆ เป็นพิเศษในช่วงแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความสนใจหรือความสำคัญนั้นก็ลดลง เปรียบเทียบกับพฤติกรรมของสุนัขที่สนใจดมหรือคลุกคลีกับกองอุจจาระใหม่เพราะกลิ่นยังสด แต่ไม่นานก็จะเลิกสนใจและไปหาสิ่งอื่นแทน กล่าวคือ “คนเห่อของใหม่” นั่นเอง

ที่มาและความหมายขี้ใหม่หมาหอม

ที่มาของสำนวนนี้

มีที่มาจากการสังเกตพฤติกรรมของสุนัขในวิถีชีวิตไทยโบราณ ซึ่งเมื่อมีอุจจาระหรือ “ขี้” ที่เพิ่งถ่ายใหม่ ๆ สุนัขมักจะเข้าไปดมอย่างสนใจ เพราะกลิ่นยังสดและดึงดูดใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลิ่นจางลง สุนัขก็จะเลิกสนใจและหันไปสนใจสิ่งใหม่แทน

สำนวนนี้ถูกนำมาเปรียบเปรยกับพฤติกรรมของคนที่ให้ความสนใจหรือหลงใหลสิ่งใหม่ ๆ ในช่วงแรกอย่างมาก แต่เมื่อความแปลกใหม่หมดไป ความสนใจนั้นก็ค่อย ๆ ลดลงหรือหายไป เช่นเดียวกับสุนัขที่เลิกสนใจ “ขี้ใหม่” เมื่อกลิ่นเริ่มจาง

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • พนักงานใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงาน ทุกคนในออฟฟิศให้ความสนใจและเอาใจใส่เขามาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความตื่นเต้นก็หายไป กลายเป็นปฏิบัติเหมือนพนักงานทั่วไป นี่เป็นตัวอย่างของขี้ใหม่หมาหอม (หมายถึงความสนใจในช่วงแรกที่ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป)
  • ร้านกาแฟเปิดใหม่ในหมู่บ้าน มีคนแห่กันไปอุดหนุนจนแน่นร้านทุกวัน แต่พอเปิดไปได้ไม่กี่เดือน คนก็เริ่มลดน้อยลง เพราะความแปลกใหม่หมดไป เหมือนขี้ใหม่หมาหอม (หมายถึงความนิยมในสิ่งใหม่ที่ค่อย ๆ ลดลง)
  • เจ้านายโปรโมตหัวหน้าทีมคนใหม่ ทุกคนในแผนกให้ความสนใจและเชื่อฟังเขามากในช่วงแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไป พฤติกรรมของทีมเริ่มกลับมาเหมือนเดิม เป็นตัวอย่างของขี้ใหม่หมาหอม (หมายถึงความตื่นเต้นในช่วงแรกที่หมดไป)
  • รถยนต์รุ่นใหม่ที่เปิดตัวในตลาดมีคนพูดถึงและสนใจอย่างล้นหลาม แต่ไม่นานก็ถูกลืมเมื่อมีรุ่นใหม่กว่าออกมา เรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ขี้ใหม่หมาหอม (หมายถึงการสนใจสิ่งใหม่เพียงชั่วคราว)
  • ช่วงแรกที่เธอมีแฟนใหม่ เพื่อน ๆ ต่างพากันพูดถึงเขาและอยากรู้จัก แต่พอคบกันไปสักพัก เพื่อน ๆ ก็ไม่สนใจอีกต่อไป เพราะหมดความตื่นเต้นเหมือนขี้ใหม่หมาหอม (หมายถึงความสนใจที่มีในช่วงแรกซึ่งลดลงตามเวลา)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายสำนวนนี้

  • มะพร้าวตื่นดก ยาจกตื่นมี หมายถึง: อาการของคนเห่อหรือตื่นเต้นในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยมีไม่เคยได้ จนออกหน้าเกินพอดี

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนขี้ไม่ให้หมากิน ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ข. ขี้ไม่ให้หมากิน

ขี้ไม่ให้หมากิน หมายถึง

สำนวน “ขี้ไม่ให้หมากิน” หมายถึง คนที่ตระหนี่ถี่เหนียวหรือหวงของจนเกินเหตุ แม้สิ่งของที่ไม่มีคุณค่าหรือไม่มีประโยชน์สำหรับตัวเองก็ยังไม่ยอมให้ผู้อื่น เปรียบเสมือนการขับถ่ายของเสียที่ไม่เกิดประโยชน์กับตัวเอง แต่ยังไม่ยอมให้สุนัขที่อยู่ใต้ถุนบ้านได้กิน สะท้อนถึงพฤติกรรมของคนที่ขาดน้ำใจหรือความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น กล่าวคือ “ขี้เหนียว, ตระหนี่เหนียวแน่น” นั่นเอง

ที่มาและความหมายขี้ไม่ให้หมากิน

ที่มาของสำนวนนี้

มาจากในสมัยโบราณ บ้านเรือนไทยมักปลูกแบบยกพื้นสูง มีใต้ถุนโล่ง ๆ และพื้นบ้านด้านบนมักมีร่องสำหรับขับถ่ายของเสีย เช่น อุจจาระ ซึ่งเมื่ออุจจาระตกลงมาข้างล่าง สุนัขที่อยู่ใต้ถุนบ้านก็มักจะมากินเป็นเรื่องปกติในวิถีชีวิตของคนยุคนั้น อย่างไรก็ตาม บางบ้านที่ประหยัดมัธยัสถ์ สิ่งใดที่มีประโยชน์ก็มักจะเก็บไว้ใช้งาน เช่น อุจจาระและปัสสาวะที่ถูกเก็บไว้ในถังหรือไห เพื่อนำมาหมักเป็นปุ๋ยสำหรับใส่ผัก จนเกิดการเปรียบเปรยว่า “แม้กระทั่งขี้หมาก็ไม่ได้กิน” สะท้อนถึงความตระหนี่ที่ไม่ยอมให้ผู้อื่นหรือแม้แต่สัตว์ได้ประโยชน์จากสิ่งที่เหลือใช้

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • พ่อค้ารายหนึ่งขายสินค้าในราคาสูงลิ่ว แต่ยังตัดลดคุณภาพสินค้าเพื่อลดต้นทุน คนในตลาดต่างพูดกันว่าเขาเป็นคนขี้ไม่ให้หมากิน ไม่ยอมเสียเปรียบใครแม้แต่น้อย (หมายถึงความตระหนี่และหวงผลประโยชน์ของตัวเอง)
  • เจ้าของบ้านเช่าคิดค่าเช่าแพงแล้ว แต่ยังไม่ยอมเปลี่ยนหลอดไฟที่เสียให้ผู้เช่า จนเพื่อนบ้านพูดว่าเขาขี้ไม่ให้หมากินจริง ๆ (หมายถึงความตระหนี่และไม่ยอมช่วยเหลือแม้ในสิ่งเล็กน้อย)
  • น้องชายกินขนมแล้วเหลือเศษเล็ก ๆ แต่ไม่ยอมแบ่งให้เพื่อน ทั้งที่ตัวเองก็ไม่กินต่อ เพื่อน ๆ เลยล้อว่านิสัยขี้ไม่ให้หมากินเสียจริง (หมายถึงการหวงของที่ตัวเองไม่ได้ใช้ประโยชน์)
  • หัวหน้าแผนกปฏิเสธไม่ยอมแบ่งงบประมาณเล็กน้อยให้กับแผนกอื่น ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ใช้งบส่วนนี้ในปีนั้น ลูกน้องจึงพูดลับหลังว่าเขาเหมือนคนขี้ไม่ให้หมากิน (หมายถึงการหวงทรัพยากรที่ตัวเองไม่ได้ใช้)
  • เจ้าของสวนผลไม้เก็บผลไม้ที่หล่นพื้นมาขายทั้งหมด แม้จะเป็นผลไม้ที่เสียไปแล้ว ไม่เหลือให้สัตว์ในสวนได้กินเลย คนงานในสวนเลยพูดกันว่าเจ้าของสวนเป็นคนขี้ไม่ให้หมากิน (หมายถึงการหวงทุกอย่างจนเกินเหตุ แม้สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ต่อตัวเอง)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนขี้ราดโทษล่อง ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ข. ขี้ราดโทษล่อง

ขี้ราดโทษล่อง หมายถึง

สำนวน “ขี้ราดโทษล่อง” หมายถึง การทำผิดหรือก่อปัญหาด้วยตัวเอง แต่กลับโยนความผิดหรือกล่าวโทษคนอื่นแทน เปรียบเสมือนการขับถ่ายเลอะเทอะเอง แต่กลับโทษว่าล่องมีขนาดเล็กหรือไม่เหมาะสม สะท้อนถึงพฤติกรรมที่ขาดความรับผิดชอบ และไม่ยอมรับความผิดของตัวเอง กล่าวคือ “ทำผิดเอง แล้วกลับโทษผู้อื่น” นั่นเอง

ที่มาและความหมายขี้ราดโทษล่อง

ที่มาของสำนวนนี้

มีที่มาจากวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยโบราณ ซึ่งนิยมสร้างบ้านยกพื้นสูง ใต้ถุนโปร่ง และส่วนของพื้นบ้าน เช่น พื้นครัวหรือพื้นชาน มักจะมีล่องหรือช่องว่างระหว่างแผ่นไม้ที่เว้นไว้สำหรับระบายน้ำทิ้ง เช่น น้ำล้างจาน น้ำฝน หรือของเสียต่าง ๆ ให้ไหลลงใต้ถุนบ้าน

หากผู้ขับถ่ายไม่ระมัดระวังจนทำให้อุจจาระตกนอกล่องและเลอะเทอะ ผู้กระทำอาจกล่าวโทษว่าล่อง มีขนาดเล็กหรือไม่เหมาะสม ทั้งที่ความผิดพลาดเกิดจากความสะเพร่าของตัวเอง การเปรียบเปรยนี้จึงสะท้อนถึงพฤติกรรมของคนที่ทำผิดเอง แต่กลับไม่ยอมรับผิดและพยายามโยนความผิดให้สิ่งอื่นหรือคนอื่นแทน

สำนวนนี้จึงเป็นเครื่องเตือนใจให้คนรู้จักรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง และไม่กล่าวโทษสิ่งอื่นเพียงเพื่อปกปิดความผิดของตัวเอง

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • นักเรียนที่ทำคะแนนสอบได้ต่ำเพราะไม่อ่านหนังสือ กลับกล่าวโทษว่าข้อสอบยากเกินไป ทั้งที่ปัญหาเกิดจากการไม่เตรียมตัวของตัวเอง ครูจึงเตือนว่าอย่าทำตัวเหมือนขี้ราดโทษล่อง (หมายถึงการโยนความผิดให้สิ่งอื่นแทนที่จะยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง)
  • ลูกชายขับรถชนเสาไฟฟ้าเพราะเล่นโทรศัพท์ แต่กลับโทษว่าถนนไม่ดี พ่อจึงบอกว่าเขากำลังทำตัวเหมือนขี้ราดโทษล่อง (หมายถึงการไม่ยอมรับผิดและโยนความผิดให้สิ่งอื่น)
  • ผู้จัดการทำแผนงานผิดพลาดเพราะไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ แต่กลับตำหนิทีมงานว่าไม่ช่วยเตือน ทั้งที่เป็นความรับผิดชอบของตัวเอง นี่คือตัวอย่างของคนที่ทำตัวเหมือนขี้ราดโทษล่อง (หมายถึงการโยนความผิดให้คนอื่นโดยไม่ยอมรับผิด)
  • เด็กเล็กที่ทำแก้วน้ำตกแตก กลับกล่าวโทษว่าโต๊ะลื่นจนแก้วตก ทั้งที่ตัวเองวางแก้วไม่ดี ผู้ปกครองจึงใช้โอกาสนี้สอนว่าอย่าทำตัวเหมือนขี้ราดโทษล่อง (หมายถึงการสอนให้รับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง)
  • เพื่อนร่วมงานส่งงานช้าเพราะมัวแต่เล่นโซเชียลมีเดีย แต่กลับโทษว่าคอมพิวเตอร์ทำงานช้า หัวหน้าจึงพูดเชิงตำหนิว่าอย่าทำตัวเหมือนขี้ราดโทษล่อง (หมายถึงการโยนความผิดให้สิ่งอื่นแทนการยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายสำนวนนี้

  • ของหายตะพายบาป ความหมาย: การสูญเสียทรัพย์สินหรือของสำคัญ แล้วกลับกล่าวหาผู้อื่นโดยไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด
  • รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง หมายถึง: การกระทำใด ๆ ของตนที่ได้ผลออกมาไม่ดี แต่กลับโทษคนอื่นหรือสิ่งอื่น แทนที่จะโทษตัวเอง

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนขี่ช้างอย่าวางขอ ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ข. ขี่ช้างอย่าวางขอ

ขี่ช้างอย่าวางขอ หมายถึง

สำนวน “ขี่ช้างอย่าวางขอ” หมายถึง การที่มีลูกน้อง หรือมีผู้น้อยที่อยู่ในความปกครองหรือใต้บังคับบัญชาของเรา ก็อย่าประมาทละเลยเสีย ต้องหมั่นกวดขันกำชับ หรือเมื่อทำงานใหญ่หรือรับผิดชอบเรื่องสำคัญ ต้องทำให้สำเร็จจนถึงที่สุด อย่าทิ้งกลางคันหรือปล่อยปละละเลย เปรียบเสมือนการขี่ช้างที่เป็นสัตว์ใหญ่ หากวางขอ (เครื่องมือบังคับช้าง) จะควบคุมช้างไม่ได้ อาจทำให้เกิดปัญหาหรืออันตรายตามมา สำนวนนี้เตือนให้ตระหนักถึงความรับผิดชอบและความรอบคอบในการทำสิ่งที่สำคัญ

ที่มาและความหมายขี่ช้างอย่าวางขอ

ที่มาของสำนวนนี้

มีที่มาจากวิถีชีวิตของคนไทยในอดีตที่มีการใช้ช้างเป็นสัตว์พาหนะและแรงงาน เช่น ใช้ช้างลากซุงหรือขนส่งสิ่งของ รวมถึงการศึกสงคราม การควบคุมช้างให้ทำงานตามคำสั่งจำเป็นต้องใช้ ขอ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่ผู้ควาญช้าง (คนดูแลและขี่ช้าง) ใช้สับหรือบังคับช้างให้อยู่ในความควบคุม

ขอจึงเปรียบเสมือนเครื่องมือที่แสดงถึงความรับผิดชอบและความใส่ใจของผู้ควาญช้าง หากวางขอหรือไม่ใช้ขอในการควบคุม ช้างอาจพาลเกเรหรือไม่เชื่อฟังคำสั่ง ทำให้งานไม่สำเร็จหรือเกิดปัญหาตามมา

สำนวนนี้จึงถูกนำมาเปรียบเทียบในเชิงสอนใจว่า หากมีหน้าที่ในการดูแลผู้อื่น เช่น ลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชา เราไม่ควรปล่อยปละละเลย แต่ต้องดูแลกำกับและให้คำแนะนำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความเรียบร้อยและความสำเร็จในสิ่งที่ทำ

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • นายจ้างที่ให้ลูกน้องทำงานสำคัญ ต้องคอยตรวจสอบและให้คำแนะนำอย่างสม่ำเสมอ เพราะหากปล่อยปละละเลย งานอาจผิดพลาดจนเกิดความเสียหาย นี่คือการเตือนว่าเมื่อขี่ช้างอย่าวางขอ ต้องดูแลให้ดีจนงานสำเร็จ (หมายถึงการดูแลความรับผิดชอบอย่างใกล้ชิด)
  • ผู้จัดการที่ได้รับโปรเจกต์ใหญ่จากบริษัท ต้องคอยควบคุมทีมงานให้ทำตามแผนที่กำหนดไว้ หากละเลยหรือปล่อยให้ทีมทำตามใจตัวเอง อาจเกิดความล้มเหลว จึงต้องขี่ช้างอย่าวางขอ เพื่อให้โปรเจกต์เดินหน้าไปได้ (เปรียบถึงการไม่ละทิ้งความรับผิดชอบ)
  • ในฐานะแม่ทัพ เขาต้องคอยดูแลทหารในกองทัพให้ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด หากปล่อยปละจนเกิดความยุ่งเหยิงในกองทัพ อาจทำให้ศึกครั้งนี้พ่ายแพ้ การขี่ช้างอย่าวางขอจึงเป็นสิ่งสำคัญในการนำทัพ (แสดงถึงการดูแลกองทัพอย่างใกล้ชิด)
  • ครูใหญ่ที่มอบหมายงานสำคัญให้กับครูผู้ช่วย ต้องคอยติดตามและให้คำปรึกษา ไม่เช่นนั้นงานโรงเรียนอาจล้มเหลว การขี่ช้างอย่าวางขอช่วยให้การบริหารงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ (แสดงถึงการดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างต่อเนื่อง)
  • ผู้ปกครองที่มีลูกวัยรุ่นต้องคอยให้คำแนะนำและติดตามพฤติกรรมของลูก หากปล่อยให้ทำตามใจโดยไม่ดูแล อาจเกิดปัญหาตามมา นี่จึงเป็นตัวอย่างของการขี่ช้างอย่าวางขอ ต้องคอยกำกับดูแลเพื่อให้ลูกเดินในทางที่ถูกต้อง (หมายถึงการเลี้ยงดูอย่างรับผิดชอบและไม่ละเลย)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายสำนวนนี้

  • ไว้ใจทาง วางใจคน จะจนใจเอง หมายถึง: การไว้วางใจมากเกินไปโดยไม่ตรวจสอบหรือกำกับดูแล อาจนำไปสู่ความเสียหายหรือปัญหา
  • ช้างสารงูเห่า ข้าเก่าเมียรัก ความหมาย: สิ่งที่ต้องระวังที่สุดคือศัตรูที่ใกล้ตัวหรือคนที่เราไว้ใจ

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก ClassStart Books

รู้จักสำนวนขี่ช้างจับตั๊กแตน ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ข. ขี่ช้างจับตั๊กแตน

ขี่ช้างจับตั๊กแตน หมายถึง

สำนวน “ขี่ช้างจับตั๊กแตน” หมายถึง การลงทุนหรือใช้ทรัพยากรที่มากเกินไปสำหรับสิ่งที่ได้กลับมาน้อยหรือไม่คุ้มค่า เปรียบเหมือนการใช้ช้างซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่ที่ต้องการแรงและความพยายามมาก มาจับเพียงตั๊กแตนซึ่งเป็นสิ่งเล็กน้อย สื่อถึงการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผลกับผลลัพธ์ที่ได้รับ กล่าวคือ “การลงทุนมากแต่ได้ผลนิดหน่อย” นั่นเอง

ที่มาและความหมายขี่ช้างจับตั๊กแตน

ที่มาของสำนวนนี้

สำนวน “ขี่ช้างจับตั๊กแตน” มีที่มาจากการเปรียบเทียบในวิถีชีวิตของคนไทยที่รู้จักใช้ ช้าง ซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่ มีค่าและต้องใช้ทรัพยากรมากในการดูแล เช่น แรงงาน อาหาร และพลังงาน หากนำช้างมาใช้งานเล็กน้อย เช่น การจับ ตั๊กแตน ซึ่งเป็นสิ่งเล็ก ๆ และไม่มีค่ามากนัก จะถือว่าเป็นการใช้ทรัพยากรที่มากเกินความจำเป็น ไม่คุ้มค่ากับผลลัพธ์ที่ได้รับ

สำนวนนี้สะท้อนถึงแนวคิดของคนไทยในเรื่องความเหมาะสมและความคุ้มค่าในสิ่งที่ทำ ไม่ควรใช้สิ่งที่ยิ่งใหญ่หรือมีมูลค่าสูงเกินไปกับสิ่งที่ได้กลับมาน้อยจนเกินความจำเป็น

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • บริษัทใหญ่ลงทุนเปิดสำนักงานหรูเพื่อจัดงานประชุมสำหรับพนักงานเพียงไม่กี่คน ทุกคนมองว่านี่เป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตน เพราะค่าใช้จ่ายสูงเกินกว่าผลลัพธ์ที่จะได้รับ (หมายถึงการใช้ทรัพยากรมากเกินไปในสิ่งที่ไม่จำเป็น)
  • เจ้านายส่งรถบรรทุกใหญ่ไปรับเอกสารเล็ก ๆ ชิ้นเดียวจากอีกอำเภอหนึ่ง ลูกน้องเลยพูดกันว่านี่มันขี่ช้างจับตั๊กแตนชัด ๆ (เปรียบถึงการใช้ทรัพยากรที่ใหญ่โตกับงานเล็ก ๆ)
  • เพื่อนคนหนึ่งจ้างช่างมืออาชีพราคาแพงเพื่อมาซ่อมปลั๊กไฟที่หลุดออกจากผนังเพียงนิดเดียว เพื่อนคนอื่นมองว่าเขาขี่ช้างจับตั๊กแตนเกินไป (หมายถึงการใช้เงินมากกับปัญหาที่เล็กน้อย)
  • การเปิดตัวสินค้าราคาถูก แต่ใช้สถานที่ระดับโรงแรมหรูพร้อมการจัดงานยิ่งใหญ่ ทำให้หลายคนวิจารณ์ว่าเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตน เพราะต้นทุนการจัดงานสูงเกินไปเมื่อเทียบกับสินค้าที่นำเสนอ (หมายถึงการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า)
  • พ่อแม่ซื้อชุดนักเรียนราคาแพงจากห้างดังเพียงเพราะต้องการให้ลูกไปใส่ในโรงเรียนเล็ก ๆ ในชนบท เพื่อนบ้านบอกว่าเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตน เพราะชุดนักเรียนธรรมดาก็ใช้งานได้เหมือนกัน (หมายถึงการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายสำนวนนี้

  • ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ หมายถึง: การลงทุนหรือใช้ทรัพยากรมากแต่ไม่ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า หรือสูญเปล่า
  • ตีงูให้กากิน หมายถึง: การทำงานที่ใช้แรงหรือทรัพยากรมาก แต่ผลประโยชน์กลับตกอยู่กับคนอื่น
  • เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย หมายถึง: การไม่ยอมเสียสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ตั้งแต่ต้น แต่สุดท้ายกลับต้องเสียมากกว่าในภายหลัง

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสำนวนขวานผ่าซาก ที่มาและความหมาย

สำนวนหมวดหมู่ ข. ขวานผ่าซาก

ขวานผ่าซาก หมายถึง

สำนวน “ขวานผ่าซาก” หมายถึง การพูดจาอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการอ้อมค้อมหรือเกรงใจ แม้ว่าคำพูดนั้นอาจฟังดูรุนแรงหรือกระทบความรู้สึกของผู้อื่นก็ตาม สื่อถึงการแสดงความคิดเห็นที่ชัดเจนและตรงประเด็น โดยไม่พยายามประนีประนอมหรือเลือกใช้คำที่นุ่มนวล กล่าวคือ “การพูดแบบโผงผางไม่เกรงใจใคร” นั่นเอง

ที่มาและความหมายขวานผ่าซาก

ที่มาของสำนวนนี้

สำนวน “ขวานผ่าซาก” มีที่มาจากการเปรียบเทียบกับขวาน ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีลักษณะแข็งและคม ใช้สำหรับผ่าไม้หรือสิ่งของที่แข็งแรง เช่น ซากไม้ การใช้ขวานผ่าซากนั้นไม่ได้อาศัยความประณีตหรือความละเอียดอ่อน แต่ใช้แรงและความเด็ดขาดในการผ่า

การเปรียบเทียบนี้นำมาใช้ในเชิงภาษาเพื่อสื่อถึงลักษณะของการพูดหรือแสดงความคิดเห็นที่ตรงไปตรงมา ชัดเจน และเด็ดขาด แต่ขาดความนุ่มนวล อาจทำให้ผู้ฟังรู้สึกกระทบกระเทือนหรือไม่สบายใจ เช่นเดียวกับการใช้ขวานผ่าไม้ที่ไม่อ้อมค้อมแต่ตรงจุด สำนวนนี้จึงสะท้อนถึงการพูดที่เน้นความจริงใจ แต่ขาดการประนีประนอม

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • ในที่ประชุมหัวหน้าแผนกพูดวิจารณ์แผนงานของลูกทีมว่า “งานนี้แย่เกินไป ไม่มีความคิดสร้างสรรค์เลย” ลูกทีมหลายคนรู้สึกอึดอัดกับคำพูดที่ขวานผ่าซากเช่นนี้ (แสดงถึงการพูดตรงไปตรงมาจนกระทบความรู้สึกของคนฟัง)
  • เพื่อนของเธอพูดตรง ๆ ว่า “ชุดนี้ไม่เหมาะกับเธอเลย ดูไม่เข้ากันสักนิด” แม้จะรู้ว่าเพื่อนพูดด้วยความหวังดี แต่ก็อดรู้สึกขัดใจไม่ได้กับคำพูดที่ขวานผ่าซากแบบนี้ (หมายถึงการพูดอย่างตรงไปตรงมาจนทำให้อีกฝ่ายไม่สบายใจ)
  • เมื่อถูกถามถึงความเห็นเกี่ยวกับโครงการใหม่ เขาตอบไปว่า “โครงการนี้ไม่น่าจะสำเร็จ เพราะทุกอย่างดูไม่มีการวางแผนที่ดีเลย” ทุกคนในทีมรู้สึกได้ว่าเขาเป็นคนพูดแบบขวานผ่าซาก (แสดงถึงการวิจารณ์ที่ชัดเจนและตรงไปตรงมา)
  • ผู้ใหญ่ในบ้านตำหนิหลานตรง ๆ ว่า “สอบตกอีกแล้ว เพราะเธอไม่ตั้งใจเรียนเลย!” หลานรู้สึกเสียหน้าเพราะคำพูดขวานผ่าซากของผู้ใหญ่ต่อหน้าคนอื่น (แสดงถึงการพูดตรงโดยไม่เกรงใจความรู้สึก)
  • ในวงสนทนา เพื่อนคนหนึ่งบอกอีกคนว่า “ปัญหาความรักของเธอเกิดจากตัวเธอเองที่ไม่ฟังใครเลย” แม้จะเป็นความจริง แต่ทุกคนในวงก็มองว่าเป็นการพูดแบบขวานผ่าซากจนทำให้บรรยากาศอึดอัด (หมายถึงการพูดความจริงที่ตรงเกินไปจนทำให้คนฟังไม่สบายใจ)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายสำนวนนี้

  • มะนาวไม่มีน้ำ หมายถึง: ลักษณะการพูดที่พูดห้วน ๆ ไม่ไพเราะ ไม่น่าฟัง พูดจาแข็งกระด้างไม่มีความนุ่มนวล หรือพูดตรงไปตรงมาจนคนฟังอาจจะรับไม่ได้

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT