Tag: สำนวนไทย ค.

  • รู้จักสำนวนเคราะห์หามยามร้าย ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนเคราะห์หามยามร้าย ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ค. เคราะห์หามยามร้าย เคราะห์หามยามร้าย หมายถึง สำนวน “เคราะห์หามยามร้าย” หมายถึง ช่วงเวลาที่โชคร้าย เผชิญเคราะห์กรรมหนัก มีโชคไม่ดี และชะตาไม่เป็นมงคล มักเกิดเหตุร้ายขึ้น เปรียบเสมือนชีวิตที่ตกอยู่ในช่วงดวงตก ประสบเคราะห์กรรม หรือโชคร้ายโดยไม่คาดคิด ทำให้ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากเดือดร้อน กล่าวคือ “ผู้ที่มีเคราะห์ร้าย มีโชคไม่ดีและชะตาไม่ดี” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากความเชื่อโบราณและคติทางพุทธศาสนา ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเคราะห์กรรมและดวงชะตา คำว่า “เคราะห์หาม” หมายถึง สิ่งไม่ดีที่นำผลมาให้โดยไม่ได้คาดหมาย ส่วน “ยามร้าย” หมายถึง ช่วงเวลาที่ไม่เป็นมงคล ดวงตก หรือชะตาไม่ดี ในอดีต คนไทยเชื่อว่าบางช่วงเวลาของชีวิตมีเคราะห์กรรมหนัก โดยเฉพาะในปีชงหรือช่วงที่ดวงตก ซึ่งอาจเกิดอุบัติเหตุ การสูญเสีย หรือเคราะห์ร้ายที่คาดไม่ถึง สำนวนนี้จึงใช้เปรียบเปรยถึง คนที่กำลังเผชิญโชคร้ายอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ การงาน หรือชีวิตส่วนตัวที่มีแต่ปัญหาและความทุกข์ยาก ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ค. เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เคราะห์ซ้ำกรรมซัด หมายถึง สำนวน “เคราะห์ซ้ำกรรมซัด” หมายถึง การเผชิญกับเคราะห์ร้ายหรือปัญหาหลายอย่างพร้อมกัน ซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่มีโอกาสได้พักหรือแก้ไขปัญหาได้ทัน เปรียบเสมือนคนที่มีเคราะห์ร้ายเข้ามาไม่หยุด และยังต้องเผชิญกับกรรมเก่าหรือปัญหาใหม่ที่ซัดเข้ามาอีก ทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากต่อเนื่อง กล่าวคือ “ผู้ที่โชคร้ายซ้ำสอง โชคร้ายต่อเนื่อง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจาก แนวคิดทางพุทธศาสนาและความเชื่อโบราณของไทย ที่อธิบายเรื่องเคราะห์และกรรม ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อชีวิตของมนุษย์ ตามหลักพุทธศาสนา เชื่อว่ามนุษย์แต่ละคนมีเคราะห์กรรมเป็นของตนเอง หากเคยกระทำกรรมไม่ดีไว้ กรรมเหล่านั้นอาจย้อนกลับมา ส่งผลในช่วงที่เคราะห์ร้ายพอดี ทำให้ดูเหมือนโชคร้ายถาโถมเข้ามาพร้อมกัน ดังนั้นสำนวนนี้จึงหมายถึง คนที่กำลังเผชิญกับปัญหาต่อเนื่อง ทั้งจากเหตุการณ์ปัจจุบันที่ร้ายแรงขึ้นเรื่อย ๆ และผลกรรมในอดีตที่ตามมาซ้ำเติม ทำให้ชีวิตตกอยู่ในช่วงทุกข์ยากลำบากอย่างต่อเนื่อง เปรียบเสมือน เรือที่โดนคลื่นซัดกระหน่ำไม่หยุด จนไม่สามารถหาทางหลบหลีกได้ ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนคู่สร้างคู่สม ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนคู่สร้างคู่สม ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ค. คู่สร้างคู่สม คู่สร้างคู่สม หมายถึง สำนวน “คู่สร้างคู่สม” หมายถึง ชายหญิงที่เหมาะสมกัน ทั้งในด้านนิสัย ฐานะ หรือบุญวาสนา และมักได้ครองคู่หรือใช้ชีวิตร่วมกันอย่างราบรื่น เปรียบเสมือนคนสองคนที่ถูกกำหนดมาให้เป็นคู่กัน ดำเนินชีวิตไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าจะด้วยพรหมลิขิตหรือบุญกรรมที่ทำร่วมกันมา กล่าวคือ “ชายหญิงที่ถือกันว่าเคยอยู่ร่วมกันมาแต่ปางก่อน, ชายหญิงที่สมเป็นคู่ครองกัน, เนื้อคู่ ก็ว่า” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากแนวคิดเรื่องบุญวาสนาและพรหมลิขิตในวัฒนธรรมไทย ที่เชื่อว่าคนเราหากเคยทำบุญหรือกรรมร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อน ก็จะได้กลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้งในชาตินี้ คำว่า “คู่สร้าง” หมายถึง คู่ที่ถูกกำหนดหรือสร้างมาคู่กัน ส่วน “คู่สม” หมายถึง คู่ที่เหมาะสมมักจะมีอะไรเหมือน ๆ กัน ในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นฐานะ หน้าตา นิสัย บุญหรือศีลเสมอกัน สำนวนนี้จึงใช้เปรียบเปรยถึง ชายหญิงที่เหมาะสมกัน ไม่ว่าจะด้วยบุญวาสนาหรือความเข้าใจกันในชีวิตคู่ และมักถูกใช้ อวยพรในงานแต่งงาน หรือพูดถึงคู่รักที่ดูเหมาะสมกันเป็นพิเศษ ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนเคาะกะลาให้หมาดีใจ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนเคาะกะลาให้หมาดีใจ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ค. เคาะกะลาให้หมาดีใจ เคาะกะลาให้หมาดีใจ หมายถึง สำนวน “เคาะกะลาให้หมาดีใจ” หมายถึง การส่งสัญญาณหรือแสดงท่าทีบางอย่างที่ทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิด คิดว่าจะได้รับสิ่งที่ต้องการ ทั้งที่จริงแล้วไม่ได้ตั้งใจให้เกิดผลนั้น มักใช้ในกรณีที่มีคนแสดงท่าทางหรือพูดอะไรบางอย่างโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับทำให้อีกฝ่ายคาดหวังหรือดีใจเก้ กล่าวคือ “การหลอกให้มีความหวัง ดีใจเก้อ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากพฤติกรรมของสุนัขในชนบทไทยสมัยก่อน เมื่อเจ้าของต้องการให้อาหารสุนัข มักใช้กะลามะพร้าวเคาะพื้นหรือภาชนะเพื่อส่งสัญญาณเรียกให้มากิน สุนัขจะจดจำเสียงนี้และกระตือรือร้นทุกครั้งที่ได้ยิน แต่หากมีการเคาะกะลาโดยไม่ได้ตั้งใจหรือไม่มีอาหารให้จริง สุนัขก็จะดีใจเก้อ จึงเกิดเป็นสำนวนนี้ เปรียบถึงการแสดงท่าทีหรือพูดบางอย่างที่ทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด คิดว่าจะได้รับสิ่งที่ต้องการ ทั้งที่แท้จริงแล้วไม่มีอะไรให้เลย ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนคลุกคลีตีโมง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนคลุกคลีตีโมง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ค. คลุกคลีตีโมง คลุกคลีตีโมง หมายถึง สำนวน “คลุกคลีตีโมง” หมายถึง การอยู่ใกล้ชิดหรือยุ่งเกี่ยวกันมากตลอดเวลาจนแทบจะแยกจากกันไม่ได้ โดยอาจหมายถึงการใช้เวลาร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ไม่แยกจากกัน หรือยุ่งเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างมากเกินไป ซึ่งมักสื่อถึงความสัมพันธ์หรือพฤติกรรมที่แนบแน่นจนเกินพอดี และในบางกรณีอาจมีนัยเชิงลบ เช่น การเกี่ยวข้องกับสิ่งไม่ดี หรือการหมกมุ่นกับบางเรื่องจนเกินไป กล่าวคือ “การมั่วสุมหรืออยู่ร่วมคลุกคลีพัวพันกันอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา” นั่นเอง อยู่อย่างอย่างใกล้ชิดสนิทสนมกันตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรก็ทำร่วมกัน ไปไหนก็ไปด้วยกัน กินก็กินร่วมกัน นอนก็นอนร่วมกัน อุปมาเสมือนดั่งว่าได้คลุกคลีตีโมงกันตลอดเวลา ที่มาของสำนวน สำนวนมาจากรากศัพท์มาจากการผสมคำในภาษาไทย โดย “คลุกคลี” เป็นคำที่หมายถึงการเข้าใกล้ชิดหรือมั่วสุมอยู่ร่วมกัน ส่วน “ตีโมง” มีรากมาจากวิธีการนับเวลาในอดีต ในสมัยก่อน คนไทยใช้คำว่า “ตี” เพื่อบอกเวลาตอนกลางคืน เช่น ตีหนึ่ง ตีสอง และใช้คำว่า “โมง” เพื่อบอกเวลาตอนกลางวัน เช่น เจ็ดโมง แปดโมง ดังนั้น “ตีโมง” จึงเป็นการรวมกันของหน่วยเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน สะท้อนถึงการอยู่ร่วมกันตลอดเวลา สำนวนนี้อาจเกิดจากการสังเกตพฤติกรรมของบุคคลที่ใช้เวลาอยู่ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ไปไหนมาไหนด้วยกัน ทำกิจกรรมร่วมกันตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่แยกจากกัน…

  • รู้จักสำนวนคลุมถุงชน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนคลุมถุงชน ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ค. คลุมถุงชน คลุมถุงชน หมายถึง สำนวน “คลุมถุงชน” หมายถึง การแต่งงานที่ถูกกำหนดขึ้นโดยพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ โดยที่ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงไม่มีโอกาสเลือกคู่ครองเอง อาจไม่ได้เกิดจากความรักหรือความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย แต่มักเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของครอบครัว เช่น การรักษาฐานะ ความสัมพันธ์ หรือผลประโยชน์ทางสังคม เปรียบเหมือนการนำไก่ไปชนโดยคลุมถุงไว้ก่อน พอถึงเวลาก็ต้องสู้กันโดยไม่มีทางเลือก ซึ่งสะท้อนถึงการแต่งงานที่ไม่ได้เกิดจากความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย กล่าวคือ “ลักษณะการแต่งงานที่ผู้ใหญ่จัดการให้ โดยที่เจ้าตัวไม่รู้จักคุ้นเคยหรือรักกันมาก่อน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มีที่มาจากวิถีชีวิตและขนบธรรมเนียมการแต่งงานในอดีตของไทยและหลายวัฒนธรรมในโลก โดยเฉพาะในยุคที่พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ในครอบครัวเป็นผู้กำหนดคู่ครองให้ลูกหลาน โดยที่ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงไม่มีโอกาสเลือกเอง ในอดีตการแต่งงานในสังคมไทย โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีฐานะและชนชั้นสูง มักถูกกำหนดโดยพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ เพื่อรักษาฐานะทางสังคมหรือผลประโยชน์ทางการเมือง ขณะที่ชาวบ้านทั่วไปมักมีอิสระในการเลือกคู่มากกว่า พ่อค้าฮอลันดาที่เดินทางมาอยุธยาในสมัยพระเจ้าทรงธรรมเคยบันทึกว่า “การแต่งงานของชาวสยามต้องได้รับความเห็นชอบจากพ่อแม่และมีการแลกเปลี่ยนของมีค่า แม้ไม่มีพิธีทางศาสนา แต่การแต่งงานแบบนี้สะท้อนถึงการควบคุมของผู้ใหญ่” สำนวนนี้ยังเชื่อกันอีกว่ามีที่มาจากบ่อนไก่ในอดีต ก่อนนำไก่ไปชนกัน เจ้าของจะใช้ถุงคลุมไก่ไว้เพื่อป้องกันไม่ให้มันตื่นตกใจ บางครั้งเจ้าของไก่ที่รีบร้อนอาจท้าชนไก่โดยไม่ทันได้เห็นรูปร่างของอีกฝ่าย เมื่อเปิดถุงออก ไก่ทั้งสองก็ต้องสู้กันโดยไม่มีทางเลือก เปรียบได้กับชายหญิงที่ถูกจับแต่งงานกันโดยไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จึงเกิดสำนวนนี้ที่ใช้หมายถึงการแต่งงานที่ถูกกำหนดโดยผู้ใหญ่ โดยที่คู่สมรสไม่มีโอกาสเลือกเอง การแต่งงานแบบคลุมถุงชนเกิดขึ้นบ่อยในครอบครัวชนชั้นสูงและสังคมที่ให้ความสำคัญกับ เกียรติยศ วงศ์ตระกูล และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจหรือการเมือง ผู้ใหญ่จึงมักเลือกคู่ครองให้ลูกหลานตามความเหมาะสม มากกว่าความรักหรือความพึงพอใจของเจ้าบ่าวเจ้าสาวเอง ปัจจุบันการแต่งงานแบบคลุมถุงชนลดลงมาก เนื่องจากค่านิยมเรื่องความรักและสิทธิในการเลือกคู่ครองเปลี่ยนไป แต่สำนวนนี้ยังคงถูกใช้ในความหมายเชิงเปรียบเทียบกับ สถานการณ์ที่ถูกบังคับให้ทำบางอย่างโดยไม่มีทางเลือก…

  • รู้จักสำนวนคบสองหนองแหลก ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนคบสองหนองแหลก ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ค. คบสองหนองแหลก คบสองหนองแหลก หมายถึง สำนวน “คบสองหนองแหลก” หมายถึง ความลับที่บอกให้ผู้อื่นรู้ แม้เพียงคนเดียว ก็มักไม่เป็นความลับอีกต่อไป และอาจนำไปสู่ความยุ่งยากหรือความเสียหาย เปรียบเสมือนหนองน้ำที่อุดมสมบูรณ์ หากมีคนรู้มากขึ้น ย่อมมีผู้เข้ามาจับปลา จนปลาในหนองหมดไป หรือหนองถูกทำลายจากการเหยียบย่ำจนเสื่อมสภาพ กล่าวคือ “การที่ความลับใดที่รู้ถึงบุคคลที่สองแล้ว ก็มักจะมีเรื่องยุ่งยากเกิดขึ้นตามมา” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มีที่มาจากแนวคิดเกี่ยวกับการรักษาความลับและผลกระทบของการแพร่งพราย คนโบราณเปรียบเทียบว่าหากมีหนองน้ำที่อุดมสมบูรณ์ มีปลาอาศัยอยู่มาก แต่เมื่อมีคนรู้และบอกต่อกันไป คนก็จะพากันมาจับปลามากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดปลาในหนองก็หมดไป หรือหนองน้ำถูกเหยียบย่ำจนเสื่อมสภาพ ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อีก แนวคิดนี้สะท้อนว่าความลับ หากเก็บไว้เพียงผู้เดียวก็ยังปลอดภัย แต่ถ้าเริ่มบอกให้ผู้อื่นรู้ ยิ่งแพร่งพรายไปมากเท่าไร ก็ยิ่งควบคุมไม่ได้ และอาจนำไปสู่ความเสียหายในที่สุด สำนวนนี้จึงเป็นคำเตือนให้ระมัดระวังการเปิดเผยความลับ เพราะเมื่อหลุดออกไปแล้ว ย่อมมีโอกาสถูกเผยแพร่และส่งผลกระทบที่อาจควบคุมไม่ได้ ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนคาบลูกคาบดอก ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนคาบลูกคาบดอก ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ค. คาบลูกคาบดอก คาบลูกคาบดอก หมายถึง สำนวน “คาบลูกคาบดอก” หมายถึง สถานการณ์ที่ตกอยู่ในช่วงคับขันหรือหัวเลี้ยวหัวต่อ กำลังจะได้หรือเสียก็ยังไม่แน่นอน ทุกอย่างอยู่ในจุดที่ก้ำกึ่งและสามารถเปลี่ยนแปลงไปในทางดีหรือร้ายได้ในทันที ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องหรือการตัดสินใจในช่วงเวลานั้น สำนวนนี้สะท้อนถึงความไม่มั่นคงและความเสี่ยงในสถานการณ์ที่ยังไม่มีคำตอบแน่ชัด กล่าวคือ “การตกอยู่ในระยะคับขันกำลังจะได้หรือเสียก้ำกึ่งกันโดยไม่แน่ว่าจะเป็นอย่างไหน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากธรรมชาติของต้นไม้ในช่วงที่ดอกกำลังจะเปลี่ยนเป็นผล ซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ หากทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ดอกจะติดผลและเจริญเติบโตต่อไป แต่หากมีปัจจัยที่ไม่เอื้ออำนวย เช่น ลมแรงหรือแมลงรบกวน ดอกอาจร่วงก่อนที่จะกลายเป็นผล สำนวนนี้จึงเปรียบเทียบถึงสถานการณ์ที่ก้ำกึ่งและไม่แน่นอน อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีหรือร้ายก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เกี่ยวข้องหรือการจัดการในช่วงเวลาสำคัญนั้น ๆ ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนเคาะกะลามาเกิด ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนเคาะกะลามาเกิด ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ค. เคาะกะลามาเกิด เคาะกะลามาเกิด หมายถึง สำนวน “เคาะกะลามาเกิด” หมายถึง คนที่มีนิสัยเลวทราม ต่ำต้อย หรือแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับความดีงามของมนุษย์ เปรียบเสมือนสิ่งมีชีวิตที่ถูกเรียกมาด้วยวิธีง่าย ๆ อย่างการเคาะกะลา โดยไม่มีการเลือกหรือคัดสรร จึงสื่อถึงคนที่ขาดคุณค่าหรือศีลธรรมในพฤติกรรมของตน กล่าวคือ “คนที่มีนิสัยสันดานชั่วช้าเลวทราม” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากวิถีชีวิตของคนไทยในอดีตที่ใช้กะลา เป็นภาชนะใส่อาหารสำหรับเลี้ยงสุนัข เมื่อถึงเวลาให้อาหาร ผู้เลี้ยงจะเคาะกะลาเป็นสัญญาณเรียกสุนัข เมื่อสุนัขได้ยินเสียงก็จะรีบวิ่งมาด้วยความตื่นตัว อีกทั้งยังเชื่อมโยงกับความเชื่อโบราณที่ว่า สัตว์หรือสิ่งมีชีวิตที่รอจะมาเกิดในท้องมนุษย์มักคอยหาโอกาสเข้ามาโดยไม่คำนึงถึงที่มาหรือคุณค่า เช่น ดาวจุติที่ร่วงลงมา หากใครไปทัก จะกลายเป็นการนำสิ่งเหล่านั้นไปเข้าท้องสัตว์อย่างสุนัข ซึ่งสะท้อนถึงความเร่งรีบหรือขาดความพิถีพิถัน สำนวนนี้จึงเปรียบเปรยถึงคนที่มีนิสัยเลวทราม ชั่วช้า ไม่เหมาะสมกับความดีงามของมนุษย์ หรือผู้ที่แสดงพฤติกรรมไม่น่านับถือ ราวกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้ผ่านการเลือกเฟ้นหรือคัดสรรมาอย่างดี ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนเคียงบ่าเคียงไหล่ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนเคียงบ่าเคียงไหล่ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ค. เคียงบ่าเคียงไหล่ เคียงบ่าเคียงไหล่ หมายถึง สำนวน “เคียงบ่าเคียงไหล่” หมายถึง การอยู่ร่วมกันอย่างใกล้ชิด ช่วยเหลือหรือร่วมมือกันอย่างเท่าเทียม เปรียบเสมือนการยืนเคียงข้างกันในทุกสถานการณ์ ไม่ทอดทิ้งกันในยามสุขหรือทุกข์ กล่าวคือ “มีฐานะเสมอกัน ทัดเทียมกัน หรืออยู่ในระดับเดียวกัน, ร่วมสุขร่วมทุกข์ หรือร่วมเป็นร่วมตายด้วยกัน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบลักษณะของคนสองคนที่ยืนหรือเดินเคียงข้างกัน โดยที่บ่าและไหล่อยู่ในระดับเดียวกัน สื่อถึงความเท่าเทียม ความใกล้ชิด และความร่วมมือที่สนิทสนม ในบริบททางสังคมและวัฒนธรรม สำนวนนี้มักใช้เพื่อสื่อถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อน คู่รัก หรือผู้ร่วมงาน ที่ช่วยเหลือกันในทุกสถานการณ์ ทั้งในยามสุขและยามทุกข์ เหมือนการอยู่เคียงข้างกันโดยไม่ทอดทิ้ง ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน