Tag: สำนวนไทย ค.
-
รู้จักสำนวนโคมลอย ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ค. โคมลอย โคมลอย หมายถึง สำนวน “โคมลอย” หมายถึง คำพูดหรือข่าวที่ไม่มีหลักฐานหรือความจริงรองรับ กล่าวขึ้นมาลอย ๆ โดยไม่มีที่มาหรือแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เปรียบเสมือนโคมลอยที่ลอยไปในอากาศ ไม่มีจุดยึดเหนี่ยวหรือความแน่นอน กล่าวคือ “ข่าวลือที่เหลวไหล ไม่มีมูล หรือไม่มีหลักฐานยืนยันได้ว่าเป็นความจริง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากสมัยก่อนเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยมีหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษชื่อ “พันช์” (Punch) ซึ่งที่หน้าแรกของหนังสือมีภาพโคมที่ลอยอยู่ เนื้อหาในหนังสือมักเป็นเรื่องตลกแบบฝรั่ง แต่คนไทยในสมัยนั้นมองว่าเรื่องราวในหนังสือไม่เข้ากับบริบทหรือไม่มีสาระที่ชัดเจน ดังนั้น เมื่อมีใครพูดสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องหรือไม่เข้ากับเรื่อง คนไทยจึงเรียกว่า “โคมลอย” หรือ “โคม” ต่อมา สำนวนนี้ได้เปลี่ยนความหมายไปในปัจจุบัน กลายเป็นคำที่ใช้เรียกข่าวลือหรือคำพูดที่เหลวไหล ไม่มีมูลความจริง หรือไม่มีหลักฐานยืนยันได้ว่าเป็นความจริง เปรียบเสมือนโคมที่ลอยไปโดยไม่มีจุดยึดเหนี่ยวและไม่แน่นอน ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนคว่ำบาตร ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ค. คว่ำบาตร คว่ำบาตร หมายถึง สำนวน “คว่ำบาตร” หมายถึง การแสดงการต่อต้าน ไม่ยอมรับ หรือปฏิเสธที่จะร่วมมือคบค้าสมาคมหรือเกี่ยวข้องกับบุคคล องค์กร หรือกิจกรรมใด ๆ เพื่อแสดงความไม่พอใจหรือประท้วง เปรียบเสมือนการคว่ำบาตรพระ ไม่ใส่บาตรให้พระที่ทำผิดในอดีต กล่าวคือ “การไม่ยอมคบค้าสมาคมด้วย, เดิมหมายถึงสังฆกรรมที่พระสงฆ์ประกาศลงโทษคฤหัสถ์ผู้ประทุษร้ายต่อศาสนาด้วยการไม่คบ ไม่รับบิณฑบาต เป็นต้น” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการปฏิบัติในพระพุทธศาสนา โดยเป็นการลงโทษทาง “สังฆกรรม” ซึ่งพระสงฆ์ประกาศไม่คบค้าสมาคมหรือไม่รับบิณฑบาตจากคฤหัสถ์ผู้กระทำผิดร้ายแรงต่อพระศาสนา เช่น การกล่าวล่วงเกินพระสงฆ์ หรือการประพฤติผิดในศีลธรรม พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้สงฆ์สวดประกาศไม่ให้คบอุบาสกอุบาสิกาผู้ประกอบด้วยโทษประการใด ๆ ใน 8 ประการ ได้แก่ พระสงฆ์จะทำสังฆกรรมในเขตสีมา เรียกว่าพิธีคว่ำบาตร โดยภิกษุรูปหนึ่งจะประกาศบรรยายโทษคฤหัสถ์ผู้นั้นและเสนอให้สงฆ์คว่ำบาตรเขา ด้วยการไม่ยอมเกี่ยวข้องด้วย ไม่ยอมรับอาหารที่ถวาย ไม่ยอมแสดงธรรมให้ ไม่ยอมทำพิธีเกี่ยวกับศพของผู้นั้น แต่ถ้าผู้นั้นรู้สึกตัวมาขอขมาต่อหน้าคณะสงฆ์ รับรองว่าจะไม่ประพฤติเช่นนั้นอีก พระสงฆ์ก็จะทำพิธีสวดประกาศยกโทษให้ เรียกว่าพิธีหงายบาตร คำว่า “คว่ำบาตร” สื่อถึงการตัดขาดความสัมพันธ์ในเชิงสังคมและศีลธรรม เปรียบเหมือนการพลิกบาตรพระ ไม่ให้ผู้กระทำผิดได้มีโอกาสทำบุญกับพระสงฆ์ การปฏิบัตินี้มุ่งหวังให้ผู้กระทำผิดสำนึกและกลับตัวกลับใจ สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้ในสังคมทั่วไปเพื่อสื่อถึงการแสดงการปฏิเสธ…
-
รู้จักสำนวนควันหลง ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ค. ควันหลง ควันหลง หมายถึง สำนวน “ควันหลง” หมายถึง ผลที่ยังคงหลงเหลืออยู่จากเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้ว หรือเรื่องราวหรือสิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังจากเหตุการณ์หลักจบลง เปรียบเหมือนควันที่ยังลอยอยู่หลังจากไฟดับไปแล้ว กล่าวคือ “เรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้วและกลับปรากฏกระเส็นกระสายขึ้นอีก” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ควันที่ยังคงลอยอยู่ในอากาศหลังจากที่ไฟดับไปแล้ว เมื่อไฟไหม้แล้วเกิดควันขึ้น แม้ไฟจะดับไปแล้ว แต่ควันยังคงหลงเหลืออยู่ในอากาศสักระยะหนึ่ง สำนวนนี้จึงถูกนำมาเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ผลกระทบหรือผลที่ตามมา (เช่น ความรู้สึกหรือปัญหาที่เหลืออยู่) ยังคงมีอยู่หลังจากเหตุการณ์จบไปแล้ว เช่น ควันที่ยังหลงเหลือหลังไฟดับ สะท้อนถึงผลที่ยังมีผลกระทบแม้เหตุการณ์จะผ่านไปแล้ว บ้างก็ว่าสำนวนนี้มาจากวงนักเลงสูบฝิ่นหรือกัญชา ซึ่งเข้าใจคำนี้ได้อย่างลึกซึ้ง เพราะหมายถึงควันที่หลงเหลืออยู่ในบ้องกัญชาหรือกล้องสูบฝิ่น หลังจากที่สูบเสร็จแล้ว หากมีคนที่ไม่เคยสูบผ่านมาเห็น ก็มักเกิดความอยากลองสูบหรือลองดูดเพื่อทดสอบรสชาติ เมื่อดูดเล่น ๆ โดยคิดว่ากล้องเปล่า แต่กลับอัดเอาควันหลงที่ยังค้างอยู่เข้าไปเต็มปอด ส่งผลให้เกิดความมึนเมาอย่างรวดเร็วทันที สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเปรยถึงสิ่งที่ยังหลงเหลือหรือเกิดขึ้นภายหลังจากเหตุการณ์หลัก แม้จะดูเหมือนจบไปแล้ว แต่ยังส่งผลต่อเนื่องอยู่ สำนวนนี้สะท้อนถึงผลกระทบ เรื่องราว หรือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ซึ่งแม้เหตุการณ์นั้นจะจบลงแล้ว แต่ยังคงมีร่องรอยหรือผลพวงที่ส่งผลต่อเนื่องออกมา ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนคาหนังคาเขา ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ค. คาหนังคาเขา คาหนังคาเขา หมายถึง สำนวน “คาหนังคาเขา” หมายถึง การจับได้อย่างชัดเจนขณะกระทำความผิด หรือมีหลักฐานที่แน่ชัด ไม่สามารถปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงความผิดได้ เปรียบเหมือนการจับสัตว์พร้อมทั้งหนังและเขา ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเป็นของสัตว์นั้น กล่าวคือ “การถูกจับได้ขณะที่กำลังกระทำผิดหรือพร้อมกับของกลาง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการล่าสัตว์ในสมัยโบราณ โดยผู้ล่าสัตว์สามารถจับได้พร้อมทั้งตัวสัตว์ หนัง และเขา ซึ่งเป็นหลักฐานชัดเจนว่าได้ล่าสัตว์ตัวนั้นจริง สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเปรยถึงการจับได้ขณะกระทำความผิด หรือมีหลักฐานชัดเจนแน่นหนา ไม่สามารถปฏิเสธหรือปัดความรับผิดชอบได้ เหมือนกับการจับสัตว์ที่มีหนังและเขาอยู่พร้อมกัน ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนคางคกขึ้นวอ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ค. คางคกขึ้นวอ คางคกขึ้นวอ หมายถึง สำนวน “คางคกขึ้นวอ” หมายถึง คนที่มีฐานะต่ำต้อย แต่เมื่อได้ดิบได้ดีแล้วมักแสดงกิริยาอวดดี ลำพองใจ หรือหลงตัวเองจนลืมฐานะเดิมของตน เปรียบเสมือนคางคกที่เป็นสัตว์ธรรมดา แต่ขึ้นไปอยู่บนวอซึ่งเป็นสิ่งที่สูงส่งและไม่เหมาะกับตน กล่าวคือ “คนที่มีฐานะตํ่าต้อย พอได้ดิบได้ดีก็มักแสดงกิริยาอวดดีลืมตัว” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับสัตว์อย่างคางคก ซึ่งเป็นสัตว์พื้นดินธรรมดา มีลักษณะไม่น่าดู เมื่อนำขึ้นไปอยู่บนวอ ซึ่งเป็นยานพาหนะที่ใช้ในพิธีการสำคัญหรือสำหรับผู้มีฐานะสูงส่ง คางคกจึงดูไม่เหมาะสมกับสถานที่หรือสถานะนั้น วอ คือ ยานที่มีลักษณะเป็นรูปเรือนไทยหลังคาทรงจั่ว สำหรับเจ้านาย หรือข้าราชการฝ่ายในนั่ง มีคานรับอยู่ข้างใต้คู่หนึ่ง ใช้คนหาม 4 คน 6 คน หรือ 8 คน, เรียกรถยนต์ที่มีวอสำหรับเชิญศพตั้งอยู่บนกระบะรถว่า รถวอ ลักษณะประจำของคางคกมักจะเชิดหัวชูคางเวลาที่เกิดอะไรขึ้นกับมัน โดยมีเรื่องเล่าว่า คางคกตัวหนึ่งได้ตามเสด็จพระราชาโดยพระองค์ทรงเมตตาให้นั่งบน วอพระที่นั่งด้วย ครั้นเมื่อคางคกกลับมายังหมู่บ้านของตน คางคกก็ยังเชิดหัวชูคอทำท่าเหมือนยังนั่งอยู่บนวอของพระราชา…. สำนวนนี้สะท้อนถึงพฤติกรรมของคนที่มีฐานะต่ำต้อยหรือไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่สูงส่ง แต่เมื่อได้รับโอกาสดีหรือได้ตำแหน่งที่เหนือกว่าฐานะเดิม กลับแสดงความลำพองใจหรืออวดดีจนลืมตัว ทำให้ดูไม่เหมาะสมกับสถานะใหม่ของตน เช่นเดียวกับคางคกที่ขึ้นวอแล้วดูขัดกับความเป็นจริงของตัวมันเอง ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนคอเป็นเอ็น ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ค. คอเป็นเอ็น คอเป็นเอ็น หมายถึง สำนวน “คอเป็นเอ็น” หมายถึง การขึ้นเสียงเถียงโต้แย้งอย่างหนักแน่นและไม่ยอมลดละ แสดงถึงความดื้อรั้นหรือท่าทีที่ไม่ยอมแพ้ในการโต้เถียง มักใช้กับคนที่เถียงเก่งจนอีกฝ่ายไม่มีโอกาสแทรกหรือชี้แจง เปรียบเสมือนเอ็นที่ตึงอยู่บริเวณคอในขณะพูดอย่างดุดัน กล่าวคือ “การขึ้นเสียงโต้เถียงอย่างไม่ยอมลดละ, เถียงเก่ง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบลักษณะของคนที่กำลังโต้เถียงอย่างรุนแรงหรือพูดอย่างหนักแน่น โดยสังเกตจากการที่เอ็นบริเวณคอจะตึงขึ้นในขณะที่พูดด้วยอารมณ์หรือเสียงดัง สำนวนนี้สะท้อนถึงพฤติกรรมของคนที่เถียงเก่ง ไม่ยอมลดละ และแสดงความดื้อรั้นอย่างชัดเจน การเปรียบเทียบกับ “เอ็น” สื่อถึงความแข็งแรงและตึงแน่นของคำพูดที่แสดงออกมาในลักษณะดื้อรั้นหรือไม่ยอมฟังเหตุผลของผู้อื่น ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนคอหอยกับลูกกระเดือก ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ค. คอหอยกับลูกกระเดือก คอหอยกับลูกกระเดือก หมายถึง สำนวน “คอหอยกับลูกกระเดือก” หมายถึง สิ่งที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมากจนแยกจากกันไม่ได้ หรือความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น เปรียบเสมือนคอหอยและลูกกระเดือกที่อยู่ใกล้กันจนแทบจะเป็นส่วนเดียวกัน กล่าวคือ “สิ่งที่เข้ากันได้ดี แยกกันไม่ออก” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบความใกล้ชิดระหว่างคอหอย (ส่วนหนึ่งของลำคอ) และลูกกระเดือก (กระดูกอ่อนที่อยู่บริเวณลำคอ) ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้อยู่ใกล้กันมากจนดูเหมือนเป็นส่วนเดียวกัน สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เพื่ออธิบายถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นหรือใกล้ชิดจนแยกจากกันไม่ได้ เช่น ความสนิทสนมระหว่างบุคคลหรือสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้ง ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนคลื่นใต้น้ำ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ค. คลื่นใต้น้ำ คลื่นใต้น้ำ หมายถึง สำนวน “คลื่นใต้น้ำ” หมายถึง ความเคลื่อนไหวของเหตุการณ์หรือปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ และมองไม่เห็นอย่างชัดเจนในที่สาธารณะ แต่มีพลังแฝงที่สามารถส่งผลกระทบหรือสร้างความเปลี่ยนแปลงได้เมื่อเวลาผ่านไป เปรียบเหมือนกระแสคลื่นที่เคลื่อนตัวใต้น้ำโดยไม่ปรากฏบนผิวน้ำ กล่าวคือ “เหตุการณ์ที่กรุ่นอยู่ภายใน แต่ภายนอกดูเสมือนสงบเรียบร้อย” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของคลื่นทะเลที่เคลื่อนตัวใต้ผิวน้ำ ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่มีพลังที่สามารถส่งผลกระทบรุนแรงได้เมื่อรวมตัวหรือเกิดการปะทุบนผิวน้ำ สำนวนนี้ถูกนำมาเปรียบเปรยกับสถานการณ์ในสังคม การเมือง หรือองค์กร ที่มีความเคลื่อนไหวเงียบ ๆ หรือความไม่พอใจที่ไม่ได้แสดงออกอย่างเปิดเผย แต่สามารถสร้างผลกระทบใหญ่หลวงได้ในอนาคต เช่นเดียวกับพลังของคลื่นใต้น้ำที่ซ่อนเร้นอยู่ แต่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือสร้างผลกระทบอย่างสำคัญเมื่อถึงเวลา ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนคลื่นกระทบฝั่ง ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ค. คลื่นกระทบฝั่ง คลื่นกระทบฝั่ง หมายถึง สำนวน “คลื่นกระทบฝั่ง” หมายถึง เรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เคยเป็นที่สนใจหรือได้รับความสนใจในช่วงเวลาหนึ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็เงียบหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สะท้อนถึงธรรมชาติของเรื่องราวที่แม้จะดูรุนแรงหรือสำคัญในตอนแรก แต่สุดท้ายก็จบลงอย่างสงบ กล่าวคือ “เรื่องราวที่ครึกโครมขึ้นมาแล้วกลับเงียบหายไป” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเปรยปรากฏการณ์ธรรมชาติของคลื่นทะเลที่เคลื่อนตัวเข้าหาฝั่งอย่างรุนแรง แต่เมื่อกระทบฝั่งแล้วกลับค่อย ๆ สลายตัวและหายไปอย่างสงบ สะท้อนถึงธรรมชาติของเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เริ่มต้นด้วยความรุนแรงหรือเป็นที่สนใจในช่วงเวลาหนึ่ง ในสังคมมนุษย์ สำนวนนี้มักใช้กับเหตุการณ์ที่ได้รับความสนใจหรือเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความสนใจเหล่านั้นก็ลดลงจนเงียบหาย เช่นเดียวกับคลื่นที่แม้จะดูน่ากลัวในตอนแรก แต่สุดท้ายก็สลายไปโดยไม่มีอะไรหลงเหลือ สำนวนนี้จึงสะท้อนถึงความไม่จีรังของเรื่องราวและการเปลี่ยนผ่านของความสนใจในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนคนตายขายคนเป็น ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ค. คนตายขายคนเป็น คนตายขายคนเป็น หมายถึง สำนวน “คนตายขายคนเป็น” คนที่เสียชีวิตไปแล้วแต่ทิ้งภาระหนักไว้ให้ญาติพี่น้องหรือคนรอบข้างต้องเดือดร้อน เช่น การต้องรับผิดชอบชดใช้หนี้สินที่ผู้ตายสร้างไว้ หรือการต้องจัดงานศพที่ใหญ่โตเกินตัวจนต้องกู้หนี้ยืมสิน เพื่อรักษาหน้าหรือแสดงฐานะ สำนวนนี้ยังเปรียบถึงภาระด้านอื่น ๆ ที่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ต้องแบกรับจากผลพวงของการกระทำในอดีตของผู้ล่วงลับ กล่าวคือ “คนตายมีหนี้สินให้ลูกหลานต้องชดใช้แทน, หรือการจัดงานศพอย่างฟุ่มเฟือยเกินฐานะจนเกิดหนี้สิน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการสะท้อนความเป็นจริงในสังคมที่บางครั้งคนที่เสียชีวิตไปแล้วได้ทิ้งภาระไว้ให้ญาติพี่น้องหรือคนรอบข้างต้องแบกรับ เช่น หนี้สิน หรือภาระในการจัดงานศพ โดยคำว่า “ขายคนเป็น” หมายถึง การที่คนที่ยังมีชีวิตต้องลำบากหรือเสียสละเพื่อชดใช้สิ่งที่ผู้ตายได้สร้างไว้ สำนวนนี้สะท้อนถึงการปฏิบัติในบางวัฒนธรรมที่นิยมจัดงานศพใหญ่โตเพื่อรักษาหน้าตาและศักดิ์ศรีของครอบครัว แม้จะต้องเดือดร้อนทางการเงิน หรือในกรณีที่ผู้ตายทิ้งหนี้สินหรือความผิดพลาดที่ทำให้คนที่ยังมีชีวิตต้องรับผลกระทบ สำนวนนี้จึงเปรียบถึงผลกระทบที่ส่งต่อจากผู้ล่วงลับมาสู่ผู้ที่ยังอยู่ ตัวอย่างการใช้สำนวน