Tag: สำนวนไทย จ.
-
รู้จักสำนวนแจงสี่เบี้ย ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ จ. แจงสี่เบี้ย แจงสี่เบี้ย หมายถึง สำนวน “แจงสี่เบี้ย” หมายถึง การแจกแจงหรืออธิบายเรื่องราวต่าง ๆ อย่างละเอียดและชัดเจน อธิบายอย่างละเอียดทุกประเด็น ไม่ปิดบัง เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น สำนวนนี้มักใช้ในบริบทของการพูดหรือชี้แจงข้อเท็จจริงในลักษณะที่โปร่งใส กล่าวคือ “การอธิบายละเอียดชัดแจ้ง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการพนันถั่วโป ซึ่งเป็นหนึ่งในการพนันที่ได้รับอนุญาตผูกขาดจากรัฐในอดีต การเล่นถั่วโป หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า “เล่นเบี้ย” เป็นการใช้เบี้ยในการเดิมพัน โดยในระหว่างการเล่นจะมีขั้นตอนหนึ่งที่เรียกว่า “แจง” ซึ่งเป็นการเขี่ยเบี้ยออกทีละ 4 เบี้ย เพื่อจัดกลุ่มเบี้ยให้ครบตามกติกา ขั้นตอนนี้แสดงถึงความชัดเจนและโปร่งใสในเกม เพราะต้องแจกแจงเบี้ยทั้งหมดให้ครบถ้วนและตรวจสอบได้ว่าไม่มีการโกงหรือซ่อนเร้น สำนวน “แจงสี่เบี้ย” จึงถูกนำมาใช้เปรียบเปรยถึง การแจกแจงเรื่องราวต่าง ๆ อย่างละเอียด ชัดเจน ครบถ้วนทุกประเด็น โดยไม่มีการปิดบังหรือซ่อนเร้นใด ๆ เช่นเดียวกับขั้นตอนการแจงเบี้ยในเกมถั่วโป สำนวนนี้สะท้อนถึงการเปิดเผยความจริงอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าใจสถานการณ์หรือข้อมูลอย่างครบถ้วนและเท่าเทียมกัน ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนเจ๊กตื่นไฟ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ จ. เจ๊กตื่นไฟ เจ๊กตื่นไฟ หมายถึง สำนวน “เจ๊กตื่นไฟ” หมายถึง คนที่ตื่นตระหนกตกใจง่ายเกินเหตุ หรือแสดงอาการลุกลน วุ่นวาย เมื่อเผชิญกับสถานการณ์บางอย่างที่ไม่น่าตกใจจนเกินไป สำนวนนี้มักใช้ในเชิงล้อเลียนหรือตำหนิคนที่ขาดความสงบและมีปฏิกิริยาที่เกินความจำเป็นต่อสถานการณ์ กล่าวคือ “คนที่ตื่นตกใจและเอะอะโวยวายเกินกว่าเหตุ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มีที่มาจากชุมชนชาวจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยในอดีต โดยเฉพาะในบริเวณตลาดหรือชุมชนคนจีนที่มีความแออัด เช่น โซนตลาดสำเพ็ง เยาวราช หรือพื้นที่ค้าขายในเขตชุมชนจีน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่บ้านเรือนมักสร้างจากไม้และตั้งอยู่ติดกันอย่างหนาแน่น เมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ในชุมชนเหล่านี้ ไฟสามารถลุกลามได้อย่างรวดเร็ว ทำให้คนจีนในพื้นที่มักแสดงอาการลุกลน ตื่นตระหนกบางครั้งก็เกินเหตุ และพยายามช่วยกันดับไฟหรือขนย้ายสิ่งของเพื่อป้องกันความเสียหาย และด้วยนิสัยคนจีนที่พูดเสียงดัง สภาพวุ่นวายเหล่านี้กลายเป็นที่มาของสำนวน ซึ่งใช้เปรียบเปรยถึงคนที่ตกใจหรือวุ่นวายเกินเหตุ แม้ว่าสถานการณ์นั้นจะไม่ได้รุนแรงถึงขั้นวิกฤตเสมอไป ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนเจ้าชู้ยักษ์ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ จ. เจ้าชู้ยักษ์ เจ้าชู้ยักษ์ หมายถึง สำนวน “เจ้าชู้ยักษ์” หมายถึง ชายที่ทำตัวเจ้าชู้ ชอบจีบหรือหว่านเสน่ห์ไปทั่ว แต่เมื่อไม่ได้ดั่งใจหรือถูกปฏิเสธ กลับใช้กำลังหรือแสดงความรุนแรงเพื่อบังคับให้ได้ตามต้องการ สำนวนนี้สะท้อนถึงพฤติกรรมที่ไม่เพียงแต่เจ้าชู้ แต่ยังแฝงไปด้วยการกระทำที่ก้าวร้าวหรือเอาแต่ใจตัวเองโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่น กล่าวคือ “ผู้ชายที่เกี้ยวพาราสีผู้หญิงโดยใช้วิธีพรวดพราดเข้าถึงตัว พยายามไขว่คว้าจับต้อง หรือหักหาญผู้หญิงเอาด้วยกำลัง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มีที่มาจากวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ โดยอ้างอิงถึงพฤติกรรมของทศกัณฐ์ ซึ่งเป็นยักษ์ที่มีนิสัยเจ้าชู้ ชอบเกี้ยวพาราสีกับหญิงที่ตนพึงพอใจ แต่หากไม่ได้ดั่งใจหรือหญิงคนนั้นไม่ตอบรับความรัก ทศกัณฐ์จะใช้กำลังบังคับเพื่อให้ได้มาครอบครอง เช่น กรณีของนางสีดา ที่ไม่มีจิตพิศวาสหรือความรักตอบกลับ แต่ทศกัณฐ์กลับใช้วิธีลักพาตัวนางมาที่กรุงลงกา พฤติกรรมนี้สะท้อนถึงความเจ้าชู้ที่ผสมผสานกับการใช้อำนาจและความรุนแรง โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกหรือความยินยอมของอีกฝ่าย สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเปรยถึงคนที่เจ้าชู้ ชอบหว่านเสน่ห์กับผู้อื่น แต่เมื่อไม่ได้ดั่งใจก็ใช้อำนาจหรือความรุนแรงเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ เป็นพฤติกรรมที่แสดงถึงความเห็นแก่ตัวและขาดความเคารพในผู้อื่น ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนเจ้าหน้าเจ้าตา ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ จ. เจ้าหน้าเจ้าตา เจ้าหน้าเจ้าตา หมายถึง สำนวน “เจ้าหน้าเจ้าตา” หมายถึง คนที่ชอบเอาหน้า หรือเสนอหน้าเข้าไปทำธุระหรือเกี่ยวข้องกับเรื่องของผู้อื่น ทั้งที่ไม่ได้รับการขอร้องหรือไม่ได้มีความจำเป็นต้องทำ สำนวนนี้มักใช้ในเชิงตำหนิถึงคนที่ชอบแสดงตัวหรือยุ่งเกี่ยวในเรื่องของคนอื่นเกินความพอดี กล่าวคือ “คนที่ชอบเอาหน้า” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากการเปรียบเปรยถึงคนที่ชอบแสดงตัวหรือเสนอหน้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องของผู้อื่น แม้ว่าจะไม่ได้รับการขอร้องหรือไม่ได้มีหน้าที่โดยตรง คำว่า “เจ้า” ในที่นี้หมายถึง ผู้เป็นใหญ่หรือผู้ที่ยึดถือในสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป ส่วนคำว่า “หน้า” และ “ตา” สื่อถึงคนอยากได้หน้าตา ชอบเอาหน้าตา ถือหน้าตาเป็นใหญ่ การแสดงออกหรือความสำคัญที่คนบางคนยึดติดในหน้าตา ชื่อเสียง หรือการได้รับการยอมรับจากผู้อื่น สำนวนนี้มักใช้ในเชิงตำหนิถึงคนที่ชอบทำตัวให้โดดเด่น หรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของคนอื่นโดยไม่เหมาะสม คล้ายกับการแสดงออกเกินความจำเป็นหรือการพยายามเอาหน้าเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็นตัวเองเด่นชัดในเรื่องนั้น ๆ ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนใจไม้ไส้ระกำ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ จ. ใจไม้ไส้ระกำ ใจไม้ไส้ระกำ หมายถึง สำนวน “ใจไม้ไส้ระกำ” หมายถึง คนที่เพิกเฉยไม่สนใจหรือรู้สึกรู้สาอะไร นิ่งดูดายด้วยความเย็นชา ขาดซึ่งเมตตากรุณา และไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น เปรียบกับไม้ระกำที่แข็งกระด้างมีหนามแหลมขม และระกำที่มีรสเปรี้ยวฝาด สะท้อนถึงลักษณะของคนที่ไม่ใส่ใจความทุกข์ร้อนหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น โดยไม่ถึงขั้นโหดร้ายหรือทารุณ แต่ขาดความเห็นอกเห็นใจในระดับที่ควรมี กล่าวคือ “คนที่เพิกเฉยดูดาย, ไม่มีเมตตากรุณาและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ใคร” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากการเปรียบเปรยถึงใจคนกับ “ไม้ระกำหรือต้นระกำ” ซึ่งเป็นไม้ที่แข็งกระด้าง เต็มไปด้วยหนามแหลมคม และ “ไส้ระกำ” ที่มีรสเปรี้ยวและขม สะท้อนถึงลักษณะของคนที่มีจิตใจแข็งกระด้าง ไม่อ่อนโยน และไม่มีความเมตตากรุณา สำนวนนี้ถูกนำมาใช้เปรียบเทียบกับคนที่เพิกเฉยต่อความเดือดร้อนของผู้อื่น ขาดความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แม้จะไม่ได้แสดงความโหดร้ายโดยตรง แต่ก็มีความเย็นชาและไม่ใส่ใจความทุกข์ของผู้อื่น เช่นเดียวกับไม้ระกำที่ดูแข็งกระด้างและไส้ที่มีรสฝาดขม ซึ่งไม่ให้ความรู้สึกนุ่มนวลหรือปรานีใด ๆ. ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนจองหองพองขน ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ จ. จองหองพองขน จองหองพองขน หมายถึง สำนวน “จองหองพองขน” หมายถึง การแสดงความเย่อหยิ่ง ลบหลู่ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือผู้มีอุปการคุณ โดยแสดงออกถึงความไม่เคารพ ไม่สำนึกบุญคุณ และวางตัวอย่างโอหัง เปรียบเสมือนแมวหรือลิงที่พองขนหรือส่งเสียงขู่เจ้าของผู้เลี้ยงดูมัน ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมและแสดงออกถึงความไม่รู้คุณ เช่นเดียวกับคนที่แสดงอาการหยิ่งยโสต่อบุคคลหรือสิ่งที่เคยช่วยเหลือหรืออุปการะตนมาก่อน สะท้อนถึงการขาดความนอบน้อมและไม่เห็นคุณค่าของผู้อื่น กล่าวคือ “การแสดงความเย่อหยิ่งลบหลู่ผู้มีพระคุณ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากการเปรียบเปรยพฤติกรรมของแมวหรือลิง ที่เมื่อรู้สึกหงุดหงิดหรือไม่พอใจ จะพองขน ขู่ หรือแสดงท่าทางหยิ่งยโส แม้กระทั่งกับเจ้าของที่เลี้ยงดูมัน การกระทำนี้สะท้อนถึงความไม่รู้บุญคุณหรือการไม่ให้ความเคารพต่อผู้มีอุปการคุณ ในอดีต สำนวนนี้ยังเชื่อมโยงกับความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่คนโบราณให้ความเคารพนับถือ ผู้ที่แสดงอาการเย่อหยิ่งหรือลบหลู่ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มักถูกมองว่าเป็นคนจองหอง เช่นเดียวกับสัตว์ที่ขู่หรือแสดงท่าทางหยิ่งยโสต่อผู้เลี้ยงดู เปรียบได้กับคนที่ไม่เคารพหรือแสดงออกถึงความโอหังต่อผู้ที่ควรได้รับความเคารพ สำนวนนี้เป็นคำเปรียบเปรยที่ใช้กันมาแต่โบราณ ปรากฏในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง เช่น นิราศเมืองแกลง ของสุนทรภู่ ซึ่งเล่าถึงเหตุการณ์ขณะเดินทางโดยทางเรือ เมื่อถึงคลองขวาง สุนทรภู่บรรยายถึงลิงแสมที่อยู่ริมตลิ่งจำนวนมากวิ่งตามเรือ พร้อมทั้งเปรียบพฤติกรรมของลิงที่แสดงความโอ้อวด พองขน และวุ่นวายหลุกหลิก สื่อถึงความจองหองและลำพองของลิง ในบทกวีมีความตอนหนึ่งว่า:“คำโบราณท่านผูกถูกทุกสิ่ง เขาว่าลิงจองหองมันพองขนทำหลุกหลิกเหลือกลานพานลุกลน เขาด่าคนจึงว่าลิงโลนลำพอง” สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเปรยถึงคนที่แสดงท่าทีหยิ่งยโส อวดดี หรือดูถูกผู้อื่นอย่างเปิดเผย โดยเปรียบกับพฤติกรรมของลิงที่พองขนและทำตัวลำพองต่อสิ่งรอบข้าง…
-
รู้จักสำนวนจระเข้ขวางคลอง ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ จ. จระเข้ขวางคลอง จระเข้ขวางคลอง หมายถึง สำนวน “จระเข้ขวางคลอง” หมายถึง ผู้ที่ขัดขวางหรือเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการบางอย่าง ทำให้เกิดความล่าช้าหรือไม่สามารถทำสิ่งนั้นได้อย่างราบรื่น เปรียบเสมือนจระเข้ที่นอนขวางคลอง ทำให้การเรือหรือสัญจรทางน้ำติดขัดหรือไม่สะดวก กล่าวคือ “ผู้ที่ชอบกันท่าหรือขัดขวางไม่ให้ผู้อื่นทำการอย่างใดอย่างหนึ่งได้สะดวก” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากการเปรียบเปรยกับจระเข้ที่นอนขวางคลอง ซึ่งเป็นภาพที่มักเกิดขึ้นในอดีต เมื่อผู้คนสัญจรทางน้ำโดยเรือ แต่กลับเจอจระเข้นอนขวางอยู่ในคลอง ทำให้การเดินทางติดขัดหรือหยุดชะงัก เพราะไม่สามารถผ่านไปได้โดยสะดวก บางครั้งผู้คนอาจต้องเปลี่ยนเส้นทางหรือหาวิธีจัดการกับจระเข้ก่อนถึงจะเดินทางต่อได้ ในเชิงเปรียบเปรย สำนวนนี้สะท้อนถึงบุคคลหรือสิ่งที่ขัดขวางความก้าวหน้าหรือการดำเนินการในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยอาจตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เปรียบเหมือนจระเข้ที่เลือกนอนขวางคลอง ทำให้เกิดอุปสรรคที่ยากจะแก้ไขหรือเลี่ยงผ่านไปได้ง่าย ๆ จึงมักใช้กล่าวถึงสถานการณ์ที่มีผู้ทำให้การดำเนินงานช้าลง หรือเกิดความล่าช้าอย่างไม่จำเป็น ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่มีความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนจระเข้ฟาดหาง ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ จ. จระเข้ฟาดหาง จระเข้ฟาดหาง หมายถึง สำนวน “จระเข้ฟาดหาง” หมายถึง ผู้ที่ใช้อำนาจหรือกำลังระรานผู้อื่นไปทั่วโดยไม่เลือกหน้า สะท้อนถึงพฤติกรรมที่ไม่สนใจว่าการกระทำของตนจะกระทบต่อใครบ้าง เปรียบเหมือนจระเข้ที่ใช้หางฟาดไปมาอย่างรุนแรง ทำให้สิ่งรอบข้างได้รับผลกระทบโดยไม่เลือกเป้าหมาย กล่าวคือ “คนที่ชอบใช้กำลังระรานคนอื่นไปทั่ว” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากพฤติกรรมของจระเข้ ซึ่งมีหางที่แข็งแรงและทรงพลัง เมื่อมันโมโหจะใช้หางฟาดไปมา จะสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อสิ่งรอบข้างโดยไม่เลือกเป้าหมาย พฤติกรรมนี้ถูกนำมาเปรียบเปรยถึงผู้ที่ใช้อำนาจหรือกำลังในการระรานหรือสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว สำนวนนี้ยังมีรากมาจากท่าจระเข้ฟาดหางในแม่ไม้มวยไทย ซึ่งเป็นท่าที่ใช้แรงเหวี่ยงตัวและขาเตะฟาดศัตรูในลักษณะรุนแรงและรวดเร็ว ฟาดฟันคู่ต่อสู้อย่างคาดไม่ถึง เปรียบเสมือนการโจมตีอย่างดุดันและกระจายผลกระทบไปยังทุกสิ่งรอบข้าง ท่ามวยไทยนี้จึงเสริมภาพลักษณ์ของสำนวนให้ชัดเจนถึงความรุนแรงและการระรานแบบไม่เลือกหน้า ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนจุดไต้ตำตอ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ จ. จุดไต้ตำตอ จุดไต้ตำตอ หมายถึง สำนวน “จุดไต้ตำตอ” หมายถึง การพูดหรือทำสิ่งใดที่ไปกระทบหรือเสียดแทงใจผู้ที่เกี่ยวข้องโดยไม่ตั้งใจ หรือโดยที่ผู้พูดอาจไม่รู้ตัวว่าผู้ฟังมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ครั้นพอรู้ความจริงเข้า ดีไม่ดีผู้พูดอาจจะเคราะห์ร้ายหรือซวยเข้า สำนวนนี้ใช้เมื่อต้องการสื่อถึงการกระทำที่ก่อให้เกิดความอึดอัดใจในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด กล่าวคือ “การพูดหรือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งบังเอิญไปโดนเอาเจ้าตัวหรือผู้ที่เป็นเจ้าของเรื่องนั้นเข้าโดยผู้พูดหรือผู้ทำไม่รู้ตัว” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากการเปรียบเปรยถึงคนที่จุดไต้ (คบเพลิงให้แสงสว่าง) เพื่อมองทาง แต่กลับเดินไปชนตอ (โคนต้นไม้หรือสิ่งที่ขวางอยู่) ซึ่งสะท้อนถึงการที่มีแสงสว่างหรือโอกาสที่จะรู้หรือเห็นความจริงอยู่แล้ว แต่กลับไม่ระวังหรือมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ในเชิงเปรียบเปรย สำนวนนี้หมายถึงการพูดหรือทำสิ่งใดที่ไปกระทบหรือเสียดแทงใจผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยที่คนพูดอาจไม่รู้ตัว ทั้งที่ผู้ที่พูดถึงนั้นอยู่ตรงหน้าให้เห็นชัดเจน เปรียบเหมือนการเดินชนตอทั้งที่มีแสงสว่างช่วยให้เห็นทาง แต่กลับมองข้ามสิ่งสำคัญที่อยู่ตรงหน้า ที่มาของสำนวน
-
รู้จักสำนวนจมูกมด ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ จ. จมูกมด จมูกมด หมายถึง สำนวน “จมูกมด” หมายถึง การมีความสามารถในการรับรู้หรือรับข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือกำลังจะเกิดขึ้น มีสัญชาตญาณดี เปรียบได้กับความไวของมดที่สามารถรับรู้การเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมหรือสิ่งต่าง ๆ ได้ทันที เช่น การจับกลิ่นอาหาร หรือการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ สำนวนนี้สะท้อนถึงคนที่มีไหวพริบ รู้เท่าทันสถานการณ์ หรือสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว กล่าวคือ “การรู้เรื่อง รู้ข่าว อย่างรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือกำลังจะเกิดขึ้น” บางครั้งใช้คู่กับคำว่า หูผี เป็น “หูผีจมูกมด” ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากการเปรียบเทียบกับมด ซึ่งเป็นสัตว์ตัวเล็กที่มีจมูกหรือประสาทรับกลิ่นไวมาก เมื่อมีสิ่งที่จะเป็นอาหารของมดอยู่ ณ ที่ใด ในเวลาไม่นานก็จะมีฝูงมดมาช่วยกันลากสิ่งนั้นกลับไปที่รังของมันโดยเร็ว ทั้งนี้ มดที่ทำหน้าที่ตระเวนหาอาหารจะเดินไปมาตามที่ต่าง ๆ ตลอดเวลา เมื่อพบเหยื่อหรือสิ่งที่เป็นอาหาร ก็จะรีบนำข่าวไปบอกให้มดตัวอื่น ๆ รู้โดยทันที สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเปรยถึงคนที่มีความไวต่อการรับรู้สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือมีความสามารถในการสังเกตจับผิด หรือหาข้อมูลที่ผู้อื่นอาจมองข้าม สะท้อนถึงลักษณะของคนที่ละเอียด รอบคอบ และใส่ใจกับรายละเอียดเล็ก ๆ ในชีวิตหรือการทำงาน ตัวอย่างกับใช้สำนวน