Tag: สำนวนไทย จ.

  • รู้จักสำนวนใจดีสู้เสือ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนใจดีสู้เสือ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ จ. ใจดีสู้เสือ ใจดีสู้เสือ หมายถึง สำนวน “ใจดีสู้เสือ” หมายถึง การมีความกล้าหาญและใจเย็นในการเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก หรืออันตราย เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาอย่างกล้าหาญมีสติและไม่ตื่นตกใจ โบราณท่านนิยมใช้อธิบายเมื่อเราเจอเหตุการณ์ที่น่ากลัวหรือมีอันตราย แต่ก็บังคับใจตัวเองให้สู้ ไม่ให้กลัวจนไม่กล้าทำอะไร กล่าวคือ “การตั้งสติสู้กับสถานการณ์ที่ยากลำบากอย่างกล้าหาญ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากการเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่ต้องเผชิญหน้ากับเสือ ซึ่งเป็นสัตว์ที่ดุร้ายและอันตราย การแสดงความตื่นตกใจหรือหวาดกลัวอาจกระตุ้นให้เสือเข้าทำร้ายได้ แต่หากเรามี สติและความใจเย็น รวมถึงแสดงท่าทีสงบนิ่ง ก็อาจช่วยให้สถานการณ์คลี่คลายหรือหลีกเลี่ยงอันตรายได้ สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเปรยถึงการมีความกล้าหาญ มีสติ และใจเย็น เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากหรืออันตราย เพื่อให้สามารถหาทางออกได้โดยไม่เกิดความเสียหายเพิ่มเติม เปรียบเหมือนการสู้เสือด้วยความมั่นคงในจิตใจ แทนที่จะปล่อยให้ความกลัวเข้าครอบงำ ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนจับปูใส่กระด้ง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนจับปูใส่กระด้ง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ จ. จับปูใส่กระด้ง จับปูใส่กระด้ง หมายถึง สำนวน “จับปูใส่กระด้ง” หมายถึง การพยายามจัดการหรือควบคุมสิ่งที่ยากจะทำให้อยู่นิ่ง ๆ ได้, การดูแลหรือควบคุมคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่อยู่นิ่งและชอบทำให้วุ่นวาย เปรียบเหมือนการจับปูที่ดิ้นรนหนีเมื่อถูกใส่ในกระด้ง ทำให้การควบคุมหรือดูแลเป็นเรื่องยุ่งยากและวุ่นวาย สำนวนนี้มักใช้กับสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเด็กซน หรือกลุ่มคนที่เคลื่อนไหวตลอดเวลาและจัดการได้ยาก กล่าวคือ “สิ่งที่ยากที่จะทำให้อยู่นิ่ง ๆ ได้” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากพฤติกรรมของปู ซึ่งเป็นสัตว์ที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา หากจับปูหลายตัวมาใส่ในกระด้ง ซึ่งเป็นภาชนะที่มีพื้นโค้งและไม่เรียบ ปูเหล่านั้นจะพยายามปีนป่ายหนีออกจากกระด้ง ทำให้ดูวุ่นวายและยากที่จะควบคุมให้อยู่นิ่ง ๆ สำนวนนี้จึงถูกนำมาเปรียบเปรยกับสถานการณ์ที่ต้องจัดการกับกลุ่มคนที่อยู่ไม่นิ่งหรือสร้างความวุ่นวาย เช่น เด็กซน หรือคนที่ควบคุมได้ยาก สะท้อนถึงความลำบากและความยุ่งยากในการจัดการเรื่องราวเหล่านั้นให้สงบหรือเป็นระเบียบ ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนจับดำถลำแดง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนจับดำถลำแดง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ จ. จับดำถลำแดง จับดำถลำแดง หมายถึง สำนวน “จับดำถลำแดง” หมายถึง การตั้งใจทำหรือมุ่งหวังบางสิ่ง แต่กลับกลายเป็นได้ผลลัพธ์หรือสิ่งที่แตกต่างออกไปจากที่ตั้งใจไว้ สำนวนนี้สะท้อนถึงสถานการณ์ที่ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามแผนหรือความคาดหวังเดิม เช่น การแก้ไขปัญหาที่ตั้งใจทำเรื่องหนึ่ง แต่กลับส่งผลให้เกิดอีกเรื่องหนึ่งแทน หรือการกระทำที่มีเป้าหมายชัดเจน แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่ตรงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ หรือบุคคลเรามุ่งหวังสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้ จึงลงมือกระทำเพื่อให้ได้มาตามที่ตนเองต้องการ แต่ผลรับที่ได้มากลับกลายไปเป็นอย่างอื่น ซึ่งไม่ตรงกับความต้องการของตน กล่าวคือ “การมุ่งอย่างหนึ่งไปได้อีกอย่างหนึ่ง, มุ่งอย่างหนึ่งกลายไปเป็นอีกอย่างหนึ่ง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากการคัดเลือกทหารเกณฑ์ในประเทศไทย ซึ่งผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหารต้องจับใบดำหรือใบแดง ใบดำหมายถึงไม่ต้องเป็นทหาร ส่วนใบแดงหมายถึงต้องเข้ารับราชการทหารเกณฑ์ ในบางกรณี ผู้ที่ตั้งใจอยากจับได้ใบดำเพื่อไม่ต้องเป็นทหาร แต่กลับจับได้ใบแดง จึงต้องเข้ารับการเป็นทหารเกณฑ์แทน สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ สำนวนนี้จึงถูกใช้เปรียบเปรยถึงการมุ่งหวังหรือคาดหมายอย่างหนึ่ง แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นอีกอย่างหนึ่งโดยไม่สามารถควบคุมได้ ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนจับตัววางตาย ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนจับตัววางตาย ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ จ. จับตัววางตาย จับตัววางตาย หมายถึง สำนวน “จับตัววางตาย” หมายถึง การกำหนดลงไปแน่นอนไม่มีเปลี่ยนแปลง ต้องเป็นไปตามนั้น หรือการกําหนดตัวบุคคลให้ประจําหน้าที่โดยเฉพาะวางตัวบุคคลให้ทำงานชิ้นใดชิ้นนึงอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ สำนวนนี้มักใช้ในบริบทที่เกี่ยวกับการตัดสินใจหรือการมอบหมายหน้าที่อย่างเด็ดขาด โดยระบุให้ชัดเจนว่าใครต้องทำอะไร และไม่เปิดโอกาสให้มีการปรับเปลี่ยนตัวบุคคลหรือหน้าที่นั้น ๆ ได้อีก กล่าวคือ “การกำหนดลงไปแน่นอนไม่เปลี่ยนแปลง, กำหนดตัวบุคคลให้ประจำหน้าที่โดยเฉพาะ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากกติกาในการเล่นหมากรุก ซึ่งกำหนดว่าเมื่อผู้เล่นจับหมากตัวใดขึ้นมาแล้ว จะต้องเดินหมากตัวนั้นเท่านั้น และเมื่อวางลงในตาใด ถือว่าเดินในตานั้นอย่างแน่นอน จะไม่สามารถเปลี่ยนไปเดินตาอื่น หรือเปลี่ยนไปจับตัวอื่นมาเดินแทนได้ กติกานี้สะท้อนถึงความเด็ดขาดและแน่นอนในสิ่งที่ตัดสินใจลงไป จึงถูกนำมาใช้ในภาษาพูดเพื่อเปรียบเปรยถึง การกำหนดสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างชัดเจนและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่น การมอบหมายหน้าที่ หรือการตัดสินใจที่ต้องถือเป็นที่สิ้นสุด เหมือนกับการเดินหมากที่ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้อีก ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนจับผลัดจับผลู ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนจับผลัดจับผลู ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ จ. จับผลัดจับผลู จับผลัดจับผลู หมายถึง สำนวน “จับผลัดจับผลู” หมายถึง การเกิดเหตุการณ์หรือสถานการณ์บางอย่างขึ้นโดยบังเอิญหรือไม่ได้ตั้งใจ มักเป็นเรื่องที่ไม่ได้คาดคิดหรือวางแผนไว้ล่วงหน้า สำนวนนี้มักใช้ในความหมายเชิงบังเอิญที่พาให้เกิดเรื่องราวบางอย่าง ซึ่งอาจเป็นทั้งเรื่องดีหรือไม่ดีก็ได้ กล่าวคือ “การเกิดเหตุการณ์บังเอิญเกิดขึ้นและเป็นไปโดยไม่ตั้งใจ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากการเปรียบเปรยถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ หรือความบังเอิญที่นำไปสู่สถานการณ์บางอย่าง คำว่า “ผลัด” หมายถึง การเปลี่ยนหรือหมุนเวียน ส่วนคำว่า “ผลู” หมายถึงทาง สื่อถึงทางอื่น ๆ ทางใหม่ ๆ หรือโอกาสอะไรก็ตามเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ที่มานี้สะท้อนวิถีชีวิตในอดีตที่บางครั้งผู้คนอาจถูกเรียกให้ทำหน้าที่บางอย่างแทนคนอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือมีเหตุการณ์ที่พาให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ โดยไม่ได้คาดหมาย เช่น การถูกผลัดให้มาทำหน้าที่แทน หรือบังเอิญต้องเข้าร่วมในเรื่องราวที่ไม่ได้เตรียมตัวไว้ สำนวนนี้จึงใช้สื่อถึง การเกิดขึ้นของสิ่งที่ไม่คาดคิดโดยบังเอิญ อันนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่เคยวางแผนหรือเตรียมตัวมาก่อน ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนจับมือใครดมไม่ได้ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนจับมือใครดมไม่ได้ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ จ. จับมือใครดมไม่ได้ จับมือใครดมไม่ได้ หมายถึง สำนวน “จับมือใครดมไม่ได้” หมายถึง การไม่สามารถหาตัวผู้กระทำผิดหรือผู้รับผิดชอบได้ แม้จะเกิดเหตุการณ์หรือความเสียหายขึ้น เปรียบเหมือนการไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนพอจะระบุได้ว่าใครเป็นผู้กระทำผิด สำนวนนี้มักใช้ในกรณีที่ความผิดเกิดขึ้นในลักษณะที่ซับซ้อน หรือผู้กระทำพยายามปกปิดจนไม่สามารถพิสูจน์ความผิดได้อย่างชัดเจน กล่าวคือ “การหาผู้กระทำความผิดไม่ได้ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนกระทำความผิด” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากการเปรียบเทียบถึงการจับผู้กระทำผิดที่ไม่มีหลักฐานชัดเจน โดยการ “จับมือดม” ในที่นี้สื่อถึงการตรวจสอบหรือจับผิดว่ามีใครเป็นผู้กระทำ แต่หากไม่มีหลักฐานชัดเจน แม้จะจับมือมาดมก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นคนทำ สำนวนนี้สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ที่ความผิดเกิดขึ้น แต่ผู้กระทำสามารถปกปิดหรือทำให้เกิดความคลุมเครือ จนไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นผู้ลงมืออย่างแท้จริง เปรียบได้กับการพยายามดมกลิ่นมือของคนหลายคนเพื่อหาว่าใครจับสิ่งที่มีกลิ่น แต่ไม่สามารถแยกแยะได้เพราะไม่มีหลักฐานที่แน่นหนาพอ สำนวนนี้มักใช้ในบริบทที่เกี่ยวข้องกับการกล่าวหา การตรวจสอบ หรือการเอาผิด โดยไม่มีข้อเท็จจริงหรือหลักฐานที่เพียงพอที่จะชี้ชัดว่าใครคือผู้กระทำผิด ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนจับให้มั่นคั้นให้ตาย ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนจับให้มั่นคั้นให้ตาย ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ จ. จับให้มั่นคั้นให้ตาย จับให้มั่นคั้นให้ตาย หมายถึง สำนวน “จับให้มั่นคั้นให้ตาย” หมายถึง การจะจับผิดหรือลงโทษใคร ต้องมีหลักฐานที่แน่นอนและชัดเจน เพื่อให้ไม่สามารถปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงความผิดได้ สำนวนนี้มักใช้ในบริบทของการเอาผิดหรือกล่าวหาใครบางคน โดยเน้นว่าต้องมั่นใจในหลักฐานและข้อเท็จจริงก่อนลงมือจับหรือกล่าวหา เพื่อให้การตัดสินหรือดำเนินการมีความหนักแน่น ไม่ปล่อยให้ผู้กระทำผิดมีช่องทางหลบเลี่ยง หรือใช้ข้ออ้างมาหักล้างข้อกล่าวหาได้ เปรียบได้กับการจับอะไรสักอย่าง ต้องจับให้มั่นคงแน่นหนา เพื่อให้ไม่หลุดมือและสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ กล่าวคือ “การจะจับผิดใครต้องมีหลักฐานแน่ชัด” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากการเปรียบเทียบกับการจับสิ่งใดให้แน่นหนา เพื่อไม่ให้หลุดมือ ซึ่งในอดีตใช้เปรียบถึงการจับคนผิดหรือสัตว์ที่อาจหลบหนี หากจับไม่มั่นคงหรือไม่เด็ดขาด ย่อมมีโอกาสพลาดหรือล้มเหลว ที่มาของสำนวนนี้มาจากการเปรียบเทียบกับการจับสัตว์หรือการลงโทษคนที่กระทำผิด ซึ่งหากจับไม่แน่นหรือคั้นไม่สุด ย่อมเปิดโอกาสให้หลบหนีหรือหลีกเลี่ยงความผิดได้ สำนวนนี้จึงเน้นถึงความสำคัญของการมีหลักฐานที่ชัดเจนและการดำเนินการที่เด็ดขาด เพื่อให้การกล่าวหาหรือการจับผิดประสบผลสำเร็จ ไม่เปิดช่องโหว่ให้ผู้กระทำผิดรอดพ้นความผิดไปได้ สุภาษิตนี้สะท้อนถึงแนวคิดในการจัดการปัญหาอย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องเอาผิดหรือจับผิดใคร จำเป็นต้องมีหลักฐานที่มั่นคงและชัดเจน พร้อมทั้งเค้นความจริงให้ถึงที่สุดเพื่อให้เกิดความยุติธรรม ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนจับเสือมือเปล่า ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนจับเสือมือเปล่า ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ จ. จับเสือมือเปล่า จับเสือมือเปล่า หมายถึง สำนวน “จับเสือมือเปล่า” หมายถึง การหาผลประโยชน์หรือทำสิ่งใดให้สำเร็จโดยไม่ต้องลงทุนหรือเสียค่าใช้จ่ายของตนเองเลย เปรียบเหมือนการจับเสือโดยไม่ใช้อาวุธหรือเครื่องมือใด ๆ ซึ่งเสี่ยงมาก แต่ถ้าทำสำเร็จก็จะได้ประโยชน์โดยไม่ต้องลงทุนอะไร สำนวนนี้มักใช้ในเชิงธุรกิจหรือการหาผลประโยชน์จากผู้อื่นโดยไม่ต้องเสียอะไรเลยจากตัวเอง กล่าวคือ “การแสวงหาประโยชน์โดยตัวเองไม่ต้องลงทุน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากการเปรียบเทียบกับการจับเสือ ซึ่งเป็นสัตว์ที่ดุร้ายและอันตราย โดยปกติหากจะจับเสือ ต้องมีอุปกรณ์หรือเครื่องมือช่วย เช่น อาวุธ หรือเชือก แต่ในที่นี้เปรียบว่าจับเสือด้วยมือเปล่า หมายถึง การพยายามทำสิ่งที่ยากและเสี่ยง โดยไม่มีอุปกรณ์หรือการลงทุนใด ๆ ในชีวิตจริง สำนวนนี้จึงสื่อถึงการหาผลประโยชน์ หรือทำสิ่งใดให้สำเร็จโดยที่ตัวเองไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องเสียอะไรเลย แต่กลับได้ผลตอบแทนหรือกำไร เหมือนการจับเสือที่ดูเหมือนยาก แต่ถ้าทำสำเร็จก็ได้ประโยชน์โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรใด ๆ ของตัวเอง สำนวนนี้มักใช้ในเชิงธุรกิจหรือสถานการณ์ที่มีคนใช้ทรัพยากรของผู้อื่น แต่ตัวเองกลับได้ประโยชน์เต็ม ๆ โดยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย เปรียบเสมือนคนที่จับเสือได้โดยไม่ใช้อุปกรณ์ช่วยใด ๆ นั่นเอง ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนจับแพะชนแกะ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนจับแพะชนแกะ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ จ. จับแพะชนแกะ จับแพะชนแกะ หมายถึง สำนวน “จับแพะชนแกะ” หมายถึง การแก้ปัญหาแบบขอไปที หรือการนำสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องหรือไม่เหมาะสมมาใช้แทนกัน เพื่อให้เรื่องจบไปโดยไม่ได้คำนึงถึงความถูกต้องหรือความเหมาะสม มักใช้ในสถานการณ์ที่ต้องการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอย่างเร่งด่วน แต่ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว กล่าวคือ “การทำอย่างขอไปที ไม่ได้อย่างนี้ก็เอาอย่างนั้นเข้าแทนเพื่อให้ลุล่วงไป” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากการเปรียบเทียบการนำแพะกับแกะ ซึ่งเป็นสัตว์คนละชนิดมาแทนที่กัน แม้จะดูคล้ายคลึงกัน แต่แท้จริงแล้วทั้งสองมีลักษณะและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน การ “จับแพะชนแกะ” จึงสื่อถึงการแก้ปัญหาหรือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแบบขอไปที โดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสม เพียงเพื่อให้เรื่องผ่านพ้นไป แนวคิดนี้สะท้อนวิธีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ไม่ได้มุ่งเน้นความถูกต้องหรือประสิทธิภาพ แต่เน้นให้เรื่องจบลงโดยเร็ว เช่นเดียวกับการนำสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันมาใช้แทนกันเพียงเพื่อตอบโจทย์ในขณะนั้น สุภาษิตนี้จึงมักใช้เป็นคำเตือนว่าการแก้ปัญหาแบบนี้อาจทำให้เกิดปัญหาที่ใหญ่กว่าในภายหลัง ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนจับปลาสองมือ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนจับปลาสองมือ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ จ. จับปลาสองมือ จับปลาสองมือ หมายถึง สำนวน “จับปลาสองมือ” หมายถึง การพยายามทำหรือเอาสองสิ่งในเวลาเดียวกัน แต่สุดท้ายไม่สำเร็จอาจไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง เพราะขาดความรอบคอบและโฟกัส เปรียบเหมือนการใช้มือทั้งสองจับปลาในคราวเดียว ซึ่งมีโอกาสที่ปลาจะหลุดมือไปทั้งสองด้าน สำนวนนี้มักใช้เตือนให้ทำสิ่งใดอย่างมีสติและมุ่งมั่นในสิ่งเดียว เพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จแทนที่จะพยายามทำหลายอย่างพร้อมกันจนล้มเหลวทั้งหมด กล่าวคือ “การมุ่งหวังสองสิ่งในเวลาเดียวกัน ในที่สุดไม่ได้อะไรสักอย่าง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากการเปรียบเทียบกับการจับปลา ซึ่งในอดีตเป็นกิจกรรมที่คนไทยคุ้นเคย การจับปลาต้องใช้สมาธิและความแม่นยำ หากพยายามจับปลาสองตัวพร้อมกันด้วยมือทั้งสองข้าง ย่อมมีโอกาสสูงที่ปลาจะหลุดไปทั้งคู่ เพราะขาดสมาธิและการโฟกัสที่ชัดเจน สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเปรยถึงการทำสองสิ่งในเวลาเดียวกัน โดยไม่สามารถทุ่มเทให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเต็มที่ สุดท้ายอาจไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการในทั้งสองด้าน สอนให้คน มุ่งมั่นทำทีละสิ่งให้สำเร็จดีกว่า ทำหลายอย่างพร้อมกันจนล้มเหลวทั้งหมด ตัวอย่างการสำนวน