Tag: สำนวนไทย จ.

  • รู้จักสำนวนจับดำถลำแดง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนจับดำถลำแดง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ จ. จับดำถลำแดง จับดำถลำแดง หมายถึง สำนวน “จับดำถลำแดง” หมายถึง การตั้งใจทำหรือมุ่งหวังบางสิ่ง แต่กลับกลายเป็นได้ผลลัพธ์หรือสิ่งที่แตกต่างออกไปจากที่ตั้งใจไว้ สำนวนนี้สะท้อนถึงสถานการณ์ที่ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามแผนหรือความคาดหวังเดิม เช่น การแก้ไขปัญหาที่ตั้งใจทำเรื่องหนึ่ง แต่กลับส่งผลให้เกิดอีกเรื่องหนึ่งแทน หรือการกระทำที่มีเป้าหมายชัดเจน แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่ตรงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ หรือบุคคลเรามุ่งหวังสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้ จึงลงมือกระทำเพื่อให้ได้มาตามที่ตนเองต้องการ แต่ผลรับที่ได้มากลับกลายไปเป็นอย่างอื่น ซึ่งไม่ตรงกับความต้องการของตน กล่าวคือ “การมุ่งอย่างหนึ่งไปได้อีกอย่างหนึ่ง, มุ่งอย่างหนึ่งกลายไปเป็นอีกอย่างหนึ่ง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากการคัดเลือกทหารเกณฑ์ในประเทศไทย ซึ่งผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหารต้องจับใบดำหรือใบแดง ใบดำหมายถึงไม่ต้องเป็นทหาร ส่วนใบแดงหมายถึงต้องเข้ารับราชการทหารเกณฑ์ ในบางกรณี ผู้ที่ตั้งใจอยากจับได้ใบดำเพื่อไม่ต้องเป็นทหาร แต่กลับจับได้ใบแดง จึงต้องเข้ารับการเป็นทหารเกณฑ์แทน สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ สำนวนนี้จึงถูกใช้เปรียบเปรยถึงการมุ่งหวังหรือคาดหมายอย่างหนึ่ง แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นอีกอย่างหนึ่งโดยไม่สามารถควบคุมได้ ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนจับตัววางตาย ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนจับตัววางตาย ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ จ. จับตัววางตาย จับตัววางตาย หมายถึง สำนวน “จับตัววางตาย” หมายถึง การกำหนดลงไปแน่นอนไม่มีเปลี่ยนแปลง ต้องเป็นไปตามนั้น หรือการกําหนดตัวบุคคลให้ประจําหน้าที่โดยเฉพาะวางตัวบุคคลให้ทำงานชิ้นใดชิ้นนึงอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ สำนวนนี้มักใช้ในบริบทที่เกี่ยวกับการตัดสินใจหรือการมอบหมายหน้าที่อย่างเด็ดขาด โดยระบุให้ชัดเจนว่าใครต้องทำอะไร และไม่เปิดโอกาสให้มีการปรับเปลี่ยนตัวบุคคลหรือหน้าที่นั้น ๆ ได้อีก กล่าวคือ “การกำหนดลงไปแน่นอนไม่เปลี่ยนแปลง, กำหนดตัวบุคคลให้ประจำหน้าที่โดยเฉพาะ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากกติกาในการเล่นหมากรุก ซึ่งกำหนดว่าเมื่อผู้เล่นจับหมากตัวใดขึ้นมาแล้ว จะต้องเดินหมากตัวนั้นเท่านั้น และเมื่อวางลงในตาใด ถือว่าเดินในตานั้นอย่างแน่นอน จะไม่สามารถเปลี่ยนไปเดินตาอื่น หรือเปลี่ยนไปจับตัวอื่นมาเดินแทนได้ กติกานี้สะท้อนถึงความเด็ดขาดและแน่นอนในสิ่งที่ตัดสินใจลงไป จึงถูกนำมาใช้ในภาษาพูดเพื่อเปรียบเปรยถึง การกำหนดสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างชัดเจนและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่น การมอบหมายหน้าที่ หรือการตัดสินใจที่ต้องถือเป็นที่สิ้นสุด เหมือนกับการเดินหมากที่ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้อีก ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนจับผลัดจับผลู ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนจับผลัดจับผลู ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ จ. จับผลัดจับผลู จับผลัดจับผลู หมายถึง สำนวน “จับผลัดจับผลู” หมายถึง การเกิดเหตุการณ์หรือสถานการณ์บางอย่างขึ้นโดยบังเอิญหรือไม่ได้ตั้งใจ มักเป็นเรื่องที่ไม่ได้คาดคิดหรือวางแผนไว้ล่วงหน้า สำนวนนี้มักใช้ในความหมายเชิงบังเอิญที่พาให้เกิดเรื่องราวบางอย่าง ซึ่งอาจเป็นทั้งเรื่องดีหรือไม่ดีก็ได้ กล่าวคือ “การเกิดเหตุการณ์บังเอิญเกิดขึ้นและเป็นไปโดยไม่ตั้งใจ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากการเปรียบเปรยถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ หรือความบังเอิญที่นำไปสู่สถานการณ์บางอย่าง คำว่า “ผลัด” หมายถึง การเปลี่ยนหรือหมุนเวียน ส่วนคำว่า “ผลู” หมายถึงทาง สื่อถึงทางอื่น ๆ ทางใหม่ ๆ หรือโอกาสอะไรก็ตามเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ที่มานี้สะท้อนวิถีชีวิตในอดีตที่บางครั้งผู้คนอาจถูกเรียกให้ทำหน้าที่บางอย่างแทนคนอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือมีเหตุการณ์ที่พาให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ โดยไม่ได้คาดหมาย เช่น การถูกผลัดให้มาทำหน้าที่แทน หรือบังเอิญต้องเข้าร่วมในเรื่องราวที่ไม่ได้เตรียมตัวไว้ สำนวนนี้จึงใช้สื่อถึง การเกิดขึ้นของสิ่งที่ไม่คาดคิดโดยบังเอิญ อันนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่เคยวางแผนหรือเตรียมตัวมาก่อน ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนจับมือใครดมไม่ได้ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนจับมือใครดมไม่ได้ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ จ. จับมือใครดมไม่ได้ จับมือใครดมไม่ได้ หมายถึง สำนวน “จับมือใครดมไม่ได้” หมายถึง การไม่สามารถหาตัวผู้กระทำผิดหรือผู้รับผิดชอบได้ แม้จะเกิดเหตุการณ์หรือความเสียหายขึ้น เปรียบเหมือนการไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนพอจะระบุได้ว่าใครเป็นผู้กระทำผิด สำนวนนี้มักใช้ในกรณีที่ความผิดเกิดขึ้นในลักษณะที่ซับซ้อน หรือผู้กระทำพยายามปกปิดจนไม่สามารถพิสูจน์ความผิดได้อย่างชัดเจน กล่าวคือ “การหาผู้กระทำความผิดไม่ได้ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนกระทำความผิด” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากการเปรียบเทียบถึงการจับผู้กระทำผิดที่ไม่มีหลักฐานชัดเจน โดยการ “จับมือดม” ในที่นี้สื่อถึงการตรวจสอบหรือจับผิดว่ามีใครเป็นผู้กระทำ แต่หากไม่มีหลักฐานชัดเจน แม้จะจับมือมาดมก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นคนทำ สำนวนนี้สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ที่ความผิดเกิดขึ้น แต่ผู้กระทำสามารถปกปิดหรือทำให้เกิดความคลุมเครือ จนไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นผู้ลงมืออย่างแท้จริง เปรียบได้กับการพยายามดมกลิ่นมือของคนหลายคนเพื่อหาว่าใครจับสิ่งที่มีกลิ่น แต่ไม่สามารถแยกแยะได้เพราะไม่มีหลักฐานที่แน่นหนาพอ สำนวนนี้มักใช้ในบริบทที่เกี่ยวข้องกับการกล่าวหา การตรวจสอบ หรือการเอาผิด โดยไม่มีข้อเท็จจริงหรือหลักฐานที่เพียงพอที่จะชี้ชัดว่าใครคือผู้กระทำผิด ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนจับให้มั่นคั้นให้ตาย ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนจับให้มั่นคั้นให้ตาย ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ จ. จับให้มั่นคั้นให้ตาย จับให้มั่นคั้นให้ตาย หมายถึง สำนวน “จับให้มั่นคั้นให้ตาย” หมายถึง การจะจับผิดหรือลงโทษใคร ต้องมีหลักฐานที่แน่นอนและชัดเจน เพื่อให้ไม่สามารถปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงความผิดได้ สำนวนนี้มักใช้ในบริบทของการเอาผิดหรือกล่าวหาใครบางคน โดยเน้นว่าต้องมั่นใจในหลักฐานและข้อเท็จจริงก่อนลงมือจับหรือกล่าวหา เพื่อให้การตัดสินหรือดำเนินการมีความหนักแน่น ไม่ปล่อยให้ผู้กระทำผิดมีช่องทางหลบเลี่ยง หรือใช้ข้ออ้างมาหักล้างข้อกล่าวหาได้ เปรียบได้กับการจับอะไรสักอย่าง ต้องจับให้มั่นคงแน่นหนา เพื่อให้ไม่หลุดมือและสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ กล่าวคือ “การจะจับผิดใครต้องมีหลักฐานแน่ชัด” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากการเปรียบเทียบกับการจับสิ่งใดให้แน่นหนา เพื่อไม่ให้หลุดมือ ซึ่งในอดีตใช้เปรียบถึงการจับคนผิดหรือสัตว์ที่อาจหลบหนี หากจับไม่มั่นคงหรือไม่เด็ดขาด ย่อมมีโอกาสพลาดหรือล้มเหลว ที่มาของสำนวนนี้มาจากการเปรียบเทียบกับการจับสัตว์หรือการลงโทษคนที่กระทำผิด ซึ่งหากจับไม่แน่นหรือคั้นไม่สุด ย่อมเปิดโอกาสให้หลบหนีหรือหลีกเลี่ยงความผิดได้ สำนวนนี้จึงเน้นถึงความสำคัญของการมีหลักฐานที่ชัดเจนและการดำเนินการที่เด็ดขาด เพื่อให้การกล่าวหาหรือการจับผิดประสบผลสำเร็จ ไม่เปิดช่องโหว่ให้ผู้กระทำผิดรอดพ้นความผิดไปได้ สุภาษิตนี้สะท้อนถึงแนวคิดในการจัดการปัญหาอย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องเอาผิดหรือจับผิดใคร จำเป็นต้องมีหลักฐานที่มั่นคงและชัดเจน พร้อมทั้งเค้นความจริงให้ถึงที่สุดเพื่อให้เกิดความยุติธรรม ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนจับเสือมือเปล่า ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนจับเสือมือเปล่า ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ จ. จับเสือมือเปล่า จับเสือมือเปล่า หมายถึง สำนวน “จับเสือมือเปล่า” หมายถึง การหาผลประโยชน์หรือทำสิ่งใดให้สำเร็จโดยไม่ต้องลงทุนหรือเสียค่าใช้จ่ายของตนเองเลย เปรียบเหมือนการจับเสือโดยไม่ใช้อาวุธหรือเครื่องมือใด ๆ ซึ่งเสี่ยงมาก แต่ถ้าทำสำเร็จก็จะได้ประโยชน์โดยไม่ต้องลงทุนอะไร สำนวนนี้มักใช้ในเชิงธุรกิจหรือการหาผลประโยชน์จากผู้อื่นโดยไม่ต้องเสียอะไรเลยจากตัวเอง กล่าวคือ “การแสวงหาประโยชน์โดยตัวเองไม่ต้องลงทุน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากการเปรียบเทียบกับการจับเสือ ซึ่งเป็นสัตว์ที่ดุร้ายและอันตราย โดยปกติหากจะจับเสือ ต้องมีอุปกรณ์หรือเครื่องมือช่วย เช่น อาวุธ หรือเชือก แต่ในที่นี้เปรียบว่าจับเสือด้วยมือเปล่า หมายถึง การพยายามทำสิ่งที่ยากและเสี่ยง โดยไม่มีอุปกรณ์หรือการลงทุนใด ๆ ในชีวิตจริง สำนวนนี้จึงสื่อถึงการหาผลประโยชน์ หรือทำสิ่งใดให้สำเร็จโดยที่ตัวเองไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องเสียอะไรเลย แต่กลับได้ผลตอบแทนหรือกำไร เหมือนการจับเสือที่ดูเหมือนยาก แต่ถ้าทำสำเร็จก็ได้ประโยชน์โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรใด ๆ ของตัวเอง สำนวนนี้มักใช้ในเชิงธุรกิจหรือสถานการณ์ที่มีคนใช้ทรัพยากรของผู้อื่น แต่ตัวเองกลับได้ประโยชน์เต็ม ๆ โดยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย เปรียบเสมือนคนที่จับเสือได้โดยไม่ใช้อุปกรณ์ช่วยใด ๆ นั่นเอง ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนจับแพะชนแกะ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนจับแพะชนแกะ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ จ. จับแพะชนแกะ จับแพะชนแกะ หมายถึง สำนวน “จับแพะชนแกะ” หมายถึง การแก้ปัญหาแบบขอไปที หรือการนำสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องหรือไม่เหมาะสมมาใช้แทนกัน เพื่อให้เรื่องจบไปโดยไม่ได้คำนึงถึงความถูกต้องหรือความเหมาะสม มักใช้ในสถานการณ์ที่ต้องการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอย่างเร่งด่วน แต่ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว กล่าวคือ “การทำอย่างขอไปที ไม่ได้อย่างนี้ก็เอาอย่างนั้นเข้าแทนเพื่อให้ลุล่วงไป” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากการเปรียบเทียบการนำแพะกับแกะ ซึ่งเป็นสัตว์คนละชนิดมาแทนที่กัน แม้จะดูคล้ายคลึงกัน แต่แท้จริงแล้วทั้งสองมีลักษณะและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน การ “จับแพะชนแกะ” จึงสื่อถึงการแก้ปัญหาหรือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแบบขอไปที โดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสม เพียงเพื่อให้เรื่องผ่านพ้นไป แนวคิดนี้สะท้อนวิธีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ไม่ได้มุ่งเน้นความถูกต้องหรือประสิทธิภาพ แต่เน้นให้เรื่องจบลงโดยเร็ว เช่นเดียวกับการนำสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันมาใช้แทนกันเพียงเพื่อตอบโจทย์ในขณะนั้น สุภาษิตนี้จึงมักใช้เป็นคำเตือนว่าการแก้ปัญหาแบบนี้อาจทำให้เกิดปัญหาที่ใหญ่กว่าในภายหลัง ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนจับปลาสองมือ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนจับปลาสองมือ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ จ. จับปลาสองมือ จับปลาสองมือ หมายถึง สำนวน “จับปลาสองมือ” หมายถึง การพยายามทำหรือเอาสองสิ่งในเวลาเดียวกัน แต่สุดท้ายไม่สำเร็จอาจไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง เพราะขาดความรอบคอบและโฟกัส เปรียบเหมือนการใช้มือทั้งสองจับปลาในคราวเดียว ซึ่งมีโอกาสที่ปลาจะหลุดมือไปทั้งสองด้าน สำนวนนี้มักใช้เตือนให้ทำสิ่งใดอย่างมีสติและมุ่งมั่นในสิ่งเดียว เพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จแทนที่จะพยายามทำหลายอย่างพร้อมกันจนล้มเหลวทั้งหมด กล่าวคือ “การมุ่งหวังสองสิ่งในเวลาเดียวกัน ในที่สุดไม่ได้อะไรสักอย่าง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากการเปรียบเทียบกับการจับปลา ซึ่งในอดีตเป็นกิจกรรมที่คนไทยคุ้นเคย การจับปลาต้องใช้สมาธิและความแม่นยำ หากพยายามจับปลาสองตัวพร้อมกันด้วยมือทั้งสองข้าง ย่อมมีโอกาสสูงที่ปลาจะหลุดไปทั้งคู่ เพราะขาดสมาธิและการโฟกัสที่ชัดเจน สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเปรยถึงการทำสองสิ่งในเวลาเดียวกัน โดยไม่สามารถทุ่มเทให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเต็มที่ สุดท้ายอาจไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการในทั้งสองด้าน สอนให้คน มุ่งมั่นทำทีละสิ่งให้สำเร็จดีกว่า ทำหลายอย่างพร้อมกันจนล้มเหลวทั้งหมด ตัวอย่างการสำนวน

  • รู้จักสำนวนจับงูข้างหาง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนจับงูข้างหาง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ จ. จับงูข้างหาง จับงูข้างหาง หมายถึง สำนวน “จับงูข้างหาง” หมายถึง การทำสิ่งที่เสี่ยงหรืออันตราย โดยใช้วิธีที่ไม่ถูกต้อง อาจส่งผลเสียกลับมาหาตัวเอง เปรียบเหมือนการจับงูที่หาง ซึ่งไม่ใช่วิธีที่ปลอดภัย เพราะงูสามารถเลี้ยวกลับมาฉกได้ทุกเมื่อ สำนวนนี้มักใช้เตือนถึงการจัดการปัญหาอย่างไม่รอบคอบ หรือทำสิ่งใดโดยประมาทจนเกิดอันตราย กล่าวคือ “การทำสิ่งที่เสี่ยงต่ออันตราย” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบถึงการจับงูที่หาง ซึ่งเป็นวิธีที่อันตราย เพราะงูสามารถเลี้ยวกลับมาฉกกัดได้ทันที หากต้องการจับงูให้ปลอดภัย ควรจับที่คอเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหว เนื่องจากพฤติกรรมของงู ซึ่งเป็นสัตว์ที่สามารถหันกลับมาฉกกัดผู้ที่จับมันได้ หากจับไม่ถูกวิธี การจับงูที่หางถือเป็นวิธีที่อันตรายที่สุด เพราะงูสามารถพลิกตัวและกัดได้ทันที แนวคิดนี้ถูกนำมาเปรียบเปรยกับการทำสิ่งที่เสี่ยงหรืออันตรายโดยใช้วิธีที่ไม่ถูกต้อง อาจส่งผลเสียย้อนกลับมาหาตัวเอง เหมือนกับคนที่จัดการปัญหาอย่างผิดพลาด หรือทำสิ่งใดโดยไม่รอบคอบ จนกลายเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้ตัวเองมากขึ้น สุภาษิตนี้จึงใช้เตือนให้คิดก่อนทำ และเลือกวิธีที่ปลอดภัยในการแก้ปัญหา หรือจัดการกับสถานการณ์ที่อาจเป็นอันตราย เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียต่อตัวเองในภายหลัง ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน