Tag: สำนวนไทย ช.

  • รู้จักสำนวนเช้าชามเย็นชาม ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนเช้าชามเย็นชาม ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ช. เช้าชามเย็นชาม เช้าชามเย็นชาม หมายถึง สำนวน “เช้าชามเย็นยาม” หมายถึง การใช้ชีวิตอย่างเรื่อยเปื่อย ไม่กระตือรือร้น ทำงานไปวัน ๆ โดยไม่มีความขยันขันแข็งหรือความมุ่งมั่นในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จ เปรียบเสมือนคนที่กินข้าวเช้าไปหนึ่งมื้อ แล้วรอไปจนถึงเย็นค่อยกินอีกมื้อ โดยไม่คิดทำอะไรเพิ่มเติมหรือตั้งใจทำงานให้เกิดประโยชน์มากขึ้น กล่าวคือ “การขาดความตั้งใจที่จะทำงาน หรือทำแบบไม่เต็มที่” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากวิถีชีวิตของคนที่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ โดยไม่ขวนขวายหรือกระตือรือร้นในการทำงาน ในอดีตคนที่ไม่ขยันทำมาหากิน มักใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย กินข้าวเช้าแล้วรอจนถึงเย็นจึงกินอีกมื้อ (เปรียบเสมือนคนที่กินข้าวเช้าไปหนึ่งชาม แล้วรอไปจนถึงเย็นค่อยกินอีกชาม) โดยไม่คิดทำงานเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาตนเองหรือสร้างความมั่นคง สำนวนนี้จึงเปรียบเปรยถึงคนที่ทำงานไปวัน ๆ ไม่มีความมุ่งมั่นหรือความขยันขันแข็ง ทำเพียงแค่ให้ผ่านไป โดยไม่คิดปรับปรุงหรือพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น สำนวนนี้มักใช้ตำหนิคนขี้เกียจโดยเฉพาะข้าราชการหรือผู้ที่ทำงานให้กับทางการ ซึ่งได้รับเงินเดือนจากภาษีประชาชน แต่กลับทำงานอย่างเช้าชามเย็นยาม คือ มาทำงานเพียงให้ครบเวลา ไม่กระตือรือร้น หรือขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนช้างเผือกเกิดในป่า ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนช้างเผือกเกิดในป่า ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ช.ช้างเผือกเกิดในป่า ช้างเผือกเกิดในป่า หมายถึง สำนวน “ช้างเผือกเกิดในป่า” หมายถึง ผู้ที่มีปัญญา คุณความดี หรือความสามารถอันโดดเด่น แม้อยู่ในชนบทห่างไกล ก็ยังมีคนกล่าวขวัญถึง หรือได้รับการยกย่องเสมอ เพราะคนที่มีคุณธรรมและความสามารถสูงเป็นสิ่งที่หาได้ยาก เปรียบเหมือนช้างเผือกซึ่งเป็นสัตว์มงคล แม้จะเกิดในป่า ก็ยังมีคุณค่าและเป็นที่ต้องการ กล่าวคือ “คนที่มีปัญญา เป็นคนดี มีความสามารถนั้นหาได้ยาก แต่ก็ยังมีผู้เห็นคุณค่าเสมอ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากความเชื่อเกี่ยวกับช้างเผือกในวัฒนธรรมไทย ซึ่งถือว่าเป็นสัตว์มงคลและมีคุณค่าต่อแผ่นดิน ซึ่งแตกต่างจากช้างทั่วไปที่มีสีเทาหรือดำ แม้ช้างปกติจะมีความแข็งแกร่งและใช้งานได้ดี แต่ช้างเผือกกลับเป็นที่ต้องการและได้รับการยกย่องมากกว่าเพราะหายาก ในอดีตช้างเผือกถือเป็นสมบัติของพระมหากษัตริย์ ตามคติความเชื่อที่ว่ากษัตริย์ที่มีช้างเผือกในครอบครองจะมีบุญบารมีและความมั่นคงในราชบัลลังก์ ดังนั้นเมื่อมีการพบช้างเผือกในป่า เจ้าหน้าที่และพรานช้างจะรีบรายงานและนำมาเลี้ยงดูในพระบรมมหาราชวัง อย่างไรก็ตามช้างเผือกไม่ได้เกิดในราชวังโดยตรง แต่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในป่า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่มีคุณค่าและหายาก แม้ไม่ได้อยู่ในสถานที่ที่คนทั่วไปคาดหวังว่าจะพบ จากแนวคิดนี้ สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเปรยถึงคนที่มีปัญญา ความสามารถ หรือคุณธรรมสูง แม้จะเกิดหรือเติบโตในที่ห่างไกล ไม่ได้รับการสนับสนุนโดยตรงจากสังคม แต่ก็ยังมีคุณค่าและได้รับการกล่าวถึงเสมอ เหมือนกับช้างเผือกที่แม้จะอยู่ในป่า แต่ก็ยังเป็นที่ต้องการและมีผู้แสวงหา ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนแช่งชักหักกระดูก ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนแช่งชักหักกระดูก ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ช แช่งชักหักกระดูก แช่งชักหักกระดูก หมายถึง สำนวน “แช่งชักหักกระดูก” หมายถึง การสาปแช่งผู้อื่นด้วยความโกรธแค้นอย่างรุนแรง โดยต้องการให้ได้รับเคราะห์กรรมหรือความเดือดร้อนอย่างหนัก เปรียบเสมือนการแช่งให้เจ็บปวดหรือพบกับความหายนะจนถึงขั้นแตกหักและล้มเหลวในชีวิต กล่าวคือ “การสาปแช่งด่ามุ่งร้ายให้ผู้อื่นได้รับอันตรายอย่างร้ายแรง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากความเชื่อและค่านิยมของคนไทยในอดีตเกี่ยวกับอำนาจของคำสาปแช่ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและความเชื่อทางไสยศาสตร์ ในสังคมไทยแต่โบราณ เชื่อว่าคำพูดมีอำนาจและสามารถส่งผลต่อชีวิตของผู้อื่น โดยเฉพาะคำสาปแช่งที่ออกมาจากความโกรธแค้นหรือความไม่พอใจอย่างรุนแรง คำแช่งนั้นอาจถูกกล่าวขึ้นในการทะเลาะวิวาท หรือใช้ในพิธีกรรมบางอย่าง เช่น การสาปแช่งศัตรู คนทรยศ หรือผู้ที่ทำผิดต่อผู้แช่ง ในอดีต คนไทยเชื่อว่าการแช่งสามารถส่งผลจริงหากออกมาจากจิตใจที่มีพลังแห่งความโกรธหรือเจ็บแค้น โดยเฉพาะหากกล่าวคำแช่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่น ศาลเจ้า วัด หรือบริเวณต้นโพธิ์ใหญ่ ที่เชื่อว่ามีอำนาจเหนือธรรมชาติช่วยทำให้คำแช่งเป็นจริง สำนวนนี้จึงสะท้อนถึง อารมณ์โกรธแค้นที่รุนแรงจนอยากให้ผู้อื่นได้รับผลกรรมหนัก เปรียบเหมือนการสาปส่งให้ได้รับอุบัติเหตุหรือเคราะห์กรรมร้ายแรง และเป็นตัวอย่างของ ความเชื่อดั้งเดิมของคนไทยเกี่ยวกับอำนาจของคำพูดและคำสาป ที่ยังคงมีอิทธิพลในวิถีชีวิตและวัฒนธรรมไทยมาจนถึงปัจจุบัน ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนชนักติดหลัง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนชนักติดหลัง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ช ชนักติดหลัง ชนักติดหลัง หมายถึง สำนวน “ชนักติดหลัง” หมายถึง ความผิดหรือเรื่องไม่ดีที่เคยทำไว้ในอดีตและยังคงส่งผลกระทบ ทำให้รู้สึกผิด ถูกจับตามอง หรือไม่สามารถทำอะไรได้อย่างอิสระ เปรียบเสมือนจระเข้ที่ถูกแทงด้วยชนักและหลบหนีไปได้ แต่ชนักยังฝังติดอยู่กับหลังของมันซึ่งเป็นหลักฐานของบาดแผลและการกระทำที่ผ่านมา ไม่สามารถลบเลือนได้ง่าย กล่าวคือ “การมีความชั่วหรือความผิดที่ยังติดตัวอยู่” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากอาวุธที่ใช้ล่าจระเข้ในอดีตที่เรียกว่า “ชนัก” ซึ่งมีปลายแหลมเป็นเหล็กและด้ามไม้ไผ่ยาว เมื่อจระเข้ถูกแทงและดิ้นจนเชือกขาด แม้มันจะหลบหนีไปได้ แต่ชนักยังฝังติดอยู่ที่หลัง เปรียบเหมือนคนที่เคยทำผิดในอดีต แม้พยายามหนีหรือเริ่มต้นใหม่ แต่ก็ยังถูกจับตามองหรือได้รับผลกระทบจากสิ่งที่เคยทำไว้ สำนวนนี้จึงเปรียบเปรยกับชนักถึงคนที่เคยทำผิดพลาดหรือมีประวัติไม่ดีในอดีต ซึ่งแม้จะผ่านไปแล้ว แต่ความผิดนั้นยังคงเป็นภาระ หรือเป็นสิ่งที่ติดตัว ทำให้ไม่สามารถแสดงออกหรือกระทำการบางอย่างได้อย่างอิสระ เหมือนกับจระเข้ที่มีชนักติดหลัง ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวก และอาจถูกจับได้ในภายหลัง ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนชุบมือเปิป ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนชุบมือเปิป ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ช. ชุบมือเปิป ชุบมือเปิป หมายถึง สำนวน “ชุบมือเปิป” หมายถึง การฉวยโอกาสเอาประโยชน์จากสิ่งที่ผู้อื่นลงแรงทำไว้ โดยที่ตนเองไม่ได้ลงแรงหรือเหนื่อยยากมาก่อน เปรียบเสมือนคนที่ไม่ได้ช่วยทำอาหาร แต่กลับเอามือชุบลงไปหยิบกินง่าย ๆ โดยไม่ต้องออกแรงเอง กล่าวคือ “คนที่ฉวยโอกาสเอาประโยชน์หรือผลสำเร็จที่คนอื่นทำไว้มาเป็นของตน หรือขอมีส่วนร่วมในผลสำเร็จนั้นโดยที่ตนไม่ได้ช่วยลงแรงด้วย” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากวัฒนธรรมการเปิบข้าวของไทยในอดีต ซึ่งเป็นวิธีการกินข้าวด้วยมือ โดยใช้ปลายนิ้วหยิบข้าวเข้าปาก ก่อนจะเปิบข้าว ตามธรรมเนียมต้อง “ชุบมือ” หรือ จุ่มมือลงในน้ำให้เปียกก่อน เพื่อทำความสะอาดและป้องกันไม่ให้ข้าวติดมือเวลาหยิบข้าวเข้าปาก สำนวนนี้เปรียบเปรยถึงคนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการหาอาหาร หุงหา หรือจัดสำรับอาหารเลย แต่กลับมานั่งร่วมวงและกินอย่างง่ายดาย โดยไม่ได้ลงแรงใด ๆ เป็น สัญลักษณ์ของการเอาเปรียบผู้อื่น สอดคล้องกับวรรคหนึ่งในบทกวีของอาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ที่กล่าวว่า “เปิบข้าวทุกคราวคำ จงสูจำเป็นอาจิณเหงื่อกูที่สู กิน จึงก่อเกิดมาเป็นคน” ซึ่งเน้นให้เห็นถึงคุณค่าของแรงงานที่อยู่เบื้องหลังอาหารทุกคำที่กิน เปรียบเหมือนทุกความสำเร็จล้วนมาจากความพยายามและหยาดเหงื่อของผู้ลงมือทำ ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสามารถฉวยประโยชน์ไปโดยง่าย ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนชี้นกบนปลายไม้ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนชี้นกบนปลายไม้ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ช. ชี้นกบนปลายไม้ ชี้นกบนปลายไม้ หมายถึง สำนวน “ชี้นกบนปลายไม้” หมายถึง การหวังในสิ่งที่อยู่ไกลตัว หรือเกินเอื้อม อาจเป็นเรื่องที่ยากจะเป็นไปได้ หรือยังมาไม่ถึง แต่กลับไปมุ่งหวังจนละเลยสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวและเป็นไปได้มากกว่า เปรียบเสมือนการชี้ไปที่นกที่เกาะอยู่บนปลายไม้สูง ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ไกลและอาจบินหนีไปได้ทุกเมื่อ ขณะที่ละเลยสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวและสามารถคว้าได้ง่ายกว่า กล่าวคือ “การหวังในสิ่งที่อยู่ไกลตัว” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเปรยถึงการมองหรือมุ่งหวังในสิ่งที่อยู่ไกลตัว ยากจะไขว่คว้า หรืออาจไม่มีความแน่นอน เมื่อนำมารวมกัน จึงเปรียบได้กับการชี้ไปที่นกที่เกาะอยู่บนปลายไม้สูง ซึ่งแม้จะเห็นอยู่ แต่ก็ยากจะเข้าถึง หรืออาจบินหนีไปได้ทุกเมื่อ หากมัวแต่มุ่งหวังในสิ่งที่อยู่ไกลเกินเอื้อม ก็อาจทำให้พลาดโอกาสหรือสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่สามารถคว้าได้ง่ายกว่า สำนวนนี้จึงใช้เปรียบเทียบกับการมุ่งหวังสิ่งที่ยากจะเป็นไปได้ หรือการไล่ตามสิ่งที่ไม่แน่นอน แทนที่จะให้ความสำคัญกับสิ่งที่เป็นไปได้และอยู่ใกล้ตัวมากกว่า ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนชีปล่อยปลาแห้ง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนชีปล่อยปลาแห้ง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ช. ชีปล่อยปลาแห้ง ชีปล่อยปลาแห้ง หมายถึง สำนวน “ชีปล่อยปลาแห้ง” หมายถึง การแสดงออกว่าเป็นคนใจบุญหรือมีเมตตากรุณาต่อผู้อื่น แต่แท้จริงแล้วขาดความจริงใจ หรือไม่ได้ช่วยเหลืออย่างแท้จริง เปรียบเสมือนแม่ชีที่ทำท่าทางว่าจะปล่อยปลาเพื่อทำบุญ แต่กลับใช้ปลาแห้งที่ตายแล้ว ซึ่งไม่มีประโยชน์ใด ๆ ต่อตัวปลาเลย กล่าวคือ “การกระทำที่ออกหน้าออกตาว่าเป็นคนใจบุญ มีความเมตตากรุณา แต่ไม่มีความจริงใจ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับการทำบุญที่ไม่มีความจริงใจหรือไม่มีประโยชน์แท้จริง อิงจากภาพลักษณ์ของแม่ชี ซึ่งเป็นผู้ถือศีล ปฏิบัติธรรม และได้รับความเลื่อมใสจากผู้คนในฐานะผู้มีเมตตาและศรัทธาในศาสนา การปล่อยปลาเป็นหนึ่งในวิธีทำบุญที่เชื่อกันว่าเป็นการช่วยชีวิตสัตว์ให้รอดพ้นจากความทุกข์ แต่ในกรณีนี้ แม่ชีกลับนำปลาแห้งหรือปลาที่ตายแล้วไปปล่อย ซึ่งเป็นการกระทำที่ดูเหมือนทำบุญ แต่แท้จริงแล้วไม่ได้ช่วยอะไรเลย สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเปรยถึงบุคคลที่แสดงออกว่าเป็นคนใจบุญหรือมีเมตตา แต่แท้จริงแล้วขาดความจริงใจ หรือการช่วยเหลือที่ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์จริง เป็นเพียงการสร้างภาพเพื่อให้คนอื่นมองว่าตนเป็นคนดีเท่านั้น ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนชิงไหวชิงพริบ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนชิงไหวชิงพริบ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ช. ชิงไหวชิงพริบ ชิงไหวชิงพริบ หมายถึง สำนวน “ชิงไหวชิงพริบ” หมายถึง การใช้ไหวพริบหรือปฏิภาณในการแก้ไขปัญหา หรือการเอาชนะกันด้วยความฉลาดและไหวพริบในการคิดหรือการกระทำ มักใช้ในสถานการณ์ที่มีการแข่งขัน การเจรจา หรือการต่อสู้ทางปัญญา ที่แต่ละฝ่ายต้องใช้ความฉลาดเฉลียวเพื่อเอาชนะอีกฝ่าย กล่าวคือ “การฉวยโอกาสเอาชนะหรือเอาเปรียบฝ่ายตรงข้ามโดยใช้ไหวพริบ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากวรรณกรรมจีนเรื่อง “สามก๊ก” ซึ่งเป็นเรื่องราวของสงคราม การเมือง และการใช้กลยุทธ์ระหว่างก๊กต่าง ๆ โดยตัวละครสำคัญ เช่น ขงเบ้ง สุมาอี้ โจโฉ และซุนกวน ต่างต้องใช้ไหวพริบและปัญญาในการต่อสู้กันทั้งในสงครามและการเมือง เหตุการณ์สำคัญในสามก๊กที่สะท้อนแนวคิด “ชิงไหวชิงพริบ” ได้ดี เช่น ต่อมาสำนวนนี้ถูกนำมาต่อยอดในแนวคิดเกี่ยวกับการแข่งขันกันด้วยสติปัญญาและไหวพริบ ไม่ใช่เพียงแค่ในสงคราม แต่รวมถึงการแข่งขันในชีวิตประจำวัน เช่น ธุรกิจ การเมือง หรือแม้แต่การเจรจาต่อรอง ซึ่งแต่ละฝ่ายต้องรู้จักอ่านเกม ใช้ปฏิภาณ และแก้ไขสถานการณ์อย่างชาญฉลาดเพื่อให้ได้เปรียบ ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนชิงสุกก่อนห่าม ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนชิงสุกก่อนห่าม ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ช. ชิงสุกก่อนห่าม ชิงสุกก่อนห่าม หมายถึง สำนวน “ชิงสุกก่อนห่าม” หมายถึง การทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งก่อนถึงเวลาที่เหมาะสม มักใช้ในเชิงลบ โดยเฉพาะเรื่องความรักและเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร หรือการกระทำที่รีบร้อนเกินไปจนส่งผลเสีย เปรียบเสมือนผลไม้ที่ถูกเก็บมากินก่อนสุก ย่อมมีรสชาติฝาดและไม่สมบูรณ์ กล่าวคือ “การทำในสิ่งที่ยังไม่สมควรแก่วัยหรือยังไม่ถึงเวลา (มักหมายถึงการลักลอบได้เสียกันก่อนแต่งงาน) ใช้เป็นคำสอนหรือเตือนสติ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน ที่มาของสำนวนมาจากการเปรียบเทียบกับผลไม้ที่ยังไม่สุกงอมเต็มที่ แต่ถูกเก็บมากินก่อนเวลาอันควร ซึ่งส่งผลให้รสชาติไม่ดีและอาจไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ เมื่อผลไม้ยังไม่สุกเต็มที่แต่ถูกนำมากินก่อน ย่อมทำให้เสียรสชาติ ไม่อร่อย และอาจไม่เกิดประโยชน์สูงสุด เช่นเดียวกับ การทำสิ่งใดโดยรีบร้อนเกินไป ข้ามขั้นตอนที่ควรเป็น จนเกิดผลเสียตามมา สำนวนนี้มักใช้เตือนเรื่องความรักและเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร หรือ การทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งก่อนถึงเวลาที่เหมาะสม ข้ามขั้นตอนที่ควรจะเป็น ทำให้เกิดปัญหาหรือผลเสียในภายหลัง เช่น การตัดสินใจเรื่องสำคัญอย่างรวดเร็วเกินไปโดยไม่รอบคอบ หรือการดำเนินงานที่เร่งรีบจนทำให้เกิดข้อผิดพลาด ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนชักซุงตามขวาง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนชักซุงตามขวาง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ช. ชักซุงตามขวาง ชักซุงตามขวาง หมายถึง สำนวน “ชักซุงตามขวาง” หมายถึง การทำอะไรผิดวิธี ผิดขั้นตอน หรือฝืนธรรมชาติของงาน ทำให้เกิดความยากลำบากและไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี หรือการขัดขวางผู้มีอำนาจ ย่อมก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเอง เปรียบเสมือนการลากซุงโดยวางขวางเส้นทาง แทนที่จะวางตามแนวยาว ทำให้เคลื่อนย้ายได้ยากกว่าปกติ กล่าวคือ “ทำอะไรที่ไม่ถูกวิธีย่อมได้รับความลำบาก, ขัดขวางผู้มีอำนาจย่อมได้รับความเดือดร้อน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับวิธีการลากซุง (ท่อนไม้ใหญ่) ในงานป่าไม้ โดยปกติ หากต้องลากซุงจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ควรลากในแนวขนานกับพื้นหรือในทิศทางเดียวกับเส้นทางการเคลื่อนย้าย แต่ถ้าหากวางซุงตามขวางแล้วพยายามลากไปข้างหน้า จะทำให้เกิดอุปสรรค ลากได้ยาก และอาจไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้เลย เพราะขวางทางเดินและไม่เป็นไปตามหลักแรงเสียดทานที่เหมาะสม สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเปรยถึงการทำงานที่ผิดวิธี หรือขัดกับหลักการที่ถูกต้อง ทำให้เกิดความยุ่งยาก ล่าช้า และไม่ได้ผลตามที่ต้องการ ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน