Tag: สำนวนไทย ช.
-
รู้จักสำนวนชักตะพานแหงนเถ่อ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ช ชักตะพานแหงนเถ่อ ชักตะพานแหงนเถ่อ หมายถึง สำนวน “ชักตะพานแหงนเถ่อ” หมายถึง การตั้งใจทำสิ่งใดแล้วไม่สำเร็จ ต้องค้างคาอยู่กลางทาง หรือไม่สามารถทำต่อจนสำเร็จลุล่วง เปรียบเหมือนการชักสะพานขึ้น แต่กลับติดขัดหรือหยุดกลางคัน ทำให้ต้องคอยอยู่อย่างไร้จุดหมาย กล่าวคือ “การตั้งใจทำอะไรแล้วไม่เป็นผลสำเร็จ ต้องคอยค้างอยู่” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากสะพานชนิดหนึ่งที่สามารถยกขึ้น-ลงได้ ซึ่งมักใช้ข้ามแม่น้ำหรือคลอง โดยเฉพาะในอดีตที่มีเรือขนาดใหญ่สัญจรไปมา คำว่า “ชักตะพาน” หมายถึง การยกสะพานขึ้นเพื่อให้เรือแล่นผ่าน แต่ถ้าหากยกขึ้นไปแล้วเกิดปัญหา ไม่สามารถลดลงมาได้ หรือไม่สามารถใช้ข้ามไปอีกฝั่งได้ ก็จะเกิดสภาพที่ต้อง “แหงนเถ่อ” คือ มองดูสะพานที่ยกค้างอยู่ โดยไม่สามารถทำอะไรต่อไปได้ สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้ เปรียบเปรยถึงการตั้งใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่ไม่สามารถทำให้สำเร็จ หรือเกิดปัญหาทำให้ต้องหยุดชะงัก ค้างคาอยู่กลางทาง โดยไม่สามารถเดินหน้าหรือถอยหลังได้ ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนชักหน้าไม่ถึงหลัง ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ช. ชักหน้าไม่ถึงหลัง ชักหน้าไม่ถึงหลัง หมายถึง สำนวน “ชักหน้าไม่ถึงหลัง” หมายถึง มีรายได้ไม่พอรายจ่าย หรือมีทรัพยากรจำกัดจนไม่สามารถจัดสรรให้เพียงพอกับทุกด้าน เปรียบเสมือนการดึงผ้าห่มมาคลุมด้านหนึ่ง แต่กลับทำให้อีกด้านขาดไป ไม่สามารถครอบคลุมได้ทั้งหมด กล่าวคือ “ความขัดสนเพราะรายได้มีไม่พอคุ้มกับรายจ่าย รายได้ที่รับมาเมื่อต้นเดือนไม่พอใช้ไปถึงปลายเดือน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเปรยถึงการนุ่งผ้าที่มีขนาดสั้นเกินไป หากพยายามดึงมาคลุมด้านหน้า ด้านหลังก็จะขาดไป และหากดึงไปด้านหลัง ด้านหน้าก็จะไม่มิดชิด เปรียบเสมือนการมีทรัพยากรจำกัด โดยเฉพาะในเรื่องการเงิน ที่เมื่อใช้จ่ายในส่วนหนึ่งแล้ว ก็ไม่เหลือพอสำหรับส่วนอื่น ทำให้เกิดปัญหาในการบริหารจัดการ สำนวนนี้จึงมักใช้ในบริบทของ การเงินที่ไม่พอใช้ หรือ การจัดสรรทรัพยากรที่ขาดแคลนจนไม่สามารถครอบคลุมความต้องการทั้งหมดได้ เช่น การมีรายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย หรือการต้องเลือกใช้ทรัพยากรในสิ่งหนึ่งจนอีกสิ่งหนึ่งขาดแคลน ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนชักแม่น้ำทั้งห้า ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ช. ชักแม่น้ำทั้งห้า ชักแม่น้ำทั้งห้า หมายถึง สำนวน “ชักแม่น้ำทั้งห้า” หมายถึง การพูดจาหว่านล้อม ชักจูง หรืออ้างเหตุผลมากมาย เพื่อให้ผู้อื่นคล้อยตามหรือยอมทำตามที่ต้องการ แล้วจึงหันเข้าหาจุดประสงค์ เปรียบดั่งการชักแม่น้ำหลายสายมารวมกันให้ดูยิ่งใหญ่และน่าเชื่อถือ เพื่อให้คำพูดมีน้ำหนักมากขึ้น ขยายความเกินจริง หรือหว่านล้อมจนอีกฝ่ายใจอ่อนและยอมทำตาม แม้บางครั้งอาจไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด แต่ใช้ถ้อยคำที่ฟังดูดีเพื่อโน้มน้าวใจ มักใช้ในกรณีที่มีการอ้างเหตุผลหรือคำพูดสวยหรูจำนวนมากเพื่อโน้มน้าวใจฝ่ายตรงข้าม กล่าวคือ “การพูดจาหว่านล้อมหรืออ้างเหตุผลต่าง ๆ เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ แล้วจึงหันเข้าหาจุดประสงค์” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากวรรณคดีเรื่องมหาชาติ ซึ่งกล่าวถึงแม่น้ำสายสำคัญห้าสายในอินเดีย ได้แก่ คงคา, ยมุนา, อจิรวดี, สรภู, และมหิ ที่มีน้ำไหลหล่อเลี้ยงสรรพชีวิตอยู่เสมอ ในตอนที่ชูชก ซึ่งเป็นพราหมณ์จอมเจรจา เดินทางไปเข้าเฝ้าพระเวสสันดรเพื่อขอพระโอรสและพระธิดา (กัณหา-ชาลี) ไปเป็นทาส ชูชกได้ใช้กลวิธีพูดจาหว่านล้อมอย่างแยบคาย โดยกล่าวสรรเสริญพระเวสสันดรว่าทรงเป็นผู้มีพระทัยกว้างขวาง เปรียบได้กับแม่น้ำทั้งห้า ที่คอยหล่อเลี้ยงสรรพสิ่งโดยไม่เลือกปฏิบัติ จากเหตุการณ์นี้ จึงเกิดเป็นสำนวนนี้ ซึ่งหมายถึงการพูดจาหว่านล้อมหรืออ้างเหตุผลมากมายเพื่อโน้มน้าวให้ผู้อื่นยอมทำตาม เปรียบดั่งการชักแม่น้ำหลายสายมารวมกันให้ดูยิ่งใหญ่และน่าเชื่อถือ เพื่อให้คำพูดมีน้ำหนักมากขึ้น ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนชักใบให้เรือเสีย ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ช. ชักใบให้เรือเสีย ชักใบให้เรือเสีย หมายถึง สำนวน “ชักใบให้เรือเสีย” หมายถึง การพูดหรือกระทำบางอย่างที่ทำให้เรื่องราวหรือการดำเนินงานผิดทิศทางไปจากเป้าหมายเดิม หรือทำให้สถานการณ์ยุ่งยากและซับซ้อนขึ้นโดยไม่จำเป็น เปรียบเหมือนการชักใบเรือผิดทาง ทำให้เรือแล่นไปในทิศทางที่ไม่ควรจะเป็น กล่าวคือ “การพูดหรือทำอะไรขวาง ๆ ให้การสนทนาหรือการงานเขวออกนอกเรื่องไป” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการชักใบเรือหรือการกลับใบเรือของเรือต่อ ซึ่งเป็นเรือที่แล่นโดยอาศัยกำลังลม โดยมีเสากระโดงขึงผ้าใบเพื่อรับลมและพาให้เรือแล่นไปในทิศทางที่ต้องการ หากกลับใบหรือชักใบเรือไม่ถูกต้อง เรืออาจแล่นผิดทิศทาง หยุดนิ่ง หรือแม้แต่คว่ำลง ทำให้เกิดความเสียหายได้ สำนวนนี้จึงถูกนำมาเปรียบเปรยถึงการกระทำหรือคำพูดที่ทำให้สถานการณ์หรือแผนการที่กำลังดำเนินไปอย่างราบรื่นต้องสะดุด ผิดทิศทาง หรือยุ่งยากขึ้นโดยไม่จำเป็น นอกจากนี้ ยังมีโคลงภาษิตโบราณที่จารึกไว้ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งกล่าวถึงพฤติกรรมของผู้ที่ทำให้เรื่องราวเสียหายหรือผิดพลาดจากเป้าหมายเดิมว่า “ชู้เขาจะกอดเข้า พัลวันมาสอดกลางขวางกัน กีดหน้าทานท่านจะให้ปัน กลับชัก เชือนแฮชนชาติตระหนี่บ้า ชักให้เรือเสีย” โคลงนี้สื่อถึงคนที่เข้าไปขัดขวางหรือเปลี่ยนแปลงบางสิ่งจนทำให้เรื่องราวที่ควรจะราบรื่นกลับยุ่งเหยิงและผิดพลาด เช่นเดียวกับการชักใบเรือผิดทาง ทำให้เรือเสียจังหวะและไปผิดทิศ ตัวอย่างการใช้สำนวน