Tag: สำนวนไทย ด.

  • รู้จักสำนวนเด็ดดอกไม้ร่วมต้น ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนเด็ดดอกไม้ร่วมต้น ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ด. เด็ดดอกไม้ร่วมต้น / เก็บดอกไม้ร่วมต้น เด็ดดอกไม้ร่วมต้น หมายถึง สำนวน “เด็ดดอกไม้ร่วมต้น” หมายถึง ผู้ที่เคยทำบุญกุศลร่วมกันมาแต่ชาติก่อน จึงได้มาพบกันและใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้งในชาตินี้ เปรียบเสมือนดอกไม้ที่เกิดจากต้นเดียวกัน เปรียบได้กับบุคคลที่เคยมีกรรมสัมพันธ์ หรือเคยสร้างบุญร่วมกันในอดีตชาติ ทำให้มีโอกาสกลับมาพบและใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้ง กล่าวคือ “เคยทำบุญกุศลร่วมกันมาแต่ชาติก่อน จึงมาอยู่ร่วมกันในชาตินี้, เก็บดอกไม้ร่วมต้น ก็ว่า” นั่นเอง ในบางกรณี สำนวนนี้อาจใช้ว่า “เก็บดอกไม้ร่วมต้น” ซึ่งมีความหมายเดียวกัน ที่มาของสำนวน มาจากความเชื่อทางพุทธศาสนาและแนวคิดเรื่องกรรมสัมพันธ์ ซึ่งกล่าวถึง คนที่เคยทำบุญกุศลร่วมกันมาในอดีตชาติ จึงได้มาพบกันและใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้งในชาตินี้ คนไทยมีความเชื่อเรื่องบุญกรรมและเรื่องชาติภพ ว่าคนเราจะต้องเกิดและตายวนเวียนกันไปเช่นนี้จนกว่าจะพ้นทุกข์ คำว่า “ดอกไม้ร่วมต้น” เปรียบเสมือนบุคคลที่มีวาสนาร่วมกัน เปรียบเหมือนดอกไม้ที่เติบโตมาจากต้นเดียวกัน ไม่แยกจากกัน เมื่อต้องการเก็บหรือเด็ดดอกไม้จากต้นนี้ ก็หมายถึง การนำสิ่งที่เคยมีความเกี่ยวพันกันในอดีตกลับมาเชื่อมโยงกันใหม่ในปัจจุบัน สำนวนนี้จึงใช้พูดถึงคู่รัก คู่ครอง หรือคนที่มีความสัมพันธ์ต่อกันในชาตินี้ เพราะเคยมีบุญกรรมร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อน ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนได้หน้าลืมหลัง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนได้หน้าลืมหลัง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ด. ได้หน้าลืมหลัง ได้หน้าลืมหลัง หมายถึง สำนวน “ได้หน้าลืมหลัง” หมายถึง การที่ลืมสิ่งที่เพิ่งผ่านมาอย่างรวดเร็ว เพราะได้สิ่งใหม่หรือทำอย่างอื่นแทน ทำให้ไม่ใส่ใจหรือให้ความสำคัญกับเรื่องเดิมอีกต่อไป เปรียบเสมือนคนที่เพิ่งได้รับสิ่งหนึ่งแล้วหันไปสนใจสิ่งใหม่ทันที จนลืมเรื่องหรือภาระที่เพิ่งทำไป เหมือนคนที่จำอะไรไม่ได้นาน เพราะมัวแต่สนใจสิ่งใหม่อยู่ตลอด กล่าวคือ “อาการที่ลืมสิ่งที่เพิ่งผ่านมาอย่างรวดเร็วเพราะได้สิ่งใหม่หรือทำอย่างอื่น” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากพฤติกรรมของคนที่ลืมสิ่งที่เพิ่งผ่านมาอย่างรวดเร็ว เพราะได้สิ่งใหม่เข้ามาแทน คำว่า “ได้หน้า” หมายถึง การได้รับบางสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของใหม่ คำชื่นชม หรือความสนใจจากสิ่งใหม่ ขณะที่ “ลืมหลัง” หมายถึง การลืมสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้า หรือสิ่งที่เพิ่งทำไป เนื่องจากมัวแต่สนใจสิ่งใหม่อยู่ สำนวนนี้มักใช้เปรียบเทียบกับ คนที่เปลี่ยนความสนใจได้ง่าย ลืมสิ่งที่ทำไว้ก่อนหน้าอย่างรวดเร็ว หรือขาดความต่อเนื่องในการทำสิ่งต่าง ๆ เพราะมัวแต่ไล่ตามสิ่งใหม่ที่เข้ามา เช่น คนที่รับปากทำงานแต่พอมีสิ่งใหม่เข้ามาก็ลืมเรื่องเดิม หรือคนที่สนใจบางสิ่งเพียงชั่วครู่ก่อนจะเปลี่ยนไปสนใจเรื่องใหม่ทันที ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนได้เรือถีบแพ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนได้เรือถีบแพ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ด. ได้เรือถีบแพ ได้เรือถีบแพ หมายถึง สำนวน “ได้เรือถีบแพ” หมายถึง เมื่อได้สิ่งที่ดีกว่าก็ละทิ้งของเดิมที่เคยใช้หรือเคยพึ่งพา โดยไม่สนใจหรือเห็นคุณค่าอีกต่อไป เปรียบเสมือนคนที่ใช้แพในการเดินทางข้ามน้ำ แต่เมื่อได้เรือที่เร็วและสะดวกกว่าก็ถีบแพทิ้ง ไม่เหลียวแลสิ่งที่เคยช่วยให้เดินทางมาได้ก่อนหน้านี้ สำนวนนี้มักใช้ในเชิง ตำหนิคนที่ละทิ้งสิ่งเก่า ไม่ว่าจะเป็นของใช้หรือคนที่เคยช่วยเหลือกัน เมื่อมีสิ่งที่ดีกว่ามาทดแทน กล่าวคือ “การพบสิ่งที่ให้ความสะดวกได้มากกว่าเลยทิ้งของเก่าที่เคยใช้” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากวิถีชีวิตของคนไทยในอดีตที่ใช้เรือและแพเป็นพาหนะในการเดินทางข้ามน้ำ แพเป็นพาหนะพื้นฐานที่สร้างจากไม้ไผ่หรือท่อนไม้ผูกติดกัน ใช้พายหรือไหลตามกระแสน้ำ ซึ่งแม้จะช่วยให้ข้ามน้ำได้แต่ก็ช้าและควบคุมได้ยากกว่า เรือที่สามารถพายหรือใช้เครื่องยนต์ทำให้เดินทางได้เร็วขึ้น ดังนั้น เมื่อคนที่เคยใช้แพเป็นหลัก ได้เรือที่ดีกว่า ก็มักจะ ทิ้งแพไปโดยไม่สนใจอีกต่อไป จึงเกิดเป็นสำนวน “ได้เรือถีบแพ” เปรียบเปรยถึง คนที่เมื่อได้สิ่งที่ดีกว่า ก็ละทิ้งสิ่งเก่าที่เคยมี หรือเคยใช้ โดยไม่เห็นคุณค่าอีกต่อไป สะท้อนถึง พฤติกรรมของบางคนที่เมื่อมีโอกาสที่ดีกว่า ก็ทอดทิ้งสิ่งเก่าหรือคนที่เคยช่วยเหลือตนเองมาก่อน ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนได้แกงเทน้ำพริก ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนได้แกงเทน้ำพริก ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ด. ได้แกงเทน้ำพริก ได้แกงเทน้ำพริก หมายถึง สำนวน “ได้แกงเทน้ำพริก” หมายถึง เมื่อได้สิ่งที่ดีกว่าก็ละทิ้งของเดิมที่เคยมีหรือเคยใช้ โดยไม่เห็นคุณค่าของสิ่งเก่าอีกต่อไป เปรียบเสมือนคนที่เคยกินน้ำพริกเป็นหลัก แต่เมื่อมีแกงที่รสชาติดีกว่า กลับเทน้ำพริกทิ้ง ไม่สนใจสิ่งที่เคยอยู่กับตนมาก่อน สำนวนนี้มักใช้เปรียบเปรยถึงคนที่เปลี่ยนใจ ละทิ้งของเก่า หรือทอดทิ้งคนที่เคยอยู่ด้วย เมื่อได้สิ่งที่คิดว่าดีกว่า กล่าวคือ “การได้ใหม่แล้วลืมเก่า” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากพฤติกรรมการกินอาหารในอดีตของคนไทย ซึ่งน้ำพริกถือเป็นอาหารพื้นฐานที่คนทั่วไปนิยมรับประทาน เพราะทำง่าย ประหยัด และสามารถกินกับข้าวและผักได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีอาหารที่หรูหราหรือดีกว่า เช่น แกงที่มีรสชาติกลมกล่อมและหลากหลายกว่า แถมยังทำยากกว่าเพราะวัตถุดิบเยอะกว่า คนบางคนอาจละทิ้งน้ำพริกที่เคยกินประจำ แล้วหันไปเลือกสิ่งที่ดูดีกว่าแทน น้ำพริกเป็นอาหารประจำสำรับกับข้าวของคนไทยมาแต่โบราณ ส่วนกับข้าวอื่น ๆ อาจเปลี่ยนแปลงไปต่าง ๆ บางคนเมื่อเห็นว่ามีอาหารพิเศษอย่างอื่น ก็จะไม่จัดน้ำพริกขึ้นสำรับวันนั้น สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเทียบถึงคนที่ละทิ้งสิ่งเก่าหรือสิ่งที่เคยมีค่าเมื่อได้รับสิ่งใหม่ที่ดีกว่า โดยไม่เห็นคุณค่าของสิ่งเดิม เช่น การเปลี่ยนใจทิ้งเพื่อน คนรัก หรือสิ่งของที่เคยใช้เมื่อได้ของใหม่ที่ดูดีกว่า ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนได้ทีขี่แพะไล่ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนได้ทีขี่แพะไล่ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ด. ได้ทีขี่แพะไล่ ได้ทีขี่แพะไล่ หมายถึง สำนวน “ได้ทีขี่แพะไล่” หมายถึง ฉวยโอกาสซ้ำเติมผู้อื่นเมื่อกำลังเสียเปรียบหรือเดือดร้อน แทนที่จะช่วยเหลือ กลับกดดันหรือเร่งรัดให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่แย่ลง เปรียบเสมือนเมื่อได้โอกาสแทนที่จะช่วย กลับขี่แพะไล่ให้ไปข้างหน้าอย่างไร้ทางเลือก ทำให้คนที่ลำบากอยู่แล้วยิ่งจนตรอกกว่าเดิม กล่าวคือ “ผู้ที่ชอบซํ้าเติมเมื่อผู้อื่นเมื่อพวกเขาเพลี่ยงพลํ้าลง” นั่นเองง ที่มาของสำนวนนี้ มาจากวรรณคดีเรื่องพระรถเสน ซึ่งเป็นตอนหนึ่งของนิทานนางสิบสอง ในตอนหนึ่งของเรื่อง พระรถเมรี พระรถเสนวางแผนมอมเหล้านางเมรี ซึ่งเป็นยักษ์ให้เมาจนหมดสติ แล้วอาศัยจังหวะนั้นหลบหนีไป แต่เมื่อนางเมรีรู้ตัวก็ขี่แพะเป็นพาหนะไล่ตามพระรถเสนอย่างสุดกำลัง เปรียบเทียบกับการซ้ำเติมหรือกดดันคนที่กำลังเสียเปรียบ เพราะนางเมรี พยายามเร่งไล่พระรถเสนอย่างไม่ลดละ หลังจากรู้ว่าถูกหลอกและถูกเอาเปรียบก่อนหน้านั้น เหมือนกับสถานการณ์ที่ เมื่อฝ่ายหนึ่งกำลังลำบาก ฉากนี้เป็นตอนที่สนุกสนานและตื่นเต้นที่สุดตอนหนึ่งของเรื่องพระรถเมรี และกลายเป็นที่มาของสำนวนนี้ ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนเด็กเมื่อวานซืน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนเด็กเมื่อวานซืน ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ด. เด็กเมื่อวานซืน เด็กเมื่อวานซืน หมายถึง สำนวน “เด็กเมื่อวานซืน” หมายถึง คนที่มีความรู้น้อย ด้อยประสบการณ์ แต่ชอบอวดรู้ คุยโม้โอ้อวด ทำตัวเหมือนเข้าใจทุกอย่าง ทั้งที่ยังไม่เจนโลกพอ เปรียบเสมือนเด็กที่เพิ่งเติบโตขึ้นมาไม่นาน แต่กลับคิดว่าตัวเองรู้มาก พูดจาเกินตัว ทั้งที่ยังขาดความรู้และประสบการณ์จริง กล่าวคือ “คนที่มีประสบการณ์น้อยและยังอ่อนประสบการณ์ แต่ชอบอวดรู้ (เป็นคำกล่าวเชิงดูหมิ่นหรือเชิงสั่งสอนว่า มีความรู้หรือมีประสบการณ์น้อย)” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบคนที่อายุยังน้อย ขาดประสบการณ์ หรือเพิ่งเริ่มต้นเรียนรู้ กับเด็กที่เพิ่งโตมาเมื่อไม่กี่วัน (วานซืน) โบราณผูกสำนวนนี้สอนคนที่รู้น้อยแต่ชอบอวดรู้ ว่าเป็นเด็กเมื่อวานซืน เพิ่งเกิดเมื่อวานซืนนี่เอง ยังไม่มีประสบการณ์ หรือประสบการณ์มีน้อย แต่ชอบเบ่งคุยโตโม้ว่าเรียนรู้ชั้นสูงรอบรู้ทุกอย่าง แต่เวลาตอบคำถามก็อึกอักตอบไม่ได้สักอย่าง คำว่า “เมื่อวานซืน” หมายถึง ช่วงเวลาเพียงไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ซึ่งเมื่อนำมาใช้กับคำว่า “เด็ก” จึงให้ความหมายว่า คนที่ยังอ่อนประสบการณ์ ยังไม่รู้จักโลกดีพอ แต่กลับคิดว่าตัวเองรู้มาก หรือพยายามสั่งสอนผู้อื่น สำนวนนี้มักถูกใช้ในเชิงดูถูกหรือเตือนสติ เมื่อผู้ที่อายุน้อยกว่าหรือมีประสบการณ์น้อยแสดงความมั่นใจเกินตัว หรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ตนเองยังไม่มีความรู้มากพอ ผู้ที่มีอาวุโสกว่าจึงกล่าวว่า “ยังเป็นแค่เด็กเมื่อวานซืน” เพื่อเตือนว่าควรเรียนรู้เพิ่มเติมก่อนแสดงความเห็นหรือทำสิ่งใดที่เกินตัว ตัวอย่างการใช้สำนวน…

  • รู้จักสำนวนเด็กอมมือ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนเด็กอมมือ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ด. เด็กอมมือ เด็กอมมือ หมายถึง สำนวน “เด็กอมมือ” หมายถึง คนที่อ่อนต่อโลก ขาดประสบการณ์ หรือไร้เดียงสา มักถูกมองว่ายังไม่รู้จักชีวิตหรือไม่ทันคน เปรียบเสมือนเด็กเล็กที่ยังอมมือ แสดงถึงความไร้เดียงสา ยังต้องพึ่งพาผู้อื่น และไม่มีความรู้หรือประสบการณ์เพียงพอ กล่าวคือ “ผู้ไม่รู้ประสีประสา, ผู้ที่ยังอ่อนต่อโลก” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากพฤติกรรมของเด็กเล็ก ที่มักอมมือตัวเอง ซึ่งเป็นลักษณะของวัยที่ยังไร้เดียงสาและขาดประสบการณ์ในการดูแลตนเอง คำนี้ถูกนำมาใช้เปรียบเทียบกับคนที่อ่อนต่อโลก หรือยังไม่มีประสบการณ์ในเรื่องต่าง ๆ คล้ายกับเด็กเล็กที่ยังไม่เข้าใจสิ่งรอบตัวมากนัก สะท้อนถึงการขาดความรู้หรือความชำนาญในบางเรื่อง สำนวนนี้มักใช้ในเชิงดูถูก ตำหนิ สั่งสอนหรือเตือนให้ระมัดระวังตัว ไม่ให้ถูกหลอกง่าย ๆ เหมือนคนที่ยังไร้ประสบการณ์ ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนเด็กเลี้ยงแกะ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนเด็กเลี้ยงแกะ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ด. เด็กเลี้ยงแกะ เด็กเลี้ยงแกะ หมายถึง สำนวน “เด็กเลี้ยงแกะ” หมายถึง คนที่พูดโกหกจนไม่มีใครเชื่อ แม้ในเวลาที่พูดความจริงก็ตาม เปรียบเสมือนเด็กชายในนิทานอีสปที่แกล้งร้องตะโกนว่าหมาป่ามา ทำให้ชาวบ้านรีบมาช่วย แต่เมื่อโกหกซ้ำ ๆ ครั้งสุดท้ายเมื่อหมาป่ามาจริง ๆ กลับไม่มีใครเชื่อและมาช่วยอีกต่อไป กล่าวคือ “คนที่ชอบพูดปดจนไม่มีใครเชื่อถือ” นั่นเอง ที่มาของสำนวนนี้ มาจากนิทานอีสป เรื่อง The Boy Who Cried Wolf (เด็กเลี้ยงแกะกับหมาป่า) ซึ่งเป็นนิทานสอนใจเกี่ยวกับผลเสียของการโกหก เรื่องราวกล่าวถึงเด็กเลี้ยงแกะที่แกล้งร้องตะโกนว่าหมาป่าบุกฝูงแกะ ทำให้ชาวบ้านรีบวิ่งมาช่วย แต่เมื่อมาถึงกลับพบว่าเด็กโกหกและหัวเราะสนุกสนานเพราะเห็นว่าคนอื่นตกใจ ต่อมาเขาก็แกล้งทำแบบเดิมอีกหลายครั้ง จนเมื่อวันหนึ่งหมาป่ามาจริง ๆ เด็กชายตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่ชาวบ้านไม่เชื่ออีกต่อไป สุดท้ายหมาป่าก็ทำลายฝูงแกะของเด็กไปจริง ๆ เพราะไม่มีใครมาช่วย จากนิทานนี้จึงเกิดสำนวนเด็กเลี้ยงแกะ ซึ่งหมายถึง คนที่พูดโกหกซ้ำ ๆ จนเมื่อพูดความจริงแล้วไม่มีใครเชื่ออีกต่อไป สะท้อนให้เห็นว่า ความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญ หากใช้คำพูดในทางที่ผิดบ่อย ๆ คนรอบข้างจะหมดศรัทธาและไม่เชื่อแม้ในเวลาที่ต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ ต่อมาจึงกลายเป็นสำนวนภาษาอังกฤษ “to cry…

  • รู้จักสำนวนดอกฟ้ากับหมาวัด ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนดอกฟ้ากับหมาวัด ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ด. ดอกฟ้ากับหมาวัด ดอกฟ้ากับหมาวัด หมายถึง สำนวน “ดอกฟ้ากับหมาวัด” หมายถึง คนที่มีฐานะหรือชนชั้นแตกต่างกันมาก โดยเฉพาะการเปรียบเทียบความรักระหว่างหญิงสูงศักดิ์หรือมีฐานะดีกับชายต่ำต้อยที่ไม่คู่ควร เปรียบเสมือนดอกฟ้า ที่สูงส่ง สง่างาม และอยู่ไกลเกินเอื้อม กับหมาวัด ที่ต่ำต้อย ไร้ค่า และไม่มีสิทธิ์ที่จะไขว่คว้าหรืออยู่ในระดับเดียวกัน กล่าวคือ “ผู้หญิงที่มีฐานะหรือศักดิ์ศรีสูงกว่าผู้ชาย ไม่คู่ควรกัน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากวรรณคดีเรื่องกามนิต ซึ่งกล่าวถึงความรักระหว่างกามนิต และวาสิฏฐี โดยในเรื่อง ในวรรณคดีเรื่องกามนิต นางวาสิฏฐีเคยพูดว่า “ดูซี กามนิต นั่นคือแม่คงคาในสถานสวรรค์ ขอให้เราปฏิญญาต่อพระคงคาในสวรรค์ซึ่งมีน้ำขาวดั่งเงินยวง เป็นที่เลี้ยงดอกบัวในทะเลบนสวรรค์โน้น” และกามนิตรำพึงว่า “รู้สึกประหนึ่งว่าดวงใจของเราทั้งสอง ในทันทีทันใดลอยขึ้นอยู่เหนือความทุกข์แห่งโลกนี้ ขึ้นไปจุติอยู่ในดอกฟ้าบนสวรรค์” คำพูดของกามนิตและวาสิฏฐีทำให้ทราบว่า “ดอกฟ้าบนสวรรค์” ของกามนิต คือ “ดอกบัวในทะเลบนสวรรค์” ของวาสิฏฐี นั่นเอง คำว่า “ดอกฟ้าบนสวรรค์” จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของหญิงที่สูงส่ง มีศักดิ์ศรี หรือฐานะสูงส่งเกินเอื้อม ส่วนคำว่า “หมาวัด” ใช้เปรียบเปรยชายที่ต่ำต้อย ไร้ค่า หรือไม่มีความคู่ควร…

  • รู้จักสำนวนเด็ดบัวไม่ไว้ใย ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนเด็ดบัวไม่ไว้ใย ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ด. เด็ดบัวไม่ไว้ใย เด็ดบัวไม่ไว้ใย หมายถึง สำนวน “เด็ดบัวไม่ไว้ใย” หมายถึง ตัดขาดความสัมพันธ์โดยไม่เหลือเยื่อใยหรือความผูกพันใด ๆ อีกต่อไป เปรียบเสมือนการเด็ดบัวให้ขาดโดยไม่มีเส้นใยบัวติดอยู่อีกต่อไป หมายถึงการตัดความสัมพันธ์อย่างสิ้นเชิง ไม่ให้มีข้อผูกมัดหรือเยื่อใยใด ๆ หลงเหลืออยู่ กล่าวคือ “การตัดญาติขาดมิตร ไม่มีเยื่อใยต่อกัน ไม่มีความสัมพันธ์ ไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไป” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากลักษณะของบัว ซึ่งเป็นพืชน้ำที่มีเหง้าอยู่ในโคลน ส่วนดอกและใบชูขึ้นเหนือน้ำ ก้านบัวมีเส้นใยที่เมื่อหักหรือเด็ดออก จะยังมีเส้นใยบาง ๆ โยงก้านไว้ ไม่ขาดจากกันโดยสิ้นเชิง แต่หากหักและดึงอย่างแรงจนเส้นใยขาดออกทั้งหมด จะไม่มีสิ่งใดเชื่อมโยงกันอีกเลย จึงนำมาเปรียบกับ คนที่เคยสนิทสนมหรือมีความสัมพันธ์กัน แต่เมื่อต้องเลิกราหรือขาดสัมพันธ์ ก็ตัดขาดกันโดยสิ้นเชิง ไม่เหลือเยื่อใยใด ๆ สำนวนนี้มักใช้ในเชิงตัดพ้อ หรือกล่าวถึงการตัดขาดความสัมพันธ์แบบเด็ดขาด โดยไม่เหลือความผูกพันใด ๆ อีก เช่น การเลิกราระหว่างคู่รัก การเลิกคบเพื่อน หรือการตัดขาดความสัมพันธ์ภายในครอบครัว ในบางกรณียังใช้ว่า “เด็ดดอกไม่ไว้ขั้ว” หรือ “เด็ดปลีไม่มีใย” ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน