Tag: สำนวนไทย ด.
-
รู้จักสำนวนดินไม่กลบหน้า หมายถึง
สำนวนไทยหมวดหมู่ ด. ดินไม่กลับหน้า ดินไม่กลบหน้า หมายถึง สำนวน “ดินไม่กลบหน้า” หมายถึง ยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ตาย หรือยังมีโอกาสแก้ไขสิ่งต่าง ๆ ได้ มักใช้กับคนที่ยังแคล้วคลาดปลอดภัย เปรียบเสมือนคนที่ยังไม่ถูกฝังใต้ดิน หมายถึงยังมีลมหายใจ และสามารถทำอะไรได้อีก ไม่ใช่หมดหนทางหรือสิ้นหวัง กล่าวคือ “คนที่แคล้วคลาดมาแล้วยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ตาย” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากแนวคิดเกี่ยวกับความเป็นและความตาย ซึ่งเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมการฝังศพ เมื่อคนเสียชีวิต ร่างจะถูกฝังลงดิน และมีการกลบดินทับหน้ารวมถึงทั้งร่าง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการจากไปอย่างถาวร ในสังคมไทยและหลายวัฒนธรรมดินกลบหน้า หมายถึง ความตาย ที่ไม่มีวันหวนกลับ สำนวนนี้มักใช้ให้กำลังใจคนที่ท้อแท้หรือเผชิญปัญหาใหญ่ในชีวิต โดยสื่อว่าตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังสามารถแก้ไขข้อผิดพลาด หรือเปลี่ยนแปลงอนาคตได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เงิน ครอบครัว หรือโอกาสต่าง ๆ อีกแง่หนึ่ง สำนวนนี้ยังสามารถใช้ในเชิงเตือนสติ หมายถึง ตราบใดที่ยังไม่ตาย ก็ไม่มีอะไรแน่นอน และยังมีเวลาที่จะพลิกสถานการณ์ หรือกลับตัวกลับใจได้เสมอ สุดท้ายยังมักใช้กับคนที่รอดพ้นจากอันตรายหรือแคล้วคลาดจากสถานการณ์ที่อาจทำให้เสียชีวิต เช่น คนที่รอดจากอุบัติเหตุ โรคร้าย หรือเหตุการณ์เสี่ยงชีวิต โดยมีความหมายว่า…
-
รู้จักสำนวนดื่นเป็นกล้วยน้ำว้า ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ด. ดื่นเป็นกล้วยน้ำว้า ดื่นเป็นกล้วยน้ำว้า หมายถึง สำนวน “ดื่นเป็นกล้วยน้ำว้า” หมายถึง มีจำนวนมากจนหาง่าย มีมากมาย หรือไม่มีความสำคัญ เพราะพบเห็นได้ทั่วไป เปรียบเสมือนกล้วยน้ำว้าที่ออกลูกดก ปลูกง่าย และมีอยู่มากมาย จนไม่ได้รับความสนใจหรือถูกมองว่าไม่มีค่าเท่าไรนัก กล่าวคือ “สิ่งที่มีอยู่มากมายดาดดื่น สามารถหาได้ง่าย ๆ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากลักษณะของกล้วยน้ำว้า ซึ่งเป็นพืชที่ปลูกง่าย ออกลูกเป็นเครือใหญ่ และสามารถพบได้ทั่วไปในทุกภูมิภาคของไทย ทั้งในอดีตและปัจจุบัน กล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้ที่หาง่าย ราคาถูก และมีอยู่แทบทุกบ้าน ทำให้ไม่ได้รับความสนใจมากนัก เมื่อมีสิ่งใดที่มีมากเกินไปจนดูธรรมดา หรือไม่ได้รับการให้ความสำคัญมากขนาดนั้น คนจึงเปรียบว่า “ดื่นเป็นกล้วยน้ำว้า” เพื่อสื่อถึงสิ่งที่มีอยู่ล้นเหลือจนขาดความพิเศษและถูกมองข้าม ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนดาบสองคม ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ด. ดาบสองคม ดาบสองคม หมายถึง สำนวน “ดาบสองคม” หมายถึง สิ่งที่มีทั้งคุณและโทษ สามารถให้ประโยชน์หรือสร้างอันตรายได้ ขึ้นอยู่กับการใช้งาน เปรียบเสมือนดาบที่มีคมทั้งสองด้าน ซึ่งสามารถทำร้ายศัตรูได้ แต่หากใช้ไม่ระวังก็อาจย้อนกลับมาทำร้ายตนเองได้เช่นกัน กล่าวคือ “สิ่งมีทั้งคุณและโทษ, สิ่งที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากอาวุธที่มีใบมีดคมทั้งสองด้าน ซึ่งต่างจากดาบทั่วไปที่มีคมเพียงด้านเดียว ดาบประเภทนี้สามารถใช้โจมตีได้จากหลายทิศทาง ทำให้มีประสิทธิภาพสูงในสนามรบ แต่ในขณะเดียวกัน หากผู้ใช้ขาดทักษะหรือไม่ระมัดระวัง ดาบอาจย้อนกลับมาทำร้ายตนเองได้ แนวคิดนี้ถูกนำมาใช้ในเชิงเปรียบเทียบเพื่อสื่อถึงสิ่งที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวเอง ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้ เช่น อำนาจ เงินตรา เทคโนโลยี หรือความรู้ หากใช้อย่างถูกต้องก็จะเกิดประโยชน์ แต่หากใช้ผิดพลาดก็อาจนำมาซึ่งอันตรายหรือผลกระทบที่ไม่คาดคิด ในทางประวัติศาสตร์ อาวุธประเภทดาบสองคมถูกใช้มาตั้งแต่ยุคโบราณ โดยเฉพาะในสงครามของนักรบกรีก โรมัน และซามูไรของญี่ปุ่น ซึ่งต้องอาศัยทักษะสูงในการควบคุม หากใช้ไม่ถูกต้อง อาวุธที่ทรงพลังนี้อาจกลายเป็นภัยต่อผู้ใช้เอง ด้วยเหตุนี้ สำนวนนี้จึงถูกใช้เปรียบเปรยถึงทุกสิ่งที่มีทั้งคุณและโทษ หรือสถานการณ์ที่อาจให้ผลดีหรือผลเสียได้ ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้งานหรือการตัดสินใจของแต่ละบุคคล ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนดาวล้อมเดือน ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ด. ดาวล้อมเดือน ดาวล้อมเดือน หมายถึง สำนวน “ดาวล้อมเดือน” หมายถึง ผู้ที่มีความโดดเด่นกว่าคนอื่น มีผู้คนรายล้อมรอบตัว มักใช้เปรียบเทียบกับคนที่เป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจ โดยมีผู้คนล้อมรอบและชื่นชม เปรียบเสมือนดวงเดือนที่ส่องแสงโดดเด่นอยู่กลางฟ้า และมีดวงดาวจำนวนมากรายล้อมอยู่รอบ ๆ สะท้อนถึงบุคคลที่ได้รับความสนใจและเป็นศูนย์กลางในกลุ่ม “คนเด่นที่มีคนอื่น ๆ รายล้อมมากมาย” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบดวงเดือน (พระจันทร์) ซึ่งส่องแสงโดดเด่นท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน และมีดวงดาว จำนวนมากล้อมรอบ แนวคิดนี้สะท้อนถึงบุคคลที่เป็นศูนย์กลางของความสนใจ ไม่ว่าจะด้วยรูปร่างหน้าตา ฐานะ ความสามารถ หรืออำนาจ ซึ่งทำให้มีคนรายล้อม ชื่นชม หรือให้ความสนใจ เหมือนดาวที่ล้อมรอบเดือนในยามค่ำคืน สำนวนนี้มักใช้กับบุคคลที่มีเสน่ห์หรือได้รับความนิยมสูง เช่น หญิงสาวที่มีชายหนุ่มรุมล้อม หรือผู้นำที่มีบริวารให้ความเคารพและติดตาม ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนดับเครื่องชน ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ด. ดับเครื่องชน ดับเครื่องชน หมายถึง สำนวน “ดับเครื่องชน” หมายถึง การสู้สุดกำลังจนถึงที่สุดโดยไม่มีทางถอย แม้ต้องแลกด้วยชีวิต เพราะไม่มีทางเลือกอื่นหรือจนมุมแล้ว เปรียบเสมือนการยานพาหนะแล้วดับเครื่อง แต่ยังปล่อยให้รถพุ่งเข้าชนข้างหน้าโดยไม่สนผลลัพธ์ แสดงถึงความมุ่งมั่น ไม่กลัวการปะทะ และพร้อมเผชิญหน้ากับสถานการณ์อย่างเต็มที่ กล่าวคือ “การสู้อย่างยอมตาย” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยยุทธวิธีของนักบินกามิกาเซะของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหน่วยนักบินพลีชีพที่ยอมสละชีวิตเพื่อโจมตีกองทัพอเมริกันโดยตรง ในช่วงท้ายของสงคราม ญี่ปุ่นเริ่มเสียเปรียบและขาดแคลนทรัพยากรทางทหาร โดยเฉพาะนักบินที่มีความสามารถในการทิ้งระเบิดให้แม่นยำ อีกทั้ง เรือรบอเมริกันก็ติดตั้งระบบป้องกันที่แข็งแกร่ง ทำให้โอกาสที่เครื่องบินญี่ปุ่นจะเข้าไปทิ้งระเบิดโดยไม่ถูกยิงตกนั้นเป็นไปได้ยาก เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างความเสียหายสูงสุด ญี่ปุ่นจึงใช้ยุทธวิธี “คามิกาเซะ” (Kamikaze) ซึ่งเป็นการบังคับเครื่องบินที่บรรทุกระเบิดเต็มลำ พุ่งเข้าชนเป้าหมายโดยตรง นักบินจะดับเครื่องก่อนพุ่งเข้าชน เพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องบินจะไม่เสียทิศทางและตกลงเป้าหมายโดยสมบูรณ์ แนวคิดนี้สะท้อนถึงความเด็ดเดี่ยว ไม่ลังเล ไม่หวั่นเกรงต่อผลลัพธ์ เพราะเป็นการกระทำที่ไม่มีทางถอยหลัง นักบินทุกคนรู้ดีว่าเมื่อเริ่มภารกิจแล้ว พวกเขาจะไม่มีโอกาสรอดกลับมา จากเหตุการณ์ดังกล่าว สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้ในบริบททั่วไปเพื่อหมายถึงการเผชิญหน้ากับปัญหาหรือศัตรูอย่างตรงไปตรงมา ไม่คิดหลีกเลี่ยง ไม่สนใจผลกระทบ และพร้อมเสี่ยงทุกอย่างเพื่อเป้าหมาย แม้ว่าตัวเองจะต้องเสียหายก็ตาม การ “ดับเครื่องชน” มักใช้กับสถานการณ์ที่บุคคลตัดสินใจเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง หรือเลือกเดินหน้าต่อโดยไม่สนว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร อาจเป็นการลุยธุรกิจ…
-
รู้จักสำนวนดีดลูกคิดรางแก้ว ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ด. ดีดลูกคิดรางแก้ว ดีดลูกคิดรางแก้ว หมายถึง สำนวน “ดีดลูกคิดรางแก้ว” หมายถึง การคำนวณผลประโยชน์อย่างละเอียดถี่ถ้วน รอบคอบ และไม่ยอมเสียเปรียบแม้แต่น้อย เปรียบเสมือนพ่อค้าที่ใช้ลูกคิดคำนวณตัวเลขอย่างแม่นยำ แต่เมื่อลูกคิดอยู่บนรางแก้ว ซึ่งเป็นของมีค่าและเปราะบาง ยิ่งต้องใช้อย่างระมัดระวังมากขึ้น แสดงถึงการคิดอย่างรอบคอบ คำนึงถึงทุกแง่มุมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับตนเอง กล่าวคือ “การคำนวณอย่างรอบคอบแล้วเห็นแต่ทางได้อย่างเดียว” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับลูกคิด ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่พ่อค้าใช้คำนวณผลกำไรขาดทุน ส่วนรางแก้ว หมายถึงสิ่งที่ทำจากแก้ว อันเป็นของมีค่า เปราะบาง และต้องใช้อย่างระมัดระวัง รางแก้วในสำนวนนี้เสริมให้เห็นถึงการคิดคำนวณที่ละเอียดรอบคอบมากเป็นพิเศษ ไม่ใช่แค่การคิดเลขทั่วไป แต่เป็นการพิจารณาทุกอย่างอย่างถี่ถ้วน ให้มั่นใจว่าไม่มีทางเสียเปรียบแม้แต่น้อย เปรียบเหมือนการใช้งานของที่มีค่าต้องระวังไม่ให้พลาดหรือเสียหาย สำนวนนี้จึงหมายถึงคนที่คำนวณผลประโยชน์ของตัวเองอย่างละเอียดที่สุด ไม่ยอมให้เกิดความเสียหายหรือเสียเปรียบแม้เพียงเล็กน้อย ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนดอกไม้ริมทาง ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ด. ดอกไม้ริมทาง ดอกไม้ริมทาง หมายถึง สำนวน “ดอกไม้ริมทาง” หมายถึง ผู้หญิงใจง่ายที่ผู้ชายสามารถเกี้ยวพาราสี เอามาเชยชมได้ง่าย ๆ ทำให้ไม่มีความสำคัญ เปรียบเสมือนดอกไม้ที่ขึ้นอยู่ริมทาง แม้จะสวยงาม แต่ใครผ่านไปมาก็สามารถเด็ดไปได้โดยง่าย ไร้ค่าความหมายและไม่มีใครทะนุถนอม กล่าวคือ “ผู้หญิงใจง่ายที่ผู้ชายสามารถเกี้ยวพาราสีเอามาเชยชมได้ง่าย ๆ ทำให้ไม่มีความสำคัญ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบ ผู้หญิงใจง่าย กับ ดอกไม้ที่ขึ้นอยู่ข้างทาง ซึ่งแม้จะดูสวยงาม แต่กลับไม่มีคุณค่าในสายตาของผู้พบเห็น เพราะสามารถถูกเด็ดไปได้ง่าย ๆ โดยไม่มีใครให้ความสำคัญหรือดูแลอย่างจริงจัง สำนวนนี้สะท้อนแนวคิดของสังคมในอดีตที่ให้ความสำคัญกับ ศักดิ์ศรีของผู้หญิง โดยมองว่าหญิงสาวควรรักษาท่าทีและไม่เปิดโอกาสให้ผู้ชายเข้าหาโดยง่าย หากผู้หญิงคนใดมีพฤติกรรมที่ดูเหมือนไม่สงวนตัว หรือยอมให้ผู้ชายหลายคนเข้ามาติดพัน สังคมก็มักจะเปรียบว่าเธอเป็น “ดอกไม้ริมทาง” ที่ใครจะเด็ดก็ได้ และมักไม่ถูกให้เกียรติหรือให้ความสำคัญในระยะยาว การเปรียบเทียบนี้เกิดจากธรรมชาติของดอกไม้ที่ขึ้นริมทาง ซึ่งแม้จะมีความสวยงาม แต่เพราะอยู่ในที่ที่ใครผ่านไปมาก็สามารถเด็ดได้ง่าย จึงไม่ได้รับการดูแลหรือมีคุณค่าเหมือนดอกไม้ที่ปลูกในสวนและได้รับการทะนุถนอม ตัวอย่างการใช้สำนวน