Tag: สำนวนไทย ต.
-
รู้จักสำนวนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ หมายถึง สำนวน “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” หมายถึง การทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ ใช้ทรัพยากรหรือแรงกายแรงใจไปมาก แต่ผลที่ได้กลับไม่มีคุณค่า หรือไม่เกิดผลตอบแทนใด ๆ เปรียบเทียบกับการตำน้ำพริก (ซึ่งใช้เวลาและแรง) แล้วเอาไปละลายในแม่น้ำกว้างใหญ่ ผลสุดท้ายคือน้ำพริกหายไปโดยไร้ร่องรอย ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย กล่าวคือ “การลงทุนไปโดยได้ผลประโยชน์ไม่คุ้มทุน, การใช้จ่ายทรัพย์ในทางที่ไม่เกิดประโยชน์, การเสียทรัพย์จำนวนมากไปโดยไม่ได้ประโยชน์อะไร” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากภาพเปรียบเทียบทางพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของคนไทยสมัยก่อน ที่เมื่อตำน้ำพริกเสร็จแล้ว (ซึ่งต้องใช้แรงและเวลาพอสมควร) หากนำไปละลายในแม่น้ำ ก็เปลืองแรงโดยไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ เพราะน้ำพริกจะจางหายไปกับสายน้ำทันที ต่อมา สำนวนนี้จึงกลายเป็นคำพูดเปรียบเปรยถึงการลงทุนลงแรง ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างตั้งใจ แต่ผลลัพธ์กลับไร้ค่า ไร้ประโยชน์ สูญเปล่าในที่สุด มักใช้ทั้งในเรื่องงาน ความสัมพันธ์ หรือการใช้ทรัพยากร ที่ “ทุ่มเท” ไปมาก แต่ไม่เห็นผลลัพธ์กลับคืน ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนตัดไฟแต่ต้นลม ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตัดไฟแต่ต้นลม ตัดไฟแต่ต้นลม หมายถึง สำนวน “ตัดไฟแต่ต้นลม” หมายถึง การรีบจัดการหรือแก้ไขปัญหาตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่เรื่องจะบานปลายหรือลุกลามใหญ่โต เปรียบเปรยจากการดับไฟที่เพิ่งเริ่มมีลมพัดมาช่วยให้ลุก ถ้าดับได้ตั้งแต่ยังไม่ลุกไหม้แรง ก็สามารถป้องกันความเสียหายใหญ่ได้ กล่าวคือ “การตัดต้นเหตุเพื่อไม่ให้เหตุการณ์ลุกลามต่อไป” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับสถานการณ์ของ “ไฟ” ที่เมื่อเริ่มต้นยังไม่ลุกลาม หากมี “ลม” พัดมาเสริม จะทำให้ไฟแรงและควบคุมยาก ดังนั้นถ้าต้องการดับไฟให้ได้ผล จึงควรรีบดับหรือหยุดไฟตั้งแต่ต้นทาง ก่อนที่ลมจะพัดไฟไปให้ลุกลาม จากภาพนี้จึงกลายเป็นสำนวนที่ใช้เปรียบเปรยว่า หากต้องการป้องกันปัญหาหรือเหตุร้าย ควรรีบจัดการตั้งแต่ยังเล็กน้อย อย่าปล่อยให้บานปลายหรือยากจะแก้ไขภายหลัง ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนตบมือข้างเดียวไม่ดัง ที่มาและความมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตบมือข้างเดียวไม่ดัง ตบมือข้างเดียวไม่ดัง หมายถึง สำนวน “ตบมือข้างเดียวไม่ดัง” หมายถึง การกระทำหรือความพยายามที่ไม่สามารถประสบความสำเร็จหรือได้รับผลตอบรับที่ดี เนื่องจากขาดการร่วมมือหรือการตอบสนองจากอีกฝ่าย เปรียบเสมือนการตบมือเพียงข้างเดียวที่ไม่สามารถสร้างเสียงดังได้ เพราะต้องมีสองข้างในการตบให้เสียงดัง กล่าวคือ “การทำอะไรฝ่ายเดียวย่อมไม่เกิดผล” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับการตบมือเพียงข้างเดียว ซึ่งจะไม่สามารถทำให้เกิดเสียงดังได้ เนื่องจากเสียงดังของการตบมือเกิดจากการที่มือทั้งสองข้างมาชนกัน การตบมือข้างเดียวจึงไม่สามารถสร้างเสียงได้ สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เพื่อเปรียบเทียบกับการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ต้องการความร่วมมือหรือการตอบสนองจากอีกฝ่าย ถ้าขาดการร่วมมือจากอีกฝ่าย ก็เหมือนกับการตบมือข้างเดียวที่ไม่สามารถทำให้เกิดผลที่ต้องการได้ ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนตักน้ำรดหัวตอ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตักน้ำรดหัวตอ, ตักน้ำรดหัวสาก ตักน้ำรดหัวตอ หมายถึง สำนวน “ตักน้ำรดหัวตอ” หมายถึง การทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปโดยเปล่าประโยชน์ หรือการกระทำที่ไม่ได้ผล หรือไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เปรียบเสมือนการตักน้ำไปเทใส่หัวตอ ซึ่งเป็นส่วนของต้นไม้ที่ตายไปแล้ว ไม่มีการเจริญเติบโตขึ้นมาอีก กล่าวคือ “การแนะนำพรํ่าสอนเท่าไรก็ไม่ได้ผล หรือการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปโดยเปล่าประโยชน์” นั่นเอง สำนวนนี้พูดได้อีกอย้่างหนึ่งคือ “ตักน้ำรดหัวสาก” ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับการตักน้ำไปเทที่หัวตอ (ซึ่งเป็นส่วนที่ตายแล้วของต้นไม้) การตักน้ำไปเทที่หัวตอไม่ได้ทำให้ต้นไม้ฟื้นคืนชีพหรือเติบโตขึ้นมาใหม่ เพราะหัวตอนั้นตายไปแล้ว ไม่สามารถได้รับประโยชน์จากน้ำที่ตักไปได้เลย สำนวนนี้จึงถูกใช้เปรียบเปรยถึงการทำสิ่งที่เปล่าประโยชน์ หรือการกระทำที่ไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เช่น การช่วยเหลือแนะนำพร่ำสอนคนที่ไม่สามารถรับการช่วยเหลือ หรือทำสิ่งที่ไม่เกิดผลอะไรเลย อย่างการเทน้ำไปที่สิ่งที่ไม่สามารถตอบสนองได้ ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนโตฟักโตแฟง ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. โตฟักโตแฟง โตฟักโตแฟง หมายถึง สำนวน “โตฟักโตแฟง” หมายถึง คนที่ร่างกายเติบโตตามวัย แต่จิตใจ ความคิด หรือพฤติกรรมยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร ยังคิดเหมือนเด็ก พูดจาหรือทำอะไรไม่เหมาะสมกับอายุ เปรียบเสมือนพืชอย่างฟักหรือแฟงที่โตเร็ว ขนาดใหญ่ แต่ไม่มีคุณค่าเท่าพืชชนิดอื่นในแง่ของรสชาติหรือประโยชน์มากนัก จึงสื่อถึงการเติบโตที่ใหญ่เปล่า ๆ แต่ไม่ลึกซึ้ง หรือไม่พัฒนาในด้านอื่น สะท้อนถึงการเติบโตที่ไม่สมดุลระหว่างร่างกายกับวุฒิภาวะทางจิตใจ กล่าวคือ “ผู้ที่โตแต่ร่างกายแต่จิตใจหรือความคิดยังเป็นเด็ก ๆ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับพืชจำพวกฟักและแฟง ซึ่งเป็นผักเถาที่เจริญเติบโตเร็ว ผลมีขนาดใหญ่ แต่โดยธรรมชาติ ไม่ใช่พืชที่ให้รสชาติจัดจ้านหรือมีคุณค่าทางอาหารสูงนัก จึงถูกใช้เปรียบเปรยถึงคนที่ตัวโตหรือรูปร่างดูเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่จิตใจยังไม่เติบโตตามอายุ พูดหรือทำสิ่งไม่เหมาะสมเหมือนเด็ก ๆ สำนวนนี้จึงสื่อถึงความเติบโตแบบเปลือกนอก ที่ไม่ได้มาพร้อมความคิดสุกงอมหรือความรับผิดชอบภายใน ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนไต่ไม้ลำเดียว ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ไต่ไม้ลำเดียว ไต่ไม้ลำเดียว หมายถึง สำนวน “ไต่ไม้ลำเดียว” หมายถึง การกระทำใด ๆ ตามลำพัง โดยไม่มีที่พึ่งหรือไม่พึ่งพาผู้อื่น ซึ่งอาจเกิดความผิดพลาดได้ง่าย เปรียบเสมือนการเดินบนไม้เพียงลำเดียวที่แคบและไม่มั่นคง หากไม่มีใครช่วยพยุงหรือดูแล ก็เสี่ยงต่อการล้มหล่นได้ทุกเมื่อ สำนวนนี้มักใช้เพื่อเตือนว่าการลุยเดี่ยว ทำสิ่งใดตามลำพัง โดยไม่มีที่ปรึกษาหรือผู้สนับสนุน อาจทำให้เกิดผลเสียหรืออันตรายได้ กล่าวคือ “ผู้ที่กระทำการใด ๆ ตามลำพังตัวคนเดียวโดยไม่มีที่พึ่งหรือไม่พึ่งพาผู้อื่น อาจพลั้งพลาดได้” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากโคลงสุภาษิตในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เปรียบเทียบกับผู้ที่ต้องเดินบนสะพานแคบที่พาดด้วยไม้เพียงลำเดียว หรือปีนด้วยไม้ลำเดียว เมื่อตัวไม้สั่นไหวก็รู้สึกหวาดเสียว และเมื่อมองหาที่พึ่งก็ไม่มีใครให้พึ่งพิง สื่อถึงผู้ที่ต้องเผชิญปัญหาหรือทำสิ่งใดเพียงลำพัง ไม่มีผู้ช่วยเหลือ หากพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจล้มเหลวได้ทันที โดยโคลงสุภาษิตที่ปรากฏในภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) โดยมีบทโคลงดังนี้: “ไต่ ตพานพาดไม้ ลำเดียวไม้ สั่นหวั่นกายเสียว เมื่อเมื้อลำ ฦกที่พึ่งเหลียว แลห่อน เห็นเฮยเดียว ดั่งคนบเอื้อ พึ่งผู้พาศนา” ซึ่งมีความหมายโดยรวมว่า ผู้ที่เดินอยู่บนสะพานที่ทำจากไม้เพียงลำเดียว เมื่อตัวไม้สั่นก็รู้สึกหวาดกลัว แต่เมื่อจะมองหาที่พึ่งก็ไม่มีใครให้พึ่งพิง ต้องเผชิญกับอันตรายเพียงลำพัง ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนตีป่าให้เสือกลัว ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตีป่าให้เสือกลัว ตีป่าให้เสือกลัว หมายถึง สำนวน “ตีป่าให้เสือกลัว” หมายถึง การกระทำที่ส่งสัญญาณเตือนหรือขู่ให้ฝ่ายตรงข้ามระวังตัว ไม่กล้าทำในสิ่งที่คิดไว้ หรือยับยั้งพฤติกรรมบางอย่างโดยอ้อม เปรียบเสมือนการตีป่าให้เกิดเสียงดัง เพื่อให้เสือที่ซ่อนอยู่รู้ตัวและหนีไป ไม่กล้าออกมาเผชิญหน้า กล่าวคือ “การขู่ให้กลัวทางอ้อม ๆ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเปรยถึงของการใช้ไม้หรืออาวุธตีพุ่มไม้หรือป่าให้เกิดเสียงดัง เพื่อให้ “เสือ” ซึ่งเป็นสัตว์ดุร้ายที่อาจซ่อนตัวอยู่ในนั้นตกใจและหลบหนีไป เป็นการข่มหรือเตือนศัตรูทางอ้อม โดยไม่ปะทะกันตรง ๆ ในเชิงสำนวน จึงหมายถึง การแสดงท่าทีหรือส่งสัญญาณให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกกลัว หวั่นไหว หรือยับยั้งชั่งใจ โดยไม่ต้องเผชิญหน้าหรือพูดตรง ๆ และสำนวนนี้มักใช้ในกรณีที่ต้องการเตือนหรือข่มขวัญอีกฝ่ายโดยไม่พูดตรง ๆ แต่ใช้วิธีอ้อม เช่น พูดผ่านคนอื่น ส่งสัญญาณบางอย่าง หรือแสดงท่าทีแข็งกร้าว เพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกกลัวและถอยห่างเอง ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนตีหัวเข้าบ้าน ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตีหัวเข้าบ้าน ตีหัวเข้าบ้าน หมายถึง สำนวน “ตีหัวเข้าบ้าน” หมายถึง การฉวยโอกาสหาประโยชน์จากบางสิ่งบางอย่าง แล้วรีบหลบหนีหรือถอยกลับเข้าสู่ที่ปลอดภัยของตัวเอง โดยไม่รับผิดชอบหรือเผชิญผลที่ตามมา เปรียบเสมือนการตีหัวใครสักคนเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ แล้วรีบวิ่งกลับเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ตัวเองปลอดภัย กล่าวคือ “ผู้ที่ฉวยโอกาสหาประโยชน์ เมื่อได้แล้วหลบหนีเข้าหาที่ปลอดภัย” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากภาพเปรียบเทียบในสังคมไทยสมัยก่อน ซึ่งสะท้อนพฤติกรรมของคนที่ ทำร้ายหรือเอาเปรียบผู้อื่นแล้วรีบหลบหนีเข้าบ้านตัวเองเพื่อความปลอดภัย โดยไม่รับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น คำว่า “ตีหัว” ในที่นี้หมายถึง การทำร้ายหรือฉวยประโยชน์อย่างรวดเร็ว ส่วน “เข้าบ้าน” คือ การหลบเข้าสู่พื้นที่ที่ปลอดภัยของตนเอง เปรียบเสมือนการตีหัวใครแล้วรีบวิ่งเข้าบ้านล็อกประตูไม่ให้ใครตามทัน สำนวนนี้มักใช้ในเชิงตำหนิคนที่เอาเปรียบ ขโมย แอบอ้าง หรือฉวยผลประโยชน์แล้วหายตัวไปโดยไม่รับผิดชอบ เป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัวและหลีกเลี่ยงความเสียหายที่จะตามมาภายหลัง ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนตีบทแตก ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตีบทแตก ตีบทแตก หมายถึง สำนวน “ตีบทแตก” หมายถึง คนที่ทำการแสดงบทบาทได้อย่างยอดเยี่ยม เข้าถึงอารมณ์และความรู้สึกของตัวละครอย่างลึกซึ้ง จนผู้ชมเชื่อและประทับใจ แสดงออกได้อย่างแนบเนียนจนคนอื่นคล้อยตาม ทั้งดีใจและเสียใจ โดยมักใช้กับนักแสดงที่เล่นได้สมจริง ไม่หลุดจากบทบาท เปรียบเสมือนการตีบทละครจน “แตกละเอียด” เข้าใจบทอย่างทะลุปรุโปร่ง กล่าวคือ “ผู้ที่แสดงได้แนบเนียนสมบทบาท” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากวงการละครและการแสดง โดยคำว่า “บท” หมายถึง บทบาทหรือตัวละคร ที่นักแสดงได้รับ ส่วนคำว่า “ตี” ในที่นี้หมายถึง การตีความ วิเคราะห์ หรือทำความเข้าใจ เมื่อนักแสดงสามารถตีความบทบาทได้อย่างลึกซึ้ง แสดงออกได้สมจริง เข้าถึงอารมณ์ตัวละครอย่างเต็มที่ ก็จะเรียกว่าคนนั้น “ตีบทแตก” เปรียบเสมือนตีบทออกมาได้ละเอียดจนแตกกระจาย เห็นทุกแง่มุมของตัวละคร ทำให้คนดูรู้สึกเชื่อและอินไปกับการแสดง ต่อมา สำนวนนี้ถูกนำไปใช้ในบริบททั่วไป เช่น การพูดนำเสนอ พิธีกร การสื่อสาร หรือแม้กระทั่งการแสดงออกทางอารมณ์ในชีวิตจริง เมื่อทำได้โดดเด่นและเข้าถึงใจผู้ฟัง ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนตาเป็นสับปะรด ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตาเป็นสับปะรด ตาเป็นสับปะรด หมายถึง สำนวน “ตาเป็นสับปะรด” หมายถึง บุคคลหรือพรรคพวกที่คอยสอดส่องดูแลเหตุการณ์รอบข้างให้ผู้อื่นอย่างละเอียดถี่ถ้วน เปรียบเปรยจากลักษณะของผลสับปะรดที่มีตาเล็ก ๆ อยู่เต็มไปหมดทั่วผล ซึ่งให้ภาพของการมีสายตาหลายทิศทาง มองเห็นรอบด้าน กล่าวคือ “การที่บุคคลหรือองค์กรมีคนคอยสอดส่องเป็นหูเป็นตาให้รอบตัว” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับผลสับปะรด ซึ่งมีลักษณะเด่นคือมี “ตา” เล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่วทั้งผล ราวกับมีดวงตาจำนวนมากคอยสอดส่องทุกทิศทุกทาง เมื่อนำมาใช้เป็นสำนวน จึงหมายถึงพรรคพวกหรือผู้ช่วยที่คอยสอดส่องดูแลเหตุการณ์รอบตัวให้เสมือนมีดวงตาหลายคู่ คอยจับผิดหรือสังเกตความเคลื่อนไหวต่าง ๆ เพื่อรายงานหรือเตือนให้รู้ล่วงหน้า มักใช้ในเชิงสนุกหรือประชดนิด ๆ ว่า “มีคนคอยดูอยู่ทุกมุม” จึงไม่ควรทำอะไรผิดพลาดหรือมีลับลมคมใน ตัวอย่างการใช้สำนวน