Tag: สำนวนไทย ต.
-
รู้จักสำนวนเตะหมูเข้าปากหมา ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. เตะหมูเข้าปากหมา เตะหมูเข้าปากหมา หมายถึง สำนวน “เตะหมูเข้าปากหมา” หมายถึง การปล่อยให้สิ่งที่ควรจะได้หรือควรเก็บรักษาไว้ตกไปอยู่ในมือของผู้อื่นอย่างง่ายดาย โดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องออกแรงอะไร เปรียบเสมือนเตะหมูชิ้นโตไปเข้าปากหมาโดยตรง สะท้อนถึงความประมาท หรือการกระทำที่ทำให้ผู้อื่นได้ประโยชน์ไปฟรี ๆ โดยไม่สมควร กล่าวคือ “การทำให้ผลประโยชน์ตกถึงผู้อื่นที่ไม่ได้ลงแรงเลย” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากภาพเปรียบเปรยของการ “เตะหมู” ซึ่งเป็นของกินที่มีค่า เข้าปาก “หมา” ซึ่งไม่ได้ทำอะไรเลยแต่กลับได้รับของดีไปง่าย ๆ ในบริบทของสำนวนนี้ การกระทำที่ทำให้ผู้อื่นได้ประโยชน์โดยไม่สมควร หรือโดยที่เขาไม่ต้องออกแรง ไม่ต้องพยายามอะไรเลย เช่น การปล่อยให้คู่แข่งได้ผลประโยชน์จากความผิดพลาดของเรา หรือการมอบโอกาสดี ๆ ให้คนอื่นโดยไม่ตั้งใจ เปรียบเสมือนคนเตะของดีไปให้ผู้ที่ไม่ควรได้อย่างง่ายดายและไร้การระวัง ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนเต่าใหญ่ไข่กลบ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. เต่าใหญ่ไข่กลบ เต่าใหญ่ไข่กลบ หมายถึง สำนวน “เต่าใหญ่ไข่กลบ” หมายถึง คนที่ทำอะไรบางอย่างที่เป็นพิรุธ แล้วพยายามปกปิดหรือกลบเกลื่อนไม่ให้ใครรู้ เปรียบเสมือนเต่าขนาดใหญ่ที่ออกไข่แล้วกลบไว้ด้วยทรายหรือดินเพื่อไม่ให้เห็น แม้ตัวจะใหญ่แต่กลับพยายามปิดร่องรอยให้แนบเนียน กล่าวคือ “ผู้ที่ทำอะไรเป็นพิรุธแล้วพยายามกลบเกลื่อนไม่ให้ใครรู้” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากพฤติกรรมตามธรรมชาติของเต่าทะเลหรือเต่าขนาดใหญ่ ที่เมื่อวางไข่เสร็จแล้วจะใช้ขาหลังกลบหลุมทรายเพื่อซ่อนร่องรอย ไม่ให้สัตว์อื่นรู้ว่ามีไข่อยู่ตรงนั้น พฤติกรรมนี้เป็นไปเพื่อปกป้องลูกจากอันตราย แต่เมื่อถูกนำมาใช้เป็นสำนวนในภาษาไทย กลับมีความหมายในเชิงลบ ใช้เปรียบถึงคนที่ทำเรื่องไม่ดีหรือมีพิรุธ แล้วพยายามปกปิด ปัดความรับผิดชอบ หรือกลบเกลื่อนความจริงไม่ให้ใครจับได้ คล้ายกับเต่าที่พยายามกลบร่องรอยของการกระทำของตนเอง โคลงสุภาษิต ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม: “เต่าใหญ่ไข่กลบให้ หายรอยหวังบ่เห็นฟองฝอย เฟื่องเท้าผู้ใหญ่ซ่อนกลคอย ระวังโทษ ตนแฮกลบเกลื่อนโทษค่ำเช้า เพื่อให้หายแผล” ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนเต้นแร้งเต้นกา ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. เต้นแร้งเต้นกา, เต้นแร้งเต้นแฉ่ง เต้นแร้งเต้นกา หมายถึง สำนวน “เต้นแร้งเต้นกา” หมายถึง คนที่แสดงอาการดีอกดีใจหรือสนุกสนานอย่างมากด้วยการกระโดดโลดเต้น แสดงท่าทางรุนแรงเกินพอดี เปรียบเสมือนแร้งหรือกาที่กระพือปีก กระโดดไปมาอย่างไม่เป็นระเบียบ สะท้อนถึงอารมณ์ที่ล้นเกินและแสดงออกอย่างโอเวอร์จนดูไม่เรียบร้อย กล่าวคือ “ผู้ที่แสดงอาการดีอกดีใจหรือสนุกสนานด้วยการกระโดดโลดเต้น” นั่นเอง สำนวนนี้พูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า “เต้นแร้งเต้นแฉ่ง” ที่มาของสำนวน มาจากพฤติกรรมของนกแร้งและนกกา ซึ่งมักส่งเสียงดังและกระโดดโลดเต้นกระโจนไปกระโจจนมาอย่างวุ่นวายโดยเฉพาะเวลาพบอาหารหรือตื่นตกใจ ท่าทางของนกเหล่านี้ดูสุดเหวี่ยง ไร้ระเบียบ และเกินพอดี เมื่อนำมาใช้เป็นสำนวนจึงหมายถึงคนที่แสดงความดีใจหรือสนุกสนานอย่างเกินเหตุ ด้วยท่าทางกระโดดโลดเต้นไม่สำรวม คล้ายพฤติกรรมของแร้งและกาในธรรมชาติ ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนเตี้ยอุ้มค่อม ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. เตี้ยอุ้มค่อม เตี้ยอุ้มค่อม หมายถึง สำนวน “เตี้ยอุ้มค่อม” หมายถึง คนที่ลำบากอยู่แล้ว ยังต้องไปรับภาระหรือช่วยเหลือคนที่ลำบากกว่า หรือไร้ความสามารถมากกว่าอีก เปรียบเสมือนคนตัวเตี้ยที่ต้องไปอุ้มคนค่อม ซึ่งต่างก็ลำบากพอ ๆ กัน แต่กลับต้องมาช่วยเหลือกันเอง ยิ่งทำให้ลำบากเข้าไปใหญ่ กล่าวคือ “คนที่ช่วยเหลือคนที่มีฐานะตํ่าต้อยหรือยากจน ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็มีฐานะตํ่าต้อยหรือยากจนเหมือนกัน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบให้เห็นภาพของ “คนเตี้ย” ซึ่งตัวเองก็มีความลำบากในการพยุงหรืออุ้มใครอยู่แล้ว แต่กลับต้องไปอุ้ม “คนค่อม” ที่มีร่างกายผิดปกติและลำบากไม่แพ้กัน สำนวนนี้จึงสื่อถึงความลำบากซ้อนลำบาก ทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีความพร้อม แต่ต้องพึ่งพากันอย่างฝืนธรรมชาติ สำนวนนี้ถูกใช้เพื่อสะท้อนถึงสถานการณ์ที่คนหนึ่งลำบากอยู่แล้ว แต่ยังต้องไปรับผิดชอบหรือช่วยเหลือคนที่ลำบากไม่แพ้กันหรือมากกว่าอีก เป็นภาพแทนของความไม่สมดุลและภาระที่เกินกำลัง ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนตีวัวกระทบคราด ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตีวัวกระทบคราด ตีวัวกระทบคราด หมายถึง สำนวน “ตีวัวกระทบคราด” หมายถึง การไม่พอใจใครคนหนึ่ง แต่ไม่กล้าต่อว่าโดยตรง จึงแกล้งแสดงความไม่พอใจใส่คนใกล้ตัวหรือสิ่งอื่นแทน เพื่อให้คนที่ไม่ชอบใจรู้ตัวและรู้สึกเสียหน้า เปรียบเสมือนการตีวัวให้เจ็บเพื่อให้คราดที่เกี่ยวกับวัวได้รับผลกระทบไปด้วย สะท้อนถึงการกระทำที่พุ่งเป้าอ้อม ๆ ไปยังผู้ที่ไม่สามารถตำหนิหรือโต้ตรง ๆ ได้ กล่าวคือ “ผู้ที่โกรธคนหนึ่งแต่ทำอะไรเขาไม่ได้ ไพล่ไปรังควานอีกคนหนึ่งที่เกี่ยวข้องและตนสามารถทำได้” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากวิถีชีวิตชาวนาในอดีตที่ใช้วัวเทียมคราดเพื่อไถนา คราดเอาไว้ผูกเป็นคันยาวกับวัว หากเจ้าของไม่พอใจวัวหรือวัวขี้เกียจ ก็จะทำการตีวัวเพื่อกระตุ้นให้วัวทำงาน เมื่อวัวทำงาน วัวก็เลยลากคราดที่ติดตัวและก็พลอยกระทบกับมันไปด้วย กล่าวคือ “ตีวัว วัวก็ลากคราดพลอยกระทบไปกับตัววัวด้วย” นั่นเอง จึงกลายมาเป็นสำนวนที่ใช้เปรียบเปรยการกระทำที่ไม่พอใจใครบางคน แต่ไม่กล้าตำหนิโดยตรง เลยพุ่งเป้าไปยังสิ่งหรือคนใกล้ตัวแทน ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนตีปลาหน้าไซ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตีปลาหน้าไซ ตีปลาหน้าไซ หมายถึง สำนวน “ตีปลาหน้าไซ” หมายถึง การทำให้ผู้อื่นเสียผลประโยชน์ในขณะที่เขากำลังจะได้ หรือกำลังจะสำเร็จ เปรียบเสมือนปลากำลังจะว่ายเข้าไซ (เครื่องมือจับปลาแบบดักทางน้ำ) ซึ่งเจ้าของเตรียมไว้รอจับ แต่กลับมีคนเอาไม้ไปตีปลาหน้าไซ ทำให้ปลาตกใจและหนีไปหมด จึงใช้พูดถึงคนที่ ขัดจังหวะ ทำลายโอกาส หรือทำให้ผู้อื่นเสียผลในวินาทีสุดท้าย โดยเฉพาะในเชิงเสียประโยชน์หรือเสียแผน กล่าวคือ “การพูดหรือกระทำทำให้กิจการของผู้อื่นซึ่งกำลังดำเนินไปด้วยดีกลับเสียไป” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากวิถีชีวิตของชาวบ้านในอดีตที่หาปลาด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า “ไซ” ซึ่งเป็นกับดักปลาที่ตั้งไว้ในลำคลองหรือทางน้ำ ปลาจะว่ายตามกระแสน้ำเข้าไปติดในไซเองโดยไม่รู้ตัว ในจังหวะที่ปลากำลังจะเข้ากับดัก ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ผู้หาปลาหวังผลมากที่สุด แต่ถ้ามีใครเอาไม้ไปตีผิวน้ำบริเวณหน้าไซ ปลาจะตกใจและหันหลังหนีไป ไม่เข้าไซอีก ทำให้เสียโอกาสจับปลาอย่างน่าเสียดาย จึงเกิดเป็นสำนวนนี้ขึ้น เพื่อเปรียบถึงการทำให้คนอื่นเสียผลประโยชน์หรือเสียโอกาสสำคัญในขณะที่กำลังจะได้สิ่งนั้น โดยอาจเกิดจากความประมาท ความอิจฉา หรือเจตนาร้าย สำนวนนี้มักใช้ในเชิงตำหนิ ว่าทำพังในจังหวะสุดท้าย ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนตีตนก่อนไข้ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตีตนก่อนไข้, ตีตนตายก่อนไข้ ตีตนก่อนไข้ หมายถึง สำนวน “ตีตนก่อนไข้” หมายถึง การวิตกกังวลไปก่อนล่วงหน้า ทั้งที่เรื่องนั้นยังไม่เกิด หรือยังไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เปรียบเสมือนยังไม่ทันป่วยก็โวยวายหรือทำเหมือนตัวเองกำลังจะตาย เป็นสำนวนที่ใช้เตือนคนที่ มักจะกลัวเกินเหตุ คิดไปไกลเกินจริง หรือสร้างความวุ่นวายเพราะความกังวลเกินไป กล่าวคือ “ผู้ที่กังวลทุกข์ร้อนหรือหวาดกลัวในเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเปรยถึงคนที่ยังไม่ป่วย แต่กลับแสดงอาการหวาดกลัว หรือโอดครวญราวกับกำลังเจ็บหนัก ทั้งที่ยังไม่มีอาการใด ๆ ให้เห็นจริง คำว่า “ตีตน” ในที่นี้หมายถึง การทำท่าทางหรือแสดงอาการ เช่น ตีโพยตีพาย โอดครวญ หรือแสดงความทุกข์เกินเหตุ ส่วน “ไข้” หมายถึง ความเจ็บป่วย การนำคำทั้งสองมาใช้ร่วมกัน จึงกลายเป็นภาพแทนของคนที่ กลัวไปก่อน คิดไปไกลเกินจริง หรือวิตกเกินควร ทั้งที่ยังไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น สำนวนนี้จึงมักใช้ในเชิงตำหนิหรือเตือนผู้ที่ใจร้อน วิตกจริต หรือกังวลล่วงหน้า โดยไม่รอให้เห็นเหตุการณ์จริง หรือรอให้มีปัญหาขึ้นมาก่อน เช่น คนที่กลัวว่าการประชุมจะล้มเหลว ทั้งที่ยังไม่ได้เริ่ม หรือคนที่รีบคิดว่าใครจะมาทำร้าย ทั้งที่ยังไม่มีวี่แววใด…
-
รู้จักสำนวนตีงูให้หลังหัก ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตีงูให้หลังหัก ตีงูให้หลังหัก หมายถึง สำนวน “ตีงูให้หลังหัก” หมายถึง การจัดการปัญหาอย่างไม่เด็ดขาด ทำให้ปัญหายังไม่จบสิ้น และอาจย้อนกลับมาทำร้ายภายหลัง เปรียบเสมือนการตีงูไม่ให้ตายสนิท แค่หลังหักแต่มันยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งอาจเลื้อยกลับมาฉกเราได้ในภายหลัง เป็นคำเตือนในเชิงว่าหากจะลงมือจัดการอะไร ควรทำให้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นภัยย้อนกลับมา กล่าวคือ “กระทำการสิ่งใดแก่ศัตรูโดยไม่เด็ดขาดจริงจังย่อมจะได้รับผลร้ายในภายหลัง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี ของสุนทรภู่ ตอนที่พระอภัยมณีจับแม่ทัพอุศเรนได้ในการรบ แต่ด้วยความเห็นแก่บุญคุณเก่า จึงไม่สั่งประหารชีวิตอุศเรน นางวาลีจึงเตือนพระอภัยด้วยบทกลอนว่า “ประเวณีตีงูให้หลังหัก มันก็มักทำร้ายเอาภายหลังจระเข้ใหญ่ไปถึงน้ำมีกำลัง แม้เสือขังเข้าถึงดงก็คงร้ายอันแม่ทัพจับได้แล้วไม่ฆ่า ไปข้างหน้าศึกจะใหญ่ขึ้นใจหายต้องตำรับจับให้มั่นคั้นให้ตาย จะทำภายหลังยากลำบากครัน” เปรียบเปรยถึงการจัดการศัตรูหรือปัญหาโดยไม่เด็ดขาด ปล่อยไว้เพียงบาดเจ็บหรือลงโทษไม่สุด ทำให้มีโอกาสย้อนกลับมาสร้างความเสียหายภายหลัง ในกลอนยังอุปมาว่า “จระเข้ใหญ่ไปถึงน้ำมีกำลัง แม้เสือขังเข้าถึงดงก็คงร้าย” หมายถึง ศัตรูหากปล่อยให้รอด จะกลับมาแข็งแกร่งและอันตรายกว่าเดิม จึงควร “จับให้มั่นคั้นให้ตาย” (แต่ปัจจุบันสำนวนนี้หมายถึง จะจับผิดใครต้องมีหลักฐานแน่ชัด) สำนวนนี้จึงใช้ในเชิงเตือนหรือวิพากษ์คนที่จัดการปัญหาไม่ถึงที่สุด จนสุดท้ายอาจเดือดร้อนกลับมาโดยเปรียบเหมือนตีงูแต่ไม่ให้ตาย มันก็อาจเลื้อยกลับมาฉกได้ พฤติกรรมของงู ซึ่งเป็นสัตว์มีพิษและอันตราย หากต้องการจัดการมัน คนสมัยก่อนมักใช้ไม้ตีให้ตายเพื่อความปลอดภัย แต่หากตีเพียงให้หลังหักโดยไม่ตายสนิท งูยังอาจมีชีวิตอยู่ และด้วยสัญชาตญาณของสัตว์…
-
รู้จักสำนวนตีงูให้กากิน ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตีงูให้กากิน ตีงูให้กากิน หมายถึง สำนวน “ตีงูให้กากิน” หมายถึง การออกแรง ลงมือทำ หรือช่วยเหลือในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่สุดท้ายคนอื่นกลับเป็นฝ่ายได้ประโยชน์หรือคว้าเครดิตไป ทั้งที่ตนเองเป็นผู้ลงแรงแท้ ๆ เปรียบเสมือนเราตีงูจนตาย แต่กลับไม่ทันได้ใช้ประโยชน์จากมัน เพราะมีอีกฝ่ายหนึ่ง เช่นกามาคาบเอาไปกินหน้าตาเฉย สำนวนนี้มักใช้ในเชิงน้อยใจ เสียดสี หรือประชดการที่ทำดีแทนคนอื่น แต่กลับไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ กล่าวคือ “การลงแรงทำสิ่งที่ไม่เป็นคุณแก่ตน แล้วผลประโยชน์ยังกลับไปได้แก่ผู้อื่น” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากจากการเปรียบเทียบในวิถีชีวิตของคนไทยสมัยก่อน ที่งูเป็นสัตว์อันตราย มักจะถูกตีเพื่อป้องกันภัยหรือใช้ประโยชน์ เช่น นำหนังหรือน้ำมันไปใช้ประโยชน์ต่าง ๆ แต่หากตีงูจนตายแล้วกลับไม่ทันได้ใช้ประโยชน์จากงูตัวนั้นปล่อยให้กา (ที่ไม่ได้มีส่วนช่วยใด ๆ) มาคาบไปกินแทน ก็เท่ากับว่า เราลงแรงแต่คนอื่นได้ประโยชน์ไป จึงกลายมาเป็นสำนวนใช้เปรียบเปรยว่า การที่เราทำงานหรือช่วยเหลืออะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายมีคนอื่นมาได้หน้า ได้ผลประโยชน์ หรือได้รับเครดิตไปแทน ทั้งที่ไม่ได้ลงแรงเหมือนเรา มักใช้ในเชิงตำหนิ เสียดสี หรือน้อยใจในความไม่ยุติธรรม ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนติเรือทั้งโกลน ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ติเรือทั้งโกลน ติเรือทั้งโกลน หมายถึง สำนวน “ติเรือทั้งโกลน” หมายถึง การวิจารณ์หรือตำหนิสิ่งที่ยังทำไม่เสร็จ หรือยังไม่รู้ข้อเท็จจริงทั้งหมด เป็นการรีบด่วนตัดสินก่อนเวลาอันควร โดยไม่ได้พิจารณาให้รอบด้าน เปรียบเสมือนการไปติเรือที่ยังอยู่ในขั้นตอนการสร้างหรือยังไม่ได้ทาสีจนเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งยังไม่อาจบอกได้ว่างามหรือไม่ดีอย่างไร การติติงในจังหวะนั้นจึงถือเป็นการดูถูกหรือวิจารณ์อย่างไม่ยุติธรรมต่อผลงานที่ยังไม่เสร็จสิ้น กล่าวคือ “การติสิ่งที่ยังทำไม่เสร็จหรือยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร” นั่นเอง สำนวนนี้บางทีก็ใช้ว่า “ติเรือทั้งโกลน ติโขนไม่ได้ทรงเครื่อง” ที่มาของสำนวน มาจากการต่อเรือในสมัยโบราณ โดยช่างไม้จะเริ่มจากการนำไม้ซุงทั้งต้นมาเลื่อยเฉือนปีกไม้ออกทั้ง 4 ด้าน แล้วเจียนหัวเจียนท้ายให้เป็นทรงเรืออย่างคร่าว ๆ ซึ่งในขั้นตอนนี้ยังไม่ได้ขุดให้เป็นโพรง หรือยังไม่ได้ตกแต่งรายละเอียดให้เรียบร้อย สภาพของเรือในระยะนี้เรียกว่า “โกลน” หรือเรือโกลน เรือโกลนยังไม่สมบูรณ์ ยังไม่สวยงาม และยังไม่สามารถใช้งานได้จริง หากใครมาเห็นตอนนี้แล้วรีบวิจารณ์ว่าเรือไม่สวย ใช้ไม่ได้ ก็เท่ากับตัดสินก่อนเวลา ทั้งที่ยังไม่เห็นผลงานเสร็จสมบูรณ์ จึงเกิดสำนวนนี้ขึ้นเพื่อเปรียบเปรยถึงคนที่รีบวิจารณ์ ตำหนิ หรือดูถูกสิ่งที่ยังไม่เสร็จ ยังไม่เห็นผลลัพธ์สุดท้าย หรือยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร มักใช้ในเชิงตำหนิคนที่ ใจร้อน ด่วนตัดสิน หรือมีอคติโดยไม่รอให้เห็นความจริงหรือผลงานเต็มรูปแบบ ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนตายฝังยังเลี้ยง ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตายฝังยังเลี้ยง ตายฝังยังเลี้ยง หมายถึง สำนวน “ตายฝังยังเลี้ยง” หมายถึง การเลี้ยงดูแบบตามยถากรรม ตามมีตามเกิด ไม่ได้ใส่ใจดูแลเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ทอดทิ้ง ปล่อยให้มีชีวิตอยู่ไปตามธรรมชาติ มีเท่าไรก็ให้เท่านั้น ตามบุญตามกรรม ไม่ได้บังคับหรือฝืนใจใด ๆ เปรียบเสมือนเลี้ยงไว้เหมือนสิ่งหนึ่งที่ยังมีชีวิต แต่ไม่คาดหวัง ไม่ทะนุถนอม ไม่ดูแลเป็นพิเศษ เหมือนคนที่ตายแล้วแต่ยังถูกฝังเลี้ยงไว้อยู่แบบเฉย ๆ สะท้อนการดำรงอยู่แบบพึ่งพาตนเองและบุญกรรมที่มีอยู่เท่านั้นเอง กล่าวคือ “การเลี้ยงดูตามบุญตามกรรม” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากวิถีชีวิตและความเชื่อของคนไทยโบราณที่ดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายเป็นธรรมชาติ หากสัตว์หรือคนที่อยู่ร่วมกันตายก็เอาไปฝัง แต่ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็เลี้ยงกันต่อไปตามมีตามเกิด การกินอยู่ก็เรียบง่าย ไม่มีพิธีรีตอง การเลี้ยงดูก็ไม่หวังผล ไม่บังคับ ให้เป็นไปตามบุญตามกรรม สะท้อนแนวคิดที่ว่า ถ้าอยู่ก็เลี้ยง ถ้าตายก็ฝัง ไม่มีการยึดติดหรือคาดหวัง เป็นการดูแลที่ ไม่ทอดทิ้งแต่ก็ไม่ประคบประหงม เลี้ยงไปตามยถากรรม มีเท่าไรก็ให้เท่านั้น ปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปตามธรรมชาติ นี่จึงเป็นที่มาของสำนวนว่า “ตายฝังยังเลี้ยง” ใช้เปรียบถึงการเลี้ยงดูหรือดูแลใครบางคนแบบเฉย ๆ ตามสภาพ โดยไม่ใส่ใจเป็นพิเศษ ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนตายประชดป่าช้า ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตายประชดป่าช้า ตายประชดป่าช้า หมายถึง สำนวน “ตายประชดป่าช้า” หมายถึง การกระทำหรือคำพูดที่แสดงออกอย่างประชดประชัน หรือแดกดันผู้อื่น โดยหวังให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกผิดหรือสะเทือนใจ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นตัวเองที่เสียหายหรือเดือดร้อนจากสิ่งที่ทำลงไป เปรียบเสมือนคนที่แกล้งตายเพื่อประชดคนอื่น โดยลืมไปว่าป่าช้าคือที่เผาศพจริง ๆ สุดท้ายจึงกลายเป็นเรื่องเสียหายต่อตัวเองมากกว่าคนอื่น สำนวนนี้จึงใช้ในเชิงเสียดสีถึงผู้ที่ประชดประชันอย่างขาดสติ จนสิ่งที่ทำกลับมาทำร้ายตนเองมากกว่าคนที่ต้องการประชด กล่าวคือ “การแกล้งทำ หรือพูดประชดคนอื่น แต่สุดท้ายต้องเป็นฝ่ายเสียหายจากการกระทำ หรือคำพูดนั้นเอง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเปรยโดยใช้ “ป่าช้า” ซึ่งเป็นสถานที่เผาศพของคนตาย กับการกระทำของคนที่ ตั้งใจทำอะไรบางอย่างเพื่อประชดประชัน แสดงความน้อยใจ หรือเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่น เช่น การพูดว่าจะ “ตายให้ดู” เพื่อให้คนรอบข้างสะเทือนใจ แต่เมื่อเปรียบกับป่าช้าแล้ว หากคนเราตายไปจริง ๆ ก็ต้องถูกนำไปฝังหรือเผาที่ป่าช้า ซึ่งไม่มีใครสะเทือนใจนานนัก และสุดท้ายผู้ที่เสียหายที่สุดก็คือตัวเอง สำนวนนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อสื่อถึงพฤติกรรมประชดประชันที่หวังผลกระทบต่อผู้อื่น แต่กลับลงเอยด้วยผลร้ายต่อตัวเองแทน เป็นการเตือนเชิงเสียดสีว่าการประชดโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง อาจย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัว ตัวอย่างการใช้สำนวน