Tag: สำนวนไทย ต.
-
รู้จักสำนวนแตงร่มใบ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. แตงร่มใบ แตงร่มใบ หมายถึง สำนวน “แตงร่มใบ” หมายถึง หญิงสาวที่มีรูปร่างหน้าตาสะสวย ผิวพรรณดี อ่อนวัย และมีเสน่ห์น่าหลงใหล เปรียบเสมือนต้นแตงที่มีใบเขียวสด ร่มครึ้ม ดูอ่อนช้อยและน่าชื่นชม สะท้อนภาพของหญิงสาวที่กำลังอยู่ในวัยงาม น่าดู น่าชม มีความอ่อนเยาว์และมีชีวิตชีวา กล่าวคือ “ผู้หญิงที่มีผิวเป็นนวลใยในวัยสาว” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับลักษณะของต้นแตงในธรรมชาติ ซึ่งเมื่ออยู่ในช่วงงอกงามเต็มที่ ใบจะแผ่กว้าง เขียวชอุ่ม และดูร่มรื่นน่ามอง เปรียบได้กับหญิงสาววัยกำลังงาม ที่ผิวพรรณสดใส รูปร่างหน้าตาน่ารักอ่อนหวาน มีความอ่อนเยาว์และเสน่ห์ดึงดูด สำนวนนี้จึงใช้เรียก หญิงสาวที่กำลังอยู่ในวัยเบ่งบาน ทั้งรูปร่าง หน้าตา และบุคลิกดูสดใสเจริญตาเจริญใจ เปรียบเสมือนต้นแตงที่ใบเขียวร่มครึ้ม ชวนให้น่าชมอย่างเป็นธรรมชาติ ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนแตงเถาตาย ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. แตงเถาตาย แตงเถาตาย หมายถึง สำนวน “แตงเถาตาย” หมายถึง หญิงหม้ายที่มีอายุมาก หี่ยวแห้งอับเฉาไม่มีความสดใส หรือหญิงที่สามีเสียชีวิตและอยู่คนเดียวมานานจนไม่คิดจะแต่งงานใหม่ เปรียบเสมือนเถาแตงที่ตายแล้ว ไม่สามารถผลิดอกออกผลหรืองอกงามได้อีก สะท้อนถึงภาพหญิงที่หมดหวังหรือหมดโอกาสในเรื่องความรักและชีวิตคู่ กล่าวคือ “ผู้หญิงม่ายที่มีอายุมากแล้ว” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับต้นแตง ซึ่งเป็นพืชเถา หากเถาแตงตายไปแล้ว ผลแตงก็ไม่สามารถเติบโตหรือออกลูกได้อีก เถาแตงจึงเป็นเหมือนต้นกำเนิดหรือหลักยึด หรือผลแตง (พืชไม้เถาล้มลุก) เมื่อเถาหรือตัวลำต้นเลื้อยของมันได้ตายไปแล้วนั้น ก็ไม่มีสิทธิที่จะเติบโตสุกเปล่งปลั่ง หรือมีรสชาติดีได้อีกแล้ว เมื่อนำมาใช้เป็นสำนวนในภาษาไทย จึงใช้เปรียบเปรยถึงหญิงม่ายที่สามีเสียชีวิตไปแล้ว และอายุก็มากจนไม่คิดจะมีคู่ใหม่ เปรียบเสมือนเถาแตงที่เหี่ยวตายลง ไม่สามารถเจริญเติบโตต่อหรือมีชีวิตคู่ใหม่ได้อีก เป็นภาพของความเหงา เปล่าเปลี่ยว และหมดหวังในเรื่องความรักหรือชีวิตครอบครัวอีกครั้ง ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนเตะหมูเข้าปากหมา ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. เตะหมูเข้าปากหมา เตะหมูเข้าปากหมา หมายถึง สำนวน “เตะหมูเข้าปากหมา” หมายถึง การปล่อยให้สิ่งที่ควรจะได้หรือควรเก็บรักษาไว้ตกไปอยู่ในมือของผู้อื่นอย่างง่ายดาย โดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องออกแรงอะไร เปรียบเสมือนเตะหมูชิ้นโตไปเข้าปากหมาโดยตรง สะท้อนถึงความประมาท หรือการกระทำที่ทำให้ผู้อื่นได้ประโยชน์ไปฟรี ๆ โดยไม่สมควร กล่าวคือ “การทำให้ผลประโยชน์ตกถึงผู้อื่นที่ไม่ได้ลงแรงเลย” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากภาพเปรียบเปรยของการ “เตะหมู” ซึ่งเป็นของกินที่มีค่า เข้าปาก “หมา” ซึ่งไม่ได้ทำอะไรเลยแต่กลับได้รับของดีไปง่าย ๆ ในบริบทของสำนวนนี้ การกระทำที่ทำให้ผู้อื่นได้ประโยชน์โดยไม่สมควร หรือโดยที่เขาไม่ต้องออกแรง ไม่ต้องพยายามอะไรเลย เช่น การปล่อยให้คู่แข่งได้ผลประโยชน์จากความผิดพลาดของเรา หรือการมอบโอกาสดี ๆ ให้คนอื่นโดยไม่ตั้งใจ เปรียบเสมือนคนเตะของดีไปให้ผู้ที่ไม่ควรได้อย่างง่ายดายและไร้การระวัง ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนเต่าใหญ่ไข่กลบ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. เต่าใหญ่ไข่กลบ เต่าใหญ่ไข่กลบ หมายถึง สำนวน “เต่าใหญ่ไข่กลบ” หมายถึง คนที่ทำอะไรบางอย่างที่เป็นพิรุธ แล้วพยายามปกปิดหรือกลบเกลื่อนไม่ให้ใครรู้ เปรียบเสมือนเต่าขนาดใหญ่ที่ออกไข่แล้วกลบไว้ด้วยทรายหรือดินเพื่อไม่ให้เห็น แม้ตัวจะใหญ่แต่กลับพยายามปิดร่องรอยให้แนบเนียน กล่าวคือ “ผู้ที่ทำอะไรเป็นพิรุธแล้วพยายามกลบเกลื่อนไม่ให้ใครรู้” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากพฤติกรรมตามธรรมชาติของเต่าทะเลหรือเต่าขนาดใหญ่ ที่เมื่อวางไข่เสร็จแล้วจะใช้ขาหลังกลบหลุมทรายเพื่อซ่อนร่องรอย ไม่ให้สัตว์อื่นรู้ว่ามีไข่อยู่ตรงนั้น พฤติกรรมนี้เป็นไปเพื่อปกป้องลูกจากอันตราย แต่เมื่อถูกนำมาใช้เป็นสำนวนในภาษาไทย กลับมีความหมายในเชิงลบ ใช้เปรียบถึงคนที่ทำเรื่องไม่ดีหรือมีพิรุธ แล้วพยายามปกปิด ปัดความรับผิดชอบ หรือกลบเกลื่อนความจริงไม่ให้ใครจับได้ คล้ายกับเต่าที่พยายามกลบร่องรอยของการกระทำของตนเอง โคลงสุภาษิต ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม: “เต่าใหญ่ไข่กลบให้ หายรอยหวังบ่เห็นฟองฝอย เฟื่องเท้าผู้ใหญ่ซ่อนกลคอย ระวังโทษ ตนแฮกลบเกลื่อนโทษค่ำเช้า เพื่อให้หายแผล” ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนเต้นแร้งเต้นกา ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. เต้นแร้งเต้นกา, เต้นแร้งเต้นแฉ่ง เต้นแร้งเต้นกา หมายถึง สำนวน “เต้นแร้งเต้นกา” หมายถึง คนที่แสดงอาการดีอกดีใจหรือสนุกสนานอย่างมากด้วยการกระโดดโลดเต้น แสดงท่าทางรุนแรงเกินพอดี เปรียบเสมือนแร้งหรือกาที่กระพือปีก กระโดดไปมาอย่างไม่เป็นระเบียบ สะท้อนถึงอารมณ์ที่ล้นเกินและแสดงออกอย่างโอเวอร์จนดูไม่เรียบร้อย กล่าวคือ “ผู้ที่แสดงอาการดีอกดีใจหรือสนุกสนานด้วยการกระโดดโลดเต้น” นั่นเอง สำนวนนี้พูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า “เต้นแร้งเต้นแฉ่ง” ที่มาของสำนวน มาจากพฤติกรรมของนกแร้งและนกกา ซึ่งมักส่งเสียงดังและกระโดดโลดเต้นกระโจนไปกระโจจนมาอย่างวุ่นวายโดยเฉพาะเวลาพบอาหารหรือตื่นตกใจ ท่าทางของนกเหล่านี้ดูสุดเหวี่ยง ไร้ระเบียบ และเกินพอดี เมื่อนำมาใช้เป็นสำนวนจึงหมายถึงคนที่แสดงความดีใจหรือสนุกสนานอย่างเกินเหตุ ด้วยท่าทางกระโดดโลดเต้นไม่สำรวม คล้ายพฤติกรรมของแร้งและกาในธรรมชาติ ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนเตี้ยอุ้มค่อม ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. เตี้ยอุ้มค่อม เตี้ยอุ้มค่อม หมายถึง สำนวน “เตี้ยอุ้มค่อม” หมายถึง คนที่ลำบากอยู่แล้ว ยังต้องไปรับภาระหรือช่วยเหลือคนที่ลำบากกว่า หรือไร้ความสามารถมากกว่าอีก เปรียบเสมือนคนตัวเตี้ยที่ต้องไปอุ้มคนค่อม ซึ่งต่างก็ลำบากพอ ๆ กัน แต่กลับต้องมาช่วยเหลือกันเอง ยิ่งทำให้ลำบากเข้าไปใหญ่ กล่าวคือ “คนที่ช่วยเหลือคนที่มีฐานะตํ่าต้อยหรือยากจน ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็มีฐานะตํ่าต้อยหรือยากจนเหมือนกัน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบให้เห็นภาพของ “คนเตี้ย” ซึ่งตัวเองก็มีความลำบากในการพยุงหรืออุ้มใครอยู่แล้ว แต่กลับต้องไปอุ้ม “คนค่อม” ที่มีร่างกายผิดปกติและลำบากไม่แพ้กัน สำนวนนี้จึงสื่อถึงความลำบากซ้อนลำบาก ทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีความพร้อม แต่ต้องพึ่งพากันอย่างฝืนธรรมชาติ สำนวนนี้ถูกใช้เพื่อสะท้อนถึงสถานการณ์ที่คนหนึ่งลำบากอยู่แล้ว แต่ยังต้องไปรับผิดชอบหรือช่วยเหลือคนที่ลำบากไม่แพ้กันหรือมากกว่าอีก เป็นภาพแทนของความไม่สมดุลและภาระที่เกินกำลัง ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนตีวัวกระทบคราด ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตีวัวกระทบคราด ตีวัวกระทบคราด หมายถึง สำนวน “ตีวัวกระทบคราด” หมายถึง การไม่พอใจใครคนหนึ่ง แต่ไม่กล้าต่อว่าโดยตรง จึงแกล้งแสดงความไม่พอใจใส่คนใกล้ตัวหรือสิ่งอื่นแทน เพื่อให้คนที่ไม่ชอบใจรู้ตัวและรู้สึกเสียหน้า เปรียบเสมือนการตีวัวให้เจ็บเพื่อให้คราดที่เกี่ยวกับวัวได้รับผลกระทบไปด้วย สะท้อนถึงการกระทำที่พุ่งเป้าอ้อม ๆ ไปยังผู้ที่ไม่สามารถตำหนิหรือโต้ตรง ๆ ได้ กล่าวคือ “ผู้ที่โกรธคนหนึ่งแต่ทำอะไรเขาไม่ได้ ไพล่ไปรังควานอีกคนหนึ่งที่เกี่ยวข้องและตนสามารถทำได้” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากวิถีชีวิตชาวนาในอดีตที่ใช้วัวเทียมคราดเพื่อไถนา คราดเอาไว้ผูกเป็นคันยาวกับวัว หากเจ้าของไม่พอใจวัวหรือวัวขี้เกียจ ก็จะทำการตีวัวเพื่อกระตุ้นให้วัวทำงาน เมื่อวัวทำงาน วัวก็เลยลากคราดที่ติดตัวและก็พลอยกระทบกับมันไปด้วย กล่าวคือ “ตีวัว วัวก็ลากคราดพลอยกระทบไปกับตัววัวด้วย” นั่นเอง จึงกลายมาเป็นสำนวนที่ใช้เปรียบเปรยการกระทำที่ไม่พอใจใครบางคน แต่ไม่กล้าตำหนิโดยตรง เลยพุ่งเป้าไปยังสิ่งหรือคนใกล้ตัวแทน ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนตีปลาหน้าไซ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตีปลาหน้าไซ ตีปลาหน้าไซ หมายถึง สำนวน “ตีปลาหน้าไซ” หมายถึง การทำให้ผู้อื่นเสียผลประโยชน์ในขณะที่เขากำลังจะได้ หรือกำลังจะสำเร็จ เปรียบเสมือนปลากำลังจะว่ายเข้าไซ (เครื่องมือจับปลาแบบดักทางน้ำ) ซึ่งเจ้าของเตรียมไว้รอจับ แต่กลับมีคนเอาไม้ไปตีปลาหน้าไซ ทำให้ปลาตกใจและหนีไปหมด จึงใช้พูดถึงคนที่ ขัดจังหวะ ทำลายโอกาส หรือทำให้ผู้อื่นเสียผลในวินาทีสุดท้าย โดยเฉพาะในเชิงเสียประโยชน์หรือเสียแผน กล่าวคือ “การพูดหรือกระทำทำให้กิจการของผู้อื่นซึ่งกำลังดำเนินไปด้วยดีกลับเสียไป” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากวิถีชีวิตของชาวบ้านในอดีตที่หาปลาด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า “ไซ” ซึ่งเป็นกับดักปลาที่ตั้งไว้ในลำคลองหรือทางน้ำ ปลาจะว่ายตามกระแสน้ำเข้าไปติดในไซเองโดยไม่รู้ตัว ในจังหวะที่ปลากำลังจะเข้ากับดัก ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ผู้หาปลาหวังผลมากที่สุด แต่ถ้ามีใครเอาไม้ไปตีผิวน้ำบริเวณหน้าไซ ปลาจะตกใจและหันหลังหนีไป ไม่เข้าไซอีก ทำให้เสียโอกาสจับปลาอย่างน่าเสียดาย จึงเกิดเป็นสำนวนนี้ขึ้น เพื่อเปรียบถึงการทำให้คนอื่นเสียผลประโยชน์หรือเสียโอกาสสำคัญในขณะที่กำลังจะได้สิ่งนั้น โดยอาจเกิดจากความประมาท ความอิจฉา หรือเจตนาร้าย สำนวนนี้มักใช้ในเชิงตำหนิ ว่าทำพังในจังหวะสุดท้าย ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนตีตนก่อนไข้ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตีตนก่อนไข้, ตีตนตายก่อนไข้ ตีตนก่อนไข้ หมายถึง สำนวน “ตีตนก่อนไข้” หมายถึง การวิตกกังวลไปก่อนล่วงหน้า ทั้งที่เรื่องนั้นยังไม่เกิด หรือยังไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เปรียบเสมือนยังไม่ทันป่วยก็โวยวายหรือทำเหมือนตัวเองกำลังจะตาย เป็นสำนวนที่ใช้เตือนคนที่ มักจะกลัวเกินเหตุ คิดไปไกลเกินจริง หรือสร้างความวุ่นวายเพราะความกังวลเกินไป กล่าวคือ “ผู้ที่กังวลทุกข์ร้อนหรือหวาดกลัวในเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเปรยถึงคนที่ยังไม่ป่วย แต่กลับแสดงอาการหวาดกลัว หรือโอดครวญราวกับกำลังเจ็บหนัก ทั้งที่ยังไม่มีอาการใด ๆ ให้เห็นจริง คำว่า “ตีตน” ในที่นี้หมายถึง การทำท่าทางหรือแสดงอาการ เช่น ตีโพยตีพาย โอดครวญ หรือแสดงความทุกข์เกินเหตุ ส่วน “ไข้” หมายถึง ความเจ็บป่วย การนำคำทั้งสองมาใช้ร่วมกัน จึงกลายเป็นภาพแทนของคนที่ กลัวไปก่อน คิดไปไกลเกินจริง หรือวิตกเกินควร ทั้งที่ยังไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น สำนวนนี้จึงมักใช้ในเชิงตำหนิหรือเตือนผู้ที่ใจร้อน วิตกจริต หรือกังวลล่วงหน้า โดยไม่รอให้เห็นเหตุการณ์จริง หรือรอให้มีปัญหาขึ้นมาก่อน เช่น คนที่กลัวว่าการประชุมจะล้มเหลว ทั้งที่ยังไม่ได้เริ่ม หรือคนที่รีบคิดว่าใครจะมาทำร้าย ทั้งที่ยังไม่มีวี่แววใด…
-
รู้จักสำนวนตีงูให้หลังหัก ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตีงูให้หลังหัก ตีงูให้หลังหัก หมายถึง สำนวน “ตีงูให้หลังหัก” หมายถึง การจัดการปัญหาอย่างไม่เด็ดขาด ทำให้ปัญหายังไม่จบสิ้น และอาจย้อนกลับมาทำร้ายภายหลัง เปรียบเสมือนการตีงูไม่ให้ตายสนิท แค่หลังหักแต่มันยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งอาจเลื้อยกลับมาฉกเราได้ในภายหลัง เป็นคำเตือนในเชิงว่าหากจะลงมือจัดการอะไร ควรทำให้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นภัยย้อนกลับมา กล่าวคือ “กระทำการสิ่งใดแก่ศัตรูโดยไม่เด็ดขาดจริงจังย่อมจะได้รับผลร้ายในภายหลัง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี ของสุนทรภู่ ตอนที่พระอภัยมณีจับแม่ทัพอุศเรนได้ในการรบ แต่ด้วยความเห็นแก่บุญคุณเก่า จึงไม่สั่งประหารชีวิตอุศเรน นางวาลีจึงเตือนพระอภัยด้วยบทกลอนว่า “ประเวณีตีงูให้หลังหัก มันก็มักทำร้ายเอาภายหลังจระเข้ใหญ่ไปถึงน้ำมีกำลัง แม้เสือขังเข้าถึงดงก็คงร้ายอันแม่ทัพจับได้แล้วไม่ฆ่า ไปข้างหน้าศึกจะใหญ่ขึ้นใจหายต้องตำรับจับให้มั่นคั้นให้ตาย จะทำภายหลังยากลำบากครัน” เปรียบเปรยถึงการจัดการศัตรูหรือปัญหาโดยไม่เด็ดขาด ปล่อยไว้เพียงบาดเจ็บหรือลงโทษไม่สุด ทำให้มีโอกาสย้อนกลับมาสร้างความเสียหายภายหลัง ในกลอนยังอุปมาว่า “จระเข้ใหญ่ไปถึงน้ำมีกำลัง แม้เสือขังเข้าถึงดงก็คงร้าย” หมายถึง ศัตรูหากปล่อยให้รอด จะกลับมาแข็งแกร่งและอันตรายกว่าเดิม จึงควร “จับให้มั่นคั้นให้ตาย” (แต่ปัจจุบันสำนวนนี้หมายถึง จะจับผิดใครต้องมีหลักฐานแน่ชัด) สำนวนนี้จึงใช้ในเชิงเตือนหรือวิพากษ์คนที่จัดการปัญหาไม่ถึงที่สุด จนสุดท้ายอาจเดือดร้อนกลับมาโดยเปรียบเหมือนตีงูแต่ไม่ให้ตาย มันก็อาจเลื้อยกลับมาฉกได้ พฤติกรรมของงู ซึ่งเป็นสัตว์มีพิษและอันตราย หากต้องการจัดการมัน คนสมัยก่อนมักใช้ไม้ตีให้ตายเพื่อความปลอดภัย แต่หากตีเพียงให้หลังหักโดยไม่ตายสนิท งูยังอาจมีชีวิตอยู่ และด้วยสัญชาตญาณของสัตว์…