Tag: สำนวนไทย ต.

  • รู้จักสำนวนตาลยอดด้วน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนตาลยอดด้วน ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตาลยอดด้วน ตาลยอดด้วน หมายถึง สำนวน “ตาลยอดด้วน” หมายถึง คนที่หมดโอกาสก้าวหน้าหรือพัฒนาไปต่อ ไม่มีทางเติบโตหรือสืบทอดสิ่งใดได้อีก เปรียบเสมือนต้นตาลที่ถูกตัดยอด ซึ่งเมื่อตัดแล้วจะไม่สามารถแตกยอดใหม่ได้อีก สำนวนนี้ใช้กล่าวถึง บุคคลที่ไม่มีทางเจริญก้าวหน้าต่อไปในชีวิต หรือผู้ที่ไม่มีบุตรสืบตระกูล และยังใช้หมายถึงพระภิกษุที่ต้องอาบัติปาราชิก ซึ่งไม่อาจกลับมาบวชใหม่ได้อีก กล่าวคือ “คนที่ไม่มีทางเจริญก้าวหน้าต่อไปอีกแล้ว, คนที่ไม่มีบุตรสืบตระกูล” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากลักษณะของต้นตาล ซึ่งเมื่อตัดยอดแล้ว จะไม่สามารถแตกยอดใหม่ได้อีก ทำให้ต้นตาลหยุดการเจริญเติบโตและยืนต้นแห้งตาย เปรียบเสมือน คนที่หมดโอกาสก้าวหน้าต่อไปในชีวิต ถูกตัดหนทาง ไม่สามารถพัฒนาได้อีก สำนวนนี้ยังถูกใช้เปรียบเปรยถึงคนที่ไม่มีบุตรสืบตระกูล เนื่องจากในสังคมไทยโบราณ การไม่มีทายาทถือเป็นการขาดช่วงของวงศ์ตระกูล เปรียบได้กับต้นตาลที่หมดโอกาสแตกหน่อขยายพันธุ์ อีกนัยหนึ่ง สำนวนนี้ใช้กล่าวถึงพระภิกษุที่ต้องอาบัติปาราชิก ซึ่งหมายถึงการต้องโทษร้ายแรงในพระธรรมวินัย จนไม่สามารถกลับมาบวชใหม่ได้อีก เปรียบเสมือนต้นตาลที่ถูกตัดยอด ไม่สามารถเติบโตหรือคืนสภาพเดิมได้อีกต่อไป ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนตาเฟื้องตาสลึง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนตาเฟื้องตาสลึง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตาเฟื้องตาสลึง ตาเฟื้องตาสลึง หมายถึง สำนวน “ตาเฟื้องตาสลึง” หมายถึง การใช้สายตาที่แสดงออกถึงความพึงพอใจ ชอบพอ หรือทอดไมตรี (มักใช้แก่หญิงสาว) เปรียบเสมือนการใช้สายตาแสดงความรู้สึกเป็นนัย ๆ คล้ายกับกระพริบตาถี่ ๆ ทำตาเล็กตาน้อยที่แสดงท่าทีเจ้าชู้ หรือส่งสายตาให้กันเพื่อสื่อถึงความสนใจในเชิงรักใคร่ สำนวนนี้มักใช้กล่าวถึงคนที่มีท่าทีแสดงออกถึงความเจ้าชู้หรือทอดสะพานผ่านสายตา กล่าวคือ “การส่งสายตาที่แสดงอาการว่าชอบพอรักใคร่ เป็นการทอดไมตรีในทางชู้สาว, ตาเล็กตาน้อย ก็ว่า (มักใช้กับหญิงสาว)” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากมาตราเงินไทยโบราณที่ใช้ “เฟื้อง” และ “สลึง” ซึ่งมีค่าต่างกัน โดย 1 เฟื้องมีค่าน้อยกว่าสลึง เปรียบกับการใช้สายตาในเชิงชู้สาว ที่บางครั้งส่งสายตาน้อย ๆ (เฟื้อง) บางครั้งมากขึ้น (สลึง) สำนวนนี้ใช้กล่าวถึงอาการที่หญิงสาวมองหนุ่มอย่างมีนัยยะ คล้ายกับที่เรียกว่าตาเล็กตาน้อย ซึ่งสะท้อนว่าดวงตาสามารถบ่งบอกความรู้สึกได้ แม้ไม่พูดออกมาโดยตรง เช่น เวลามีความรักแต่ไม่กล้าพูด ก็อาจแสดงออกผ่านสายตาที่อ่อนโยนหรือหวานฉ่ำ ดังนั้น “ตาเฟื้องตาสลึง” จึงหมายถึง สายตาที่แสดงออกถึงความชอบพอ ทอดไมตรี หรือแฝงความเจ้าชู้ในเชิงชู้สาว สำนวนนี้มักใช้กับหญิงสาว…

  • รู้จักสำนวนตาบอดสอดเห็น ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนตาบอดสอดเห็น ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ต ตาบอดสอดเห็น ตาบอดสอดเห็น หมายถึง สำนวน “ตาบอดสอดเห็น” หมายถึง คนที่อวดรู้หรือพยายามเข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องที่ตนเองไม่มีความรู้จริง หรือไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ เปรียบเสมือนคนตาบอดที่ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่พยายามสอดรู้สอดเห็นเรื่องของผู้อื่น หรือแสดงความคิดเห็นในสิ่งที่ตนเองไม่เข้าใจ ทำให้เกิดความผิดพลาดหรือความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน กล่าวคือ “ผู้ที่อวดรู้ในเรื่องที่ตนไม่รู้” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเปรยพฤติกรรมของคนที่พยายามเข้าไปยุ่งเกี่ยว หรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ตนเองไม่มีความรู้ความเข้าใจที่แท้จริง เปรียบเสมือนคนตาบอดที่แม้มองไม่เห็น แต่พยายามสอดรู้สอดเห็นเรื่องของผู้อื่นให้ได้ หรือพยายามแสดงความเห็นในสิ่งที่ตนไม่เข้าใจ สำนวนนี้สะท้อนถึงพฤติกรรมของคนที่ชอบอวดรู้ หรือพยายามยุ่งเกี่ยวในเรื่องที่ตนไม่มีความสามารถ ทำให้เกิดความผิดพลาดหรือความเข้าใจผิด ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนตาบอดได้แว่น ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนตาบอดได้แว่น ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตาบอดได้แว่น ตาบอดได้แว่น หมายถึง สำนวน “ตาบอดได้แว่น” หมายถึง การได้รับสิ่งที่ไม่น่าจะช่วยแก้ปัญหาหรือเพิ่มประโยชน์ให้กับสถานการณ์ แต่กลับสร้างปัญหาหรือทำให้ยิ่งแย่ลง เปรียบเสมือนคนที่ตาบอดแล้วได้แว่นมา แต่ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ เพราะแว่นไม่สามารถช่วยให้เขามองเห็นได้ สำนวนนี้มักใช้กล่าวถึงการได้รับสิ่งที่ไม่ตรงกับความต้องการหรือไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ กล่าวคือ “ผู้ที่ได้สิ่งซึ่งไม่เป็นประโยชน์แก่ตน (มักพูดเข้าคู่กับ ตาบอดได้แว่น หัวล้านได้หวี)” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบสถานการณ์ที่ไม่สมเหตุสมผล เช่น คนที่ตาบอดแล้วได้รับแว่นตา ซึ่งไม่สามารถช่วยให้เขามองเห็นได้เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาที่แท้จริงได้ สำนวนนี้จึงหมายถึงการได้รับสิ่งที่ไม่ตรงกับความต้องการหรือไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้จริง เปรียบเหมือนการให้สิ่งที่ไม่เหมาะสมกับคนที่มีปัญหาหรือไม่สามารถใช้มันได้จริงในสถานการณ์นั้น ๆ ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนตาบอดคลำช้าง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนตาบอดคลำช้าง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตาบอดคลำช้าง ตาบอดคลำช้าง หมายถึง สำนวน “ตาบอดคลำช้าง” หมายถึง คนที่มีความรู้หรือเข้าใจเพียงด้านเดียวหรือนัยเดียวเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วเข้าใจหรือสรุปสิ่งนั้นตามมุมมองที่ตัวเองมีโดยไม่พิจารณาภาพรวมทั้งหมด เปรียบเสมือนคนตาบอดที่คลำช้างแต่ไม่สามารถมองเห็นหรือเข้าใจลักษณะทั้งหมดของช้างได้ จากการสัมผัสเพียงบางส่วน เช่น หู ขา หรือหาง ซึ่งอาจทำให้เข้าใจผิดว่าช้างคือแค่สิ่งที่ตนสัมผัส สำนวนนี้จึงใช้พูดถึงการตัดสินหรือเข้าใจบางสิ่งจากข้อมูลหรือประสบการณ์ที่จำกัด โดยไม่พิจารณามุมมองทั้งหมด กล่าวคือ “ผู้ที่รู้อะไรด้านเดียวหรือนัยเดียวแล้วเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากนิทานชาดกในพระพุทธศาสนา ซึ่งถูกใช้สอนแก่เหล่าสาวก ในเมืองสาวัตถีมีสมณพราหมณ์และปริพาชกจำนวนมาก ต่างคนต่างยึดถือความเชื่อของตนว่าถูกต้อง และมักดูถูกความคิดเห็นของฝ่ายอื่น ทำให้ประชาชนเกิดความสับสนว่าจะเชื่อใครดี พระราชาองค์หนึ่งจึงต้องการสอนให้เห็นถึงปัญหาของการยึดติดในมุมมองที่จำกัด จึงสั่งให้ชุมนุมคนตาบอดแต่กำเนิดจากทั่วประเทศ แล้วนำช้างมาให้พวกเขาคลำตามส่วนต่าง ๆ เช่น ศีรษะ งวง งา ขา ลำตัว และหาง จากนั้นจึงถามแต่ละคนว่าช้างมีลักษณะอย่างไร ผลปรากฏว่า แต่ละคนให้คำตอบที่แตกต่างกันไปตามส่วนที่ตนได้สัมผัส นิทานชาดกนี้สอนว่า หากคนเรารู้เพียงด้านเดียวของเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วคิดว่าสิ่งนั้นเป็นทั้งหมด ย่อมเกิดความเข้าใจผิดและอาจสร้างความสับสนให้กับสังคม ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนตะโพกสุดเสียงสังข์ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนตะโพกสุดเสียงสังข์ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตะโพกสุดเสียงสังข์, สะโพกสุดเสียงสังข์ ตะโพกสุดเสียงสังข์ หมายถึง สำนวน “ตะโพกสุดเสียงสังข์” หมายถึง ผู้หญิงที่มีสะโพกผายได้รูป สง่างาม สะดุดตา และเป็นที่กล่าวขวัญถึงในด้านความงาม เปรียบเสมือนเสียงสังข์ที่ดังก้องไปไกล เป็นสัญลักษณ์ของความโดดเด่นและเป็นที่ยอมรับ เช่นเดียวกับหญิงที่มีรูปร่างงดงามจนเป็นที่เลื่องลือ สะท้อนถึงความโดดเด่น เช่นเดียวกับหญิงที่มีสะโพกผาย ซึ่งเป็นลักษณะที่แสดงถึงความสมบูรณ์และสง่างามในคติความงามแบบไทยโบราณ กล่าวคือ “ใช้เรียกตะโพก(สะโพก)หญิงที่ผายออกมาก” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากชาดกเรื่อง “สุสฺโสนฺที” ตามฉบับของลังกา ซึ่งเกี่ยวกับนางกากี โดยชื่อ “สุสฺโสนฺที” อาจเพี้ยนมาจากภาษาบาลี “สุสฺโสณิ” (สุ + โสณิ) ซึ่งแปลว่าสะโพกงาม ส่วนฉบับไทยเรียกว่า “สุสันธี” ซึ่งแปลว่า เอวงาม สำนวนนี้จึงอาจเกิดจากการเพี้ยนของ “สุสฺโสนฺที” และถูกใช้กล่าวถึงหญิงที่มีสะโพกงาม สง่างามจนเป็นที่เลื่องลือ เปรียบเหมือนเสียงสังข์ที่ดังไปไกล ดุจดังที่นางสีดาในรามายณะ ได้รับคำชมว่าเป็นผู้มี “สะโพกสุดเสียงสังข์” ซึ่งเป็นการเปรียบเปรยตามคติพราหมณ์ที่เชื่อว่าเสียงสังข์เป็นเสียงศักดิ์สิทธิ์ที่ดังไปถึงสวรรค์ สำนวนนี้จึงใช้กล่าวถึงหญิงที่มีสะโพกผายได้รูป รูปร่างงามสง่า สะดุดตา และเป็นที่กล่าวขวัญถึงในด้านความงาม ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนต้นร้ายปลายดี ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนต้นร้ายปลายดี ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ต้นร้ายปลายดี ต้นร้ายปลายดี หมายถึง สำนวน “ต้นร้ายปลายดี“ หมายถึง ผู้ที่ตอนแรกประพฤติตัวไม่ดี แต่ภายหลังกลับสำนึกตัวและปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น หรือสิ่งที่เริ่มต้นไม่ดี มีปัญหาแต่สุดท้ายกลับจบลงด้วยดี เปรียบเสมือนต้นไม้ที่ตอนแรกอาจดูไม่แข็งแรงหรือเติบโตไม่ดี แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับแข็งแรงและออกผลดี สำนวนนี้มักใช้กล่าวถึง คนที่เคยประพฤติผิด แต่กลับใจมาทำดี หรือสถานการณ์ที่เริ่มต้นลำบากแต่จบลงอย่างสวยงาม กล่าวคือ “ผู้ที่ตอนแรกประพฤติตัวไม่ดี แต่ภายหลังกลับสำนึกตัวได้แล้วประพฤติดีตลอดไป” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากพุทธประวัติของพระองคุลิมาล ซึ่งในอดีตเคยเป็นโจรที่ฆ่าคนจำนวนมากตามคำล่อลวงของอาจารย์ แต่ภายหลังได้พบพระพุทธเจ้าและกลับใจ บวชเป็นพระภิกษุจนบรรลุพระอรหันต์ ในทางพุทธศาสนาและคติไทยเปรียบได้กับคนที่ตอนแรกอาจประพฤติตัวไม่ดี มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม หรือใช้ชีวิตผิดทาง แต่ภายหลังกลับสำนึกได้ ปรับปรุงตัว และดำเนินชีวิตในทางที่ดีขึ้น สำนวนนี้จึงเปรียบถึงบุคคลที่ในช่วงแรกอาจประพฤติตัวไม่ดี ใช้ชีวิตผิดพลาด แต่ภายหลังสามารถกลับตัวและดำเนินชีวิตในทางที่ดีจนได้รับการยอมรับ เหมือนกับพระองคุลิมาลที่แม้เคยทำบาปหนัก แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา ที่มาของสำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนต้นวายปลายดก ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนต้นวายปลายดก ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ต้นวายปลายดก ต้นวายปลายดก หมายถึง สำนวน “ต้นวายปลายดก” หมายถึง สิ่งที่เริ่มต้นไม่ดี ขาดความเจริญรุ่งเรือง หรือดูเหมือนจะล้มเหลว แต่กลับมาดีหรือประสบความสำเร็จในภายหลัง เปรียบเสมือนต้นไม้ที่ตอนแรกเหมือนจะแห้งตาย (ต้นวาย) แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับออกผลดกในช่วงท้าย (ปลายดก) สำนวนนี้มักใช้พูดถึงบุคคลหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เริ่มต้นไม่ดี แต่กลับเจริญก้าวหน้าหรือประสบความสำเร็จในภายหลัง กล่าวคือ “ตอนเริ่มต้นไม่ดี ไปดีเอาตอนหลัง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากลักษณะการเติบโตของต้นไผ่และต้นไม้อื่น ๆ ที่ในช่วงแรกไม่ค่อยออกผลหรือดูเหมือนจะไม่เติบโตดี แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับให้ผลดกในช่วงปลาย จากแนวคิดนี้ จึงเกิดเป็นสำนวนนี้เพื่อเปรียบเปรยถึงสิ่งที่เริ่มต้นไม่ดี ไม่เจริญรุ่งเรือง หรือดูเหมือนล้มเหลว แต่กลับประสบความสำเร็จหรือมีความอุดมสมบูรณ์ในช่วงท้ายของชีวิต คล้ายกับต้นไม้ที่ในวัยหนุ่มสาวไม่ค่อยมีผล แต่เมื่อแก่ตัวกลับให้ผลดกและมีค่ามากขึ้น ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนตัวจักรใหญ่ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนตัวจักรใหญ่ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตัวจักรใหญ่ ตัวจักรใหญ่ หมายถึง สำนวน “ตัวจักรใหญ่” หมายถึง บุคคลสำคัญที่เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนองค์กร หน่วยงาน หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เปรียบเสมือนฟันเฟืองหลักที่ทำให้ระบบดำเนินไปได้ เปรียบเสมือน “จักร” ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการทำงาน หากไม่มีตัวจักรใหญ่ เครื่องจักรหรือระบบก็จะไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำนวนนี้มักใช้กล่าวถึงผู้นำ ผู้บริหาร หรือบุคคลสำคัญที่มีบทบาทหลักในการทำให้สิ่งต่าง ๆ เดินหน้าไปได้ กล่าวคือ “บุคคลซึ่งเป็นสมอง หรือเป็นผู้นำในการดำเนินงาน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากตัวจักรใหญ่เป็นกลไกสำคัญที่สุดในระบบเครื่องจักร ทำหน้าที่เป็นต้นกำเนิดการทำงานของตัวจักรอื่น ๆ หาก ตัวจักรใหญ่เริ่มทำงาน ตัวจักรตัวอื่น ๆ ก็จะเคลื่อนที่ไปด้วย แต่ถ้าตัวจักรใหญ่หยุดทำงาน ระบบทั้งหมดก็จะหยุดตาม สำนวนนี้จึงใช้เปรียบเปรยถึงบุคคลสำคัญที่เป็นศูนย์กลางของการขับเคลื่อนองค์กร หรือระบบงาน หากบุคคลนี้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรก็จะดำเนินไปได้ดี แต่หากขาดบุคคลนี้ ระบบทั้งหมดอาจหยุดชะงัก ตัวอย่างงการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนตัดช่องน้อยแต่พอตัว ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนตัดช่องน้อยแต่พอตัว ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตัดช่องน้อยแต่พอตัว ตัดช่องน้อยแต่พอตัว หมายถึง สำนวน “ตัดช่องน้อยแต่พอตัว” หมายถึง การหาทางเอาตัวรอดโดยไม่คิดถึงผู้อื่น หรือการหลีกเลี่ยงปัญหาด้วยการหนีจากสถานการณ์ที่เลวร้ายไปเพียงลำพัง, รีบตายไปก่อนทิ้งคนอื่นให้เผชิญชะตะกรรมไว้ข้างหลัง เปรียบเสมือนการหาทางออกจากสถานการณ์คับขันหรืออันตราย โดยคำนึงถึงตนเองเป็นหลัก แม้จะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนก็ตาม สำนวนนี้มักใช้ในกรณี การหลบหนี การตัดขาด หรือแม้แต่การฆ่าตัวตายเพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์ กล่าวคือ “การเอาตัวรอดแต่ผู้เดียว, ด่วนตายไปทำให้คนข้างหลังลำบาก” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจาก คติความเชื่อทางพุทธศาสนาและวรรณคดีไทย ที่มองว่าการฆ่าตัวตายเป็นการตัดหนทางของตนเองเพื่อหลีกหนีจากปัญหาโดยไม่คำนึงถึงคนที่อยู่ข้างหลัง ในคติพุทธศาสนาการฆ่าตัวตายถือเป็นบาป เพราะเป็นการตัดโอกาสแห่งการแก้ไขกรรมของตนเอง และทิ้งภาระให้กับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ พุทธศาสนาสอนว่าคนเราต้องเผชิญกับกรรมที่ทำไว้ และหาทางแก้ไขด้วยความอดทนและสติปัญญา ไม่ใช่การหลีกหนีปัญหาด้วยความตาย และหนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือวรรณคดีไทยเรื่อง “อิเหนา” ตอนที่ นางบุษบาถูกบังคับให้แต่งงานกับจรกา นางจึงคิดฆ่าตัวตายโดยกล่าวว่า “ขอตัดช่องน้อยแต่พอตัว” เพื่อหนีจากชะตากรรมที่ตนไม่ต้องการ คำว่า “ช่องน้อย” เปรียบเสมือน ทางออกเล็ก ๆ หรือช่องทางสุดท้ายที่เลือกเดิน ส่วน “พอตัว” หมายถึง การเลือกทางรอดเพื่อตัวเองเพียงผู้เดียว โดยไม่คิดถึงผู้อื่น สำนวนนี้จึงใช้กล่าวถึงผู้ที่เลือกจบชีวิตเพื่อหลีกหนีปัญหา แต่กลับทำให้คนรอบข้างต้องลำบากและเผชิญกับผลกระทบที่ตามมา เปรียบเหมือนคนที่หนีออกจากเรือที่กำลังจมโดยไม่สนใจว่าจะมีใครเหลืออยู่เบื้องหลัง ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนตัดหางปล่อยวัด ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนตัดหางปล่อยวัด ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตัดหางปล่อยวัด ตัดหางปล่อยวัด หมายถึง สำนวน “ตัดหางปล่อยวัด” หมายถึง การตัดขาดความสัมพันธ์ ไม่เหลียวแล หรือปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม โดยไม่รับผิดชอบอีกต่อไป เปรียบเสมือนไก่ที่ถูกตัดหางเพื่อใช้ในพิธีสะเดาะเคราะห์ แล้วนำไปปล่อยที่วัด ไม่ให้กลับมาสร้างอัปมงคลแก่ผู้เลี้ยงอีก สะท้อนถึงการละทิ้ง ไม่สนใจ หรือไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เคยผูกพันอีกต่อไป กล่าวคือ “การตัดขาดความสัมพันธ์ไม่ขอไม่เกี่ยวข้อง และไม่เอาเป็นธุระอีกต่อไป” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากในสมัยโบราณมีความเชื่อเกี่ยวกับการสะเดาะเคราะห์โดยการตัดหางไก่แล้วนำไปปล่อยทิ้ง เพื่อขจัดเสนียดจัญไรออกจากบ้านหรือจากตัวผู้เลี้ยง ซึ่งมีหลักฐานปรากฏในกฎมนเทียรบาล ว่าเมื่อเกิดเหตุอัปมงคล เช่น การทะเลาะวิวาทหรือทำร้ายกันจนเลือดตกในพระราชวัง ต้องทำพิธีสะเดาะเคราะห์โดยนำไก่ไปปล่อยนอกเมือง เพื่อให้พาเคราะห์ร้ายออกไป ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 มีประกาศเกี่ยวกับการนำไก่ไปปล่อยที่วัดเพื่อสะเดาะเคราะห์ ซึ่งคาดว่า ไก่ที่ถูกนำไปปล่อยจะถูกตัดหางเพื่อเป็นเครื่องหมายว่าเป็นไก่ที่ใช้ในพิธีสะเดาะเคราะห์ วัดถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถขจัดอัปมงคลและเคราะห์ร้ายได้ จากความเชื่อนี้จึงเกิดเป็นสำนวนนี้ที่สื่อถึงการตัดขาดความสัมพันธ์ ไม่เหลียวแลหรือทอดทิ้งให้เผชิญชะตากรรมตามลำพัง เปรียบเหมือนการนำไก่ที่ถูกตัดหางไปปล่อยที่วัด เพื่อไม่ให้กลับมานำโชคร้ายหรือสิ่งไม่ดีติดตัวกลับมาอีก ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนตกใต้เถรเทวทัต ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนตกใต้เถรเทวทัต ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตกใต้เถรเทวทัต ตกใต้เถรเทวทัต หมายถึง สำนวน “ตกใต้เถรเทวทัต” หมายถึง ผู้ที่กระทำบาปหนักจนต้องรับผลกรรมอย่างร้ายแรง ไม่อาจหลีกหนีได้ เปรียบเสมือนเทวทัตที่ก่อกรรมชั่วร้ายจนถูกแผ่นดินสูบและตกลงสู่มหาอเวจีนรก ขุมนรกที่ลึกที่สุดและเต็มไปด้วยการลงทัณฑ์อันสาหัสและหนักที่สุดตามความเชื่อในพุทธศาสนา กล่าวคือ “ผู้ที่ตกในนรกขุมตํ่าและลึกที่สุดคือมหาอเวจีนรก” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากเรื่องราวของพระเทวทัตในพุทธศาสนา ซึ่งเป็นพระภิกษุที่คิดร้ายต่อพระพุทธเจ้า ก่อกรรมหนักด้วยการวางแผนปลงพระชนม์และทำให้สงฆ์แตกแยก เมื่อสิ้นชีวิตถูกแผ่นดินสูบและตกลงสู่ “มหาอเวจีนรก” ซึ่งเป็นขุมนรกที่ลึกที่สุดและเต็มไปด้วยการลงทัณฑ์ที่ไม่มีวันสิ้นสุด มหาอเวจีนรกเป็นขุมนรกที่ลึกที่สุด ผู้ที่ตกลงไปต้องรับกรรมโดยไม่มีช่วงพัก ทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่สามารถเกิดใหม่ในภพภูมิที่สูงขึ้นได้จนกว่าจะสิ้นกรรม สำนวนนี้จึงใช้เปรียบเปรยถึงผู้ที่กระทำบาปหนักหนา ร้ายแรงจนต้องรับผลกรรมอย่างสาหัส ดุจดังตกลงไปในนรกขุมที่ลึกที่สุด สำนวนนี้จึงสื่อถึงการตกลงไปสู่สถานะที่เลวร้ายที่สุด ต้องรับผลกรรมหนักจนไม่มีทางหลีกเลี่ยง ดุจเดียวกับพระเทวทัตที่ต้องรับโทษในนรกขุมลึกตลอดกาล ตัวอย่างการใช้สำนวน