Tag: สำนวนไทย ต.
-
รู้จักสำนวนตีงูให้กากิน ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตีงูให้กากิน ตีงูให้กากิน หมายถึง สำนวน “ตีงูให้กากิน” หมายถึง การออกแรง ลงมือทำ หรือช่วยเหลือในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่สุดท้ายคนอื่นกลับเป็นฝ่ายได้ประโยชน์หรือคว้าเครดิตไป ทั้งที่ตนเองเป็นผู้ลงแรงแท้ ๆ เปรียบเสมือนเราตีงูจนตาย แต่กลับไม่ทันได้ใช้ประโยชน์จากมัน เพราะมีอีกฝ่ายหนึ่ง เช่นกามาคาบเอาไปกินหน้าตาเฉย สำนวนนี้มักใช้ในเชิงน้อยใจ เสียดสี หรือประชดการที่ทำดีแทนคนอื่น แต่กลับไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ กล่าวคือ “การลงแรงทำสิ่งที่ไม่เป็นคุณแก่ตน แล้วผลประโยชน์ยังกลับไปได้แก่ผู้อื่น” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากจากการเปรียบเทียบในวิถีชีวิตของคนไทยสมัยก่อน ที่งูเป็นสัตว์อันตราย มักจะถูกตีเพื่อป้องกันภัยหรือใช้ประโยชน์ เช่น นำหนังหรือน้ำมันไปใช้ประโยชน์ต่าง ๆ แต่หากตีงูจนตายแล้วกลับไม่ทันได้ใช้ประโยชน์จากงูตัวนั้นปล่อยให้กา (ที่ไม่ได้มีส่วนช่วยใด ๆ) มาคาบไปกินแทน ก็เท่ากับว่า เราลงแรงแต่คนอื่นได้ประโยชน์ไป จึงกลายมาเป็นสำนวนใช้เปรียบเปรยว่า การที่เราทำงานหรือช่วยเหลืออะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายมีคนอื่นมาได้หน้า ได้ผลประโยชน์ หรือได้รับเครดิตไปแทน ทั้งที่ไม่ได้ลงแรงเหมือนเรา มักใช้ในเชิงตำหนิ เสียดสี หรือน้อยใจในความไม่ยุติธรรม ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนติเรือทั้งโกลน ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ติเรือทั้งโกลน ติเรือทั้งโกลน หมายถึง สำนวน “ติเรือทั้งโกลน” หมายถึง การวิจารณ์หรือตำหนิสิ่งที่ยังทำไม่เสร็จ หรือยังไม่รู้ข้อเท็จจริงทั้งหมด เป็นการรีบด่วนตัดสินก่อนเวลาอันควร โดยไม่ได้พิจารณาให้รอบด้าน เปรียบเสมือนการไปติเรือที่ยังอยู่ในขั้นตอนการสร้างหรือยังไม่ได้ทาสีจนเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งยังไม่อาจบอกได้ว่างามหรือไม่ดีอย่างไร การติติงในจังหวะนั้นจึงถือเป็นการดูถูกหรือวิจารณ์อย่างไม่ยุติธรรมต่อผลงานที่ยังไม่เสร็จสิ้น กล่าวคือ “การติสิ่งที่ยังทำไม่เสร็จหรือยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร” นั่นเอง สำนวนนี้บางทีก็ใช้ว่า “ติเรือทั้งโกลน ติโขนไม่ได้ทรงเครื่อง” ที่มาของสำนวน มาจากการต่อเรือในสมัยโบราณ โดยช่างไม้จะเริ่มจากการนำไม้ซุงทั้งต้นมาเลื่อยเฉือนปีกไม้ออกทั้ง 4 ด้าน แล้วเจียนหัวเจียนท้ายให้เป็นทรงเรืออย่างคร่าว ๆ ซึ่งในขั้นตอนนี้ยังไม่ได้ขุดให้เป็นโพรง หรือยังไม่ได้ตกแต่งรายละเอียดให้เรียบร้อย สภาพของเรือในระยะนี้เรียกว่า “โกลน” หรือเรือโกลน เรือโกลนยังไม่สมบูรณ์ ยังไม่สวยงาม และยังไม่สามารถใช้งานได้จริง หากใครมาเห็นตอนนี้แล้วรีบวิจารณ์ว่าเรือไม่สวย ใช้ไม่ได้ ก็เท่ากับตัดสินก่อนเวลา ทั้งที่ยังไม่เห็นผลงานเสร็จสมบูรณ์ จึงเกิดสำนวนนี้ขึ้นเพื่อเปรียบเปรยถึงคนที่รีบวิจารณ์ ตำหนิ หรือดูถูกสิ่งที่ยังไม่เสร็จ ยังไม่เห็นผลลัพธ์สุดท้าย หรือยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร มักใช้ในเชิงตำหนิคนที่ ใจร้อน ด่วนตัดสิน หรือมีอคติโดยไม่รอให้เห็นความจริงหรือผลงานเต็มรูปแบบ ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนตายฝังยังเลี้ยง ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตายฝังยังเลี้ยง ตายฝังยังเลี้ยง หมายถึง สำนวน “ตายฝังยังเลี้ยง” หมายถึง การเลี้ยงดูแบบตามยถากรรม ตามมีตามเกิด ไม่ได้ใส่ใจดูแลเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ทอดทิ้ง ปล่อยให้มีชีวิตอยู่ไปตามธรรมชาติ มีเท่าไรก็ให้เท่านั้น ตามบุญตามกรรม ไม่ได้บังคับหรือฝืนใจใด ๆ เปรียบเสมือนเลี้ยงไว้เหมือนสิ่งหนึ่งที่ยังมีชีวิต แต่ไม่คาดหวัง ไม่ทะนุถนอม ไม่ดูแลเป็นพิเศษ เหมือนคนที่ตายแล้วแต่ยังถูกฝังเลี้ยงไว้อยู่แบบเฉย ๆ สะท้อนการดำรงอยู่แบบพึ่งพาตนเองและบุญกรรมที่มีอยู่เท่านั้นเอง กล่าวคือ “การเลี้ยงดูตามบุญตามกรรม” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากวิถีชีวิตและความเชื่อของคนไทยโบราณที่ดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายเป็นธรรมชาติ หากสัตว์หรือคนที่อยู่ร่วมกันตายก็เอาไปฝัง แต่ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็เลี้ยงกันต่อไปตามมีตามเกิด การกินอยู่ก็เรียบง่าย ไม่มีพิธีรีตอง การเลี้ยงดูก็ไม่หวังผล ไม่บังคับ ให้เป็นไปตามบุญตามกรรม สะท้อนแนวคิดที่ว่า ถ้าอยู่ก็เลี้ยง ถ้าตายก็ฝัง ไม่มีการยึดติดหรือคาดหวัง เป็นการดูแลที่ ไม่ทอดทิ้งแต่ก็ไม่ประคบประหงม เลี้ยงไปตามยถากรรม มีเท่าไรก็ให้เท่านั้น ปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปตามธรรมชาติ นี่จึงเป็นที่มาของสำนวนว่า “ตายฝังยังเลี้ยง” ใช้เปรียบถึงการเลี้ยงดูหรือดูแลใครบางคนแบบเฉย ๆ ตามสภาพ โดยไม่ใส่ใจเป็นพิเศษ ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนตายประชดป่าช้า ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตายประชดป่าช้า ตายประชดป่าช้า หมายถึง สำนวน “ตายประชดป่าช้า” หมายถึง การกระทำหรือคำพูดที่แสดงออกอย่างประชดประชัน หรือแดกดันผู้อื่น โดยหวังให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกผิดหรือสะเทือนใจ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นตัวเองที่เสียหายหรือเดือดร้อนจากสิ่งที่ทำลงไป เปรียบเสมือนคนที่แกล้งตายเพื่อประชดคนอื่น โดยลืมไปว่าป่าช้าคือที่เผาศพจริง ๆ สุดท้ายจึงกลายเป็นเรื่องเสียหายต่อตัวเองมากกว่าคนอื่น สำนวนนี้จึงใช้ในเชิงเสียดสีถึงผู้ที่ประชดประชันอย่างขาดสติ จนสิ่งที่ทำกลับมาทำร้ายตนเองมากกว่าคนที่ต้องการประชด กล่าวคือ “การแกล้งทำ หรือพูดประชดคนอื่น แต่สุดท้ายต้องเป็นฝ่ายเสียหายจากการกระทำ หรือคำพูดนั้นเอง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเปรยโดยใช้ “ป่าช้า” ซึ่งเป็นสถานที่เผาศพของคนตาย กับการกระทำของคนที่ ตั้งใจทำอะไรบางอย่างเพื่อประชดประชัน แสดงความน้อยใจ หรือเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่น เช่น การพูดว่าจะ “ตายให้ดู” เพื่อให้คนรอบข้างสะเทือนใจ แต่เมื่อเปรียบกับป่าช้าแล้ว หากคนเราตายไปจริง ๆ ก็ต้องถูกนำไปฝังหรือเผาที่ป่าช้า ซึ่งไม่มีใครสะเทือนใจนานนัก และสุดท้ายผู้ที่เสียหายที่สุดก็คือตัวเอง สำนวนนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อสื่อถึงพฤติกรรมประชดประชันที่หวังผลกระทบต่อผู้อื่น แต่กลับลงเอยด้วยผลร้ายต่อตัวเองแทน เป็นการเตือนเชิงเสียดสีว่าการประชดโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง อาจย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัว ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนตาลยอดด้วน ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตาลยอดด้วน ตาลยอดด้วน หมายถึง สำนวน “ตาลยอดด้วน” หมายถึง คนที่หมดโอกาสก้าวหน้าหรือพัฒนาไปต่อ ไม่มีทางเติบโตหรือสืบทอดสิ่งใดได้อีก เปรียบเสมือนต้นตาลที่ถูกตัดยอด ซึ่งเมื่อตัดแล้วจะไม่สามารถแตกยอดใหม่ได้อีก สำนวนนี้ใช้กล่าวถึง บุคคลที่ไม่มีทางเจริญก้าวหน้าต่อไปในชีวิต หรือผู้ที่ไม่มีบุตรสืบตระกูล และยังใช้หมายถึงพระภิกษุที่ต้องอาบัติปาราชิก ซึ่งไม่อาจกลับมาบวชใหม่ได้อีก กล่าวคือ “คนที่ไม่มีทางเจริญก้าวหน้าต่อไปอีกแล้ว, คนที่ไม่มีบุตรสืบตระกูล” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากลักษณะของต้นตาล ซึ่งเมื่อตัดยอดแล้ว จะไม่สามารถแตกยอดใหม่ได้อีก ทำให้ต้นตาลหยุดการเจริญเติบโตและยืนต้นแห้งตาย เปรียบเสมือน คนที่หมดโอกาสก้าวหน้าต่อไปในชีวิต ถูกตัดหนทาง ไม่สามารถพัฒนาได้อีก สำนวนนี้ยังถูกใช้เปรียบเปรยถึงคนที่ไม่มีบุตรสืบตระกูล เนื่องจากในสังคมไทยโบราณ การไม่มีทายาทถือเป็นการขาดช่วงของวงศ์ตระกูล เปรียบได้กับต้นตาลที่หมดโอกาสแตกหน่อขยายพันธุ์ อีกนัยหนึ่ง สำนวนนี้ใช้กล่าวถึงพระภิกษุที่ต้องอาบัติปาราชิก ซึ่งหมายถึงการต้องโทษร้ายแรงในพระธรรมวินัย จนไม่สามารถกลับมาบวชใหม่ได้อีก เปรียบเสมือนต้นตาลที่ถูกตัดยอด ไม่สามารถเติบโตหรือคืนสภาพเดิมได้อีกต่อไป ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนตาเฟื้องตาสลึง ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตาเฟื้องตาสลึง ตาเฟื้องตาสลึง หมายถึง สำนวน “ตาเฟื้องตาสลึง” หมายถึง การใช้สายตาที่แสดงออกถึงความพึงพอใจ ชอบพอ หรือทอดไมตรี (มักใช้แก่หญิงสาว) เปรียบเสมือนการใช้สายตาแสดงความรู้สึกเป็นนัย ๆ คล้ายกับกระพริบตาถี่ ๆ ทำตาเล็กตาน้อยที่แสดงท่าทีเจ้าชู้ หรือส่งสายตาให้กันเพื่อสื่อถึงความสนใจในเชิงรักใคร่ สำนวนนี้มักใช้กล่าวถึงคนที่มีท่าทีแสดงออกถึงความเจ้าชู้หรือทอดสะพานผ่านสายตา กล่าวคือ “การส่งสายตาที่แสดงอาการว่าชอบพอรักใคร่ เป็นการทอดไมตรีในทางชู้สาว, ตาเล็กตาน้อย ก็ว่า (มักใช้กับหญิงสาว)” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากมาตราเงินไทยโบราณที่ใช้ “เฟื้อง” และ “สลึง” ซึ่งมีค่าต่างกัน โดย 1 เฟื้องมีค่าน้อยกว่าสลึง เปรียบกับการใช้สายตาในเชิงชู้สาว ที่บางครั้งส่งสายตาน้อย ๆ (เฟื้อง) บางครั้งมากขึ้น (สลึง) สำนวนนี้ใช้กล่าวถึงอาการที่หญิงสาวมองหนุ่มอย่างมีนัยยะ คล้ายกับที่เรียกว่าตาเล็กตาน้อย ซึ่งสะท้อนว่าดวงตาสามารถบ่งบอกความรู้สึกได้ แม้ไม่พูดออกมาโดยตรง เช่น เวลามีความรักแต่ไม่กล้าพูด ก็อาจแสดงออกผ่านสายตาที่อ่อนโยนหรือหวานฉ่ำ ดังนั้น “ตาเฟื้องตาสลึง” จึงหมายถึง สายตาที่แสดงออกถึงความชอบพอ ทอดไมตรี หรือแฝงความเจ้าชู้ในเชิงชู้สาว สำนวนนี้มักใช้กับหญิงสาว…
-
รู้จักสำนวนตาบอดสอดเห็น ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต ตาบอดสอดเห็น ตาบอดสอดเห็น หมายถึง สำนวน “ตาบอดสอดเห็น” หมายถึง คนที่อวดรู้หรือพยายามเข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องที่ตนเองไม่มีความรู้จริง หรือไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ เปรียบเสมือนคนตาบอดที่ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่พยายามสอดรู้สอดเห็นเรื่องของผู้อื่น หรือแสดงความคิดเห็นในสิ่งที่ตนเองไม่เข้าใจ ทำให้เกิดความผิดพลาดหรือความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน กล่าวคือ “ผู้ที่อวดรู้ในเรื่องที่ตนไม่รู้” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเปรยพฤติกรรมของคนที่พยายามเข้าไปยุ่งเกี่ยว หรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ตนเองไม่มีความรู้ความเข้าใจที่แท้จริง เปรียบเสมือนคนตาบอดที่แม้มองไม่เห็น แต่พยายามสอดรู้สอดเห็นเรื่องของผู้อื่นให้ได้ หรือพยายามแสดงความเห็นในสิ่งที่ตนไม่เข้าใจ สำนวนนี้สะท้อนถึงพฤติกรรมของคนที่ชอบอวดรู้ หรือพยายามยุ่งเกี่ยวในเรื่องที่ตนไม่มีความสามารถ ทำให้เกิดความผิดพลาดหรือความเข้าใจผิด ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนตาบอดได้แว่น ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตาบอดได้แว่น ตาบอดได้แว่น หมายถึง สำนวน “ตาบอดได้แว่น” หมายถึง การได้รับสิ่งที่ไม่น่าจะช่วยแก้ปัญหาหรือเพิ่มประโยชน์ให้กับสถานการณ์ แต่กลับสร้างปัญหาหรือทำให้ยิ่งแย่ลง เปรียบเสมือนคนที่ตาบอดแล้วได้แว่นมา แต่ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ เพราะแว่นไม่สามารถช่วยให้เขามองเห็นได้ สำนวนนี้มักใช้กล่าวถึงการได้รับสิ่งที่ไม่ตรงกับความต้องการหรือไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ กล่าวคือ “ผู้ที่ได้สิ่งซึ่งไม่เป็นประโยชน์แก่ตน (มักพูดเข้าคู่กับ ตาบอดได้แว่น หัวล้านได้หวี)” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบสถานการณ์ที่ไม่สมเหตุสมผล เช่น คนที่ตาบอดแล้วได้รับแว่นตา ซึ่งไม่สามารถช่วยให้เขามองเห็นได้เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาที่แท้จริงได้ สำนวนนี้จึงหมายถึงการได้รับสิ่งที่ไม่ตรงกับความต้องการหรือไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้จริง เปรียบเหมือนการให้สิ่งที่ไม่เหมาะสมกับคนที่มีปัญหาหรือไม่สามารถใช้มันได้จริงในสถานการณ์นั้น ๆ ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนตาบอดคลำช้าง ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตาบอดคลำช้าง ตาบอดคลำช้าง หมายถึง สำนวน “ตาบอดคลำช้าง” หมายถึง คนที่มีความรู้หรือเข้าใจเพียงด้านเดียวหรือนัยเดียวเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วเข้าใจหรือสรุปสิ่งนั้นตามมุมมองที่ตัวเองมีโดยไม่พิจารณาภาพรวมทั้งหมด เปรียบเสมือนคนตาบอดที่คลำช้างแต่ไม่สามารถมองเห็นหรือเข้าใจลักษณะทั้งหมดของช้างได้ จากการสัมผัสเพียงบางส่วน เช่น หู ขา หรือหาง ซึ่งอาจทำให้เข้าใจผิดว่าช้างคือแค่สิ่งที่ตนสัมผัส สำนวนนี้จึงใช้พูดถึงการตัดสินหรือเข้าใจบางสิ่งจากข้อมูลหรือประสบการณ์ที่จำกัด โดยไม่พิจารณามุมมองทั้งหมด กล่าวคือ “ผู้ที่รู้อะไรด้านเดียวหรือนัยเดียวแล้วเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากนิทานชาดกในพระพุทธศาสนา ซึ่งถูกใช้สอนแก่เหล่าสาวก ในเมืองสาวัตถีมีสมณพราหมณ์และปริพาชกจำนวนมาก ต่างคนต่างยึดถือความเชื่อของตนว่าถูกต้อง และมักดูถูกความคิดเห็นของฝ่ายอื่น ทำให้ประชาชนเกิดความสับสนว่าจะเชื่อใครดี พระราชาองค์หนึ่งจึงต้องการสอนให้เห็นถึงปัญหาของการยึดติดในมุมมองที่จำกัด จึงสั่งให้ชุมนุมคนตาบอดแต่กำเนิดจากทั่วประเทศ แล้วนำช้างมาให้พวกเขาคลำตามส่วนต่าง ๆ เช่น ศีรษะ งวง งา ขา ลำตัว และหาง จากนั้นจึงถามแต่ละคนว่าช้างมีลักษณะอย่างไร ผลปรากฏว่า แต่ละคนให้คำตอบที่แตกต่างกันไปตามส่วนที่ตนได้สัมผัส นิทานชาดกนี้สอนว่า หากคนเรารู้เพียงด้านเดียวของเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วคิดว่าสิ่งนั้นเป็นทั้งหมด ย่อมเกิดความเข้าใจผิดและอาจสร้างความสับสนให้กับสังคม ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนตะโพกสุดเสียงสังข์ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตะโพกสุดเสียงสังข์, สะโพกสุดเสียงสังข์ ตะโพกสุดเสียงสังข์ หมายถึง สำนวน “ตะโพกสุดเสียงสังข์” หมายถึง ผู้หญิงที่มีสะโพกผายได้รูป สง่างาม สะดุดตา และเป็นที่กล่าวขวัญถึงในด้านความงาม เปรียบเสมือนเสียงสังข์ที่ดังก้องไปไกล เป็นสัญลักษณ์ของความโดดเด่นและเป็นที่ยอมรับ เช่นเดียวกับหญิงที่มีรูปร่างงดงามจนเป็นที่เลื่องลือ สะท้อนถึงความโดดเด่น เช่นเดียวกับหญิงที่มีสะโพกผาย ซึ่งเป็นลักษณะที่แสดงถึงความสมบูรณ์และสง่างามในคติความงามแบบไทยโบราณ กล่าวคือ “ใช้เรียกตะโพก(สะโพก)หญิงที่ผายออกมาก” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากชาดกเรื่อง “สุสฺโสนฺที” ตามฉบับของลังกา ซึ่งเกี่ยวกับนางกากี โดยชื่อ “สุสฺโสนฺที” อาจเพี้ยนมาจากภาษาบาลี “สุสฺโสณิ” (สุ + โสณิ) ซึ่งแปลว่าสะโพกงาม ส่วนฉบับไทยเรียกว่า “สุสันธี” ซึ่งแปลว่า เอวงาม สำนวนนี้จึงอาจเกิดจากการเพี้ยนของ “สุสฺโสนฺที” และถูกใช้กล่าวถึงหญิงที่มีสะโพกงาม สง่างามจนเป็นที่เลื่องลือ เปรียบเหมือนเสียงสังข์ที่ดังไปไกล ดุจดังที่นางสีดาในรามายณะ ได้รับคำชมว่าเป็นผู้มี “สะโพกสุดเสียงสังข์” ซึ่งเป็นการเปรียบเปรยตามคติพราหมณ์ที่เชื่อว่าเสียงสังข์เป็นเสียงศักดิ์สิทธิ์ที่ดังไปถึงสวรรค์ สำนวนนี้จึงใช้กล่าวถึงหญิงที่มีสะโพกผายได้รูป รูปร่างงามสง่า สะดุดตา และเป็นที่กล่าวขวัญถึงในด้านความงาม ตัวอย่างการใช้สำนวน