Tag: สำนวนไทย ต.

  • รู้จักสำนวนต้นร้ายปลายดี ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนต้นร้ายปลายดี ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ต้นร้ายปลายดี ต้นร้ายปลายดี หมายถึง สำนวน “ต้นร้ายปลายดี“ หมายถึง ผู้ที่ตอนแรกประพฤติตัวไม่ดี แต่ภายหลังกลับสำนึกตัวและปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น หรือสิ่งที่เริ่มต้นไม่ดี มีปัญหาแต่สุดท้ายกลับจบลงด้วยดี เปรียบเสมือนต้นไม้ที่ตอนแรกอาจดูไม่แข็งแรงหรือเติบโตไม่ดี แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับแข็งแรงและออกผลดี สำนวนนี้มักใช้กล่าวถึง คนที่เคยประพฤติผิด แต่กลับใจมาทำดี หรือสถานการณ์ที่เริ่มต้นลำบากแต่จบลงอย่างสวยงาม กล่าวคือ “ผู้ที่ตอนแรกประพฤติตัวไม่ดี แต่ภายหลังกลับสำนึกตัวได้แล้วประพฤติดีตลอดไป” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากพุทธประวัติของพระองคุลิมาล ซึ่งในอดีตเคยเป็นโจรที่ฆ่าคนจำนวนมากตามคำล่อลวงของอาจารย์ แต่ภายหลังได้พบพระพุทธเจ้าและกลับใจ บวชเป็นพระภิกษุจนบรรลุพระอรหันต์ ในทางพุทธศาสนาและคติไทยเปรียบได้กับคนที่ตอนแรกอาจประพฤติตัวไม่ดี มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม หรือใช้ชีวิตผิดทาง แต่ภายหลังกลับสำนึกได้ ปรับปรุงตัว และดำเนินชีวิตในทางที่ดีขึ้น สำนวนนี้จึงเปรียบถึงบุคคลที่ในช่วงแรกอาจประพฤติตัวไม่ดี ใช้ชีวิตผิดพลาด แต่ภายหลังสามารถกลับตัวและดำเนินชีวิตในทางที่ดีจนได้รับการยอมรับ เหมือนกับพระองคุลิมาลที่แม้เคยทำบาปหนัก แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา ที่มาของสำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนต้นวายปลายดก ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนต้นวายปลายดก ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ต้นวายปลายดก ต้นวายปลายดก หมายถึง สำนวน “ต้นวายปลายดก” หมายถึง สิ่งที่เริ่มต้นไม่ดี ขาดความเจริญรุ่งเรือง หรือดูเหมือนจะล้มเหลว แต่กลับมาดีหรือประสบความสำเร็จในภายหลัง เปรียบเสมือนต้นไม้ที่ตอนแรกเหมือนจะแห้งตาย (ต้นวาย) แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับออกผลดกในช่วงท้าย (ปลายดก) สำนวนนี้มักใช้พูดถึงบุคคลหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เริ่มต้นไม่ดี แต่กลับเจริญก้าวหน้าหรือประสบความสำเร็จในภายหลัง กล่าวคือ “ตอนเริ่มต้นไม่ดี ไปดีเอาตอนหลัง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากลักษณะการเติบโตของต้นไผ่และต้นไม้อื่น ๆ ที่ในช่วงแรกไม่ค่อยออกผลหรือดูเหมือนจะไม่เติบโตดี แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับให้ผลดกในช่วงปลาย จากแนวคิดนี้ จึงเกิดเป็นสำนวนนี้เพื่อเปรียบเปรยถึงสิ่งที่เริ่มต้นไม่ดี ไม่เจริญรุ่งเรือง หรือดูเหมือนล้มเหลว แต่กลับประสบความสำเร็จหรือมีความอุดมสมบูรณ์ในช่วงท้ายของชีวิต คล้ายกับต้นไม้ที่ในวัยหนุ่มสาวไม่ค่อยมีผล แต่เมื่อแก่ตัวกลับให้ผลดกและมีค่ามากขึ้น ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนตัวจักรใหญ่ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนตัวจักรใหญ่ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตัวจักรใหญ่ ตัวจักรใหญ่ หมายถึง สำนวน “ตัวจักรใหญ่” หมายถึง บุคคลสำคัญที่เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนองค์กร หน่วยงาน หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เปรียบเสมือนฟันเฟืองหลักที่ทำให้ระบบดำเนินไปได้ เปรียบเสมือน “จักร” ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการทำงาน หากไม่มีตัวจักรใหญ่ เครื่องจักรหรือระบบก็จะไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำนวนนี้มักใช้กล่าวถึงผู้นำ ผู้บริหาร หรือบุคคลสำคัญที่มีบทบาทหลักในการทำให้สิ่งต่าง ๆ เดินหน้าไปได้ กล่าวคือ “บุคคลซึ่งเป็นสมอง หรือเป็นผู้นำในการดำเนินงาน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากตัวจักรใหญ่เป็นกลไกสำคัญที่สุดในระบบเครื่องจักร ทำหน้าที่เป็นต้นกำเนิดการทำงานของตัวจักรอื่น ๆ หาก ตัวจักรใหญ่เริ่มทำงาน ตัวจักรตัวอื่น ๆ ก็จะเคลื่อนที่ไปด้วย แต่ถ้าตัวจักรใหญ่หยุดทำงาน ระบบทั้งหมดก็จะหยุดตาม สำนวนนี้จึงใช้เปรียบเปรยถึงบุคคลสำคัญที่เป็นศูนย์กลางของการขับเคลื่อนองค์กร หรือระบบงาน หากบุคคลนี้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรก็จะดำเนินไปได้ดี แต่หากขาดบุคคลนี้ ระบบทั้งหมดอาจหยุดชะงัก ตัวอย่างงการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนตัดช่องน้อยแต่พอตัว ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนตัดช่องน้อยแต่พอตัว ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตัดช่องน้อยแต่พอตัว ตัดช่องน้อยแต่พอตัว หมายถึง สำนวน “ตัดช่องน้อยแต่พอตัว” หมายถึง การหาทางเอาตัวรอดโดยไม่คิดถึงผู้อื่น หรือการหลีกเลี่ยงปัญหาด้วยการหนีจากสถานการณ์ที่เลวร้ายไปเพียงลำพัง, รีบตายไปก่อนทิ้งคนอื่นให้เผชิญชะตะกรรมไว้ข้างหลัง เปรียบเสมือนการหาทางออกจากสถานการณ์คับขันหรืออันตราย โดยคำนึงถึงตนเองเป็นหลัก แม้จะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนก็ตาม สำนวนนี้มักใช้ในกรณี การหลบหนี การตัดขาด หรือแม้แต่การฆ่าตัวตายเพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์ กล่าวคือ “การเอาตัวรอดแต่ผู้เดียว, ด่วนตายไปทำให้คนข้างหลังลำบาก” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจาก คติความเชื่อทางพุทธศาสนาและวรรณคดีไทย ที่มองว่าการฆ่าตัวตายเป็นการตัดหนทางของตนเองเพื่อหลีกหนีจากปัญหาโดยไม่คำนึงถึงคนที่อยู่ข้างหลัง ในคติพุทธศาสนาการฆ่าตัวตายถือเป็นบาป เพราะเป็นการตัดโอกาสแห่งการแก้ไขกรรมของตนเอง และทิ้งภาระให้กับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ พุทธศาสนาสอนว่าคนเราต้องเผชิญกับกรรมที่ทำไว้ และหาทางแก้ไขด้วยความอดทนและสติปัญญา ไม่ใช่การหลีกหนีปัญหาด้วยความตาย และหนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือวรรณคดีไทยเรื่อง “อิเหนา” ตอนที่ นางบุษบาถูกบังคับให้แต่งงานกับจรกา นางจึงคิดฆ่าตัวตายโดยกล่าวว่า “ขอตัดช่องน้อยแต่พอตัว” เพื่อหนีจากชะตากรรมที่ตนไม่ต้องการ คำว่า “ช่องน้อย” เปรียบเสมือน ทางออกเล็ก ๆ หรือช่องทางสุดท้ายที่เลือกเดิน ส่วน “พอตัว” หมายถึง การเลือกทางรอดเพื่อตัวเองเพียงผู้เดียว โดยไม่คิดถึงผู้อื่น สำนวนนี้จึงใช้กล่าวถึงผู้ที่เลือกจบชีวิตเพื่อหลีกหนีปัญหา แต่กลับทำให้คนรอบข้างต้องลำบากและเผชิญกับผลกระทบที่ตามมา เปรียบเหมือนคนที่หนีออกจากเรือที่กำลังจมโดยไม่สนใจว่าจะมีใครเหลืออยู่เบื้องหลัง ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนตัดหางปล่อยวัด ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนตัดหางปล่อยวัด ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตัดหางปล่อยวัด ตัดหางปล่อยวัด หมายถึง สำนวน “ตัดหางปล่อยวัด” หมายถึง การตัดขาดความสัมพันธ์ ไม่เหลียวแล หรือปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม โดยไม่รับผิดชอบอีกต่อไป เปรียบเสมือนไก่ที่ถูกตัดหางเพื่อใช้ในพิธีสะเดาะเคราะห์ แล้วนำไปปล่อยที่วัด ไม่ให้กลับมาสร้างอัปมงคลแก่ผู้เลี้ยงอีก สะท้อนถึงการละทิ้ง ไม่สนใจ หรือไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เคยผูกพันอีกต่อไป กล่าวคือ “การตัดขาดความสัมพันธ์ไม่ขอไม่เกี่ยวข้อง และไม่เอาเป็นธุระอีกต่อไป” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากในสมัยโบราณมีความเชื่อเกี่ยวกับการสะเดาะเคราะห์โดยการตัดหางไก่แล้วนำไปปล่อยทิ้ง เพื่อขจัดเสนียดจัญไรออกจากบ้านหรือจากตัวผู้เลี้ยง ซึ่งมีหลักฐานปรากฏในกฎมนเทียรบาล ว่าเมื่อเกิดเหตุอัปมงคล เช่น การทะเลาะวิวาทหรือทำร้ายกันจนเลือดตกในพระราชวัง ต้องทำพิธีสะเดาะเคราะห์โดยนำไก่ไปปล่อยนอกเมือง เพื่อให้พาเคราะห์ร้ายออกไป ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 มีประกาศเกี่ยวกับการนำไก่ไปปล่อยที่วัดเพื่อสะเดาะเคราะห์ ซึ่งคาดว่า ไก่ที่ถูกนำไปปล่อยจะถูกตัดหางเพื่อเป็นเครื่องหมายว่าเป็นไก่ที่ใช้ในพิธีสะเดาะเคราะห์ วัดถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถขจัดอัปมงคลและเคราะห์ร้ายได้ จากความเชื่อนี้จึงเกิดเป็นสำนวนนี้ที่สื่อถึงการตัดขาดความสัมพันธ์ ไม่เหลียวแลหรือทอดทิ้งให้เผชิญชะตากรรมตามลำพัง เปรียบเหมือนการนำไก่ที่ถูกตัดหางไปปล่อยที่วัด เพื่อไม่ให้กลับมานำโชคร้ายหรือสิ่งไม่ดีติดตัวกลับมาอีก ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนตกใต้เถรเทวทัต ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนตกใต้เถรเทวทัต ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตกใต้เถรเทวทัต ตกใต้เถรเทวทัต หมายถึง สำนวน “ตกใต้เถรเทวทัต” หมายถึง ผู้ที่กระทำบาปหนักจนต้องรับผลกรรมอย่างร้ายแรง ไม่อาจหลีกหนีได้ เปรียบเสมือนเทวทัตที่ก่อกรรมชั่วร้ายจนถูกแผ่นดินสูบและตกลงสู่มหาอเวจีนรก ขุมนรกที่ลึกที่สุดและเต็มไปด้วยการลงทัณฑ์อันสาหัสและหนักที่สุดตามความเชื่อในพุทธศาสนา กล่าวคือ “ผู้ที่ตกในนรกขุมตํ่าและลึกที่สุดคือมหาอเวจีนรก” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากเรื่องราวของพระเทวทัตในพุทธศาสนา ซึ่งเป็นพระภิกษุที่คิดร้ายต่อพระพุทธเจ้า ก่อกรรมหนักด้วยการวางแผนปลงพระชนม์และทำให้สงฆ์แตกแยก เมื่อสิ้นชีวิตถูกแผ่นดินสูบและตกลงสู่ “มหาอเวจีนรก” ซึ่งเป็นขุมนรกที่ลึกที่สุดและเต็มไปด้วยการลงทัณฑ์ที่ไม่มีวันสิ้นสุด มหาอเวจีนรกเป็นขุมนรกที่ลึกที่สุด ผู้ที่ตกลงไปต้องรับกรรมโดยไม่มีช่วงพัก ทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่สามารถเกิดใหม่ในภพภูมิที่สูงขึ้นได้จนกว่าจะสิ้นกรรม สำนวนนี้จึงใช้เปรียบเปรยถึงผู้ที่กระทำบาปหนักหนา ร้ายแรงจนต้องรับผลกรรมอย่างสาหัส ดุจดังตกลงไปในนรกขุมที่ลึกที่สุด สำนวนนี้จึงสื่อถึงการตกลงไปสู่สถานะที่เลวร้ายที่สุด ต้องรับผลกรรมหนักจนไม่มีทางหลีกเลี่ยง ดุจเดียวกับพระเทวทัตที่ต้องรับโทษในนรกขุมลึกตลอดกาล ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนตกนรกทั้งเป็น ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนตกนรกทั้งเป็น ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ต ตกนรกทั้งเป็น ตกนรกทั้งเป็น หมายถึง สำนวน “ตกนรกทั้งเป็น” หมายถึง การตกอยู่ในสภาพที่ทุกข์ทรมานอย่างหนัก เหมือนต้องเผชิญกับนรกในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เปรียบเสมือนคนที่ต้องเผชิญกับความทุกข์ ความลำบาก หรือความเจ็บปวดที่สาหัสจนรู้สึกเหมือนใช้ชีวิตอยู่ในนรก โดยไม่ต้องรอให้ตายไปก่อน มักใช้พูดถึง ผู้ที่ต้องประสบเคราะห์กรรมหนัก ถูกกดขี่ หรืออยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายจนไร้ทางออก กล่าวคือ “ความทรมาน ทุกข์ยาก หรือลำบากแสนสาหัส เหมือนถูกลงทัณฑ์ในนรกทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากความเชื่อทางศาสนาพุทธเกี่ยวกับเรื่องบาป บุญ คุณ โทษ ซึ่งสอนว่า ผู้ที่ทำบาปกรรมหนักจะต้องรับโทษในนรกหลังความตาย โดยเชื่อว่านรกเป็นสถานที่ลงทัณฑ์ของผู้ที่กระทำชั่ว ต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานตามผลกรรมของตน อย่างไรก็ตามในบางกรณีผลของกรรมอาจส่งผลตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ทำให้ผู้ที่ทำบาปต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานอย่างหนัก ทั้งความเจ็บป่วย ความลำบาก หรือความเศร้าโศก จนเปรียบได้ว่า “ต้องชดใช้กรรมเหมือนตกอยู่ในนรกทั้งที่ยังไม่ตาย” สำนวนนี้จึงใช้พูดถึงคนที่ต้องเผชิญกับเคราะห์กรรมหนัก ถูกกดขี่ หรือประสบกับความทุกข์ทรมานทางกายและใจ จนเหมือนต้องรับโทษในนรกตั้งแต่ยังมีชีวิต ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนตลาดหน้าคุก ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนตลาดหน้าคุก ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตลาดหน้าคุก ตลาดหน้าคุก หมายถึง สำนวน “ตลาดหน้าคุก” หมายถึง ตลาดหรือสถานที่ที่ฉวยโอกาสขายสินค้าในราคาสูงกว่าปกติ เพราะผู้ซื้อไม่มีทางเลือก จำเป็นต้องซื้อ แม้จะรู้ว่าราคาถูกโก่งขึ้นมากก็ตาม เปรียบเสมือนตลาดที่ตั้งอยู่ใกล้เรือนจำ ซึ่งญาติของนักโทษที่มาเยี่ยมต้องซื้อของไปฝากคนในคุก แม้ของจะแพงกว่าปกติ แต่ก็ไม่มีตัวเลือกอื่น ทำให้พ่อค้าแม่ค้าสามารถโก่งราคาได้โดยไม่ต้องกังวล กล่าวคือ “ตลาดที่ถือโอกาสขายโก่งราคาแพงกว่าปรกติและผู้ซื้อจำเป็นต้องซื้อ (มักใช้เป็นคำเปรียบเทียบว่า ของแพงเหมือนกับของตลาดหน้าคุก)” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากพฤติกรรมการค้าขายในอดีตบริเวณหน้าเรือนจำ ซึ่งเป็นจุดที่ญาติของนักโทษต้องมาซื้อของเพื่อฝากให้ผู้ต้องขัง ผู้ขายจึงถือโอกาสขึ้นราคาสินค้าแพงกว่าปกติ เพราะรู้ว่าผู้ซื้อไม่มีทางเลือกและจำเป็นต้องซื้อ ในอดีต คุกมักถูกสร้างไว้ห่างไกลจากย่านชุมชน ทำให้มีร้านค้าอยู่น้อย เนื่องจากไม่มีผู้คนมาจับจ่ายซื้อขายมากนัก ราคาสินค้าจึงสูงกว่าปกติ เพราะร้านค้าเหล่านี้ขายให้เฉพาะ นักโทษและญาติที่มาเยี่ยม ซึ่งไม่มีทางเลือกอื่น ร้านค้าหน้าคุกสามารถโก่งราคาได้ เนื่องจากญาติของนักโทษไม่สามารถออกไปซื้อของจากที่อื่นได้ เพราะตลาดอื่นอยู่ไกลจากคุกมาก สถานการณ์นี้ทำให้เกิดการเปรียบเปรยว่า “ตลาดหน้าคุก” เป็นสถานที่ที่ขายสินค้าในราคาสูงเกินจริง เช่น ร้านค้าในสนามบิน ร้านขายของในแหล่งท่องเที่ยว หรือสถานการณ์ที่เกิดภาวะขาดแคลนสินค้า โดยอาศัยความจำเป็นของผู้ซื้อ จนกลายเป็นคำพูดติดปากเมื่อพบว่าร้านค้าใดขายสินค้าแพงเกินควร ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนตลบนกบนเวหา ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนตลบนกบนเวหา ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตลบนกบนเวหา ตลบนกบนเวหา หมายถึง สำนวน “ตลบนกบนเวหา” หมายถึง การพูดจาหลอกลวง พลิกแพลงให้ผู้อื่นหลงเชื่อ เพื่อหาผลประโยชน์ใส่ตัว หรือการแสร้งทำดีตีสนิท แล้วหักหลังในภายหลัง เปรียบเสมือนนักล่าที่ใช้กลอุบายล่อให้นกที่กำลังบินอยู่บนท้องฟ้าตกลงมา โดยที่นกไม่ทันระวังตัว สำนวนนี้มักใช้กับคนที่มีเล่ห์เหลี่ยม ชอบใช้วาจาแสร้งทำเป็นมิตรเพื่อให้ได้ประโยชน์จากอีกฝ่าย ก่อนจะแสดงธาตุแท้และทรยศในที่สุด กล่าวคือ “การแกล้งตีสนิทแล้วหักหลัง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากวรรณกรรมสามก๊ก ซึ่งเล่าถึงเหตุการณ์ที่สุมาอี้ (司马懿) ใช้เล่ห์เหลี่ยมแสร้งทำเป็นภักดีต่อโจโฉและราชวงศ์วุยมาโดยตลอด ทำให้ตระกูลโจวางใจเปรียบเสมือนนกที่บินสูงขึ้นไปตามความไว้วางใจของผู้มีอำนาจ แต่เมื่อสุมาอี้เห็นโอกาสเหมาะ จึงตลบหลังยึดอำนาจจากตระกูลโจ หักหลังโจซอง (曹爽) และกวาดล้างศัตรูทางการเมือง ทำให้ราชวงศ์วุยตกอยู่ภายใต้อำนาจของตระกูลสุมาตั้งแต่นั้นมา เปรียบเสมือนนกที่ถูกล่อให้บินสูงขึ้น ก่อนจะถูกตลบหลังจนร่วงหล่นอย่างหมดหนทาง สำนวนนี้จึงเปรียบเปรยถึงความไว้เนื้อเชื่อใจดุจนกที่บินสูงขึ้นฟ้า ยิ่งนกบินสูงเท่าใด ก็หมายถึงความไว้วางใจที่มีให้มากเท่านั้น แต่เมื่อถูกหักหลัง ก็เหมือน ปีกถูกตัด ขาดที่พึ่ง และร่วงโรยลงมาอย่างหมดหนทาง สำนวนนี้จึงใช้เปรียบเทียบถึง คนที่แสร้งทำดี ตีสนิท พูดจาหว่านล้อม จนอีกฝ่ายเชื่อใจ ก่อนจะหักหลังหรือหาประโยชน์ใส่ตัวในท้ายที่สุด คล้ายกับการหลอกล่อนกให้บินสูงขึ้นไป ก่อนจะ “ตลบหลัง” ทำให้นกร่วงหล่นลงมาโดยไม่มีทางหนีรอดได้ ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนตกเป็นเบี้ยล่าง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนตกเป็นเบี้ยล่าง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ตกเป็นเบี้ยล่าง ตกเป็นเบี้ยล่าง หมายถึง สำนวน “ตกเป็นเบี้ยล่าง” หมายถึง ตกอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบ ต้องยอมอยู่ใต้คำสั่งหรืออำนาจของผู้อื่น โดยไม่สามารถต่อสู้หรือโต้แย้งได้ เปรียบเสมือนเบี้ยในกระดานหมากรุกที่มีอำนาจน้อย เคลื่อนที่ได้จำกัด และมักถูกควบคุมโดยฝ่ายที่เหนือกว่า สำนวนนี้ใช้พูดถึง คนหรือกลุ่มที่ต้องยอมจำนนต่อฝ่ายที่มีอำนาจมากกว่า หรืออยู่ในฐานะที่ไม่สามารถต่อรองได้ กล่าวคือ “การเปลี่ยนฐานะกลายเป็นผู้เสียเปรียบ, กลายเป็นรองเขา” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากเกมหมากรุกไทยและหมากรุกสากล ซึ่ง “เบี้ย” เป็นตัวเดินที่มีอำนาจน้อยที่สุด เคลื่อนที่จำกัด และมักถูกควบคุมหรือเสียเปรียบฝ่ายตรงข้ามอยู่เสมอ แต่ในสำนวนนี้มาจากหมากรุกไทย โดยในการเล่นหมากรุก ตัวเบี้ยตามปกติจะวางคว่ำ และสามารถเดินหน้าได้เพียงครั้งละหนึ่งตาเท่านั้น แต่เมื่อเดินเข้าสู่ฝั่งคู่ต่อสู้ ซึ่งเรียกว่าด้านบนของกระดานผู้เล่นจะหงายตัวเบี้ย หรือที่เรียกว่า “เบี้ยบน” หรือ “เบี้ยหงาย” ทำให้สามารถเดินหน้าหรือถอยหลังในแนวทแยงได้ มีสถานะเทียบเท่ากับ “เม็ด” ซึ่งเป็นหมากที่มีความได้เปรียบมากขึ้น ในทางกลับกัน “เบี้ยล่าง” หมายถึง เบี้ยที่ยังคงคว่ำอยู่และสามารถเดินได้เพียงทีละหนึ่งตาเท่านั้น ทำให้ตกอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบ เพราะยังไม่มีอิสระในการเคลื่อนไหวมากพอ สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเปรยถึงผู้ที่อยู่ในสถานะด้อยกว่า ต้องจำยอมและถูกควบคุมโดยผู้ที่อยู่ในสถานะที่เหนือกว่า ตัวอย่างการใช้สำนวน