Tag: สำนวนไทย ถ.

  • รู้จักสำนวนถูลู่ถูกัง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนถูลู่ถูกัง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ถ. ถูลู่ถูกัง ถูลู่ถูกัง หมายถึง สำนวน “ถูลู่ถูกัง” การกระทำใด ๆ ที่ทำอย่างลวก ๆ หยาบ ๆ ไม่เรียบร้อย ไม่ใส่ใจ หรือไม่ให้เกียรติ อาจทำไปโดยขาดความเต็มใจ ฝืนใจ หรือพยายามลากให้ผ่านไปอย่างหยาบกระด้าง เปรียบเสมือนการลากหรือดึงบางสิ่งบางอย่าง เช่น คนหรือของ ให้เคลื่อนไปข้างหน้าแบบทุลักทุเล โดยไม่ประคับประคอง ไม่ทะนุถนอม เหมือนทำไปเพียงเพื่อให้เสร็จหรือพ้น ๆ ไป โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบหรือความรู้สึกของสิ่งที่ถูกกระทำ กล่าวคือ “การใช้อย่างไม่ทะนุถนอม, การที่ลาก ดึง หรือฉุด ของหรือคนอย่างไม่ปรานีปราศรัย” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากคำกริยา “ถู ลู่ กัง” ที่พาให้เห็นภาพของการลากหรือผลักดันบางสิ่งบางอย่างไปข้างหน้าอย่างทุลักทุเล เช่น การลากคนที่ไม่อยากไป หรือของที่หนักจนลากแล้วถูพื้นไป ลู่ไป สะดุดกัง ๆ ไปตลอดทาง โดยเฉพาะคำว่า “ถูกัง” เชื่อว่าเลียนเสียงหรือพฤติกรรมของสิ่งที่เคลื่อนแบบฝืน ๆ ติด ๆ…

  • รู้จักสำนวนถังแตก ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนถังแตก ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ถ. ถังแตก ถังแตก หมายถึง สำนวน “ถังแตก” หมายถึง การที่ไม่มีเงินใช้เลย หรือมีเงินเหลือน้อยมากจนไม่พอใช้จ่าย มักใช้ในเชิงอารมณ์ขันหรือประชดตัวเองเมื่ออยู่ในช่วงที่ขัดสนทางการเงิน เปรียบเสมือนถังที่เคยใส่ของหรือเงินไว้ แต่เกิดรั่วหรือแตก จนของในถังหายไปหมด เหลือแต่ถังเปล่า จึงใช้เปรียบเปรยถึงสภาพกระเป๋าเงินที่ว่างเปล่า ไม่มีเงินหลงเหลือให้ใช้ กล่าวคือ “ผู้ที่ไม่มีเงิน, หมดตัว, ยากจน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเปรยกับถังใส่ของหรือใส่เงิน ซึ่งตามปกติจะใช้เก็บสะสมสิ่งของมีค่า เช่น เงิน ข้าว หรือของใช้จำเป็น หากถังนั้นเกิดรั่วหรือแตก ของในถังย่อมร่วงหายไปจนหมด ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อีก จึงกลายเป็นสำนวนที่ใช้เรียกสถานะของคนที่ไม่มีเงินเหลืออยู่เลย หรือขัดสนทางการเงินอย่างรุนแรง เปรียบได้กับถังที่เคยเต็มแต่ตอนนี้ว่างเปล่า ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้อีก ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนถีบหัวส่ง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนถีบหัวส่ง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ถ. ถีบหัวส่ง ถีบหัวส่ง หมายถึง สำนวน “ถีบหัวส่ง” หมายถึง การไล่หรือผลักไสผู้อื่นอย่างไร้เยื่อใย หลังจากที่เคยพึ่งพาอาศัยกัน หรือมีบุญคุณต่อกัน แต่เมื่อหมดประโยชน์แล้วกลับตัดขาดไม่สนใจ เปรียบเสมือนผู้โดยสารที่ก้าวขึ้นจากเรือจ้างแล้วถีบหัวเรือออกทันที โดยไม่สนใจว่าคนพายจะลำบากอย่างไร เป็นการกระทำที่หยาบคายและไร้น้ำใจ ไม่ต่างจากการตัดความสัมพันธ์ทิ้งแบบไม่ให้เกียรติ กล่าวคือ “การไล่ไปให้พ้น, ไม่ไยดีอีกต่อไป” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการโดยสารเรือจ้างในสมัยก่อน เวลาผู้โดยสารจะขึ้นจากเรือที่จอดเทียบท่า มักขึ้นทางหัวเรือ และบางคนเมื่อก้าวขึ้นบกแล้ว กลับถีบหัวเรือให้พ้นตัวโดยไม่สนใจว่าคนพายเรือจะลำบากหรือไม่ การกระทำเช่นนี้จึงถูกเรียกว่า “ถีบหัวส่ง” ซึ่งต่อมาใช้เป็นสำนวนในเชิงเปรียบเปรย ถึงการไล่หรือผลักไสผู้อื่นอย่างไม่ใยดี โดยเฉพาะเมื่อหมดประโยชน์แล้วก็ไม่แยแสอีกต่อไป สำนวนนี้จึงใช้ตำหนิคนที่เมื่อหมดประโยชน์แล้วกลับผลักไส หรือปฏิบัติอย่างหยาบคาย ไม่ใยดีแม้แต่น้อย เปรียบเสมือน “ถีบหัว” ให้พ้นจากวงจรชีวิตของตนเอง ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนถนิมสร้อย ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนถนิมสร้อย ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ถ. ถนิมสร้อย, สนิมสร้อย ถนิมสร้อย หมายถึง สำนวน “ถนิมสร้อย” หมายถึง คนที่อ่อนแอ เหยาะแหยะ ไม่สู้งาน หนักไม่เอา เบาไม่สู้ ถูกแดดนิดฝนน้อยก็ป่วย มักใช้ในเชิงตำหนิหรือประชดประชันคนที่ทำตัวบอบบางเกินเหตุ เปรียบเสมือนเครื่องประดับที่ต้องประคบประหงม ไม่สามารถถูกกระแทก ถูกน้ำ หรือใช้แรงได้ เช่นเดียวกับคนที่ถูกเรียกว่า “ถนิมสร้อย” ที่ทำงานหนักไม่ได้ อยู่กลางแดดหรือฝนนานหน่อยก็ไม่ไหว มักไม่เหมาะกับงานที่ต้องใช้แรงหรือความอดทน กล่าวคือ “ผู้ที่หนักไม่เอา เบาไม่สู้, อ่อนแอ, ไม่สู้งาน” นั่นเอง สำนวนนี้พูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า “สนิมสร้อย” ที่มาของสำนวน มาจากคำว่า “ถนิม” ซึ่งมาจากภาษาเขมร ธฺนิม แปลว่าเครื่องประดับ และคำว่า “สร้อย” ที่หมายถึงของประดับประเภทสาย เช่น สร้อยคอ สร้อยข้อมือ เมื่อนำมารวมกันเป็น “ถนิมสร้อย” ไม่ได้ใช้ในความหมายตรงของเครื่องประดับ แต่ใช้ในเชิงเปรียบเปรยถึงคนที่อ่อนแอ บอบบาง เหยาะแหยะ ทำงานหนักไม่ได้ ทนแดดทนฝนไม่ไหว สำนวนนี้มักใช้เพื่อตำหนิหรือประชดคนที่ไม่สู้งาน หนักไม่เอา เบาไม่สู้ เปรียบเสมือนเครื่องประดับที่แม้จะสวยงาม…

  • รู้จักสำนวนเถรส่องบาตร ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนเถรส่องบาตร ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ถ. เถรส่องบาตร เถรส่องบาตร หมายถึง สำนวน “เถรส่องบาตร” หมายถึง การทำตามผู้อื่นโดยไม่เข้าใจเหตุผลหรือสาระของสิ่งที่ทำ เพียงทำตามเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่หรือผู้น่าเชื่อถือกระทำ โดยขาดความรู้ ความเข้าใจ หรือเจตนาแท้จริงของการกระทำนั้น เป็นการเลียนแบบโดยไม่รู้หลัก เปรียบเสมือนคนที่เห็นคนอื่นทำอะไรก็ทำตามโดยไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร หรือมีวัตถุประสงค์ใด เช่นเดียวกับพระบวชใหม่ที่เห็นพระผู้ใหญ่ยกบาตรขึ้นส่องกับแสงแดด ก็ทำตามโดยไม่รู้ว่าเป็นการตรวจสอบรอยรั่วในบาตร ไม่ใช่พิธีกรรม กล่าวคือ “คนที่ทำอะไรตามเขาทั้ง ๆ ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการกระทำของพระภิกษุผู้ใหญ่ คำว่า “เถร” หรือ “เถระ” หมายถึงพระภิกษุที่บวชนาน ๑๐ พรรษาขึ้นไป หลังจากออกไปบิณฑบาต กลับวัด และฉันเสร็จแล้ว ก็จะล้างบาตรเก็บไว้ ระหว่างนั้นท่านมักจะยกบาตรขึ้นส่องกับแสงสว่างหรือแสงแดด ฝ่ายพระบวชใหม่เห็นพระผู้ใหญ่ทำเช่นนั้น ก็คิดว่าเป็นสิ่งที่ควรทำเช่นเดียวกัน จึงยกบาตรขึ้นส่องบ้าง โดยไม่รู้ว่าส่องไปเพื่ออะไร ไม่รู้เหตุผลว่าการที่พระผู้ใหญ่ยกบาตรขึ้นส่อง ก็เพื่อจะสำรวจดูว่าบาตรยังมีสภาพดีอยู่หรือไม่ เพราะถ้ามีรูรั่วหรือรอยร้าว อาหารบางชนิดที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบก็จะรั่วไหลเลอะเทอะได้ และเป็นการปฏิบัติตามพระวินัยด้วย สำนวนนี้ นำมาใช้ในความหมายว่า คนที่เห็นผู้ใหญ่หรือผู้ที่ตนศรัทธานับถือทำอะไรก็ทำตามบ้าง ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้เหตุผล เช่น ทุกเช้าก่อนออกจากบ้าน…

  • รู้จักสำนวนถ่มน้ำลายรดฟ้า ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนถ่มน้ำลายรดฟ้า ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ถ. ถ่มน้ำลายรดฟ้า ถ่มน้ำลายรดฟ้า หมายถึง สำนวน “ถ่มน้ำลายรดฟ้า” หมายถึง การพูดจาดูหมิ่นหรือกล่าวร้ายผู้อื่นอย่างรุนแรง โดยไม่รู้ว่าตนเองจะได้รับผลร้ายกลับคืนมาในที่สุด เปรียบกับการถ่มน้ำลายขึ้นฟ้า สุดท้ายน้ำลายนั้นย่อมตกใส่ตัวเอง สะท้อนว่าการพูดไม่ดีใส่ผู้อื่นโดยไม่ยั้งคิด อาจย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองได้ในภายหลัง เป็นสำนวนเตือนใจเรื่องการใช้คำพูดและการกระทำที่ไม่สมควรต่อผู้อื่น กล่าวคือ “การประทุษร้ายต่อสิ่งที่สูงกว่าตน ตัวเองย่อมได้รับผลร้ายเอง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบพฤติกรรมของคนที่ถ่มน้ำลายขึ้นไปบนท้องฟ้า ซึ่งเป็นทิศทางที่ตรงข้ามกับแรงโน้มถ่วง สุดท้ายแล้วน้ำลายก็จะตกกลับมาถูกตัวเอง ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม สำนวนนี้ปรากฏในนิยายสามก๊ก ตอนจิวยี่แค้นขงเบ้งจนกระอักเลือดตาย เพราะจิวยี่พยายามกำจัดขงเบ้งหลายครั้ง แต่ขงเบ้งก็เล็ดรอดภยันตรายมาได้ทุกครั้ง ด้วยสติปัญญาความสามารถที่เหนือกว่าจิวยี่ทุกประตู จนจิวยี่ต้องรำพันออกมาว่า… “เมื่อฟ้าส่งข้ามาเกิดแล้ว เหตุไฉนถึงส่งขงเบ้งมาเกิดด้วย” จิวยี่จึงเหมือนถ่มน้ำลายรดฟ้า ที่พ่นน้ำลายขึ้นฟ้าทีไร น้ำลายก็หล่นลงมาเปรอะหน้าตัวเองทุกครา การถ่มน้ำลายรดฟ้า จึงกลายมาเป็นสำนวนนี้ สำนวนนี้จึงถูกใช้เพื่อเปรียบเปรยการพูดจาดูหมิ่น ดูแคลน หรือใส่ร้ายผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่สูงกว่า หรือผู้ที่ไม่ควรถูกกล่าวร้าย และในท้ายที่สุด สิ่งที่พูดหรือทำอาจย้อนกลับมาทำร้ายผู้พูดเอง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เป็นคำเตือนให้ระวังการใช้คำพูดและการกระทำต่อผู้อื่น เพราะสิ่งที่เริ่มต้นจากความไม่ยั้งคิด อาจกลายเป็นผลกรรมที่ย้อนคืนมาสู่ตัวเอง ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนถ่านไฟเก่า ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนถ่านไฟเก่า ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ถ. ถ่านไฟเก่า ถ่านไฟเก่า หมายถึง สำนวน “ถ่านไฟเก่า” หมายถึง ความสัมพันธ์เดิม โดยเฉพาะความรักระหว่างคนเคยเป็นคู่กัน ที่แม้จะเลิกราไปแล้ว แต่ยังมีโอกาสปะทุขึ้นมาใหม่ได้อีก เปรียบเทียบกับถ่านที่เคยถูกจุดไฟ แม้ภายนอกจะดูเหมือนดับไปแล้ว แต่ภายในยังมีความร้อนหลงเหลืออยู่ หากมีเชื้อหรือแรงกระตุ้นเพียงเล็กน้อย ก็สามารถจุดติดไฟขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง สะท้อนถึงความรู้สึกเก่า ๆ ที่อาจหวนกลับมาได้เมื่อมีโอกาส กล่าวคือ “ชายหญิงหรือคู่รักที่เคยรักใคร่หรือเคยได้เสียกันมาก่อน แม้เลิกร้างกันไป เมื่อมาพบกันใหม่ย่อมรักใคร่หรือปลงใจกันได้ง่ายขึ้น” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับ “ถ่าน” ที่เคยถูกจุดจนติดไฟ แม้ภายนอกจะดูมอดหรือเย็นลงแล้ว แต่ภายในยังอาจมีไอร้อนหรือประกายไฟหลงเหลืออยู่ หากได้รับเชื้อหรือแรงกระตุ้นอีกเพียงเล็กน้อย ไฟก็อาจปะทุขึ้นใหม่ได้ ในทางเปรียบเปรย สำนวนนี้จึงใช้กับความสัมพันธ์รักเก่า หรือคนเคยมีใจให้กัน ที่แม้จะเลิกราไปแล้ว แต่ยังมีเยื่อใยหรือความรู้สึกหลงเหลืออยู่ หากกลับมาใกล้ชิดหรือมีสถานการณ์พาให้ใกล้กันอีกครั้ง ความรักหรือความสัมพันธ์เก่าที่กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง และความรักเก่านั้นก็อาจหวนกลับมาเหมือนไฟที่จุดติดจากถ่านเดิม ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนถอนหงอก ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนถอนหงอก ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ถ. ถอนหงอก ถอนหงอก หมายถึง สำนวน “ถอนหงอก” หมายถึง การหักหน้าผู้ที่มีอายุมากกว่า หรือผู้ที่ควรได้รับความเคารพ ด้วยการชี้ความผิด พูดโต้แย้ง หรือลบล้างความน่าเชื่อถือของเขาต่อหน้าผู้อื่น คำว่า “หงอก” ในที่นี้หมายถึง ผมหงอก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ วัยวุฒิหรือความอาวุโส การ “ถอนหงอก” จึงเปรียบได้กับการ ลดคุณค่า หรือทำลายศักดิ์ศรีของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อผู้ใหญ่นั้นแสดงความรู้ผิด ๆ แล้วถูกผู้น้อยชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนต่อหน้าคนอื่น กล่าวคือ “การพูดว่าผู้ใหญ่ เพราะผู้ใหญ่ทำให้หมดความนับถือยำเกรง, ไม่นับถือความเป็นผู้ใหญ่, การพูดว่าให้เสียผู้ใหญ่” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับ “ผมหงอก” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความแก่ ความอาวุโส และความน่าเคารพในสังคมไทย โดยทั่วไป ผู้ที่มีผมหงอกมักเป็นผู้ใหญ่ที่ได้รับความเคารพในฐานะคนมีวัยวุฒิและประสบการณ์ คำว่า “ถอนหงอก” จึงเปรียบกับการกระทำที่ลดคุณค่า หรือทำลายความน่าเชื่อถือของผู้ใหญ่ เช่น การหักหน้า ชี้ผิด หรือตอบโต้ความเห็นของผู้ที่อาวุโสกว่าอย่างชัดเจนและไม่ไว้หน้า โดยเฉพาะในที่สาธารณะหรือในวงสนทนา ในเชิงวัฒนธรรม สำนวนนี้ยังสะท้อนแนวคิดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผู้น้อยกับผู้ใหญ่ ว่าควรให้เกียรติ แต่ถ้าผู้ใหญ่นั้นพูดผิดหรือทำผิด แล้วถูก…

  • รู้จักสำนวนถอนรากถอนโคน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนถอนรากถอนโคน ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ต. ถอนรากถอนโคน, ถอนต้นก่นราก ถอนรากถอนโคน หมายถึง สำนวน “ถอนรากถอนโคน” หมายถึง การกำจัดหรือทำลายสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้หมดสิ้น โดยไม่ให้หลงเหลือแม้แต่ต้นตอ หรือโอกาสที่จะฟื้นกลับมาได้อีก เปรียบเสมือนการถอนต้นไม้ทั้งรากทั้งโคน ไม่ใช่แค่ตัดเฉพาะใบหรือกิ่ง จึงสื่อถึงการจัดการอย่างเด็ดขาดและสิ้นซาก มักใช้กับการแก้ปัญหา, ขจัดสิ่งไม่ดี, หรือกำจัดศัตรูให้หมดสิ้นไม่ให้กลับมาได้อีก กล่าวคือ “การทำลายให้ถึงต้นตอ, ทำลายให้สิ้นเสี้ยนหนาม” นั่นเอง สำนวนนี้พูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า “ถอนต้นก่นราก” ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับการถอนต้นไม้ที่ไม่ใช่แค่ตัดลำต้นหรือกิ่งใบ แต่ถอนทั้งรากและโคนให้หมด ไม่ให้เหลือต้นตอใด ๆ ไว้ให้เติบโตหรือฟื้นกลับมาได้อีก จัดการปัญหาหรือศัตรูอย่างเด็ดขาด สิ้นซาก ไม่ให้มีโอกาสฟื้นตัวหรือกลับมาเป็นภัยซ้ำอีกในอนาคต การทำเกษตรหรือการกำจัดต้นไม้ โดยหากต้องการให้ต้นไม้นั้นไม่สามารถงอกกลับมาได้อีก จำเป็นต้อง “ถอนทั้งรากทั้งโคน” ออกมาให้หมด ไม่ใช่เพียงแค่ตัดที่โคนหรือตัดกิ่งใบ เพราะหากยังมีรากหลงเหลือ ก็อาจฟื้นคืนหรือแตกหน่อกลับมาได้ในภายหลัง จึงกลายเป็นคำเปรียบเปรยถึงการจัดการสิ่งไม่ดี ปัญหา หรือศัตรูอย่างเด็ดขาดให้สิ้นซาก ไม่ให้เหลือต้นตอหรือโอกาสฟื้นกลับมาอีก ไม่ใช่แค่แก้ที่ปลายเหตุ แต่จัดการให้ลึกถึงต้นเหตุและไม่ประนีประนอมกับสิ่งที่ต้องการขจัดออกไปอย่างแท้จริง ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนถอยหลังเข้าคลอง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนถอยหลังเข้าคลอง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ถ. ถอยหลังเข้าคลอง ถอยหลังเข้าคลอง หมายถึง สำนวน “ถอยหลังเข้าคลอง” หมายถึง การย้อนกลับไปสู่สิ่งที่ล้าหลัง ต่ำลง หรือแย่ลง ทั้งในด้านความคิด การกระทำ หรือความเจริญ เปรียบเสมือนจากที่ควรจะ “เดินหน้าไปข้างหน้า” แต่กลับ “ถอยหลัง” แถมยัง “ตกลงไปในคลอง” ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของความล้าหลังในบริบทไทยโบราณ กล่าวคือ “การย้อนกลับไปทำแบบเดิม ๆ ซึ่งไม่ก้าวหน้าและไม่ทันสมัย” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับทิศทางของความเจริญหรือความก้าวหน้า ที่โดยปกติแล้วควร “เดินหน้า” ไปข้างหน้า ส่วนคำว่า “คลอง” ในสมัยก่อนมักหมายถึงพื้นที่น้ำที่อยู่ต่ำ เป็นเส้นทางหรือสภาพแวดล้อมที่ไม่เจริญเท่า “ถนน” หรือ “ทางหลวง” ที่เป็นสัญลักษณ์ของความเจริญ คนไทยแต่ก่อนใช้ทางน้ำเป็นทางสัญจรหลัก แม่น้ำสายใหญ่มีคลองเล็ก ๆ เป็นซอยแยกออกไป ทำนองเดียวกับตรอก ซอย ตามถนนต่าง ๆ เมื่อพายเรือออกจากคลองเล็กสู่แม่น้ำใหญ่ก็เปรียบได้กับการทำงานที่เริ่มต้นจากงานเล็ก ๆ ไปสู่งานใหญ่ นับเป็นความก้าวหน้าในการทำงานแต่หากแทนที่จะก้าวหน้ากลับถอยหลังไปสู่งานเล็ก ๆ เหมือนเดิม ก็จะมีคำเปรียบว่าเป็นการพายเรือถอยหลังกลับเข้าคลอง การ “ถอยหลังเข้าคลอง”…