Tag: สำนวนไทย ท.

  • รู้จักสำนวนทำคุณบูชาโทษ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนทำคุณบูชาโทษ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ท. ทำคุณบูชาโทษ ทำคุณบูชาโทษ หมายถึง สำนวน “ทำคุณบูชาโทษ” หมายถึง การทำความดีหรือช่วยเหลือผู้อื่น แต่กลับได้รับผลร้ายหรือถูกกล่าวโทษตอบแทนแทนที่จะได้รับความขอบคุณ เปรียบเสมือนการมอบสิ่งดี ๆ ให้ แต่ไม่เพียงไม่ได้รับการยกย่อง ยังถูกตำหนิหรือมองในแง่ลบกลับมาอีกด้วย “การทำความดีต่อผู้อื่น แต่กลับเป็นโทษแก่ผู้ทำ, ทำดีแต่กลับเป็นร้าย, มักใช้พูดเข้าคู่กับ โปรดสัตว์ได้บาป” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเปรยการกระทำที่ควรจะได้รับการยกย่องหรือขอบคุณ แต่กลับถูกตอบแทนด้วยการตำหนิหรือกล่าวหาแทน คนโบราณจึงใช้คำว่า “ทำคุณ” หมายถึงการช่วยเหลือหรือทำดี และ “บูชาโทษ” หมายถึงกลับได้รับโทษหรือสิ่งไม่ดีตอบแทน บ้างก็ว่ามาจากนิทานพื้นบ้านภาคใต้ เรื่องทำคุณบูชาโทษ เป็นนิทานของชาวบ้านที่เล่าสืบต่อ ๆ กันมา มีคุณค่าในการอบรมสั่งสอนให้มีความกตัญญูรู้คุณต่อผู้มีพระคุณ โดยเฉพาะในเรื่องทำคุณบูชาโทษ แม้แพะจะเป็นสัตว์แต่ก็สำนึกในบุญคุณเจ้าของบ้านที่ให้ข้าวให้น้ำให้ที่พักพิง ถึงแม้ตัวเองจะเห่าไม่ได้เหมือนสุนัขแต่ก็ส่งเสียงร้องได้เพื่อให้เจ้าของบ้านรู้ตัวว่ากำลังจะมีภัยเข้าบ้าน แต่จากความไม่เข้าใจของผู้เป็นเจ้าของกลับเห็นว่าเสียงร้องของแพะเป็นสิ่งที่น่ารำคาญ และตีแพะจนตาย จึงกลายเป็นการทำคุณบูชาโทษ ดังนิทานเรื่องนี้ สะท้อนให้เห็นถึงสัจธรรมในสังคมว่า ไม่ใช่ทุกการทำดีจะได้รับผลดีเสมอไป โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายมีอคติหรือไม่ยอมรับน้ำใจนั้นอย่างแท้จริง ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนทำบุญเอาหน้า ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนทำบุญเอาหน้า ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ท. ทำบุญเอาหน้า ทำบุญเอาหน้า หมายถึง สำนวน “ทำบุญเอาหน้า” หมายถึง การทำความดีหรือช่วยเหลือผู้อื่นโดยมีเจตนาแอบแฝง เพื่อให้ตนเองดูดี มีชื่อเสียง หรือได้รับคำชม มากกว่าจะตั้งใจทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ เปรียบเสมือนการทำบุญที่ไม่ได้หวังผลบุญจริง ๆ แต่หวังให้คนอื่นเห็นว่าตนเองเป็นคนดี กล่าวคือ “การทำบุญเพื่ออวดผู้อื่น ไม่ใช่ทำด้วยใจบริสุทธิ์” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากพฤติกรรมของบางคนในสังคมที่แสดงออกว่าเป็นผู้มีจิตใจดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่นหรือทำกิจกรรมกุศล แต่ความตั้งใจที่แท้จริงกลับไม่ได้มาจากความเมตตาหรือศรัทธา หากแต่มุ่งหวังให้คนอื่นเห็นว่าเป็น “คนดี” เพื่อสร้างภาพลักษณ์ สร้างชื่อเสียง หรือได้รับผลประโยชน์ทางสังคม สำนวนนี้จึงใช้เปรียบเปรยการทำดีแบบไม่บริสุทธิ์ใจ โดยเน้น “เอาหน้า” หรือการสร้างภาพเป็นหลัก คนโบราณเปรียบเปรยถึงคนชั่ว คนไม่ดี เมื่อเข้าวัดทำบุญ แล้วคิดว่าตนเองเป็นคนดี ซึ่งคนทั่วไปดูออกว่าคนไม่ดีพวกนี้ทำบุญเอาหน้า มักพูดเข้าคู่กับภาวนากันตาย เป็น “ทำบุญเอาหน้า ภาวหน้ากันตาย” ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนทำนาบนหลังคน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนทำนาบนหลังคน ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ท. ทำนาบนหลังคน ทำนาบนหลังคน หมายถึง สำนวน “ทำนาบนหลังคน” หมายถึง การแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตนเองโดยขูดรีดหรือเอาเปรียบผู้อื่นอย่างรุนแรง โดยไม่สนใจความเดือดร้อนของคนที่ถูกกระทำ เปรียบเสมือนการทำนาบนหลังคนอื่นโดยไม่ได้ลงแรงเอง แต่กลับใช้ความเหนื่อยยากของผู้อื่นเป็นฐานในการสร้างประโยชน์ให้ตนเอง สะท้อนพฤติกรรมของคนที่กดขี่เอาเปรียบผู้อื่นเพื่อความสบายของตน กล่าวคือ “การหาผลประโยชน์ใส่ตนโดยขูดรีดผู้อื่น” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากภาพเปรียบเปรยในสังคมเกษตรกรรมดั้งเดิมของไทย ซึ่งการทำนาเป็นงานที่ต้องใช้แรงกายอย่างหนักและเต็มไปด้วยความเหนื่อยยาก สำนวนนี้ไม่ได้หมายถึงการทำนาจริง ๆ บนร่างกายของคน แต่เปรียบเปรยถึงการเอาความทุกข์ของผู้อื่นมาเป็นฐานในการแสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเอง สะท้อนพฤติกรรมของผู้ที่ไม่ลงแรงด้วยตนเอง แต่กลับกอบโกยกำไรจากแรงงานหรือความลำบากของคนอื่นอย่างไม่เป็นธรรม ดังนั้นจึงเปรียบเปรยถึงการทำมาหากินบนความเดือดร้อนของผู้อื่น (หลังคนอื่น) ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนเทือกเถาเหล่ากอ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนเทือกเถาเหล่ากอ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ท. เทือกเถาเหล่ากอ เทือกเถาเหล่ากอ หมายถึง สำนวน “เทือกเถาเหล่ากอ” หมายถึง เชื้อสาย วงศ์วาน หรือสายสกุลที่สืบทอดต่อเนื่องกันมา ตั้งแต่บรรพบุรุษถึงลูกหลาน เปรียบเสมือนต้นไม้ที่แตกกอ แตกเถา และขยายพันธุ์ต่อเนื่องกันไม่ขาดสาย แสดงถึงความต่อเนื่องของเครือญาติและตระกูลอย่างมั่นคงและยาวนาน กล่าวคือ “เชื้อสายวงศ์ตระกูลที่สืบเนื่องต่อกันมา” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มีรากฐานมาจากการใช้ถ้อยคำที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ เพื่อเปรียบเทียบกับความต่อเนื่องของเชื้อสายมนุษย์ในสังคมไทยโบราณ และมาจากการเปรียบเทียบเชื้อสายของมนุษย์กับเทือกเขาและต้นไม้ใหญ่ โดยสื่อลักษณะของ “เทือก” ที่ต่อเนื่องกัน และต้นไม้ใหญ่ที่มีทั้งราก, เถาวัลย์ (เถา) และกอไม้ (เหล่ากอ) ซึ่งล้วนเกี่ยวพันกันอย่างแนบแน่นและสืบทอดต่อเนื่องกันมา เช่นเดียวกับสายโลหิตและวงศ์ตระกูลของคนที่สืบสานจากบรรพบุรุษลงมาถึงลูกหลานรุ่นหลัง สำนวนนี้จึงใช้กล่าวถึงเชื้อสาย วงศ์วาน หรือการสืบทอดตระกูล คำว่า “เทือก” ใช้บ่งบอกสิ่งที่มีความต่อเนื่องยาวไกล เช่น “เทือกเขา” ที่หมายถึงภูเขาซึ่งเรียงรายต่อเนื่องกันเป็นแนวยาว คำว่า “เหล่า” หมายถึงกลุ่มหรือพวกที่อยู่รวมกันจำนวนมาก เช่น เหล่าเสนา หรือเหล่าอันธพาล ส่วน “กอ” และ “เถา” เป็นคำที่ใช้กับลักษณะของพืช โดย “กอ”…

  • รู้จักสำนวนทนายหน้าหอ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนทนายหน้าหอ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ท. ทนายหน้าหอ ทนายหน้าหอ หมายถึง สำนวน “ทนายหน้าหอ” หมายถึง คนที่ทำหน้าที่รับหน้าแทนนาย หรือหัวหน้าคนรับใช้ ซึ่งมักทำงานให้กับนายที่มีฐานะหรือยศศักดิ์สูง ทนายที่ประจำการอยู่บริเวณหน้าหอ (เรือนพัก” ของเจ้านายในสมัยโบราณโดยเฉพาะในวัง หรือในเรือนใหญ่ของขุนนาง ข้าราชการ หรือเจ้าขุนมูลนายที่มีฐานะสูง) คอยทำหน้าที่แทนเจ้านายในทุกเรื่อง ทั้งการต้อนรับแขก การประสานงาน และการจัดการธุระต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด กล่าวคือ “ผู้รับหน้าแทนนาย, หัวหน้าคนรับใช้, ส่วนใหญ่เป็นนายที่มีฐานะหรือยศศักดิ์” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากยุคสมัยโบราณในสังคมไทย เมื่อเจ้านาย ขุนนาง หรือผู้มีศักดินาสูงพักอาศัยอยู่ใน “หอ” ซึ่งเป็นเรือนส่วนตัวหรือที่พักภายในวังหรือคฤหาสน์ “หอ” ถือเป็นเขตหวงห้าม มีความสำคัญและเป็นพื้นที่ส่วนบุคคลอย่างสูง ผู้ใดจะเข้าออกต้องได้รับอนุญาตเท่านั้น เพื่อควบคุมการเข้าออกและดูแลกิจการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวนายโดยตรง จึงมีการแต่งตั้ง “ทนาย” หรือคนรับใช้ที่ไว้ใจได้ให้ประจำอยู่บริเวณหน้าหอ ทนายเหล่านี้มีหน้าที่รับแขก รับเรื่องร้องเรียน ติดต่อประสานงาน และคัดกรองข้อมูลก่อนจะส่งต่อถึงนาย เรียกว่า “ทนายหน้าหอ” ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีบทบาทสำคัญมาก เพราะต้องมีไหวพริบ ความจงรักภักดี และความสามารถในการแก้ไขสถานการณ์ต่าง…

  • รู้จักสำนวนทองไม่รู้ร้อน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนทองไม่รู้ร้อน ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ท. ทองไม่รู้ร้อน ทองไม่รู้ร้อน หมายถึง สำนวน “ทองไม่รู้ร้อน” หมายถึง คนที่ไม่รู้สึกหรือไม่สะทกสะท้านกับปัญหาหรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น มักใช้เพื่อบรรยายถึงคนที่เฉยเมยหรือไม่แยแส ต่อเหตุการณ์หรือปัญหาที่มีผลกระทบกับคนอื่น หรือแม้แต่กับตัวเขาเอง เปรียบเสมือนทองคำที่เมื่อโดนความร้อนจากไฟปกติ ก็ยังคงสภาพเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะมีความร้อนจากภายนอกเข้ามากระทบ ทองจึงไม่รู้สึกถึงความร้อนนั้น ดังนั้น สำนวนนี้จึงถูกใช้เพื่อแสดงถึงคนที่ไม่ตอบสนองหรือไม่รู้สึกถึงความเดือดร้อน หรือปัญหาที่เกิดขึ้นรอบตัว กล่าวคือ “ผู้ที่เฉยเมย, ไม่สะดุ้งสะเทือน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากการเปรียบเทียบทองคำ ซึ่งเป็นโลหะที่ทนต่อความร้อนได้ดี เมื่อทองคำถูกความร้อนจากไฟหรือแหล่งความร้อนธรรมดา มันจะไม่เปลี่ยนแปลงสภาพหรือรูปร่างใดๆ เพราะทองเป็นโลหะที่ทนทานต่อความร้อนสูง จึงไม่ได้รับผลกระทบจากความร้อนในระดับปกติที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ในเชิงเปรียบเทียบ “ทองไม่รู้ร้อน” จึงหมายถึง คนที่ไม่รู้สึกถึงความเดือดร้อนหรือความยากลำบาก หรือ คนที่ไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว ถึงแม้จะมีปัญหาหรือสถานการณ์ยากลำบากเข้ามาเกี่ยวข้อง ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนทองแผ่นเดียวกัน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนทองแผ่นเดียวกัน ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ท. ทองแผ่นเดียวกัน ทองแผ่นเดียวกัน หมายถึง สำนวน “ทองแผ่นเดียวกัน” หมายถึง เปรียบเสมือนการที่ทองและเงินที่มีค่าถูกมอบให้เป็นของขวัญในพิธีที่แสดงถึงการรวมตัวเป็นหนึ่งเดียว ทั้งในแง่ของความสัมพันธ์ที่มั่นคงและการรับขวัญร่วมกัน กล่าวคือ “การเกี่ยวดองกันโดยการแต่งงาน, เดิมใช้ในความหมายว่าเป็นไมตรีกัน เป็นพวกเดียวกัน หรือรวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มีที่มาจากประเพณีในสมัยก่อนที่นิยมใช้ทองเป็นของขวัญในงานแต่งงาน เพื่อเป็นการรับขวัญคู่บ่าวสาว โดยในพิธีจะมีการมอบทองและเงิน จากแขกผู้มีเกียรติให้กับเจ้าบ่าวและเจ้าสาว หลังจากเสร็จพิธี ญาติผู้ใหญ่จะนำทองและเงินที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวได้รับมาห่อรวมกันเป็นห่อเดียว และมอบให้เจ้าบ่าว เพื่อให้เจ้าบ่าวนำไปมอบให้เจ้าสาวเป็นการเสร็จสิ้นพิธีการ การมอบทองและเงินเป็นห่อเดียวกัน ในพิธีแต่งงานนี้ จึงมีความหมายถึง การรวมกันเป็นหนึ่งเดียว หรือ ความเป็นพวกเดียวกัน และเมื่อพูดถึง “ทองแผ่นเดียวกัน” ก็หมายถึงการที่สองฝ่ายมีความสัมพันธ์ที่มั่นคงและใกล้ชิด อธิบายให้เห็นภาพมากขึ้นคือ เมื่อสองครอบครัวไม่มีการเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดเลย ทรัพย์สินเงินทองจึงไม่มีการผูกพันกัน เปรียบเสมือนดั่งว่าเป็นทองคนละแผ่น แต่เมื่อลูกสาวกับลูกชายของแต่ละฝ่าย มาแต่งงานกันทรัพย์สมบัติของทั้งสองฝ่ายต่างก็นำมามอบให้ลูกสาวลูกชาย ฉะนั้นทั้งสองครอบครัวก็ดูประหนึ่งว่าเป็นญาติกัน เป็นการเกี่ยวดองกันโดยการแต่งงาน อุปมาเสมือนดั่งว่าเป็นทองแผ่นเดียวกัน ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนท้องยุ้งพุงกระสอบ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนท้องยุ้งพุงกระสอบ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ท. ท้องยุ้งพุงกระสอบ ท้องยุ้งพุงกระสอบ หมายถึง สำนวน “ท้องยุ้งพุงกระสอบ” หมายถึง ผู้ที่สามารถกินจุผิดปกติ กินมากจนเกินไปหรือกินจุผิดปกติจนท้องดูพองออกมา จนทำให้ท้องดูใหญ่หรือพองเหมือนยุ้งฉางหรือกระสอบที่เต็มไปด้วยข้าว เปรียบเสมือนการที่คนกินจุท้องของเขามีลักษณะคล้ายยุ้งฉางหรือกระสอบที่เต็มไปด้วยข้าว ซึ่งสื่อถึงการกินมากจนไม่สามารถควบคุมได้ กล่าวคือ “คนกินจุผิดปรกติ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มาจากการเปรียบเทียบลักษณะของท้องที่พองโตเหมือนยุ้งฉางหรือกระสอบข้าว ซึ่งเป็นที่เก็บข้าวที่เต็มไปด้วยสิ่งของ การที่มีท้องยุ้ง หรือพุงกระสอบ จึงหมายถึงการที่คนกินมากผิดปกติจนท้องพองจนเห็นได้ชัด ยุ้งข้าวหรือกระสอบข้าว ถูกใช้เก็บข้าวจำนวนมาก ซึ่งมักจะเต็มและมีขนาดใหญ่ การเปรียบเทียบกับท้องของคนที่กินจุหรือกินมากเกินไป จึงใช้เพื่อแสดงถึงการที่ท้องพองหรืออิ่มจนเกินความพอดี สำนวนนี้จึงถูกใช้เพื่ออธิบายคนที่กินจุผิดปกติ หรือท้องพองใหญ่เหมือนกระสอบข้าว ซึ่งมักจะนำมาใช้ในเชิงตำหนิหรือการล้อเลียนในกรณีที่คนกินมากเกินไป ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนทอดสะพาน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนทอดสะพาน ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ท. ทอดสะพาน ทอดสะพาน หมายถึง สำนวน “ทอดสะพาน” หมายถึง การแสดงออกหรือส่งสัญญาณเพื่อเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายเข้าหา มักใช้ในเรื่องความรักหรือความสัมพันธ์ โดยหมายถึงการแสดงออกอย่างอ่อนโยนหรือให้ความสนใจ เพื่อให้อีกฝ่ายกล้าเข้ามาเริ่มต้นหรือสานสัมพันธ์ เปรียบเสมือนการสร้าง “สะพาน” เชื่อมระหว่างสองฝั่ง เพื่อให้อีกฝ่ายสามารถเดินเข้ามาหาได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องกลัวหรือเคอะเขิน กล่าวคือ “การส่งสัญญาณหรือให้โอกาสเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ หรือการแสดงกิริยาท่าทางเป็นทำนองอยากติดต่อด้วย” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มีที่มาจากวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยก่อนที่นิยมอยู่อาศัยริมคลอง และใช้เรือเป็นพาหนะหลักในการสัญจร เมื่อต้องการขึ้นบ้านใคร เจ้าของบ้านจะต้อง “ทอดสะพาน” ซึ่งหมายถึงการนำไม้มาวางพาดจากเรือขึ้นสู่บ้าน เพื่อให้แขกเดินขึ้นฝั่งได้สะดวก ถือเป็นการแสดงออกถึงความยินดีต้อนรับและเปิดทางให้เข้าหา ต่อมาจึงถูกนำมาใช้ในความหมายเชิงเปรียบเปรย โดยเฉพาะในเรื่องความสัมพันธ์ เช่น หญิงสาวที่แสดงท่าทีเปิดโอกาสให้ชายหนุ่มเข้าหา จนกลายเป็นการใช้คำว่า “ทอดสะพาน” ในความหมายว่า ส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายกล้าเข้ามาใกล้ชิดหรือเริ่มต้นความสัมพันธ์ ในบางบริบทอาจใช้ในเชิงตำหนิ เช่น เมื่อมีผู้หญิงเป็นฝ่ายเริ่มให้ท่าผู้ชายก่อนในสังคมที่อนุรักษนิยม ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนทะลุกลางปล้อง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนทะลุกลางปล้อง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ท. ทะลุกลางปล้อง ทะลุกลางปล้อง หมายถึง สำนวน “ทะลุกลางปล้อง” หมายถึง การกระทำที่เข้าไปแทรกหรือทำลายความต่อเนื่องของเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างไม่เหมาะสม หรือโดยไม่รู้กาลเทศะ จนทำให้เรื่องนั้นสะดุด ขาดตอน หรือเสียหาย เปรียบเสมือนการแทงหรือทะลุเข้ากลาง “ปล้อง” ซึ่งในที่นี้หมายถึง ส่วนที่ต่อเนื่องกัน เช่น ปล้องไม้ไผ่ หรือปล้องกล้วย หากมีอะไรไปทะลุกลางปล้อง ก็จะทำให้โครงสร้างนั้นแตก ขาด หรือเสียสมดุล กล่าวคือ “การพูดสอดขึ้นมาในเวลาที่เขากำลังพูดกันอยู่” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับลักษณะของพืชที่มีลำต้นเป็นปล้อง เช่น ไม้ไผ่ หรือกล้วย ซึ่งมีข้อปล้องเรียงต่อกันอย่างเป็นระเบียบ หากมีอะไรพุ่งหรือแทงทะลุเข้าไปตรงกลางปล้อง ก็จะทำให้ลำต้นนั้นขาดจากกัน เสียรูป หรือเสียหาย เมื่อใช้ในทางภาษาจึงหมายถึงการกระทำบางอย่างที่แทรกเข้ามากลางเรื่องโดยไม่เหมาะสม หรือไม่ถูกกาลเทศะ จนทำให้เรื่องที่กำลังดำเนินไปอย่างราบรื่นต้องสะดุด ขาดตอน หรือพังลง ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนทั้งขึ้นทั้งล่อง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนทั้งขึ้นทั้งล่อง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ท. ทั้งขึ้นทั้งล่อง ทั้งขึ้นทั้งล่อง หมายถึง สำนวน “ทั้งขึ้นทั้งล่อง” หมายถึง การที่บุคคลหนึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างแน่นหนา ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็หลีกเลี่ยงไม่พ้น มักใช้ในบริบทที่สื่อถึง ความพัวพันในเรื่องไม่ดี หรือเรื่องที่ไม่อาจปฏิเสธความเกี่ยวข้องได้ เปรียบเสมือนเรือที่แล่นในแม่น้ำ ไม่ว่าจะแล่นขึ้นหรือล่อง ก็ยังคงอยู่ในแม่น้ำสายเดิม ไม่สามารถแยกตัวหลุดพ้นออกจากเส้นทางนั้นได้ กล่าวคือ “มีความเกี่ยวข้องด้วยเสมอ ไม่พ้นไปได้ (มักใช้ในทำนองไม่ดี)” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเดินเรือในแม่น้ำ ซึ่งไม่ว่าจะ “แล่นขึ้น” (ทวนน้ำ) หรือ “ล่อง” (ตามน้ำ) ก็ยังอยู่ในลำน้ำสายเดิม ไม่อาจแยกตัวออกไปได้ สื่อถึงการติดอยู่ในวงจรเดิม หรือเกี่ยวข้องกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อถูกนำมาใช้เป็นสำนวน จึงหมายถึง การที่ใครบางคนมีเอี่ยวหรือพัวพันอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าจะพยายามปฏิเสธอย่างไร ก็ยังถูกมองว่าหนีไม่พ้น โดยเฉพาะในบริบทของปัญหา ความขัดแย้ง หรือเรื่องไม่ดี ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนทันควัน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนทันควัน ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ท. ทันควัน ทันควัน หมายถึง สำนวน “ทันควัน” หมายถึง ทันทีทันใด รวดเร็ว ไม่ปล่อยให้ชักช้า มักใช้กับการตอบสนอง พูด ตอบกลับ หรือกระทำบางสิ่งที่รวดเร็วฉับพลัน ไม่ปล่อยให้เสียจังหวะ เปรียบเสมือนควันที่พุ่งออกมาทันทีหลังจากมีการเผาไหม้ หรือยิงปืนที่ปล่อยควันออกมาทันทีหลังลั่นไก สื่อถึงการตอบโต้หรือการกระทำที่เกิดขึ้นอย่างฉับไวไม่รีรอ กล่าวคือ “ทันทีทันใด, ฉับพลัน, รวดเร็ว หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรือทำอย่างบางอย่างรวดเร็วและทันท่วงที” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้เกิดจากการเปรียบเปรยกับ “ควัน” ที่มักพุ่งออกมาทันทีเมื่อมีการจุดไฟหรือระเบิดบางอย่าง เช่น จุดไม้ขีด จุดไฟ หรือยิงปืน ควันจะลอยออกมาทันทีโดยไม่ต้องรอ จึงเกิดเป็นสำนวน “ทันควัน” สื่อถึง การกระทำหรือการตอบสนองที่เกิดขึ้นในทันทีทันใด ไม่ปล่อยให้ชักช้าหรือเสียจังหวะ เป็นคำที่เน้นถึงความฉับไว ปฏิกิริยาที่เร็ว ไม่รีรอ ซึ่งมักใช้ในสถานการณ์ที่ต้องแสดงไหวพริบ หรือการตอบโต้แบบไม่ให้เสียเวลาแม้แต่นิดเดียว ตัวอย่างการใช้สำนวน