Tag: สำนวนไทย บ.

  • รู้จักสำนวนบุพเพสันนิวาส ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนบุพเพสันนิวาส ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ บ. บุพเพสันนิวาส บุพเพสันนิวาส หมายถึง สำนวน “บุพเพสันนิวาส” หมายถึง การที่คนสองคนหรือเหตุการณ์บางอย่างถูกกำหนดให้ต้องมาเจอกันตามชะตากรรม หรือมีความเชื่อมโยงกันในอดีตจนถึงปัจจุบัน เปรียบเสมือนความสัมพันธ์ที่ถูกกำหนดไว้แล้วจากอดีตชาติ หรือโชคชะตาที่นำพาให้คนสองคนมาพบกัน ทั้งที่อาจจะไม่ได้ตั้งใจหรือคาดหวังมาก่อน กล่าวคือ “การเคยเป็นเนื้อคู่กัน, การเคยอยู่ร่วมกันมาในชาติปางก่อน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากคำที่รับมาจากภาษาบาลีว่า “ปุพฺเพสนฺนิวาส” และความเชื่อในเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด หรือชะตากรรมที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ตามความเชื่อในศาสนาพุทธ ที่เชื่อว่าบุพเพ หมายถึง เคย, ก่อน, อดีตชาติ และสันนิวาส หมายถึง อยู่ร่วม เมื่อรวมกันเป็น “บุพเพสันนิวาส” หมายถึง การเคยอยู่รวมกันในชาติก่อน หมายเอาเฉพาะผู้ที่เคยอยู่ร่วมเป็นสามีภรรยากัน ตรงกับที่ใช้ในภาษาไทยทั่วไปว่า การเป็นเนื้อคู่กัน หรือเหมือนกับความหมายหนึ่งของคำว่าพรหมลิขิต สำนวนนี้มักใช้ในกรณีที่คนสองคนได้พบกันโดยบังเอิญ หรือความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะเป็นการกำหนดไว้แล้วจากชะตาชีวิต ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนบ่างช่างยุ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนบ่างช่างยุ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ บ. บ่างช่างยุ บ่างช่างยุ หมายถึง สำนวน “บ่างช่างยุ” หมายถึง การพูดจาส่อเสียด หรือยุแหย่ให้ผู้อื่นทะเลาะกัน โดยไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง เปรียบเสมือนบ่างในนิทานที่คอยยุแยงให้ค้างคาวแตกคอกับนกและหนู จนทำให้ค้างคาวต้องจากป่าไป สื่อถึงคนที่ชอบสร้างความขัดแย้งในหมู่คณะเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง กล่าวคือ “คนที่ชอบยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นแตกคอกัน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากนิทานเรื่องหนึ่งที่เล่าถึงบ่าง สัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่าและเป็นเพื่อนกับค้างคาว โดยทั้งคู่กินผลไม้เป็นอาหารเหมือนกัน แต่บ่างรู้สึกเสียเปรียบค้างคาวเพราะไม่มีปีกบินจึงไม่สามารถหาผลไม้ได้เร็วเท่าค้างคาว เมื่อบ่างเกิดความริษยาก็เริ่มคิดหาวิธีทำให้ค้างคาวไปจากป่า จึงเริ่มไปยุแหย่นกและหนู ว่าค้างคาวเป็นสัตว์ที่อันตรายและนำโรคมาให้ ทั้งสองจึงเชื่อและขับไล่ค้างคาวออกไปจากต้นไม้ สำนวนนี้จึงใช้เปรียบเทียบกับคนที่ชอบพูดจาส่อเสียด ยุแยงให้ผู้อื่นทะเลาะกัน หรือส่งเสริมความร้าวฉานในหมู่คณะ โดยเรียกคนเหล่านั้นว่า “บ่างช่างยุ” นั่นเอง ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนบ้านแตกสาแหรกขาด ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนบ้านแตกสาแหรกขาด ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ บ. บ้านแตกสาแหรกขาด บ้านแตกสาแหรกขาด หมายถึง สำนวน “บ้านแตกสาแหรกขาด” หมายถึง การแตกแยกของครอบครัวอย่างสิ้นเชิง จนไม่สามารถกลับมาอยู่ร่วมกันได้ หรือการขาดความสัมพันธ์ที่เคยมีในครอบครัว เปรียบเสมือนการที่บ้านแตก คือการที่ครอบครัวต้องแยกย้ายกันไป และสาแหรกขาด คือเครื่องมือหาบที่มีสายสี่เส้น เมื่อหนึ่งในสายขาดไป ก็ไม่สามารถหาบสิ่งของได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมือนกับความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ขาดสายที่เชื่อมโยงกัน กล่าวคือ “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครอบครัว หรือในบ้านเมืองอย่างร้ายแรง ถึงทำให้ต้องกระจัดกระจายพลัดพรากกัน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบสองสิ่งที่มีความหมายแตกต่างกันแต่เชื่อมโยงกันกับบ้านที่เป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัว และสาแหรก โบราณท่านจึงนำสองประโยคมารวมเพื่อให้คล้องจองกันกันเป็นสำนวนนี้นั่นเอง ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนบ้าหอบฟาง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนบ้าหอบฟาง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ บ. บ้าหอบฟาง บ้าหอบฟาง หมายถึง สำนวน “บ้าหอบฟาง” หมายถึง การกระทำที่แสดงถึงความโลภ หรือความอยากได้อยากมีสิ่งต่าง ๆ โดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสมและความจำเป็น เปรียบเสมือนคนที่หอบฟางจนล้นมือหรือมิดตัว ทั้งที่ไม่จำเป็นต่อชีวิตมาก โดยไม่สามารถควบคุมหรือจัดการได้ เหมือนคนที่บ้าเห็นสิ่งใดเป็นของมีค่าและต้องการเอามาทั้งหมด กล่าวคือ “คนบ้าสมบัติ เห็นอะไร ๆ เป็นของมีค่าจะเอาทั้งนั้น, หรืออาการของคนที่หอบหิ้วสิ่งของพะรุงพะรัง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับคนที่หอบฟางมากมายจนเกินตัวจนแทบจะมิดตัวหรือหอบหิ้วสิ่งของพะรุงพะรัง เพราะเห็นทุกอย่างสำคัญ เห็นเป็นของมีค่าไปเสียหมด อยากเก็บไว้เป็นเสียหมด เหมือนคนที่บ้าและไม่สามารถควบคุมความต้องการของตัวเองได้ ฟางในที่นี้เปรียบเสมือนสิ่งของที่ไม่มีความจำเป็นหรือไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้มากมาย หรือสมบัติสิ่งของ ฯลฯ แต่คนที่ “บ้าหอบฟาง” กลับเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีค่าหรืออยากได้ทั้งหมด แม้จะมากเกินไปและลำบากในการพกพาหรือใช้งาน ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนบ่นเป็นหมีกินผึ้ง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนบ่นเป็นหมีกินผึ้ง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ บ. บ่นเป็นหมีกินผึ้ง บ่นเป็นหมีกินผึ้ง หมายถึง สำนวน “บ่นเป็นหมีกินผึ้ง” หมายถึง การบ่นด้วยเสียงงึมงำ ฟังไม่ชัดเจน คล้ายพูดอยู่ในลำคอ เปรียบเสมือนหมีที่กำลังกินรังผึ้ง ปากเต็มไปด้วยน้ำผึ้งและซากผึ้ง จึงส่งเสียงอู้อี้งึมงัม ไม่ชัดเจนออกมา กล่าวคือ “อาการของคนที่บ่นพึมพำ งึมงำไปเรื่อย” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเปรยพฤติกรรมของ “หมี” ขณะกินรังผึ้งในธรรมชาติ ซึ่งหมีมักจะกินทั้งรวงผึ้ง น้ำผึ้ง และตัวผึ้งอย่างตะกละจนเต็มปากไปหมด ระหว่างนั้นหมีอาจส่งเสียงงึมงำในลำคอ เสียงอู้อี้เพราะปากไม่ว่าง คล้ายกับคนที่บ่นพึมพำแบบไม่ชัดเจน คนไทยสมัยก่อนจึงนำลักษณะเสียงนี้มาเปรียบกับคนที่บ่นไปเรื่อย บ่นได้ทุกเรื่อง บ่นได้ทุกที่ เห็นอะไรก็บ่นไปหมดจนน่ารำคาญ พูดอยู่ในลำคอ ฟังไม่รู้เรื่อง จึงกลายเป็นสำนวนว่า “บ่นเป็นหมีกินผึ้ง” ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนบ่นออดเป็นมอดกัดไม้ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนบ่นออดเป็นมอดกัดไม้ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ บ. บ่นออดเป็นมอดกันไม้ บ่นออดเป็นมอดกัดไม้ หมายถึง สำนวน “บ่นออดเป็นมอดกัดไม้” หมายถึง การบ่นหรือพูดพร่ำซ้ำ ๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อย ๆ และต่อเนื่องไม่หยุด จนสร้างความรำคาญแก่ผู้ฟัง เปรียบเสมือน “มอด” ที่กัดกินเนื้อไม้ไปเรื่อย ๆ ทีละนิดอย่างไม่หยุดหย่อน แม้จะไม่มีเสียงดัง แต่ก็สร้างความเสียหายสะสม เช่นเดียวกับคำบ่นที่แม้จะเบา แต่หากบ่อยและไม่หยุดก็ทำลายบรรยากาศหรือจิตใจได้ กล่าวคือ “คนที่บ่นเสียงเบาพึมพำ ดังออดแอด ๆ หรือบ่นหรือพูดเรื่องเดิม ๆ ซ้ำซากจนคนรอบข้างเบื่อ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเปรยกับ “มอด” ซึ่งเป็นแมลงตัวเล็กที่ค่อย ๆ กัดกินเนื้อไม้อย่างเงียบ ๆ และต่อเนื่อง จนไม้ผุพังเสียหายโดยไม่ทันรู้ตัว ลักษณะของมอดนั้นแม้ไม่มีเสียงดัง แต่สร้างความเสียหายสะสมได้มาก เสียงของมอดขณะกัดกินเนื้อไม้ ซึ่งจะมีเสียงแผ่วเบา “ออด ๆ” ติดต่อกันไม่หยุด คนในอดีตจึงนำเสียงลักษณะนี้มาเปรียบกับการบ่นซ้ำ ๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อย ๆ และไม่รู้จักหยุด จนกลายเป็นสำนวนว่า “บ่นออดเป็นมอดกัดไม้” เปรียบเปรยถึงคำพูดที่แม้เบา…

  • รู้จักสำนวนบัวแล้งน้ำ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนบัวแล้งน้ำ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ บ. บัวแล้งน้ำ บัวแล้งน้ำ หมายถึง สำนวน “บัวแล้งน้ำ” หมายถึง บุคคลที่ไม่มีน้ำใจ แล้งน้ำใจ เปรียบเสมือนกับบัวที่ไม่มีน้ำ บัวนั้นก็ห่อเหี่ยว แห้งแล้ง เหี่ยวเฉา อีกความหมายใช้เปรียบเปรยถึงคนดีที่มีศักยภาพ มีคุณธรรม แต่กลับไม่ได้รับการส่งเสริมหรือโอกาสจากสังคมหรือผู้มีอำนาจ เปรียบเสมือนดอกบัวที่งดงามแต่ขึ้นอยู่ในดินแล้งไร้น้ำหล่อเลี้ยง จึงไม่อาจผลิบานหรือเติบโตได้ ทั้งที่โดยธรรมชาติควรจะงอกงามหากได้รับน้ำอย่างเพียงพอ กล่าวคือ “คนแล้งน้ำใจ หรือเป็นคนดีแต่ไม่ได้รับน้ำใจตอบแทน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเปรยลักษณะของคนกับ “บัว” ซึ่งโดยธรรมชาติจะงอกงามและผลิบานได้เมื่อมีน้ำหล่อเลี้ยง หากไม่มีน้ำ บัวจะเหี่ยวเฉาและแห้งแล้ง ไม่น่าชม เปรียบเสมือน “คนที่ไม่มีน้ำใจ” คือผู้ที่แล้งน้ำใจ ไม่ช่วยเหลือผู้อื่น ไม่แสดงความเมตตากรุณา จึงไม่งดงามในสายตาผู้อื่น เหมือนบัวที่ขาดน้ำก็ย่อมห่อเหี่ยวไม่งดงาม อีกความหมายหนึ่ง สื่อถึง “คนดีที่ไม่ได้รับน้ำใจจากใคร” หมายถึงผู้ที่ตั้งใจทำความดี มีความสามารถ หรือจิตใจดี แต่กลับไม่ได้รับการสนับสนุนหรือช่วยเหลือจากใคร ไม่มีใครส่งเสริม อุปถัมภ์ หรือมองเห็นคุณค่าของเขา จึงเปรียบเสมือนบัวที่แม้จะพร้อมเบ่งบาน แต่ขาดน้ำหล่อเลี้ยง ก็ย่อมเหี่ยวเฉาไปในที่สุด ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนเบี้ยน้อยหอยน้อย ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนเบี้ยน้อยหอยน้อย ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ บ. เบี้ยน้อยหอยน้อย เบี้ยน้อยหอยน้อย หมายถึง สำนวน “เบี้ยน้อยหอยน้อย” หมายถึง การมีทรัพย์สินหรือทุนทรัพย์ไม่มาก เปรียบเสมือนผู้ที่มีเพียงเล็กน้อยทั้งเงิน(เบี้ย) และของมีค่า(หอย) ซึ่งแม้จะมีอยู่บ้างแต่ก็ไม่มาก กล่าวคือ “คนที่มีเงินน้อย, มีเงินไม่มาก” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากวิถีชีวิตของคนไทยในอดีต ซึ่งใช้คำว่า “เบี้ย” แทนเงิน เพราะในสมัยก่อนคนไทยใช้ “เบี้ย” หรือ “เบี้ยเปลือกหอย” เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนซื้อขายแทนเงินตรา ส่วนคำว่า “หอย” ในที่นี้หมายถึงหอยเบี้ย ซึ่งเป็นวัตถุมีค่าในยุคนั้น การมี “เบี้ยน้อยหอยน้อย” จึงหมายถึงการมีเงินหรือทรัพย์สินเพียงเล็กน้อย โดยสำนวนนี้สะท้อนให้เห็นถึงฐานะหรือความสามารถทางการเงินที่จำกัด จึงมักใช้กล่าวถึงคนที่มีทรัพย์ไม่พอจะทำการสิ่งใดได้สะดวก ต้องรู้จักประมาณตน ใช้จ่ายอย่างระวัง และไม่กล้าแสดงออกเกินตัว ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนเบี้ยบ้ายรายทาง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนเบี้ยบ้ายรายทาง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ บ. เบี้ยบ้ายรายทาง เบี้ยบ้ายรายทาง หมายถึง สำนวน “เบี้ยบ้ายรายทาง” หมายถึง การใช้จ่ายเงินหรือทรัพย์สินที่ต้องเสียไปอย่างต่อเนื่องเป็นลำดับ โดยมักจะใช้ในการทำธุระหรือดำเนินการบางอย่างให้สำเร็จ เช่น การใช้จ่ายไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงเป้าหมาย เปรียบเสมือนการที่ต้องใช้เงินทีละน้อยอย่างต่อเนื่องในระหว่างทาง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายหรือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จ กล่าวคือ “ค่าใช้จ่ายยิบย่อยที่เกิดขึ้นระหว่างทาง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการใช้ “เบี้ย” หมายถึง เงินหรือทรัพย์สินที่ใช้จ่ายในการเดินทางหรือการทำธุระต่าง ๆ ในสมัยก่อน และ “บ้ายรายทาง” หมายถึง การใช้จ่ายเงินไปทีละน้อยในระหว่างทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เช่น ภาษี, คนงาน, ค่าใช้จ่ายจุกจิก ฯลฯ สำนวนนี้ใช้เพื่อเปรียบเทียบถึงการต้องใช้จ่ายเงินหรือทรัพย์สินอย่างต่อเนื่องเป็นลำดับ ในการทำธุระหรือดำเนินการบางอย่างให้สำเร็จ ถึงแม้การใช้จ่ายในแต่ละครั้งจะดูไม่มาก แต่เมื่อรวมกันไปนาน ๆ ก็จะกลายเป็นจำนวนมาก และการทำอะไรในโลกนี้มีต้นทุนเสมอไม่ว่าจะเงินหรือเวลา ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนบอกหนังสือสังฆราช ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนบอกหนังสือสังฆราช ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ บ. บอกหนังสือสังฆราช บอกหนังสือสังฆราช หมายถึง สำนวน “บอกหนังสือสังฆราช” หมายถึง การสอนหรือบอกสิ่งที่ผู้อื่นรู้ดีอยู่แล้ว หรือสิ่งที่คนอื่นมีความรู้หรือความเชี่ยวชาญดีกว่าตนเอง เปรียบเสมือนการบอกสิ่งที่ไม่จำเป็นหรือไร้ประโยชน์ เนื่องจากผู้ฟังมีความรู้หรือประสบการณ์ในเรื่องนั้นมากกว่า เช่นเดียวกับการบอกหนังสือสังฆราชเป็นผู้มีความรู้มากอยู่แล้ว กล่าวคือ “การสอนสิ่งที่ผู้อื่นรู้อยู่แล้วหรือรู้ดีกว่าตน, สอนหนังสือสังฆราช ก็ว่า” นั่นเอง ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มีที่มาจากเรื่องในวรรณคดีไทยเกี่ยวกับศรีธนนไชย ซึ่งในหนึ่งครั้งศรีธนนไชยขาดเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินหลายวัน พระเจ้าแผ่นดินจึงทรงถามว่า “ทำไมจึงขาดเข้าเฝ้า” ศรีธนนไชยกราบทูลว่า “ไปบอกหนังสือสังฆราช” ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินเข้าใจว่าเขามีความรู้สูงจนไปบอกหนังสือให้พระสังฆราชฟังได้ แต่เมื่อทรงถามพระสังฆราช ท่านกลับได้ความว่า คัมภีร์ของพระสังฆราชตกบนพื้นดิน ศรีธนนไชยจึงบอกให้เก็บขึ้นมา แท้จริงแล้วการไป “บอกหนังสือสังฆราช” หมายถึงการไปสอนหรือบอกสิ่งที่ผู้มีความรู้สูงกว่าตนเองรู้ดีอยู่แล้ว สำนวนนี้จึงใช้เปรียบเทียบถึงการไปสอนหรือบอกสิ่งที่ผู้อื่นรู้ดีอยู่แล้ว หรือรู้ดีกว่าตนเอง ซึ่งไม่จำเป็นและเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ ตัวอย่างการใช้สำนวน