Tag: สำนวนไทย ป.
-
รู้จักสำนวนแปดเหลี่ยมสิบสองคม ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ป. แปดเหลี่ยมสิบสองคม แปดเหลี่ยมสิบสองคม หมายถึง สำนวน “แปดเหลี่ยมสิบสองคม” หมายถึง คนที่มีกลอุบาย มีเล่ห์เหลี่ยม ไหวพริบรอบตัว สามารถปรับตัวได้ในหลายสถานการณ์ และมักจะหาทางเอาตัวรอดหรือได้ประโยชน์จากทุกสถานการณ์ โดยใช้ความคิดที่ซับซ้อนหรือไม่ตรงไปตรงมา เปรียบเสมือนแปดเหลี่ยมที่มีมุมมากมายและคมทุกมุม เช่นเดียวกับคนที่มีหลายแผนการและไหวพริบเล่ห์เหลี่ยมหลายชั้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ กล่าวคือ “คนที่มีเล่ห์เหลี่ยมไหวพริบรอบตัว” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากเหตุการณ์ในสามก๊ก โดยกลยุทธ์ของขงเบ้ง ที่ใช้แผนการหลอกล่อพลพรรคเหม็งฮั่ว ในการเข้าตีเมืองของโจโฉ ซึ่งเหม็งฮั่วเป็นคนที่เก่งในด้านการบู๊ แต่กลับอ่อนแอในด้านการคิดกลยุทธ์ (บุ๋น) ขงเบ้งจึงใช้แผน “แปดเหลี่ยมสิบสองคม” ที่ซับซ้อนและมีเล่ห์เหลี่ยมหลายขั้นตอนเพื่อหลอกล่อให้พลพรรคเหม็งฮั่วเข้ามาในกับดัก โดยมีการตั้งแผนลวงหลายขั้นตอน ที่ทำให้เหมา ฮั่วหลงกลจนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกปิดล้อมอย่างหมดหนทาง เมื่อเห็นธงขาวของเหมา ฮั่วปรากฏขึ้น ขงเบ้งจึงสามารถจับกุมเขาและทำให้เขาตกเป็นเชลยได้สำเร็จ สำนวนนี้จึงสื่อถึงการมีกลยุทธ์ที่ซับซ้อนหลายมุม มีเล่ห์เหลี่ยมหลายชั้น ที่สามารถหลอกล่อและหาทางเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่ดูเหมือนไม่มีทางออก สำนวนนี้พูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า “แปดเหลี่ยมแปดคม” ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนเป็ดขันประชดไก่ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ป. เป็ดขันประชดไก่ เป็ดขันประชดไก่ หมายถึง สำนวน “เป็ดขันประชดไก่” หมายถึง ผู้ที่มีความรู้หรือความสามารถน้อย พยายามอวดหรือแสดงออกแข่งขันกับผู้ที่มีความรู้หรือความสามารถมากกว่า จนกลายเป็นเรื่องน่าขัน เพราะไม่สามารถทำได้ดีเท่าผู้อื่น เปรียบเสมือนการที่คนที่ไม่มีความรู้หรือทักษะพยายามแข่งขันหรือแสดงออกในสิ่งที่คนอื่นทำได้ดีกว่า เช่นเดียวกับ เป็ดที่พยายามขันเหมือนไก่ ทั้งที่มันไม่สามารถขันได้จริง ๆ จึงกลายเป็นการแสดงออกที่ไม่น่าเชื่อถือและน่าขัน กล่าวคือ “ผู้ที่มีความรู้ความสามารถน้อยแต่อวดแสดงแข่งกับผู้ที่มีความรู้ความสามารถสูง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบพฤติกรรมของเป็ด ที่ไม่สามารถขันได้เหมือนไก่ แต่กลับพยายามทำการขันเพื่อประชดหรืออวดว่าไม่ยอมน้อยหน้าผู้อื่น ใช้เปรียบเทียบกับคนที่มีความรู้หรือทักษะน้อย แต่พยายามแสดงออกหรืออวดความสามารถแข่งขันกับผู้ที่มีความรู้มากกว่า ทำให้กลายเป็นเรื่องน่าขันและไม่สมจริง ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนเป็นฝั่งเป็นฝา ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ป. เป็นฝั่งเป็นฝา เป็นฝั่งเป็นฝา หมายถึง สำนวน “เป็นฝั่งเป็นฝา” หมายถึง การแต่งงานหรือลงหลักปักฐานมีครอบครัวอย่างมั่นคง เป็นการใช้ชีวิตคู่ที่เป็นทางการ ไม่เร่ร่อนหรืออยู่แบบชั่วคราวอีกต่อไป มักใช้พูดถึงคนที่ใช้ชีวิตคู่จริงจัง หรือเตือนให้รีบมีครอบครัวเมื่อถึงวัยอันควร เปรียบเสมือนการมีบ้านที่ปลูกเสร็จสมบูรณ์ มีฝาปิดกั้นเป็นสัดส่วนชัดเจน แสดงถึงความมั่นคงและเป็นที่เป็นทาง ไม่ใช่เพียงที่พักชั่วคราว เช่นเดียวกับชีวิตที่มีคู่ครองและหลักแหล่งชัดเจน เป็นการสร้างรากฐานชีวิตใหม่ที่มั่นคงต่อไปในอนาคต กล่าวคือ “การแต่งงานหรือมีครอบครัว มีหลักมีฐานมั่นคง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากลักษณะเรือนไทยโบราณ ซึ่งมักเป็นบ้านไม้ยกพื้นสูง มีชานกว้าง ห้องต่าง ๆ ถูกแบ่งอย่างเรียบง่าย โดยบริเวณตรงกลางบ้านจะเป็นห้องโถงโล่ง ๆ เรียกว่า “หอกลาง” เมื่อชายหญิงแต่งงานกัน หากครอบครัวมีฐานะ ก็มักจะแยกเรือนใหม่ให้ลูกอยู่ใกล้ ๆ เรือนเดิม ซึ่งเรียกว่า “อยู่คนละฝั่ง” แต่ถ้าพื้นที่จำกัดหรือยังไม่แยกออกไปไหน ก็จะทำการต่อเติมเรือนเดิม โดยกั้นห้องใหม่ขึ้นด้วยฝาไม้ เรียกว่า “อยู่คนละฝา” เมื่อคนในบ้านเริ่มมีเรือนหอเป็นของตนเอง ไม่ว่าจะ “เป็นฝั่ง” หรือ “เป็นฝา” จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของการมีครอบครัวมั่นคง และถูกใช้เป็น สำนวนเปรียบเปรย ถึงผู้ที่แต่งงานหรือลงหลักปักฐานในชีวิต…
-
รู้จักสำนวนเป็นปี่เป็นขลุ่ย ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ป. เป็นปี่เป็นขลุ่ย เป็นปี่เป็นขลุ่ย หมายถึง สำนวน “เป็นปี่เป็นขลุ่ย” หมายถึง เข้ากันได้ดี ทำอะไรร่วมกันอย่างราบรื่น โดยเฉพาะในการพูดคุย หรือทำกิจกรรมที่มีความสอดคล้องกลมกลืนกัน ไม่มีขัดแย้งหรือขลุกขลัก เปรียบเสมือนเสียงของปี่กับขลุ่ยที่เล่นร่วมกันได้อย่างไพเราะ ไม่มีใครแย้งจังหวะหรือผิดเสียง จึงใช้สื่อถึงคนที่เข้าขากันดี พูดคุยหรือทำงานกันได้อย่างราบรื่น กล่าวคือ “ถูกคอกัน, ความเข้ากันได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กลมเกลียวไปด้วยกัน พูดจาเออออรับกันไปได้อย่างต่อเนื่อง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการบรรเลงดนตรีไทยในวงปี่พาทย์ไม้แข็ง ซึ่งมีเครื่องดนตรีหลากหลายชนิดเล่นร่วมกันอย่างประสานกลมกลืน โดยเฉพาะปี่ ซึ่งเป็นเครื่องเป่าที่ใช้ดำเนินทำนองหลัก มีเสียงโหยหวน ล่องลอย และต้องประสานไปกับจังหวะของเครื่องตี เช่น ระนาด และฆ้อง ได้อย่างแนบเนียน ในขณะเดียวกัน ขลุ่ยก็เป็นเครื่องเป่าที่มีบทบาทดำเนินทำนองเช่นเดียวกันกับปี่ แต่ขลุ่ยนั้นจะอยู่ในวงดนตรีอีกประเภทหนึ่ง ไม่ได้ใช้เป่าร่วมกับปี่ในวงเดียวกัน จึงไม่มีการบรรเลงพร้อมกันจริง ๆ ในทางดนตรี นำมาเปรียบเทียบในลักษณะประชดกับคนที่ไม่น่าจะเข้ากันได้แต่กลับเข้ากันได้เป็นอย่างดี “ประสานสอดคล้องกันราวกับเสียงของปี่และขลุ่ย” ที่คนทั่วไปนึกภาพว่าเป่าร่วมกันได้อย่างไพเราะ จึงนิยมพูดว่า “เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย” เพื่อสื่อถึงความกลมกลืน ไม่ขัดแย้งกันของบุคคลหรือสิ่งต่าง ๆ ที่ทำงานหรือพูดคุยร่วมกันอย่างราบรื่นนั่นเอง ที่มาของสำนวน
-
รู้จักสำนวนปู่โสมเฝ้าทรัพย์ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ป. ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ หมายถึง สำนวน “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” หมายถึง คนที่หวงสมบัติหรือทรัพย์สินของตนเองอย่างมาก โดยไม่ยอมใช้หรือให้ผู้อื่นได้ใช้หรือรักษาทรัพย์สินไว้เฉย ๆ โดยไม่ยอมให้ใครได้ประโยชน์จากมัน นั่นหมายถึงการหวงแหนทรัพย์สินมากจนเกินไป โดยที่ตัวเองก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้น และไม่ยอมให้ผู้อื่นได้ใช้ด้วย เปรียบเสมือนการที่ปู่โสมซึ่งเป็นวิญญาณไม่ยอมไปผุดไปเกิดและคอยเฝ้าสมบัติอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่สมบัตินั้นก็ไม่ได้ถูกใช้หรือเป็นประโยชน์กับใครเลย กล่าวคือ “คนที่เฝ้ารักษาทรัพย์สมบัติอยู่เฉย ๆ โดยที่ตนเองไม่ได้ใช้ และกันไม่ให้ผู้อื่นได้ใช้ด้วย, หรือวิญญาณที่คอยเฝ้าสมบัติ และไม่ยอมไปผุดไปเกิด” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในราวปี พ.ศ. 2500-2501 เมื่อกลุ่มโจรลักลอบขุดสมบัติจากกรุสมบัติที่วัดราชบูรณะ ซึ่งใช้เวลานานถึง 3 วันเนื่องจากสมบัติมากมายมหาศาลที่ถูกฝังไว้ในวัด ขณะที่ขุดค้นนั้นเกิดเหตุการณ์แปลกประหลาด โดยเฉพาะพระแสงขรรค์ชัยศรี ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ส่องแสงแวววับขึ้นมา ขณะเดียวกันท้องฟ้าก็เริ่มวิปริตแปรปรวน หลังจากนั้นหนึ่งในโจรที่ร่วมขบวนการได้เข้ามอบตัวและคืนของที่ขโมยมาคืนแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยอ้างว่าเขารู้สึกผิดและได้คืนของที่ขโมยไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับกลุ่มโจรก็คือการได้รับผลกรรมต่าง ๆ เช่น เสียสติ หรือร้านที่รับซื้อสมบัติไปก็ต้องปิดกิจการ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้คนในสมัยนั้นเชื่อว่าเป็นการดลบันดาลจาก “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” ซึ่งหมายถึงวิญญาณของโสมที่คอยเฝ้าทรัพย์สมบัติของตน และไม่ยอมให้ใครเข้ามาครอบครองหรือนำสมบัติไปได้ อีกตำนานมาจากเรื่องเล่าพื้นบ้านสมัยโบราณที่กล่าวถึงชายชื่อ “โสม” ซึ่งเป็นเศรษฐีที่มีสมบัติจำนวนมาก เมื่อเขาตายไป วิญญาณของเขากลับไม่ยอมไปผุดไปเกิด และคอยเฝ้ารักษาสมบัติของตนเอง โดยถือกระบองและปกป้องสมบัติไม่ให้ใครเข้ามาเอาไป…
-
รู้จักสำนวนปล่อยนกปล่อยกา ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ป. ปล่อยนกปล่อยกา ปล่อยนกปล่อยกา หมายถึง สำนวน “ปล่อยนกปล่อยกา” หมายถึง การปล่อยให้ผู้อื่นเป็นอิสระโดยไม่เอาผิด หรือปล่อยให้พ้นจากข้อผูกมัด โดยไม่หาความผิด หรือไม่ลงโทษใคร มักใช้ในบริบทอย่างมักใช้ระหว่างผู้ใหญ่กับผู้น้อย และการยกเว้นหรือไม่ต้องการทำให้เรื่องราวซับซ้อนมากขึ้น เปรียบเสมือนการปล่อยนกและกาให้บินไปตามทางของมันโดยไม่จับหรือบังคับให้ทำตามความต้องการของเรา ซึ่งเป็นการให้ความอิสระแก่สิ่งนั้น ๆ โดยไม่ต้องรับผิดหรือความรับผิดชอบเพิ่มเติม กล่าวคือ “การปล่อยให้เป็นอิสระ, ไม่เอาผิด, ปล่อยให้พ้นจากความผูกพัน, ปล่อยลูกนกลูกกา ก็ว่า” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบถึงการปล่อยนกและกาให้เป็นอิสระจากการจับหรือการควบคุม ซึ่งเป็นสิ่งที่ธรรมชาติทำให้มันเป็นไปตามทางของมัน โดยที่ไม่ต้องเอาผิดหรือหาความผิดอะไร ในบางกรณีจึงหมายถึงการยอมให้ผู้อื่นหลุดพ้นจากข้อผูกมัดหรือการลงโทษ โดยเฉพาะในการใช้ระหว่างผู้ใหญ่และผู้น้อย หรือการใช้กับสถานการณ์ที่ไม่ต้องการให้เรื่องราวซับซ้อนหรือลุกลามไปมากกว่านั้น เช่น การยกเว้นไม่แจ้งความหรือลงโทษผู้กระทำผิด ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนปีกกล้าขาแข็ง ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ป. ปีกกล้าขาแข็ง ปีกกล้าขาแข็ง หมายถึง สำนวน “ปีกกล้าขาแข็ง” หมายถึง การที่คนหนึ่งพอพึ่งพาตนเองได้ มีความมั่นใจในตัวเอง หรือเริ่มมีความสามารถและอำนาจมากขึ้นจนไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น แต่ในความหมายเชิงลบหรือเชิงตำหนิ มักใช้เพื่อวิจารณ์คนที่เริ่มหยิ่งผยอง ไม่ยอมรับคำแนะนำจากผู้อื่น และคิดว่าเก่งแล้วไม่จำเป็นต้องฟังคำติเตียนจากผู้ใหญ่หรือผู้รู้ เปรียบเสมือนนกที่ปีกแข็งแรง พร้อมที่จะโบยบินไปในโลกกว้างด้วยตัวเอง หรือสัตว์ที่โตเต็มที่ มีลำขาที่แข็งแรง สามารถวิ่งหาอาหารหรือหลบหนีศัตรูได้ด้วยตนเองแล้ว กล่าวคือ “คนพึ่งตัวเองได้แล้ว, เป็นคำที่ผู้ใหญ่มักใช้กล่าวเชิงตำหนิติเตียนผู้น้อย” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับนกที่เมื่อมันโตเต็มวัยมันจะมีปีกและขาที่แข็งแรงขึ้น ก็สามารถบินได้เองโดยไม่ต้องพึ่งพาพ่อแม่ของมันอีกต่อไป เมื่อมันมีความสามารถในการบินและเดินได้อย่างมั่นคง ก็จะสามารถออกจากรังได้โดยไม่ต้องกลับมาอีก จึงเปรียบเสมือนคนที่เริ่มมีความมั่นใจหรือความสามารถในตัวเองมากขึ้นจนไม่ต้องการคำแนะนำจากผู้ใหญ่หรือผู้รู้ ในบริบทเชิงลบสำนวนนี้มักถูกใช้วิจารณ์คนที่เริ่มพึ่งตนเองได้แล้ว ทำนองว่าทำนองโตแล้ว เก่งแล้ว ไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่นแล้ว จึงเกิดอาการหยิ่งผยอง ไม่ยอมรับคำแนะนำหรือคำติเตียนจากผู้ใหญ่หรือผู้รู้คนอื่น ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนปัญญาแค่หางอึ่ง ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ป. ปัญญาแค่หางอึ่ง ปัญญาแค่หางอึ่ง หมายถึง สำนวน “ปัญญาแค่หางอึ่ง” หมายถึง การที่คนมีความรู้หรือปัญญาน้อย ไม่สามารถคิดหรือทำสิ่งที่ซับซ้อนได้ หรือมีความคิดที่จำกัด เปรียบเสมือนหางอึ่งที่สั้นและเล็กและน้อยมาก ซึ่งหมายถึงขีดจำกัดของความรู้หรือความคิดที่ไม่สามารถพัฒนาไปได้มากนัก กล่าวคือ “คนมีความรู้น้อย, โง่” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบความคิดหรือปัญญาของคนที่มีความรู้จำกัดกับหางอึ่ง โดยที่หางอึ่งนั้นสั้นกุดจุ๊ดจู๋หรือมีอยู่น้อยนิดจนถูกนำมาเทียบกับคนที่มีความคิดอ่านมีปัญญาน้อย สำนวนนี้จึงใช้เพื่อบ่งบอกถึงคนที่มีความคิดหรือความรู้แคบ ๆ หรือมีความสามารถที่จำกัด โดยไม่สามารถขยายออกไปได้มากกว่าที่เห็น ทำให้ดูเหมือนอึ่งที่ไม่สามารถเติบโตหรือขยายไปในทางอื่นได้ ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนปั้นน้ำเป็นตัว ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ป. ปั้นน้ำเป็นตัว ปั้นน้ำเป็นตัว หมายถึง สำนวน “ปั้นน้ำเป็นตัว” หมายถึง การแต่งเรื่องหรือสร้างเรื่องที่ไม่มีมูลความจริงให้ดูเหมือนจริงจัง หรือทำให้สิ่งที่ไม่มีมูลความจริงกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา เปรียบเสมือนการพยายามปั้นน้ำให้กลายเป็นตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ เพราะน้ำเป็นของเหลวไม่มีรูปร่างและไม่สามารถปั้นเป็นตัวได้ หรือการพยายามสร้างสิ่งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง กล่าวคือ “การสร้างเรื่องเท็จให้เห็นเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบถึงการพยายามทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เช่น การพยายามปั้นน้ำให้กลายเป็นตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ เพราะน้ำเป็นของเหลว ไม่มีรูปร่างและไม่สามารถปั้นเป็นตัวได้ สำนวนนี้จึงใช้เพื่อสื่อถึงการพยายามสร้างเรื่องที่ไม่มีมูลความจริง หรือทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้ดูเหมือนจริง ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนปล้ำผีลุกปลุกผีนั่ง ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ป. ปล้ำผีลุกปลุกผีนั่ง ปล้ำผีลุกปลุกผีนั่ง หมายถึง สำนวน “ปล้ำผีลุกปลุกผีนั่ง” หมายถึง การพยายามทำให้เรื่องที่จบไปแล้วกลับมาเป็นเรื่องขึ้นมาใหม่ เปรียบเสมือนการพยายามปลุกผีให้ลุกหรือให้ผีมานั่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ เพราะมันผิดธรรมชาติและไม่มีเหตุผล กล่าวคือ “การพยายามทำให้มีเรื่องมีราวขึ้นมา หรือทำให้เรื่องที่จบไปแล้วให้กลับมามีเรื่องราวขึ้นใหม่อีกครั้ง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบถึงการทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือไม่มีเหตุผล โดยการพยายาม “ปล้ำผีให้ลุก” หรือ “ปลุกผีให้มานั่ง” ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ผิดธรรมชาติ คนตายหรือผีเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิตแล้ว สำนวนนี้จึงใช้เพื่อแสดงถึงการพยายามทำสิ่งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หรือการพยายามกลับมาทำเรื่องที่จบไปแล้วให้กลับมาเป็นปัญหาหรือมีความสำคัญขึ้นใหม่ ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนปิดควันไฟไม่มิด ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ป. ปิดควันไฟไม่มิด ปิดควันไฟไม่มิด หมายถึง สำนวน “ปิดควันไฟไม่มิด” หมายถึง การที่เรื่องไม่ดีที่เกิดขึ้นจนคนรู้อื้อฉาวทั่วไปหมดแล้ว จะปกปิดอย่างไรก็คงไม่สำเร็จ เปรียบเสมือนการพยายามปิดควันไฟที่ลอยออกมาจากกองไฟที่ลุกไหม้ ซึ่งไม่สามารถปิดให้มิดได้ เพราะควันยังคงลอยออกมาให้เห็น แม้จะพยายามปิดซ่อนไว้ กล่าวคือ “การปิดเรื่องที่อื้อฉาวไปทั่วแล้วไม่สำเร็จ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบการปิดบังหรือปกปิดความจริงกับการพยายามปิดควันจากไฟที่กำลังลุกไหม้ แม้ว่าจะพยายามใช้วิธีต่างๆ ปิดหรือซ่อนควันไฟ แต่ก็ไม่สามารถปิดได้ทั้งหมด เพราะควันยังลอยออกมาให้เห็นได้เสมอ สำนวนนี้จึงใช้เพื่อสื่อถึงการที่ไม่สามารถปิดบังเรื่องราวที่อื้อฉาวหรือความจริงที่กำลังถูกเปิดเผยได้ ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนปิดทองหลังพระ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ป. ปิดทองหลังพระ ปิดทองหลังพระ หมายถึง สำนวน “ปิดทองหลังพระ” หมายถึง การทำความดีหรือทำประโยชน์หรือการทำสิ่งดีๆ อย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีใครเห็นคุณค่าหรือได้รับการยอมรับ เปรียบเสมือนการปิดทองที่หลังพระ ซึ่งเป็นการทำสิ่งดีในที่ที่ไม่ถูกมองเห็นหรือไม่เป็นที่สังเกต กล่าวคือ “การทำความดีไม่ได้รับการยกย่อง เพราะไม่มีใครเห็นคุณค่า” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการปิดทองที่ด้านหลังของพระพุทธรูป ซึ่งเป็นส่วนที่คนส่วนใหญ่มักไม่เห็นหรือมองข้าม แต่การปิดทองทั่วทั้งองค์ทำให้พระพุทธรูปนั้นมีความสวยงามสมบูรณ์ทั้งองค์ การปิดทองที่หลังพระจึงเปรียบเสมือนการทำดีหรือทำประโยชน์ให้กับผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน หรือทำสิ่งดีๆ ในที่ที่ไม่ค่อยมีคนเห็นหรือไม่เป็นที่สังเกต นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่า การปิดทองในตำแหน่งต่าง ๆ บนพระพุทธรูปจะช่วยเสริมโชคลาภ เช่น ปิดทองที่ศีรษะทำให้ความจำดี หรือปิดทองที่หน้าอกจะทำให้เป็นที่รักใคร่ ตัวอย่างการใช้สำนวน