Tag: สำนวนไทย ป.
-
รู้จักสำนวนปากกัดตีนถีบ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ป. ปากกัดตีนถีบ, ตีนถีบปากกัด ปากกัดตีนถีบ หมายถึง สำนวน “ปากกัดตีนถีบ” หมายถึง การต่อสู้ดิ้นรนทุกวิถีทาง หรือการพยายามอย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าจะต้องลำบากหรือเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ตาม เพื่อให้สามารถเอาตัวรอด ดำรงชีวิต หรือประสบความสำเร็จในสิ่งที่มุ่งหวัง เปรียบเสมือนคนที่ต้องใช้ทั้งปากกัดและเท้าถีบ คือใช้ทุกส่วนของร่างกายที่สามารถทำได้ แม้ไม่ใช่วิธีที่เหมาะหรือสง่างาม ก็ยังต้องทำ เพื่อเอาตัวรอดจากความยากลำบาก กล่าวคือ “การต่อสู้ทุกวิถีทางหรือเต็มที่, และการพยายามอย่างสุดความสามารถ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากภาพของคนที่อยู่ในสถานการณ์คับขันหรือเผชิญกับภัยอันตราย ซึ่งต้องดิ้นรนต่อสู้อย่างเต็มที่เพื่อเอาตัวรอด ไม่ว่าจะมีอาวุธหรือไม่ก็ตาม หากมีมีดก็ใช้มีด หากไม่มีอะไรก็ใช้มือชก เท้าเตะ หรือแม้แต่ปากกัด หากอยู่ในระยะใกล้ ทุกอย่างที่พอจะใช้ได้ก็ต้องนำมาใช้ในการป้องกันตัว เพื่อความอยู่รอดของตนเอง ลักษณะการต่อสู้นี้จึงถูกเปรียบเปรยในเชิงสำนวนว่า “ปากกัดตีนถีบ” เพื่อสื่อถึงการต่อสู้ดิ้นรนอย่างสุดความสามารถ ใช้ทุกวิถีทางที่มี ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เพื่อหลุดพ้นจากสภาวะยากลำบากหรืออันตรายที่อยู่ตรงหน้า ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนปากหอยปากปู ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ป. ปากหอยปากปู ปากหอยปากปู หมายถึง สำนวน “ปากหอยปากปู” หมายถึง คนที่ชอบซุบซิบนินทาพูดเล็กพูดน้อยมุมมิมริมปาก แต่ก็ไม่มีความสลักสำคัญอะไรมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ หรือให้ใครมาสนใจ เปรียบเสมือนการที่หอยและปูมีปากแต่ไม่สามารถส่งเสียงได้ดัง หรือเสียงที่ออกมามีขนาดเล็กจนไม่สามารถสร้างผลกระทบหรือได้รับความสนใจจากใครได้ กล่าวคือ “การชอบนินทาเล็กน้อยมุมมิมริมปาก” นั่นเอง สำนวนนี้ยังมีอีกความหมายหนึ่งคือ “การที่ไม่กล้าพูด, พูดไม่ขึ้นหรือพูดไม่มีใครสนใจฟัง เสียงเล็กเสียงน้อย (ใช้แก่ผู้น้อย)” ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบปากของหอยและปูเป็นสัตว์ที่เล็กที่แม้จะมีปากแต่ไม่สามารถส่งเสียงได้ดังหรือมีผลกระทบ จึงเปรียบเปรยถึงการพูดของหอยและปูจึงเหมือนเสียงที่เล็กมากจนไม่มีใครสนใจหรือฟัง สิ่งนี้ถูกนำมาใช้เปรียบเทียบกับคนที่ชอบนินทาหรือพึมพำเองเบา ๆ และคนที่พูดไปก็เหมือนไม่มีความหมายหรือไม่ได้รับความสนใจจากผู้อื่น โดยเฉพาะเมื่อพูดในเรื่องที่ไม่สำคัญหรือเป็นการนินทาเล็กน้อย ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนปากเป็นชักยนต์ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ป. ปากชักเป็นยนต์ ปากเป็นชักยนต์ หมายถึง สำนวน “ปากเป็นชักยนต์” หมายถึง การที่คนพูดหรือต่อว่าคนอื่นไม่หยุด ราวกับเครื่องยนต์ที่ทำงานอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดพัก หรือการที่พูดหรือสั่งสอนอยู่ตลอดเวลาโดยไม่มีการหยุด เปรียบเสมือนเครื่องยนต์ที่ทำงานอย่างต่อเนื่องไม่หยุดพัก เช่นเดียวกับการที่คนพูดไม่หยุด หรือพูดตักเตือนสั่งสอนไม่รู้จักจบ กล่าวคือ “คนที่ชอบว่ากล่าวสั่งสอนไม่รู้จักหยุด” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบการพูดของคนที่ไม่หยุดไม่ยั้งกับเครื่องยนต์ที่ทำงานต่อเนื่องโดยไม่มีการหยุดพัก เช่นเดียวกับเครื่องยนต์ที่ทำงานอย่างต่อเนื่องไม่มีการหยุด คนที่พูดตักเตือน หรือสั่งสอนจนไม่นึกถึงการหยุดพูดจะดูเหมือนเครื่องยนต์ที่ทำงานตลอดเวลา สำนวนนี้ใช้เพื่อบ่งบอกถึงการพูดที่มากเกินไป จนดูเหมือนว่าคนพูดไม่มีการหยุดหรือรู้จักคำว่าหยุด ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนปากหวานก้นเปรี้ยว ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ป. ปากหวานก้นเปรี้ยว ปากหวานก้นเปรี้ยว หมายถึง สำนวน “ปากหวานก้นเปรี้ยว” หมายถึง การพูดจาหวานหูหรือพูดดี แต่การกระทำหรือพฤติกรรมกลับตรงข้าม หรือแสดงออกในทางที่ไม่ดีหรือขัดแย้งกับคำพูดที่กล่าวไป เปรียบเสมือนผลไม้ที่หัวหรือส่วนบนมีรสหวาน แต่ก้นหรือปลายกลับมีรสเปรี้ยว ซึ่งแสดงถึงสิ่งที่ภายนอกดูดี แต่ภายในกลับไม่ตรงกับสิ่งที่คาดหวัง กล่าวคือ “การพูดจาอ่อนหวานแต่ไม่จริงใจ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบผลไม้ที่เมื่อมันสุกแล้วบริเวณหัวของผลไม้จะมีรสหวานมากกว่าบริเวณก้นหรือปลายผล ซึ่งหมายถึงการที่บางสิ่งหรือบางคนภายนอกดูดีหรือหวานหู แต่การกระทำกลับตรงข้าม หรือมีพฤติกรรมที่ไม่ดีหรือไม่จริงใจตามมา สำนวนพูดได้อีกอย่างว่า “หัวหวานก้นเปรี้ยว” ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนปากว่าตาขยิบ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ป. ปากว่าตาขยิบ ปากว่าตาขยิบ หมายถึง สำนวน “ปากว่าตาขยิบ” หมายถึง การพูดคำหนึ่งแต่ทำอีกอย่าง หรือพูดไปอีกอย่างหนึ่งแต่แสดงออกทางกิริยาหรือท่าทางที่ตรงข้ามกับสิ่งที่พูด เปรียบเสมือนการที่ปากพูดอย่างหนึ่ง แต่ตากลับแสดงความหมายตรงข้ามโดยการขยิบตา ซึ่งสื่อถึงการแสดงความตั้งใจที่ไม่ตรงกับคำพูด กล่าวคือ “การพูดอย่างหนึ่งแต่ทำอีกอย่างหนึ่ง, ปากกับใจไม่ตรงกัน ปากอย่างใจอย่าง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการแสดงกิริยาของผู้พูดที่พูดคำหนึ่งแต่กระทำหรือแสดงออกตรงข้ามกับสิ่งที่พูด โดยการขยิบตาควบคู่กับการพูด ซึ่งจะทำให้ผู้ฟังรู้ว่า ผู้พูดพูดอย่างหนึ่ง แต่จะกระทำอีกอย่างหนึ่งที่ตรงข้ามกับคำพูดนั้น สำนวนนี้มักใช้เพื่อแสดงถึงการพูดเพื่อหลอกลวงหรือทำสิ่งที่ไม่ดี หรือการนัดแนะกันเพื่อบิดเบือนความจริง ซึ่งเป็นการกระทำที่จงใจหรือไม่สุจริต ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสำนวนปลูกเรือนคร่อมตอ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ป. ปลูกเรือนคร่อมตอ ปลูกเรือนคร่อมตอ หมายถึง สำนวน “ปลูกเรือนคร่อมตอ” หมายถึง การกระทำสิ่งที่ล่วงล้ำ ก้าวก่าย หรือทับสิทธิของผู้อื่น ไม่ว่าจะโดยรู้เท่าถึงการณ์หรือไม่ก็ตาม เปรียบเสมือนการปลูกเรือนบนพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม หรือการกระทำสิ่งใดที่ไม่ควรทำในที่หรือสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม กล่าวคือ “การทำสิ่งซึ่งล่วงล้ำ หรือทับสิทธิผู้อื่น” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากนิทานพื้นบ้านไทยโบราณเรื่องขุนช้างขุนแผน ซึ่งในเรื่องนี้ ขุนช้างได้ปลูกบ้านทับบนเรือนเก่าของขุนแผน ถือเป็นการก้าวล่วงสิทธิ์ของขุนแผน สื่อถึงการกระทำที่ล่วงล้ำหรือขัดแย้งกับสิทธิ์ของผู้อื่น แม้จะไม่ตั้งใจก็ตาม นอกจากนี้ ในสมัยโบราณยังมีความเชื่อว่าตอไม้ เป็นที่อยู่ของผีสางนางไม้ และห้ามปลูกเรือนคร่อมต่อ เพราะเชื่อว่าเป็นการบุกรุกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเดือดร้อนในภายหลังได้ ดังนั้น สำนวนนี้จึงถูกใช้เพื่อเตือนถึงการกระทำที่ไม่เคารพสิทธิ์ของผู้อื่นหรือทำสิ่งใดที่อาจนำไปสู่ปัญหาในอนาคต ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนปลาหมอแถกเหงือก ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ป. ปลาหมอแถกเหงือก ปลาหมอแถกเหงือก หมายถึง สำนวน “ปลาหมอแถกเหงือก” หมายถึง การดิ้นรนกระเสือกกระสนเพื่อให้อยู่รอดหรือเพื่อให้ได้สิ่งบางอย่าง พยายามหาทางออกจากปัญหาอย่างเต็มที่ แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เปรียบเสมือนปลาหมอที่พยายามเอาชีวิตรอดด้วยการย้ายถิ่นไปยังแหล่งน้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์กว่า โดยใช้เหงือกหรือแก้มไสไปกับพื้นดินหรือพื้นหญ้าที่มีน้ำไหล ซึ่งเป็นการดิ้นรนที่ยากลำบากเพราะปลาหมอถนัดในการว่ายน้ำมากกว่าการเคลื่อนไหวบนพื้น กล่าวคือ “การกระเสือกกระสนดิ้นรน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากพฤติกรรมของปลาหมอที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดในช่วงน้ำแห้ง, หน้าแล้ง ซึ่งมันจะพยายามย้ายถิ่นไปยังแหล่งน้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์กว่า โดยใช้เหงือกหรือบริเวณแก้มไสไปกับพื้นดินพื้นหญ้า การกระทำนี้เป็นการดิ้นรนเพื่อหาทางรอดจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก เนื่องจากปลาหมอโดยธรรมชาติจะถนัดในการว่ายน้ำมากกว่าการเคลื่อนไหวบนพื้นดินหรือหญ้า สำนวนนี้จึงเปรียบเปรยถึงปลาหมอที่ต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนที่ไม่สะดวกและเต็มไปด้วยความยากลำบาก เปรียบเสมือนการพยายามเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยหรือยาก ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนปลาตกน้ำตัวโต ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ป. ปลาตกน้ำตัวโต, ปลาตกน้ำตัวใหญ่ ปลาตกน้ำตัวโต หมายถึง สำนวน “ปลาตกน้ำตัวโต” หมายถึง การสูญเสียสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปเพียงเล็กน้อย แต่กลับบอกว่าสิ่งของนั้นมีมูลค่ามาก ทำให้ของนั้นดูมีค่าเกินกว่าความเป็นจริง เปรียบเสมือนการที่เผลอทำปลาหลุดตกน้ำ แล้วปลาว่ายหนีหายไป จะรู้สึกเสียดาย แล้วมักบ่นว่าปลาที่ตกน้ำไปนั้นตัวใหญ่ ทั้ง ๆ ที่คนทำตกยังไม่ทันได้สังเกตขนาดของปลาเลย กล่าวคือ “สิ่งที่เสียหรือสูญหายไปมักดูมีค่ามากเกินความเป็นจริง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการจับปลา เมื่อชาวประมงหรือคนจับปลาได้การทำปลาหลุดมือไป ซึ่งเมื่อปลาตกลงไปในน้ำ จะดูเหมือนปลาตัวนั้นใหญ่ขึ้นหรือมีมูลค่ามากขึ้นกว่าปกติ เพราะการสูญเสียไปหรือเสียดายและหลุดพ้นจากการควบคุมทำให้มันดูมีค่าเกินกว่าความเป็นจริง สำนวนนี้ใช้เปรียบเทียบถึงสิ่งที่สูญเสียไปแล้วมักจะถูกมองว่าเป็นสิ่งที่มีค่า หรือสำคัญกว่าตอนที่มันยังอยู่ในมือหรือควบคุมได้ ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ได้มีค่าอย่างที่คิด เช่นเดียวกับปลาที่ตกน้ำที่ดูเหมือนใหญ่ขึ้น ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงยังคงเป็นปลาตัวเดิม ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนปลาข้องเดียวกัน ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ป. ปลาข้องเดียวกัน ปลาข้องเดียวกัน หมายถึง สำนวน “ปลาข้องเดียวกัน” หมายถึง การที่คนหรือสิ่งต่าง ๆ อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน หรือมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันในทางใดทางหนึ่ง เช่น การทำสิ่งเดียวกัน หรือมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องเดียวกัน เปรียบเสมือนการที่ปลาหลายตัวอยู่ในข้องเดียวกัน มันมีความสัมพันธ์หรืออยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเผชิญร่วมกัน กล่าวคือ “คนที่อยู่ร่วมกันหรือเป็นพวกเดียวกัน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการจับปลาด้วยข้อง ซึ่งเป็นภาชนะที่มีตาข่าย ใช้ในการดักจับปลา เมื่อปลาหลายตัวอยู่ในข้องเดียวกัน จะต้องเผชิญกับสถานการณ์เดียวกัน คือการถูกจับและติดอยู่ในข้องเดียวกัน ดังนั้นสำนวนนี้จึงถูกใช้เพื่อเปรียบเทียบถึงสถานการณ์หรือกลุ่มคนที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันหรือมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันในทางใดทางหนึ่ง ตัวอย่างการใช้สำนวน
-
รู้จักสำนวนปลาติดหลังแห (ปลาติดร่างแห) ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ป. ปลาติดหลังแห (ปลาติดร่างแห) ปลาติดหลังแห (ปลาติดร่างแห) หมายถึง สำนวน “ปลาติดหลังแห (ปลาติดร่างแห)” หมายถึง คนที่พลอยได้รับเคราะห์กรรมร่วมกับผู้อื่น ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีส่วนพัวพันด้วย หรือ คนที่เข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ได้ตั้งใจ แล้วต้องพลอยรับผลกระทบไปด้วย เปรียบได้กับปลาที่ติดแหโดยบังเอิญ ในขณะที่ไม่ได้เป็นปลาที่ต้องการจะจับ กล่าวคือ “คนที่พลอยได้รับเคราะห์กรรมร่วมกับผู้อื่น ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีส่วนพัวพันด้วย” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการใช้แหทอดปลา โดยเมื่อแหกางออกไปครอบปลา ปลาที่อยู่ในพื้นที่หน้าปากแหจะพยายามว่ายหนี แต่เมื่อผู้จับลากแหขึ้นมาปลาก็จะติดกับหน้าแหด้วย อย่างไรก็ตาม ยังมีปลาบางตัวที่ไม่ได้อยู่ในปากแห แต่กลับว่ายเข้าไปติดหลังแห ซึ่งหมายถึงการที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับสถานการณ์หรือเหตุการณ์ใด ๆ แต่กลับพลอยเข้าไปพัวพันและต้องรับผลกระทบจากเหตุการณ์นั้น ๆ การกระทำเช่นนี้จึงเหมือนกับปลาที่ติดแหโดยบังเอิญ ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน