Tag: สำนวนไทย ผ.

  • รู้จักสำนวนผู้ดีแปดสาแหรก ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนผู้ดีแปดสาแหรก ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ผ. ผู้ดีแปดสาแหรก ผู้ดีแปดสาแหรก หมายถึง สำนวน “ผู้ดีแปดสาแหรก“ หมายถึง คนที่ทำกิริยาท่าทางโอ้อวด เย่อหยิ่ง วางท่าเป็นผู้ดี และดูถูกคนอื่น แม้เดิมคำนี้จะ หมายถึง ผู้ดีมีเชื้อสายและคุณธรรมครบถ้วน แต่ปัจจุบันใช้ในเชิงเหน็บแนมและเล่นคำ เช่นมีคำพูดว่าผู้ดีแปดสาแหรกเก้าไม้คาน เพื่อสื่อว่าไม่ใช่ผู้ดีแท้ แต่ทำตัวจริตกรีดกราย แสร้งทำเป็นผู้ดี กล่าวคือ “คนที่ทำตัวกรีดกรายเอาอย่างผู้ดี” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับสาแหรกหาบ ซึ่งเป็นอุปกรณ์โบราณสำหรับวางกระจาดใส่ของเพื่อหาบไม้คานขนของไป สาแหรกมีข้างละ 4 ขา รวม 2 ข้างเป็น 8 ขา การเปรียบเทียบนี้สื่อถึงความสมบูรณ์และครบถ้วนของผู้ดีแท้ ในความหมายเชิงสังคม คนที่มีผู้ดีแปดสาแหรก คือผู้ที่มีสกุลสูงและครบถ้วนทั้งฝ่ายบิดาและมารดา เปรียบเหมือนสาแหรกที่แข็งแรงและสมบูรณ์ สามารถรับภาระได้ครบถ้วนทุกด้าน จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของผู้ดีแท้ มีคุณธรรม และความมั่นคงของสกุล ปัจจุบันสำนวนนี้มักใช้ในเชิงเหน็บแนม คนที่ทำท่าทางโอ้อวด เย่อหยิ่ง วางตัวเป็นผู้ดี แต่ไม่ได้มีคุณสมบัติหรือเชื้อสายผู้ดีแท้ ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนผีไม่มีศาล ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนผีไม่มีศาล ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมดวหมู่ ผ. ผีไม่มีศาล ผีไม่มีศาล หมายถึง สำนวน “ผีไม่มีศาล” หมายถึง ผู้ที่ไม่มีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง ต้องอาศัยไปตามที่ต่าง ๆ หรือไม่มีบ้านมั่นคง เปรียบเสมือนผีที่ไม่มีศาลสักแห่งให้สิงสถิต จึงต้องล่องลอยไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่ยึดเหนี่ยว กล่าวคือ “คนที่ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากความเชื่อและวิถีชีวิตของชาวบ้านสมัยก่อน ในสังคมไทย คนโบราณมักสร้างศาลหรือที่บูชาสำหรับผีหรือวิญญาณของผู้ล่วงลับ เพื่อให้ผีมีที่สิงสถิต รักษาและคอยคุ้มครองบ้านเรือนและคนในครอบครัว แต่สำหรับบางคนที่ไม่มีบ้านมั่นคงหรืออาศัยไปตามที่ต่าง ๆ ไม่ได้มีญาติหรือคนดูแลหลังความตาย พวกเขาจึงไม่มีศาลให้สิงสถิต ต้องล่องลอยไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่ยึดเหนี่ยว ภาพของผีที่ไม่มีศาล ถูกนำมาใช้เป็นสำนวนเปรียบเทียบกับคนที่ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ต้องอาศัยไปตามที่ต่าง ๆ ไม่มีบ้านมั่นคงหรือที่พึ่งพิง สื่อถึงความไร้บ้าน ไร้หลักแหล่ง และอิสระแต่เปราะบางในสังคม ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนผีถึงป่าช้า ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนผีถึงป่าช้า ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ผ. ผีถึงป่าช้า ผีถึงป่าช้า หมายถึง สำนวน “ผีถึงป่าช้า” หมายถึง จำใจทำตามสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะทำอะไรไม่ได้หรือไม่มีทางเลือก เปรียบเสมือนคนตาย (ผี) ที่ถูกหามมาถึงป่าช้าแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเผา ก็คือถึงจุดสิ้นสุดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องยอมรับและทำตามสถานการณ์นั้น ๆ กล่าวคือ “ภาวะจำใจทำตามเพราะทำอะไรไม่ได้แล้ว หรือเพราะไม่มีทางเลือก” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากภาพของคนตาย (ที่คนสมัยก่อนชอบเรียกคนตายว่าผี) ถูกพาหรือทำพิธีทางศาสนาไปถึงป่าช้าแล้ว จึงถูกนำมาใช้เป็นสำนวนเปรียบเทียบคนที่ต้องจำใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพราะทำอะไรไม่ได้หรือไม่มีทางเลือก ต้องยอมตามชะตากรรมหรือสถานการณ์นั้น ๆ วิถีความเชื่อและพิธีกรรมการเผาศพในสมัยโบราณ เมื่อคนเสียชีวิตจะถูกพาไปยังป่าช้าเพื่อทำพิธีฝังหรือเผา ในขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนสุดท้ายแล้ว เมื่อคนตายถูกหามมาถึงป่าช้าแล้ว ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมได้ ต้องยอมรับและปฏิบัติตาม ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนผักต้มขนมยำ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนผักต้มขนมยำ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ผ. ผักต้มขนมยำ ผักต้มขนมยำ หมายถึง สำนวน “ผักต้มขนมยำ” หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ถูกผสมปนเปกันมั่วไปหมด ทำให้เกิดความยุ่งเหยิงและสับสน เปรียบเสมือนการเอาผักต้มมาผสมกับขนมมายำรวมกัน รสชาติและลักษณะไม่เข้ากัน จนกลายเป็นสิ่งที่สับสน มั่ว วุ่นวายและไม่มีประโยชน์เลย กล่าวคือ “สิ่งที่ผสมผสานกันปนเปกัน จนมั่วยุ่งเหยิงไปหมด จนไม่รู้อะไรเป็นอะไร” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการนำเอาผักต้มกับขนมมาปนเปผสมกัน ซึ่งผักต้มเป็นอาหารคาว ขณะที่ขนมเป็นอาหารหวาน การนำทั้งสองสิ่งมารวมกันถือเป็นสิ่งที่ ไม่น่าจะเข้ากันได้ รสชาติและลักษณะของอาหารไปคนละทิศละทาง ทำให้รสชาติเกิดความยุ่งเหยิง สับสน ไม่รู้อะไรเป็นอะไร ภาพของอาหารที่ผสมปนเปกันอย่างไม่เข้ากัน ถูกนำมาเปรียบเทียบกับ สิ่งของ เรื่องราว หรือเหตุการณ์ที่ยุ่งเหยิง ถูกจัดรวมกันอย่างไม่มีระเบียบ จนเกิดความสับสนหรือจัดการยาก ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนผัวหาบเมียคอน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนผัวหาบเมียคอน ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ผ. ผัวหาบเมียคอน ผัวหาบเมียคอน หมายถึง สำนวน “ผัวหาบเมียคอน” หมายถึง คู่สามีภรรยาที่ช่วยกันทำมาหากิน ทำงานหนักร่วมกัน และช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันอย่างลงตัว เปรียบเสมือนสามีแบกของหนัก(หาบ) ส่วนภรรยาช่วยของเบา(คอน) ช่วยทำงานแบ่งเบาภาระกัน เปรียบเสมือน “การช่วยกันทำมาหากินทั้งผัวทั้งเมีย, ชายหาบหญิงคอน ก็ว่า” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากวิถีชีวิตชาวบ้านสมัยก่อนที่ต้องทำมาหากินร่วมกันเป็นครอบครัว เมื่อมีงานหนัก เช่น ขนของหรือเก็บเกี่ยว สามีมักใช้ไม้คานห้อยสิ่งของทั้งสองข้าง (หาบ) เพื่อแบกของหนัก ส่วนภรรยาจะใช้ไม้คานห้อยสิ่งของข้างเดียว หรือหิ้วของเบา ๆ (คอน) เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระ ลักษณะการทำงานแบบนี้แสดงให้เห็นถึงความสามัคคีและการแบ่งงานตามความสามารถ สามีแบกภาระหนัก ส่วนภรรยาช่วยงานเบา ๆ เพื่อให้ทั้งคู่ทำงานสำเร็จได้อย่างราบรื่น ต่อมาภาพนี้ถูกนำมาใช้เป็นสำนวนเปรียบเทียบคู่สามีภรรยาหรือคู่ชีวิตที่ช่วยกันทำมาหากินและช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างลงตัว ทำให้สำนวนนี้สื่อถึงความร่วมแรงร่วมใจ ความสามัคคี และการช่วยกันแบ่งเบาภาระ ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนแผ่สองสลึง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนแผ่สองสลึง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ผ. แผ่สองสลึง แผ่สองสลึง หมายถึง สำนวน “แผ่สองสลึง” หมายถึง การนอนหงาย มือเท้าเหยียดออกไปเต็มที่ หรือแผ่ร่างกายออกเต็มที่ เปรียบเสมือนร่างกายที่แผ่ออกกว้างชัดเจนเหมือนเหรียญสองสลึงแผ่แบนออกเต็มพื้นที่ กล่าวคือ “อาการที่นอนหงายมือตีนเหยียดออกไปเต็มที่” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเล่นพนันถั่วโปในโรงบ่อนสมัยก่อน ในบ่อนมี เงินเหรียญสลึงและสองสลึง ซึ่งเป็นเหรียญแบน บ่อนมักใช้ ไม้ขอยาวปลายเป็นห่วงกลม สำหรับคล้องเหรียญเวลาจ่ายเงินให้ผู้ชนะ แต่เหรียญแบนมักติดเสื่อและเกี่ยวไม้ขอไม่สะดวก เพื่อแก้ปัญหานี้เจ้ามือนายบ่อนจึงทุบเหรียญสลึงและสองสลึงให้หักงอเล็กน้อย ทำให้สามารถเกี่ยวกับไม้ขอได้ง่ายขึ้น ในสมัยก่อนเหรียญส่วนใหญ่จะงออยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อพบเหรียญที่ แผ่แบนออกมากลับกลายเป็นของแปลกและสังเกตง่าย ผู้คนจึงเริ่มพูดว่า “แผ่สองสลึง” ใช้กล่าวถึงการนอนหงาย มือเท้าเหยียดออกไปเต็มที่ หรือแผ่ร่างกายออกเต็มที่ มักใช้เปรียบกับเหรียญที่แผ่ออกกว้างและชัดเจน ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนผ้าขี้ริ้วห่อทอง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนผ้าขี้ริ้วห่อทอง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ผ. ผ้าขี้ริ้วห่อทอง ผ้าขี้ริ้วห่อทอง หมายถึง สำนวน “ผ้าขี้ริ้วห่อทอง” หมายถึง คนที่มีฐานะดีหรือร่ำรวย แต่ภายนอกดูยากจนหรือแต่งตัวซอมซ่อ จึงไม่สะท้อนคุณค่าที่แท้จริง เปรียบเสมือนเหมือนทองคำแท้ที่ถูกห่อด้วยผ้าขี้ริ้ว ภายนอกดูไม่ดี แต่ภายในยังมีค่ามาก กล่าวคือ “คนมั่งมีแต่แต่งตัวซอมซ่อ, คนร่ำรวยที่มองภายนอกดูยากจน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากภาพเปรียบเทียบของทองคำซึ่งเป็นสิ่งมีค่าและล้ำค่า ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าขี้ริ้วที่สกปรกและเก่า ทำให้ภายนอกไม่สามารถมองเห็นความล้ำค่าของทองที่ซ่อนอยู่ข้างในได้ คนสมัยก่อนจึงนำภาพนี้มาใช้เปรียบเทียบกับผู้ที่มีฐานะดีหรือร่ำรวย แต่แต่งกายซอมซ่อหรือดูยากจน เพื่อสื่อว่า คุณค่าที่แท้จริงของคนหรือสิ่งใดไม่ได้อยู่ที่รูปลักษณ์ภายนอก แต่ซ่อนอยู่ภายใน สำนวนนี้ยังเตือนให้ผู้คนไม่ตัดสินคุณค่าของใครจากภายนอกเพียงอย่างเดียว เพราะแม้สิ่งหรือบุคคลจะดูเรียบง่ายหรือไม่โดดเด่น แต่คุณค่าที่แท้จริงอาจสูงส่งและสำคัญกว่าที่ตาเห็นมากนัก ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนผ่อนหนักเป็นเบา ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนผ่อนหนักเป็นเบา ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ผ. ผ่อนหนักเป็นเบา ผ่อนหนักเป็นเบา หมายถึง สำนวน “ผ่อนหนักเป็นเบา” หมายถึง: การทำให้เรื่องราวหรือความรับผิดชอบที่หนัก ดูเบาลง หรือทำให้ปัญหาดูไม่รุนแรง เปรียบเสมือนการแบ่งเบาภาระหรือบรรเทาความทุกข์ให้ดูง่ายขึ้น เหมือนคนยกของหนักทีละน้อยจนไม่รู้สึกหนักเกินไป กล่าวคือ “การลดความรุนแรงของเรื่องที่หนักให้กลายเป็นเรื่องที่เบาลง, ยอมอ่อนลง, ผ่อนปรนให้บ้าง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบการแบ่งเบาหรือบรรเทาสิ่งที่หนักให้ดูเบาลง คำว่า “ผ่อน” หมายถึงการ ลดแรงกดดันหรือความรุนแรง ส่วน “หนัก–เบา” สื่อถึงสิ่งที่มีภาระหรือความยากลำบาก การทำให้เรื่องหนักดูเบาหมายถึง การจัดการ แบ่งเบาภาระ หรือช่วยผ่อนความทุกข์ให้ลดลง ทำให้สิ่งที่ยากหรือลำบากให้ดูเบาลงและรับมือได้ง่ายกว่าเดิม ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนผ่อนสั้นผ่อนยาว ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนผ่อนสั้นผ่อนยาว ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ผ. ผ่อนสั้นผ่อนยาว ผ่อนสั้นผ่อนยาว หมายถึง สำนวน “ผ่อนสั้นผ่อนยาว” หมายถึง การประนีประนอม อะลุ้มอล่วย เห็นอกเห็นใจกัน และยืดหยุ่นต่อเรื่องราวต่าง ๆ แทนที่จะเข้มงวดหรือบังคับอย่างเดียว เปรียบเสมือน การผ่อนแรงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ บางเรื่องผ่อนสั้นจบเร็ว บางเรื่องผ่อนยาวค่อย ๆ จัดการ เพื่อให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันอย่างราบรื่น กล่าวคือ “การประนีประนอมกัน, อะลุ้มอล่วยกัน, ยืดหยุ่น ผ่อนผันสั้นยาว รู้ยาวรู้สั้น ก็ว่า” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบการหย่อนหรือผ่อนปรน ต่อเรื่องราวต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ คำว่า “ผ่อน” หมายถึงการยืดหยุ่น ไม่เคร่งครัด ส่วน “สั้น–ยาว” สื่อถึงการจัดการเรื่องบางเรื่องให้จบเร็ว (สั้น) และเรื่องบางเรื่องค่อย ๆ จัดการทีละขั้น (ยาว) ดังนั้นสำนวนนี้จึงใช้เปรียบเทียบการประนีประนอม อะลุ้มอล่วย และเห็นอกเห็นใจกัน แทนการบังคับอย่างเข้มงวด ทำให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้อย่างราบรื่น ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนผีเข้าผีออก ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนผีเข้าผีออก ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ผ. ผีเข้าผีออก ผีเข้าผีออก หมายถึง สำนวน “ผีเข้าผีออก” หมายถึง คนที่อารมณ์ไม่คงที่ ขึ้น ๆ ลง ๆ เปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย พฤติกรรมหรืออารมณ์ของเขาเหมือนถูกผีเข้าครอบงำแล้วผีออก ทำให้คนรอบข้างสับสนและไม่สามารถคาดเดาได้ เปรียบเสมือนคนที่ถูกผีเข้าครอบงำ บางครั้งพลังผีทำให้เขาโกรธจัดหรือร่าเริงเกินเหตุ แล้วผีออกก็กลับเป็นปกติ ทำให้พฤติกรรมหรืออารมณ์ของเขาเปลี่ยนไปทันทีอย่างสุดขั้ว กล่าวคือ “คนที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย, อารมณ์ไม่คงที่” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากความเชื่อดั้งเดิมของคนไทยเรื่องผีและวิญญาณ ที่สามารถเข้าสิงร่างมนุษย์ได้ ทำให้ผู้ถูกสิงแสดงอาการผิดปกติ ทั้งอารมณ์และพฤติกรรม เช่น ร้องไห้ กรีดร้อง โกรธหรือหัวเราะอย่างรุนแรง ความหมายเชิงเปรียบเทียบจึงถูกนำมาใช้กับคนที่อารมณ์หรือพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันและสุดขั้ว เหมือนร่างกายถูกผีเข้าสิงแล้วผีออก ทำให้คนรอบข้างสับสนและไม่สามารถคาดเดาได้ สำนวนนี้ใช้กันมาตั้งแต่สมัยก่อน และยังใช้จนถึงปัจจุบันเพื่ออธิบายลักษณะคนที่ อารมณ์แปรปรวนหรือมีพฤติกรรมไม่แน่นอน ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนผีซ้ำด้ำพลอย ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนผีซ้ำด้ำพลอย ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ผ. ผีซ้ำด้ำพลอย ผีซ้ำด้ำพลอย หมายถึง สำนวน “ผีซ้ำด้ำพลอย” หมายถึง การเผชิญความโชคร้ายหรือความทุกข์ซ้ำซ้อน เรื่องเดิม ๆ เกิดขึ้นซ้ำอีก หรือมีเรื่องร้ายเพิ่มเติมเข้ามาซ้ำเติมอีก ทำให้สถานการณ์เลวร้ายขึ้น เปรียบเสมือนชีวิตที่เจอปัญหาอยู่แล้ว ผีบ้านผีเรือน (ด้ำ) ยังเอาปัญหาอื่นมาซ้ำเติมผสมโรงอีก ปัญหายิ่งเยอะเข้าไปใหญ่ กล่าวคือ “การมีเคราะห์เดิมร้ายหนักอยู่แล้ว ยังมีเคราะห์อื่นซ้ำเข้ามา ทำให้เคราะห์หนักยิ่งขึ้น” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากสำนวนภาคอีสาน สังเกตได้จากคำว่า “ด้ำ” ซึ่งเป็นภาษาถิ่นอีสาน หมายถึง ผีบ้านผีเรือน ความหมายดั้งเดิมสะท้อนว่า เมื่อเจอปัญหาอยู่แล้ว ผีบ้านผีเรือนอาจนำปัญหาอื่น ๆ มาซ้ำเติม ทำให้เคราะห์ร้ายเพิ่มขึ้น สำนวนนี้มีการใช้มาตั้งแต่โบราณ และยังใช้กันในปัจจุบัน เพียงแต่ความเข้าใจอาจลึกตื้นแตกต่างกันไป ตามบริบทของผู้พูดหรือผู้ฟัง ตามคำอธิบายของกาญจนาคพันธุ์ ในหนังสือ “สำนวนไทย” ระบุว่า เมื่อถึงคราวเคราะห์ร้ายแล้ว ผีอาจบันดาลให้เกิดโทษขึ้น หรือกำลังเคราะห์ร้ายอยู่ ผีก็อาจซ้ำเติม ทำให้สถานการณ์แย่ลงอีก ในทัศนะของผู้ใหญ่สมัยก่อน ยังนำสำนวนนี้ไปใช้เตือนในบริบทการถืออาวุธเล่นหยอกล้อกัน เช่น การแทงหรือฟันล้อ ๆ…

  • รู้จักสำนวนผักชีโรยหน้า ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนผักชีโรยหน้า ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ผ. ผักชีโรยหน้า ผักชีโรยหน้า หมายถึง สำนวน “ผักชีโรยหน้า” หมายถึง การทำความดีเพียงผิวเผิน ไม่ได้ทำดีอย่างจริงจังเป็นประจำ หรือสม่ำเสมอ จะทำดีเฉพาะหน้าหรือเวลามีคนมาตรวจ มาเยี่ยม ส่วนมักใช้จะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี เปรียบเสมือนการเพียงแค่โรยผักชีบนอาหาร เพื่อให้ดูน่ากินและมีสีสันขึ้น แต่ไม่ได้เปลี่ยนอะไรโดยรวมของอาหารเลย กล่าวคือ “การทำความดีแต่เพียงผิวเผิน, การทำให้ดีแค่เพียงต่อหน้า” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเพียงโรยผักชีบนอาหาร เพื่อให้ดูสวยงาม น่ากิน และมีสีสันขึ้น แต่ไม่ได้เปลี่ยนรสชาติหรือคุณภาพโดยรวมของอาหาร ผักชีที่ใช้โรยหน้าอาหารนั้นช่วยเพิ่มกลิ่นหอมและความน่ารับประทาน แต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในเชิงเปรียบเทียบ สำนวนนี้ใช้กับการกระทำของคน เช่น การจัดงาน การตกแต่งสถานที่ หรือการทำงานบางอย่าง เมื่อมีผู้มาตรวจหรือมาเยี่ยม ก็จะจัดของให้ดูดี จัดตกแต่งสวยงาม ให้ผู้มาตรวจเห็นว่าเรียบร้อย แต่ทันทีที่ผู้มาตรวจจากไป ทุกอย่างก็กลับสู่สภาพเดิม ที่อาจไม่เรียบร้อย สกปรก หรือไม่สวยงาม สำนวนนี้จึงสื่อถึงการทำสิ่งใดเพียงผิวเผินเพื่อให้ดูดีภายนอก โดยไม่ได้แก้ไขหรือปรับปรุงเนื้อหาและคุณภาพจริง ๆ อย่างสม่ำเสมอ ตัวอย่างการใช้สำนวน