Tag: สำนวนไทย ผ.

  • รู้จักสำนวนผ่อนหนักเป็นเบา ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนผ่อนหนักเป็นเบา ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ผ. ผ่อนหนักเป็นเบา ผ่อนหนักเป็นเบา หมายถึง สำนวน “ผ่อนหนักเป็นเบา” หมายถึง: การทำให้เรื่องราวหรือความรับผิดชอบที่หนัก ดูเบาลง หรือทำให้ปัญหาดูไม่รุนแรง เปรียบเสมือนการแบ่งเบาภาระหรือบรรเทาความทุกข์ให้ดูง่ายขึ้น เหมือนคนยกของหนักทีละน้อยจนไม่รู้สึกหนักเกินไป กล่าวคือ “การลดความรุนแรงของเรื่องที่หนักให้กลายเป็นเรื่องที่เบาลง, ยอมอ่อนลง, ผ่อนปรนให้บ้าง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบการแบ่งเบาหรือบรรเทาสิ่งที่หนักให้ดูเบาลง คำว่า “ผ่อน” หมายถึงการ ลดแรงกดดันหรือความรุนแรง ส่วน “หนัก–เบา” สื่อถึงสิ่งที่มีภาระหรือความยากลำบาก การทำให้เรื่องหนักดูเบาหมายถึง การจัดการ แบ่งเบาภาระ หรือช่วยผ่อนความทุกข์ให้ลดลง ทำให้สิ่งที่ยากหรือลำบากให้ดูเบาลงและรับมือได้ง่ายกว่าเดิม ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนผ่อนสั้นผ่อนยาว ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนผ่อนสั้นผ่อนยาว ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ผ. ผ่อนสั้นผ่อนยาว ผ่อนสั้นผ่อนยาว หมายถึง สำนวน “ผ่อนสั้นผ่อนยาว” หมายถึง การประนีประนอม อะลุ้มอล่วย เห็นอกเห็นใจกัน และยืดหยุ่นต่อเรื่องราวต่าง ๆ แทนที่จะเข้มงวดหรือบังคับอย่างเดียว เปรียบเสมือน การผ่อนแรงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ บางเรื่องผ่อนสั้นจบเร็ว บางเรื่องผ่อนยาวค่อย ๆ จัดการ เพื่อให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันอย่างราบรื่น กล่าวคือ “การประนีประนอมกัน, อะลุ้มอล่วยกัน, ยืดหยุ่น ผ่อนผันสั้นยาว รู้ยาวรู้สั้น ก็ว่า” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบการหย่อนหรือผ่อนปรน ต่อเรื่องราวต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ คำว่า “ผ่อน” หมายถึงการยืดหยุ่น ไม่เคร่งครัด ส่วน “สั้น–ยาว” สื่อถึงการจัดการเรื่องบางเรื่องให้จบเร็ว (สั้น) และเรื่องบางเรื่องค่อย ๆ จัดการทีละขั้น (ยาว) ดังนั้นสำนวนนี้จึงใช้เปรียบเทียบการประนีประนอม อะลุ้มอล่วย และเห็นอกเห็นใจกัน แทนการบังคับอย่างเข้มงวด ทำให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้อย่างราบรื่น ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนผีเข้าผีออก ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนผีเข้าผีออก ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ผ. ผีเข้าผีออก ผีเข้าผีออก หมายถึง สำนวน “ผีเข้าผีออก” หมายถึง คนที่อารมณ์ไม่คงที่ ขึ้น ๆ ลง ๆ เปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย พฤติกรรมหรืออารมณ์ของเขาเหมือนถูกผีเข้าครอบงำแล้วผีออก ทำให้คนรอบข้างสับสนและไม่สามารถคาดเดาได้ เปรียบเสมือนคนที่ถูกผีเข้าครอบงำ บางครั้งพลังผีทำให้เขาโกรธจัดหรือร่าเริงเกินเหตุ แล้วผีออกก็กลับเป็นปกติ ทำให้พฤติกรรมหรืออารมณ์ของเขาเปลี่ยนไปทันทีอย่างสุดขั้ว กล่าวคือ “คนที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย, อารมณ์ไม่คงที่” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากความเชื่อดั้งเดิมของคนไทยเรื่องผีและวิญญาณ ที่สามารถเข้าสิงร่างมนุษย์ได้ ทำให้ผู้ถูกสิงแสดงอาการผิดปกติ ทั้งอารมณ์และพฤติกรรม เช่น ร้องไห้ กรีดร้อง โกรธหรือหัวเราะอย่างรุนแรง ความหมายเชิงเปรียบเทียบจึงถูกนำมาใช้กับคนที่อารมณ์หรือพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันและสุดขั้ว เหมือนร่างกายถูกผีเข้าสิงแล้วผีออก ทำให้คนรอบข้างสับสนและไม่สามารถคาดเดาได้ สำนวนนี้ใช้กันมาตั้งแต่สมัยก่อน และยังใช้จนถึงปัจจุบันเพื่ออธิบายลักษณะคนที่ อารมณ์แปรปรวนหรือมีพฤติกรรมไม่แน่นอน ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนผีซ้ำด้ำพลอย ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนผีซ้ำด้ำพลอย ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ผ. ผีซ้ำด้ำพลอย ผีซ้ำด้ำพลอย หมายถึง สำนวน “ผีซ้ำด้ำพลอย” หมายถึง การเผชิญความโชคร้ายหรือความทุกข์ซ้ำซ้อน เรื่องเดิม ๆ เกิดขึ้นซ้ำอีก หรือมีเรื่องร้ายเพิ่มเติมเข้ามาซ้ำเติมอีก ทำให้สถานการณ์เลวร้ายขึ้น เปรียบเสมือนชีวิตที่เจอปัญหาอยู่แล้ว ผีบ้านผีเรือน (ด้ำ) ยังเอาปัญหาอื่นมาซ้ำเติมผสมโรงอีก ปัญหายิ่งเยอะเข้าไปใหญ่ กล่าวคือ “การมีเคราะห์เดิมร้ายหนักอยู่แล้ว ยังมีเคราะห์อื่นซ้ำเข้ามา ทำให้เคราะห์หนักยิ่งขึ้น” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากสำนวนภาคอีสาน สังเกตได้จากคำว่า “ด้ำ” ซึ่งเป็นภาษาถิ่นอีสาน หมายถึง ผีบ้านผีเรือน ความหมายดั้งเดิมสะท้อนว่า เมื่อเจอปัญหาอยู่แล้ว ผีบ้านผีเรือนอาจนำปัญหาอื่น ๆ มาซ้ำเติม ทำให้เคราะห์ร้ายเพิ่มขึ้น สำนวนนี้มีการใช้มาตั้งแต่โบราณ และยังใช้กันในปัจจุบัน เพียงแต่ความเข้าใจอาจลึกตื้นแตกต่างกันไป ตามบริบทของผู้พูดหรือผู้ฟัง ตามคำอธิบายของกาญจนาคพันธุ์ ในหนังสือ “สำนวนไทย” ระบุว่า เมื่อถึงคราวเคราะห์ร้ายแล้ว ผีอาจบันดาลให้เกิดโทษขึ้น หรือกำลังเคราะห์ร้ายอยู่ ผีก็อาจซ้ำเติม ทำให้สถานการณ์แย่ลงอีก ในทัศนะของผู้ใหญ่สมัยก่อน ยังนำสำนวนนี้ไปใช้เตือนในบริบทการถืออาวุธเล่นหยอกล้อกัน เช่น การแทงหรือฟันล้อ ๆ…

  • รู้จักสำนวนผักชีโรยหน้า ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนผักชีโรยหน้า ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ผ. ผักชีโรยหน้า ผักชีโรยหน้า หมายถึง สำนวน “ผักชีโรยหน้า” หมายถึง การทำความดีเพียงผิวเผิน ไม่ได้ทำดีอย่างจริงจังเป็นประจำ หรือสม่ำเสมอ จะทำดีเฉพาะหน้าหรือเวลามีคนมาตรวจ มาเยี่ยม ส่วนมักใช้จะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี เปรียบเสมือนการเพียงแค่โรยผักชีบนอาหาร เพื่อให้ดูน่ากินและมีสีสันขึ้น แต่ไม่ได้เปลี่ยนอะไรโดยรวมของอาหารเลย กล่าวคือ “การทำความดีแต่เพียงผิวเผิน, การทำให้ดีแค่เพียงต่อหน้า” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเพียงโรยผักชีบนอาหาร เพื่อให้ดูสวยงาม น่ากิน และมีสีสันขึ้น แต่ไม่ได้เปลี่ยนรสชาติหรือคุณภาพโดยรวมของอาหาร ผักชีที่ใช้โรยหน้าอาหารนั้นช่วยเพิ่มกลิ่นหอมและความน่ารับประทาน แต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในเชิงเปรียบเทียบ สำนวนนี้ใช้กับการกระทำของคน เช่น การจัดงาน การตกแต่งสถานที่ หรือการทำงานบางอย่าง เมื่อมีผู้มาตรวจหรือมาเยี่ยม ก็จะจัดของให้ดูดี จัดตกแต่งสวยงาม ให้ผู้มาตรวจเห็นว่าเรียบร้อย แต่ทันทีที่ผู้มาตรวจจากไป ทุกอย่างก็กลับสู่สภาพเดิม ที่อาจไม่เรียบร้อย สกปรก หรือไม่สวยงาม สำนวนนี้จึงสื่อถึงการทำสิ่งใดเพียงผิวเผินเพื่อให้ดูดีภายนอก โดยไม่ได้แก้ไขหรือปรับปรุงเนื้อหาและคุณภาพจริง ๆ อย่างสม่ำเสมอ ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนผงเข้าตาตัวเอง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนผงเข้าตาตัวเอง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ผ. ผงเข้าตาตัวเอง ผงเข้าตาตัวเอง หมายถึง สำนวน “ผงเข้าตาตัวเอง” หมายถึง คนที่ความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นกับตน กลับแก้ไม่ได้ แต่เมื่อผู้อื่นเดือดร้อนหรือมีปัญหาสามารถช่วยแก้ไขปัญหาให้เขาได้ แต่เมื่อตัวเองเดือดร้อนกลับไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เปรียบเสมือนเปรียบเสมือนมีฝุ่นเข้าตาตัวเอง ทำให้มองไม่ชัด หรือเคลียร์สิ่งที่บังอยู่ไม่ได้ แม้ความเดือดร้อนนั้นจะชัดเจน แต่ตัวเองกลับจัดการมันไม่ได้ กล่าวคือ “มีความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นกับตน แต่แก้ไม่ได้ มีนัยความหมายว่า ปกติบุคคลนี้มักจะช่วยแก้ปัญหาให้ผู้อื่น ช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ได้” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากสถานการณ์จริงที่คนเรามักเผชิญกับผงหรือฝุ่นเข้าตา เมื่อมีผงเข้าตา ตาจะระคายเคือง มองไม่ชัด และมักทำอะไรไม่ได้ ปกติแล้วเมื่อผงเข้าตา มักจะให้ผู้อื่นมาช่วยเขี่ยผงออกให้ เพราะตนเองไม่สามารถเขี่ยหรือเอาออกเองได้ สำนวนนี้จึงเปรียบเปรยถึงคนเปรียบเหมือนช่วยเขี่ยผงที่เข้าตาผู้อื่น แต่เมื่อเกิดปัญหากับตนเองกลับไม่สามารถแก้ไขได้ ตัวอย่างการใช้สำนวน