Tag: สำนวนไทย ผ.
-

รู้จักสำนวนผู้ดีแปดสาแหรก ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ผ. ผู้ดีแปดสาแหรก ผู้ดีแปดสาแหรก หมายถึง สำนวน “ผู้ดีแปดสาแหรก“ หมายถึง คนที่ทำกิริยาท่าทางโอ้อวด เย่อหยิ่ง วางท่าเป็นผู้ดี และดูถูกคนอื่น แม้เดิมคำนี้จะ หมายถึง ผู้ดีมีเชื้อสายและคุณธรรมครบถ้วน แต่ปัจจุบันใช้ในเชิงเหน็บแนมและเล่นคำ เช่นมีคำพูดว่าผู้ดีแปดสาแหรกเก้าไม้คาน เพื่อสื่อว่าไม่ใช่ผู้ดีแท้ แต่ทำตัวจริตกรีดกราย แสร้งทำเป็นผู้ดี กล่าวคือ “คนที่ทำตัวกรีดกรายเอาอย่างผู้ดี” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับสาแหรกหาบ ซึ่งเป็นอุปกรณ์โบราณสำหรับวางกระจาดใส่ของเพื่อหาบไม้คานขนของไป สาแหรกมีข้างละ 4 ขา รวม 2 ข้างเป็น 8 ขา การเปรียบเทียบนี้สื่อถึงความสมบูรณ์และครบถ้วนของผู้ดีแท้ ในความหมายเชิงสังคม คนที่มีผู้ดีแปดสาแหรก คือผู้ที่มีสกุลสูงและครบถ้วนทั้งฝ่ายบิดาและมารดา เปรียบเหมือนสาแหรกที่แข็งแรงและสมบูรณ์ สามารถรับภาระได้ครบถ้วนทุกด้าน จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของผู้ดีแท้ มีคุณธรรม และความมั่นคงของสกุล ปัจจุบันสำนวนนี้มักใช้ในเชิงเหน็บแนม คนที่ทำท่าทางโอ้อวด เย่อหยิ่ง วางตัวเป็นผู้ดี แต่ไม่ได้มีคุณสมบัติหรือเชื้อสายผู้ดีแท้ ตัวอย่างการใช้สำนวน
-

รู้จักสำนวนผีไม่มีศาล ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมดวหมู่ ผ. ผีไม่มีศาล ผีไม่มีศาล หมายถึง สำนวน “ผีไม่มีศาล” หมายถึง ผู้ที่ไม่มีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง ต้องอาศัยไปตามที่ต่าง ๆ หรือไม่มีบ้านมั่นคง เปรียบเสมือนผีที่ไม่มีศาลสักแห่งให้สิงสถิต จึงต้องล่องลอยไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่ยึดเหนี่ยว กล่าวคือ “คนที่ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากความเชื่อและวิถีชีวิตของชาวบ้านสมัยก่อน ในสังคมไทย คนโบราณมักสร้างศาลหรือที่บูชาสำหรับผีหรือวิญญาณของผู้ล่วงลับ เพื่อให้ผีมีที่สิงสถิต รักษาและคอยคุ้มครองบ้านเรือนและคนในครอบครัว แต่สำหรับบางคนที่ไม่มีบ้านมั่นคงหรืออาศัยไปตามที่ต่าง ๆ ไม่ได้มีญาติหรือคนดูแลหลังความตาย พวกเขาจึงไม่มีศาลให้สิงสถิต ต้องล่องลอยไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่ยึดเหนี่ยว ภาพของผีที่ไม่มีศาล ถูกนำมาใช้เป็นสำนวนเปรียบเทียบกับคนที่ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ต้องอาศัยไปตามที่ต่าง ๆ ไม่มีบ้านมั่นคงหรือที่พึ่งพิง สื่อถึงความไร้บ้าน ไร้หลักแหล่ง และอิสระแต่เปราะบางในสังคม ตัวอย่างการใช้สำนวน
-

รู้จักสำนวนผีถึงป่าช้า ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ผ. ผีถึงป่าช้า ผีถึงป่าช้า หมายถึง สำนวน “ผีถึงป่าช้า” หมายถึง จำใจทำตามสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะทำอะไรไม่ได้หรือไม่มีทางเลือก เปรียบเสมือนคนตาย (ผี) ที่ถูกหามมาถึงป่าช้าแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเผา ก็คือถึงจุดสิ้นสุดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องยอมรับและทำตามสถานการณ์นั้น ๆ กล่าวคือ “ภาวะจำใจทำตามเพราะทำอะไรไม่ได้แล้ว หรือเพราะไม่มีทางเลือก” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากภาพของคนตาย (ที่คนสมัยก่อนชอบเรียกคนตายว่าผี) ถูกพาหรือทำพิธีทางศาสนาไปถึงป่าช้าแล้ว จึงถูกนำมาใช้เป็นสำนวนเปรียบเทียบคนที่ต้องจำใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพราะทำอะไรไม่ได้หรือไม่มีทางเลือก ต้องยอมตามชะตากรรมหรือสถานการณ์นั้น ๆ วิถีความเชื่อและพิธีกรรมการเผาศพในสมัยโบราณ เมื่อคนเสียชีวิตจะถูกพาไปยังป่าช้าเพื่อทำพิธีฝังหรือเผา ในขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนสุดท้ายแล้ว เมื่อคนตายถูกหามมาถึงป่าช้าแล้ว ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมได้ ต้องยอมรับและปฏิบัติตาม ตัวอย่างการใช้สำนวน
-

รู้จักสำนวนผักต้มขนมยำ ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ผ. ผักต้มขนมยำ ผักต้มขนมยำ หมายถึง สำนวน “ผักต้มขนมยำ” หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ถูกผสมปนเปกันมั่วไปหมด ทำให้เกิดความยุ่งเหยิงและสับสน เปรียบเสมือนการเอาผักต้มมาผสมกับขนมมายำรวมกัน รสชาติและลักษณะไม่เข้ากัน จนกลายเป็นสิ่งที่สับสน มั่ว วุ่นวายและไม่มีประโยชน์เลย กล่าวคือ “สิ่งที่ผสมผสานกันปนเปกัน จนมั่วยุ่งเหยิงไปหมด จนไม่รู้อะไรเป็นอะไร” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการนำเอาผักต้มกับขนมมาปนเปผสมกัน ซึ่งผักต้มเป็นอาหารคาว ขณะที่ขนมเป็นอาหารหวาน การนำทั้งสองสิ่งมารวมกันถือเป็นสิ่งที่ ไม่น่าจะเข้ากันได้ รสชาติและลักษณะของอาหารไปคนละทิศละทาง ทำให้รสชาติเกิดความยุ่งเหยิง สับสน ไม่รู้อะไรเป็นอะไร ภาพของอาหารที่ผสมปนเปกันอย่างไม่เข้ากัน ถูกนำมาเปรียบเทียบกับ สิ่งของ เรื่องราว หรือเหตุการณ์ที่ยุ่งเหยิง ถูกจัดรวมกันอย่างไม่มีระเบียบ จนเกิดความสับสนหรือจัดการยาก ตัวอย่างการใช้สำนวน
-

รู้จักสำนวนผัวหาบเมียคอน ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ผ. ผัวหาบเมียคอน ผัวหาบเมียคอน หมายถึง สำนวน “ผัวหาบเมียคอน” หมายถึง คู่สามีภรรยาที่ช่วยกันทำมาหากิน ทำงานหนักร่วมกัน และช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันอย่างลงตัว เปรียบเสมือนสามีแบกของหนัก(หาบ) ส่วนภรรยาช่วยของเบา(คอน) ช่วยทำงานแบ่งเบาภาระกัน เปรียบเสมือน “การช่วยกันทำมาหากินทั้งผัวทั้งเมีย, ชายหาบหญิงคอน ก็ว่า” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากวิถีชีวิตชาวบ้านสมัยก่อนที่ต้องทำมาหากินร่วมกันเป็นครอบครัว เมื่อมีงานหนัก เช่น ขนของหรือเก็บเกี่ยว สามีมักใช้ไม้คานห้อยสิ่งของทั้งสองข้าง (หาบ) เพื่อแบกของหนัก ส่วนภรรยาจะใช้ไม้คานห้อยสิ่งของข้างเดียว หรือหิ้วของเบา ๆ (คอน) เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระ ลักษณะการทำงานแบบนี้แสดงให้เห็นถึงความสามัคคีและการแบ่งงานตามความสามารถ สามีแบกภาระหนัก ส่วนภรรยาช่วยงานเบา ๆ เพื่อให้ทั้งคู่ทำงานสำเร็จได้อย่างราบรื่น ต่อมาภาพนี้ถูกนำมาใช้เป็นสำนวนเปรียบเทียบคู่สามีภรรยาหรือคู่ชีวิตที่ช่วยกันทำมาหากินและช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างลงตัว ทำให้สำนวนนี้สื่อถึงความร่วมแรงร่วมใจ ความสามัคคี และการช่วยกันแบ่งเบาภาระ ตัวอย่างการใช้สำนวน
-

รู้จักสำนวนแผ่สองสลึง ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ผ. แผ่สองสลึง แผ่สองสลึง หมายถึง สำนวน “แผ่สองสลึง” หมายถึง การนอนหงาย มือเท้าเหยียดออกไปเต็มที่ หรือแผ่ร่างกายออกเต็มที่ เปรียบเสมือนร่างกายที่แผ่ออกกว้างชัดเจนเหมือนเหรียญสองสลึงแผ่แบนออกเต็มพื้นที่ กล่าวคือ “อาการที่นอนหงายมือตีนเหยียดออกไปเต็มที่” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเล่นพนันถั่วโปในโรงบ่อนสมัยก่อน ในบ่อนมี เงินเหรียญสลึงและสองสลึง ซึ่งเป็นเหรียญแบน บ่อนมักใช้ ไม้ขอยาวปลายเป็นห่วงกลม สำหรับคล้องเหรียญเวลาจ่ายเงินให้ผู้ชนะ แต่เหรียญแบนมักติดเสื่อและเกี่ยวไม้ขอไม่สะดวก เพื่อแก้ปัญหานี้เจ้ามือนายบ่อนจึงทุบเหรียญสลึงและสองสลึงให้หักงอเล็กน้อย ทำให้สามารถเกี่ยวกับไม้ขอได้ง่ายขึ้น ในสมัยก่อนเหรียญส่วนใหญ่จะงออยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อพบเหรียญที่ แผ่แบนออกมากลับกลายเป็นของแปลกและสังเกตง่าย ผู้คนจึงเริ่มพูดว่า “แผ่สองสลึง” ใช้กล่าวถึงการนอนหงาย มือเท้าเหยียดออกไปเต็มที่ หรือแผ่ร่างกายออกเต็มที่ มักใช้เปรียบกับเหรียญที่แผ่ออกกว้างและชัดเจน ตัวอย่างการใช้สำนวน
-

รู้จักสำนวนผ้าขี้ริ้วห่อทอง ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ผ. ผ้าขี้ริ้วห่อทอง ผ้าขี้ริ้วห่อทอง หมายถึง สำนวน “ผ้าขี้ริ้วห่อทอง” หมายถึง คนที่มีฐานะดีหรือร่ำรวย แต่ภายนอกดูยากจนหรือแต่งตัวซอมซ่อ จึงไม่สะท้อนคุณค่าที่แท้จริง เปรียบเสมือนเหมือนทองคำแท้ที่ถูกห่อด้วยผ้าขี้ริ้ว ภายนอกดูไม่ดี แต่ภายในยังมีค่ามาก กล่าวคือ “คนมั่งมีแต่แต่งตัวซอมซ่อ, คนร่ำรวยที่มองภายนอกดูยากจน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากภาพเปรียบเทียบของทองคำซึ่งเป็นสิ่งมีค่าและล้ำค่า ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าขี้ริ้วที่สกปรกและเก่า ทำให้ภายนอกไม่สามารถมองเห็นความล้ำค่าของทองที่ซ่อนอยู่ข้างในได้ คนสมัยก่อนจึงนำภาพนี้มาใช้เปรียบเทียบกับผู้ที่มีฐานะดีหรือร่ำรวย แต่แต่งกายซอมซ่อหรือดูยากจน เพื่อสื่อว่า คุณค่าที่แท้จริงของคนหรือสิ่งใดไม่ได้อยู่ที่รูปลักษณ์ภายนอก แต่ซ่อนอยู่ภายใน สำนวนนี้ยังเตือนให้ผู้คนไม่ตัดสินคุณค่าของใครจากภายนอกเพียงอย่างเดียว เพราะแม้สิ่งหรือบุคคลจะดูเรียบง่ายหรือไม่โดดเด่น แต่คุณค่าที่แท้จริงอาจสูงส่งและสำคัญกว่าที่ตาเห็นมากนัก ตัวอย่างการใช้สำนวน
-

รู้จักสำนวนผ่อนหนักเป็นเบา ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ผ. ผ่อนหนักเป็นเบา ผ่อนหนักเป็นเบา หมายถึง สำนวน “ผ่อนหนักเป็นเบา” หมายถึง: การทำให้เรื่องราวหรือความรับผิดชอบที่หนัก ดูเบาลง หรือทำให้ปัญหาดูไม่รุนแรง เปรียบเสมือนการแบ่งเบาภาระหรือบรรเทาความทุกข์ให้ดูง่ายขึ้น เหมือนคนยกของหนักทีละน้อยจนไม่รู้สึกหนักเกินไป กล่าวคือ “การลดความรุนแรงของเรื่องที่หนักให้กลายเป็นเรื่องที่เบาลง, ยอมอ่อนลง, ผ่อนปรนให้บ้าง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบการแบ่งเบาหรือบรรเทาสิ่งที่หนักให้ดูเบาลง คำว่า “ผ่อน” หมายถึงการ ลดแรงกดดันหรือความรุนแรง ส่วน “หนัก–เบา” สื่อถึงสิ่งที่มีภาระหรือความยากลำบาก การทำให้เรื่องหนักดูเบาหมายถึง การจัดการ แบ่งเบาภาระ หรือช่วยผ่อนความทุกข์ให้ลดลง ทำให้สิ่งที่ยากหรือลำบากให้ดูเบาลงและรับมือได้ง่ายกว่าเดิม ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-

รู้จักสำนวนผ่อนสั้นผ่อนยาว ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ผ. ผ่อนสั้นผ่อนยาว ผ่อนสั้นผ่อนยาว หมายถึง สำนวน “ผ่อนสั้นผ่อนยาว” หมายถึง การประนีประนอม อะลุ้มอล่วย เห็นอกเห็นใจกัน และยืดหยุ่นต่อเรื่องราวต่าง ๆ แทนที่จะเข้มงวดหรือบังคับอย่างเดียว เปรียบเสมือน การผ่อนแรงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ บางเรื่องผ่อนสั้นจบเร็ว บางเรื่องผ่อนยาวค่อย ๆ จัดการ เพื่อให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันอย่างราบรื่น กล่าวคือ “การประนีประนอมกัน, อะลุ้มอล่วยกัน, ยืดหยุ่น ผ่อนผันสั้นยาว รู้ยาวรู้สั้น ก็ว่า” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบการหย่อนหรือผ่อนปรน ต่อเรื่องราวต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ คำว่า “ผ่อน” หมายถึงการยืดหยุ่น ไม่เคร่งครัด ส่วน “สั้น–ยาว” สื่อถึงการจัดการเรื่องบางเรื่องให้จบเร็ว (สั้น) และเรื่องบางเรื่องค่อย ๆ จัดการทีละขั้น (ยาว) ดังนั้นสำนวนนี้จึงใช้เปรียบเทียบการประนีประนอม อะลุ้มอล่วย และเห็นอกเห็นใจกัน แทนการบังคับอย่างเข้มงวด ทำให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้อย่างราบรื่น ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน
-

รู้จักสำนวนผีเข้าผีออก ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ผ. ผีเข้าผีออก ผีเข้าผีออก หมายถึง สำนวน “ผีเข้าผีออก” หมายถึง คนที่อารมณ์ไม่คงที่ ขึ้น ๆ ลง ๆ เปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย พฤติกรรมหรืออารมณ์ของเขาเหมือนถูกผีเข้าครอบงำแล้วผีออก ทำให้คนรอบข้างสับสนและไม่สามารถคาดเดาได้ เปรียบเสมือนคนที่ถูกผีเข้าครอบงำ บางครั้งพลังผีทำให้เขาโกรธจัดหรือร่าเริงเกินเหตุ แล้วผีออกก็กลับเป็นปกติ ทำให้พฤติกรรมหรืออารมณ์ของเขาเปลี่ยนไปทันทีอย่างสุดขั้ว กล่าวคือ “คนที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย, อารมณ์ไม่คงที่” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากความเชื่อดั้งเดิมของคนไทยเรื่องผีและวิญญาณ ที่สามารถเข้าสิงร่างมนุษย์ได้ ทำให้ผู้ถูกสิงแสดงอาการผิดปกติ ทั้งอารมณ์และพฤติกรรม เช่น ร้องไห้ กรีดร้อง โกรธหรือหัวเราะอย่างรุนแรง ความหมายเชิงเปรียบเทียบจึงถูกนำมาใช้กับคนที่อารมณ์หรือพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันและสุดขั้ว เหมือนร่างกายถูกผีเข้าสิงแล้วผีออก ทำให้คนรอบข้างสับสนและไม่สามารถคาดเดาได้ สำนวนนี้ใช้กันมาตั้งแต่สมัยก่อน และยังใช้จนถึงปัจจุบันเพื่ออธิบายลักษณะคนที่ อารมณ์แปรปรวนหรือมีพฤติกรรมไม่แน่นอน ตัวอย่างการใช้สำนวน
-

รู้จักสำนวนผีซ้ำด้ำพลอย ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ผ. ผีซ้ำด้ำพลอย ผีซ้ำด้ำพลอย หมายถึง สำนวน “ผีซ้ำด้ำพลอย” หมายถึง การเผชิญความโชคร้ายหรือความทุกข์ซ้ำซ้อน เรื่องเดิม ๆ เกิดขึ้นซ้ำอีก หรือมีเรื่องร้ายเพิ่มเติมเข้ามาซ้ำเติมอีก ทำให้สถานการณ์เลวร้ายขึ้น เปรียบเสมือนชีวิตที่เจอปัญหาอยู่แล้ว ผีบ้านผีเรือน (ด้ำ) ยังเอาปัญหาอื่นมาซ้ำเติมผสมโรงอีก ปัญหายิ่งเยอะเข้าไปใหญ่ กล่าวคือ “การมีเคราะห์เดิมร้ายหนักอยู่แล้ว ยังมีเคราะห์อื่นซ้ำเข้ามา ทำให้เคราะห์หนักยิ่งขึ้น” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากสำนวนภาคอีสาน สังเกตได้จากคำว่า “ด้ำ” ซึ่งเป็นภาษาถิ่นอีสาน หมายถึง ผีบ้านผีเรือน ความหมายดั้งเดิมสะท้อนว่า เมื่อเจอปัญหาอยู่แล้ว ผีบ้านผีเรือนอาจนำปัญหาอื่น ๆ มาซ้ำเติม ทำให้เคราะห์ร้ายเพิ่มขึ้น สำนวนนี้มีการใช้มาตั้งแต่โบราณ และยังใช้กันในปัจจุบัน เพียงแต่ความเข้าใจอาจลึกตื้นแตกต่างกันไป ตามบริบทของผู้พูดหรือผู้ฟัง ตามคำอธิบายของกาญจนาคพันธุ์ ในหนังสือ “สำนวนไทย” ระบุว่า เมื่อถึงคราวเคราะห์ร้ายแล้ว ผีอาจบันดาลให้เกิดโทษขึ้น หรือกำลังเคราะห์ร้ายอยู่ ผีก็อาจซ้ำเติม ทำให้สถานการณ์แย่ลงอีก ในทัศนะของผู้ใหญ่สมัยก่อน ยังนำสำนวนนี้ไปใช้เตือนในบริบทการถืออาวุธเล่นหยอกล้อกัน เช่น การแทงหรือฟันล้อ ๆ…
-

รู้จักสำนวนผักชีโรยหน้า ที่มาและความหมาย
สำนวนไทยหมวดหมู่ ผ. ผักชีโรยหน้า ผักชีโรยหน้า หมายถึง สำนวน “ผักชีโรยหน้า” หมายถึง การทำความดีเพียงผิวเผิน ไม่ได้ทำดีอย่างจริงจังเป็นประจำ หรือสม่ำเสมอ จะทำดีเฉพาะหน้าหรือเวลามีคนมาตรวจ มาเยี่ยม ส่วนมักใช้จะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี เปรียบเสมือนการเพียงแค่โรยผักชีบนอาหาร เพื่อให้ดูน่ากินและมีสีสันขึ้น แต่ไม่ได้เปลี่ยนอะไรโดยรวมของอาหารเลย กล่าวคือ “การทำความดีแต่เพียงผิวเผิน, การทำให้ดีแค่เพียงต่อหน้า” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเพียงโรยผักชีบนอาหาร เพื่อให้ดูสวยงาม น่ากิน และมีสีสันขึ้น แต่ไม่ได้เปลี่ยนรสชาติหรือคุณภาพโดยรวมของอาหาร ผักชีที่ใช้โรยหน้าอาหารนั้นช่วยเพิ่มกลิ่นหอมและความน่ารับประทาน แต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในเชิงเปรียบเทียบ สำนวนนี้ใช้กับการกระทำของคน เช่น การจัดงาน การตกแต่งสถานที่ หรือการทำงานบางอย่าง เมื่อมีผู้มาตรวจหรือมาเยี่ยม ก็จะจัดของให้ดูดี จัดตกแต่งสวยงาม ให้ผู้มาตรวจเห็นว่าเรียบร้อย แต่ทันทีที่ผู้มาตรวจจากไป ทุกอย่างก็กลับสู่สภาพเดิม ที่อาจไม่เรียบร้อย สกปรก หรือไม่สวยงาม สำนวนนี้จึงสื่อถึงการทำสิ่งใดเพียงผิวเผินเพื่อให้ดูดีภายนอก โดยไม่ได้แก้ไขหรือปรับปรุงเนื้อหาและคุณภาพจริง ๆ อย่างสม่ำเสมอ ตัวอย่างการใช้สำนวน
