Tag: สำนวนไทย พ.

  • รู้จักสำนวนแพแตก ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนแพแตก ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ พ. แพแตก แพแตก หมายถึง สำนวน “แพแตก” หมายถึง ครอบครัวที่แตกกระจัดกระจายกันไปเพราะขาดผู้นำหรือความร่วมมือ ญาติพี่น้องหรือคนที่เคยอยู่ร่วมกันต่างแยกย้ายไป เปรียบเสมือนแพไม้พังแตกออกจากกัน ลอยกระจัดกระจายไปตามกระแสน้ำคนละทิศละทางจนไม่มีสภาพเป็นแพอีกต่อไป “ลักษณะที่ครอบครัวเป็นต้นแตกกระจัดกระจายแยกย้ายกันไปเพราะหัวหน้าครอบครัวหรือผู้เป็นหลักประสบความวิบัติหรือเสียชีวิต” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากแพที่สร้างจากไม้ไผ่หรือไม้ซุงซึ่งนำมาต่อกันให้ลอยเป็นแพบนผิวน้ำ แพที่แข็งแรงต้องอาศัยการจัดเรียงไม้และความร่วมมือของผู้สร้าง แต่เมื่อเกิดแรงกระแทกจากกระแสน้ำหรือไม่มีการประสานอย่างดี แพจะพังแตก ไม้แต่ละท่อนลอยกระจัดกระจายไปตามกระแสน้ำจนไม่สามารถกลับมาเป็นแพเหมือนเดิมอีก สถานการณ์นี้ถูกนำมาเปรียบเทียบกับครอบครัวหรือกลุ่มคนที่ขาดผู้นำ ขาดความร่วมมือ หรือเกิดความขัดแย้ง ทำให้สมาชิกต่างแยกย้ายกันไป ความสัมพันธ์ที่เคยแน่นแฟ้นจึงแตกกระจัดกระจาย เหมือนแพที่พังเสียสภาพ ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนพุ่งหอกเข้ารก ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนพุ่งหอกเข้ารก ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ พ. พุ่งหอกเข้ารก พุ่งหอกเข้ารก หมายถึง สำนวน “พุ่งหอกเข้ารก” หมายถึง การทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จไปโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบหรือว่าผู้ใดจะได้รับความเดือดร้อน การกระทำสิ่งใดเพื่อให้เสร็จแบบลวก ๆ โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เปรียบเสมือนการพุ่งหอกเข้าไปในรกในพุ่ม เสี่ยงทำลายสิ่งอื่นโดยไม่ตั้งใจ กล่าวคือ “การกระทำพอให้เสร็จไปโดยไม่มีเป้าหมายหรือโดยไม่คำนึงว่าใครจะเดือดร้อน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบพฤติกรรมของผู้ที่ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยไม่รอบคอบ ไม่วางแผน และไม่สนใจผลลัพธ์หรือความเหมาะสมเหมือนกับการพุ่งหอกเข้าไปในรกหนามหรือป่ารกทึบ โดยไม่เห็นทางข้างหน้า การทำเช่นนี้มีโอกาสทำให้เกิดความเสียหายโดยไม่ตั้งใจ การเปรียบเทียบนี้สะท้อนถึงความสุ่มสี่สุ่มห้า การทำอะไรแบบเร่งรีบ หรือมุ่งแต่ผลลัพธ์โดยไม่สนใจผู้อื่นและสิ่งรอบตัว ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนพอก้าวขาก็ลาโรง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนพอก้าวขาก็ลาโรง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ พ. พอก้าวขาก็ลาโรง พอก้าวขาก็ลาโรง หมายถึง สำนวน “พอก้าวขาก็ลาโรง” หมายถึง คนที่ทำอะไรอืดอาด ยืดยาด โอ้เอ้ ชักช้าไม่ทันเหตุการณ์ จนทำให้เสียโอกาสหรือพลาดสิ่งที่ควรทำ เปรียบเสมือนผู้ที่ก้าวขาออกจากบ้านจะไปโรงละคร แต่โรงละครก็เลิกแสดงเสียแล้ว กล่าวคือ “คนที่ชักช้าทำให้เสียการ, พอยกขาก็ลาโรง ก็ว่า” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากเปรียบเปรยถึงผู้ที่มัวแต่โอ้เอ้ เตรียมตัวช้า ไม่รีบร้อนจนเสียเวลาเกินไป อย่างกว่าจะก้าวขาออกจากบ้านเพื่อนไปดูโรงละคร โขน ละคร หรือการแสดงลิเก การแสดงก็เลิกไปเสียแล้ว เพราะมัวแต่แต่งหน้า ทาแป้ง หรือเลือกเสื้อผ้าที่จะสวมใส่ การเริ่มต้นช้าเช่นนี้ทำให้พลาดสิ่งที่ควรจะได้ทำ เปรียบได้กับคนที่ทำอะไรอืดอาด ยืดยาด ชักช้าไม่ทันเหตุการณ์ จนทำให้เสียโอกาสหรือพลาดสิ่งสำคัญ สำนวนนี้จึงสะท้อ พฤติกรรมของผู้ที่ขาดความรอบคอบและรีบเร่ง ทำให้ไม่ทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัว ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวพลอยฟ้าพลอยฝน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวพลอยฟ้าพลอยฝน ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ พ. พลอยฟ้าพลอยฝน พลอยฟ้าพลอยฝน หมายถึง สำนวน “พลอยฟ้าพลอยฝน” หมายถึง คนที่การได้รับผลกระทบหรือเคราะห์ไปด้วยโดยไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง เปรียบเสมือนเวลาเมื่อฝนตกก็ต้องพลอยเปียกฝนไปด้วย เพราะเมื่อฝนตกลงมาถูกคนอื่นใกล้ ๆ เรา เราก็ต้องเปียกไปด้วยเพราะอยู่ใกล้กัน หรือราวกับต้องร่วมรับเคราะห์ไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้อื่นโดยไม่ตั้งใจ กล่าวคือ “การต้องร่วมรับเคราะห์ หรือ สิ่งไม่ดีไปกับเขาด้วย ทั้ง ๆ ที่ตนไม่ได้เกี่ยวข้อง” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากคำว่า “พลอย” ซึ่งหมายถึงการเข้าไปร่วมด้วย หรือบังเอิญตกเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ ส่วนฟ้าและฝน หมายถึงฝนที่ตกลงมาจากฟ้า เมื่อนำมารวมกัน สำนวนนี้จึงสื่อความหมายว่าแม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์หรือเรื่องราวใด ๆ แต่กลับต้องร่วมรับผลกระทบหรือเคราะห์ไปด้วยโดยไม่ตั้งใจ เปรียบเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ส่งผลไปถึงสิ่งอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนพร้าขัดหลังเล่มเดียว ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนพร้าขัดหลังเล่มเดียว ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ พ. พร้าขัดหลังเล่มเดียว พร้าขัดหลังเล่มเดียว หมายถึง สำนวน “พร้าขัดหลังเล่มเดียว” หมายถึง คนที่มีความขยัน มุมานะ และเพียรพยายาม แม้มีทรัพย์สินหรือเครื่องมือเพียงอย่างเดียว ก็สามารถทำมาหากิน เลี้ยงชีพ และสร้างเนื้อสร้างตัวได้ เหมือนกับมีพร้าเหน็บหลังเพียงเล่มเดียว แม้ไม่มีอุปกรณ์หรือทรัพย์สินอื่น แต่ถ้าใช้ด้วยความขยันและความเพียร ก็สามารถดำรงชีวิตและสร้างตัวหรือตั้งตัวได้อย่างมั่นคง กล่าวคือ “คนดีถ้าขยัน มีความมุมานะ ก็สามารถตั้งตัวได้ โดยเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ อย่างพร้าเหน็บหลังเพียงเล่มเดียวไว้สร้างตัว” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการนำพร้าเหน็บหลังเพียงเล่มเดียว เป็นอุปกรณ์ทำมาหากินเพียงสิ่งเดียวของคนสมัยก่อน แม้ว่าจะไม่มีเงินทองหรือทรัพย์สินอื่นติดตัว แต่ถ้าคนคนนั้นเป็นคนดี ขยัน และมีความมุมานะ ก็สามารถใช้พร้าเล่มเดียวทำงานหาเลี้ยงชีพ ดูแลตนเองและครอบครัวได้ และยังสามารถสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างหลักปักฐานในชีวิตได้ สำนวนนี้มีปรากฏในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนที่นางทองประศรีไปสู่ขอ พลายแก้ว ในเวลานั้น พลายแก้วไม่ได้มีฐานะร่ำรวย มีเพียงพร้าเล่มเดียวติดตัว แต่ด้วยความขยันและความมุมานะ จึงสามารถดำรงชีวิตและทำมาหากินได้อย่างมั่นคง เมื่อนางศรีประจัน แม่นางพิม ได้ตอบคำสู่ขอ ก็เป็นการสะท้อนถึงคุณธรรมและความเพียรพยายามของพลายแก้ว สำนวนนี้จึงสื่อถึงความสามารถของคนดีที่มีความขยันและความมุมานะ แม้มีทรัพย์สินหรือสิ่งของเพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำมาหากินและตั้งตัวในชีวิตได้ สำเร็จด้วยความเพียรพยายามและความมานะของตนเอง ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนพร้างัดปากไม่ออก ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนพร้างัดปากไม่ออก ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ พ. พร้างัดปากไม่ออก พร้างัดปากไม่ออก หมายถึง สำนวน “พร้างัดปากไม่ออก” หมายถึง ผู้ที่แสดงความนิ่งเฉย พูดอะไรไม่ออก มักใช้เมื่อถูกประหลาดใจ ตกใจ หรือจนมุมจนไม่สามารถตอบโต้หรือชี้แจงได้ ราวกับกำลังใช้พร้างัดเปิดฝาไหแน่น ๆ แต่ฝาไม่ยอมเปิด เหมือนพยายามเอาพร้างัดปากคนให้พูดแต่ก็งัดไม่ขึ้น ไม่ยอมคายคำใด ๆ ออกมา แสดงภาพความเงียบและการพูดไม่ออกอย่างชัดเจน กล่าวคือ “อาการของคนที่นิ่ง เงียบ ไม่พูด ไม่ยอมเปิดปาก” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการใช้งานภาชนะที่ใส่ของหมักหรือของดองในสมัยก่อน เช่น ขวดหรือไหต่าง ๆ ซึ่งต้องมีไม้ท่อนกลมขนาดเท่าปากขวดหรือไหทำหน้าที่ปิดแน่นเพื่อไม่ให้อากาศเข้าได้ เมื่อถึงเวลาจะเปิด ภาชนะเหล่านี้จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ช่วยเปิด บางครั้งผู้คนก็ใช้มีดพร้าขนาดใหญ่ มางัดฝาปิด แต่หากภาชนะปิดแน่นมาก ขนาดพร้าก็งัดฝาออกไม่ได้ การเปรียบเทียบนี้จึงนำมาใช้กับคนที่ตกใจ ประหลาดใจ หรือจนมุม จนพูดอะไรไม่ออก ราวกับปากถูกพร้างัดแน่นจนเปิดไม่ได้ สำนวนนี้จึงสื่อถึงสถานการณ์ที่คนไม่สามารถเอ่ยคำพูดใด ๆ ได้ตามต้องการ เพราะความประหลาดใจ ความตกใจ หรือความจนมุม ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนพระอิฐพระปูน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนพระอิฐพระปูน ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ พ. พระอิฐพระปูน พระอิฐพระปูน หมายถึง สำนวน “พระอิฐพระปูน” หมายถึง ผู้ที่แสดงความนิ่งเฉย, วางเฉย, ไม่เดือดร้อน และไม่รู้สึกยินดียินร้ายอะไร เปรียบเสมือนพระพุทธรูปที่สร้างด้วยอิฐและปูน ซึ่งเป็นวัตถุไม่มีชีวิต ไม่มีจิตใจ จึงอยู่เฉย ๆ และไม่สะท้อนอารมณ์หรือความรู้สึกใด ๆ กล่าวคือ “คนที่นิ่งเฉย, ไม่รู้สึกยินดียินร้าย, เฉยเมย” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากพระพุทธรูปที่สร้างด้วยอิฐและปูน ซึ่งเป็นวัตถุไม่มีชีวิต ไม่มีจิตใจ และไม่สามารถแสดงอารมณ์ได้ พระพุทธรูปเหล่านี้มักตั้งอยู่ตามวัดหรือสถานที่สักการะ ทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ของความสงบ ความมั่นคง และความไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งต่าง ๆ เนื่องจากพระพุทธรูปไม่สามารถรู้สึกหรือแสดงปฏิกิริยาใด ๆ ต่อเหตุการณ์รอบตัว การอยู่เฉย ๆ ของพระพุทธรูปจึงถูกนำมาเปรียบเทียบกับคนที่ นิ่งเฉย ไม่ยินดี ไม่โกรธ หรือไม่สะทกสะท้านต่อเรื่องราวทั้งดีและร้าย ในเชิงสำนวน การใช้คำว่า “พระอิฐพระปูน” จึงหมายถึงบุคคลที่ไม่แสดงอารมณ์หรือความรู้สึกใด ๆ ต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าความสำเร็จหรือความล้มเหลวจะเกิดขึ้นก็ตาม สำนวนนี้สามารถใช้ทั้งในความหมายเชิงชมเชย สำหรับคนที่ ใจเย็น นิ่งสงบ และไม่ยึดติด…

  • รู้จักสำนวนไทยพระมาลัยมาโปรด ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนไทยพระมาลัยมาโปรด ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ พ. พระมาลัยมาโปรด พระมาลัยมาโปรด หมายถึง สำนวน “พระมาลัยมาโปรด” หมายถึง คนที่มาให้ความช่วยเหลืออย่างไม่คาดคิดในยามที่ตกทุกข์ได้ยากอยู่ เปรียบเสมือนเหมือนพระมาลัยในตำนานพุทธศาสนาที่เสด็จไปโปรดผู้ตกทุกข์ได้ยาก ดับทุกข์และคลายความลำบากให้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องร้องขอ กล่าวคือ “ผู้ที่มาช่วยเหลือในยามที่กำลังเดือดร้อนอยู่พอดี” นั่นเอง ที่มาของสำนวน ตำนานทางพุทธศาสนาเรื่อง “พระมาลัย” ซึ่งเล่าขานกันมาตั้งแต่สมัยราว พุทธศักราช 900 กว่า โดยเป็นเรื่องที่ พระภิกษุชาวลังกา (สิงหล) แต่งขึ้น พระมาลัยเป็นพระอรหันต์ผู้มีศีล สมาธิ และปัญญาสูงส่ง ท่านมักเข้าฌานสมาบัติไปโปรดสัตว์ในเมืองนรกเป็นประจำ และทุกครั้งที่เสด็จไป ท่านจะแสดงอิทธิฤทธิ์ดับไฟนรกที่ลุกโชน เผาไหม้สัตว์นรกให้ดับลง พร้อมทั้งบันดาลให้ฝนโปรยลงดับความร้อน และแปรเปลี่ยนน้ำเดือดในกระทะทองแดงให้กลายเป็นน้ำเย็นรสหวานดั่งน้ำผึ้ง ให้สัตว์นรกได้ดื่มกินคลายทุกข์ เมื่อเหล่าสัตว์นรกได้รับความเมตตาและได้ฟังธรรมจากพระมาลัย ต่างซาบซึ้งและวิงวอนให้ท่านนำสารไปบอกญาติในโลกมนุษย์ให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลมาช่วยตนให้พ้นกรรม พระมาลัยจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเมตตา ความช่วยเหลือ และการโปรดสัตว์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก สำนวนนี้ถูกนำมาใช้เปรียบเทียบถึงการได้รับความช่วยเหลือหรือความเมตตาอย่างไม่คาดคิด ในเวลาที่กำลังเผชิญความทุกข์ยาก เสมือนมีพระมาลัยเสด็จมาช่วยให้รอดพ้นจากความลำบากนั้น ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนพาลีหลายหน้า ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนพาลีหลายหน้า ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ พ. พาลีหลายหน้า พาลีหลายหน้า หมายถึง สำนวน “พาลีหลายหน้า” หมายถึง คนที่มีนิสัยและคำพูดคำจากลับกลอก ปลิ้นปล้อนไม่มีความจริงใจ และไม่ซื่อสัตย์ เปรียบเสมือนลิงพาลีในวรรณคดีรามเกียรติ์ มีนิสัยกลับกลอกทำสิ่งตรงข้ามกับสัญญาและความถูกต้อง แสดงออกต่างกันตามสถานการณ์และความต้องการของตนเท่านั้น กล่าวคือ “คนที่มีนิสัยกลับกลอก, ไม่ซื่อสัตย์, สับปลับ, หน้าไหว้หลังหลอก” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากวรรณคดีเรื่องเรื่องรามเกียรติ์ ลิงที่ชื่อว่า “พาลี” เป็นตัวละครตัวหนึ่งในเรื่อง โดยเป็นลิงได้เปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองจากเดิมที่เคยประกอบคุณงามความดี ไปเป็นลิงที่มีความโลภมีตัณหาราคะ แย่งเอาภรรยาน้องชาย ครั้นพาลีและสุครีพสามารถยกเขาพระสุเมรุกลับมาตั้งตรงได้อีกครั้ง พระอิศวรก็มอบโบนัสพิเศษมากมายแก่พญากากาศ(พาลี) พลางมอบของสมนาคุณ(คือนางดารา) ไปให้สุครีพ แต่พระนารายณ์ดันท้วงว่าเป็นการฝากปลาย่างไว้กลับแมวพาลีจึงให้สัญญาว่าถ้าตนเอานางดาราไปเป็นเมียขอให้ตายด้วยศรของพระนารายณ์ ต่อมาพาลีก็เอานางมาเป็นเมียในที่สุด สำนวนนี้อีกอย่างหนึ่งว่า พาลีสองหน้า ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนพายเรือทวนน้ำ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนพายเรือทวนน้ำ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ พ. พายเรือทวนน้ำ พายเรือทวนน้ำ หมายถึง สำนวน “พายเรือทวนน้ำ” หมายถึง ทำสิ่งใดด้วยความยากลำบาก เพราะมีอุปสรรคมาก ต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าปกติ ยากที่จะสำเร็จได้ เปรียบเสมือนการพายเรือไปทวนกระแสน้ำ ต้องออกแรงมาก เรือไปได้ช้า หรืออาจย้อนกลับ ทำให้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยและยากต่อความสำเร็จ กล่าวคือ “การทำอะไรด้วยความยากลำบากเพราะมีอุปสรรคมาก” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการพายเรือในแม่น้ำหรือลำคลองที่มีน้ำไหลตามทิศทางของมัน เมื่อพายเรือไปตามกระแสน้ำ จะง่ายและเร็ว เรือไหลไปตามทางด้วยความราบรื่น แต่หากพยายามพายเรือทวนกระแสน้ำ จะเป็นเรื่องยากลำบากมาก การพายทวนน้ำต้องใช้แรงมากกว่าเดิม หลายครั้งเรือไปได้ช้า หรือแทบไม่ไปไหนเลย บางครั้งอาจย้อนกลับมาที่เดิม ทำให้ผู้พายเหน็ดเหนื่อยและรู้สึกท้อ สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเทียบกับการทำสิ่งใดที่เต็มไปด้วยอุปสรรค ต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติ แม้ผู้ทำงานจะขยันหรือพยายามเต็มที่ ผลลัพธ์อาจไม่ราบรื่นหรือสำเร็จยาก เหมือนการพายเรือทวนน้ำที่เหน็ดเหนื่อยและต่อสู้กับกระแสน้ำอยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนพูดคล่องเหมือนล่องน้ำ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนพูดคล่องเหมือนล่องน้ำ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ พ. พูดคล่องเหมือนล่องน้ำ พูดคล่องเหมือนล่องน้ำ หมายถึง สำนวน “พูดคล่องเหมือนล่องน้ำ” หมายถึง คนที่พูดเก่ง พูดคล่องไหลลื่น ไม่ติดขัด เหมือนน้ำไหลไปตามทาง เปรียบเสมือนน้ำที่ไหลตามลำคลองหรือลำแม่น้ำอย่างราบรื่น ไม่มีสะดุด การพูดจึงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ฟังราบรื่น และคล่องแคล่ว กล่าวคือ “คนที่พูดไม่ติดขัด พูดได้อย่างไหลลื่นเหมือนสายน้ำไหลไปตามธารน้ำธรรมชาติ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการไหลของสายน้ำตามธารน้ำธรรมชาติ ซึ่งน้ำไหลไปตามทางของมันอย่างราบรื่น ต่อเนื่อง และไม่สะดุด สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเทียบกับการพูดที่คล่องไหล ลื่นไหลอย่างต่อเนื่อง ไม่มีสะดุด เช่นเดียวกับน้ำที่ไหลไปตามทาง พูดออกมาได้อย่างราบรื่น ฟังง่าย และชัดเจน คนฟังไม่ติดขัด สามารถเข้าใจได้ง่าย และมักใช้กับคนที่พูดเก่ง พูดชำนาญ หรือสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนพูดเป็นต่อยหอย ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนพูดเป็นต่อยหอย ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ พ. พูดเป็นต่อยหอย พูดเป็นต่อยหอย หมายถึง สำนวน “พูดเป็นต่อยหอย” หมายถึง คนที่พูดมาก พูดไม่หยุด หรือพูดฉอด ๆ ต่อเนื่อง เปรียบเสมือนการต่อยหอยนางรมตัวเล็ก ๆ บนก้อนหินอย่างต่อเนื่องตลอดหลายชั่วโมง เสียงรัว “ต๊อก ๆ ๆ ๆ” ไม่มีหยุดมือ เหมือนปากคนช่างพูดที่พูดไม่หยุด กล่าวคือ “คนที่พูดฉอด ๆ ไม่หยุดปาก” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเก็บหอยนางรมตามธรรมชาติในสมัยก่อน ซึ่งหอยขนาดเล็กประมาณขนมครกจะเกาะอยู่บนก้อนหินชายหาดจำนวนมาก เมื่อเวลาน้ำลง ชาวบ้านที่ทำอาชีพเก็บหอยจะนั่งต่อยเปลือกออกเพื่อแกะเอาเนื้อหอยมาขาย เนื่องจากหอยตัวเล็กและต้องการจำนวนมากเพื่อขายต่อ จึงต้องต่อยเร็ว ๆ ถี่ ๆ ไม่หยุดมือ ตลอดหลายชั่วโมง เสียงต่อยดัง “ต๊อก ๆ ๆ ๆ” รัวกันเต็มชายหาด ทำให้เกิดภาพคนทำงานที่ต่อยหอยอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุด สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเทียบกับคนที่พูดมาก พูดฉอด ๆ ไม่หยุดปาก เหมือนกับมือที่ต่อยหอยอย่างไม่หยุด ไม่มีเบรก เสียงรัวต่อเนื่องเหมือนคำพูดของคนช่างพูด ตัวอย่างการใช้สำนวน