Tag: สำนวนไทย ม.

  • รู้จักสำนวนแมงเม่าบินเข้ากองไฟ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนแมงเม่าบินเข้ากองไฟ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ม. แมงเม่าบินเข้ากองไฟ แมงเม่าบินเข้ากองไฟ หมายถึง สำนวน “แมงเม่าบินเข้ากองไฟ” หมายถึง คนที่ลุ่มหลงในสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนขาดสติ หรือมองเห็นผลประโยชน์ระยะสั้นเป็นสิ่งล่อใจ จนพาตัวเองเข้าไปสู่ความเดือดร้อนหรืออันตรายถึงแก่ชีวิต เปรียบเสมือนธรรมชาติของแมงเม่าที่ชอบเล่นแสงไฟ โดยเห็นว่าแสงสว่างนั้นสวยงามและดึงดูดใจ จึงบินเข้าไปหาโดยไม่รู้เลยว่าความร้อนของเปลวไฟจะเผาไหม้ปีกและทำลายชีวิตของมันในที่สุด กล่าวคือ “คนที่หลงใหลในสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างงมงาย คิดว่าดีงาม แต่สุดท้ายนำพาตนเองไปสู่อันตรายหรือความหายนะ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากพฤติกรรมตามธรรมชาติของ “แมงเม่า” (ปลวกในวรรณะสืบพันธุ์) ที่มักจะบินออกจากรังมาเล่นแสงไฟตามบ้านเรือนหรือกองไฟในช่วงหลังฝนตก เพราะสัญชาตญาณที่ถูกดึงดูดด้วยแสงสว่างและความร้อน แต่ผลลัพธ์คือเมื่อพวกมันบินเข้าใกล้เปลวไฟมากเกินไป ความร้อนจะเผาไหม้ปีกจนร่วงหล่นและตายลงในที่สุด สุภาษิตนี้จึงถูกนำมาใช้เปรียบเปรยถึงคนที่ขาดสติยั้งคิด ถูกสิ่งล่อใจที่ดูสวยงาม เช่น เงินทอง ลาภยศ หรือความสนุกชั่วครั้งชั่วคราว ดึงดูดให้เข้าไปหา โดยไม่เฉลียวใจเลยว่าสิ่งที่เห็นว่าดีนั้นคืออันตรายร้ายแรงที่พร้อมจะทำลายชีวิตตนเอง ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนไม่เอาถ่าน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนไม่เอาถ่าน ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ม. ไม่เอาถ่าน ไม่เอาถ่าน หมายถึง สำนวน “ไม่เอาถ่าน” หมายถึง คนที่ไม่เอาการเอางาน, ไม่รับผิดชอบ, ไม่เอาจริงเอาจัง, หรือประพฤติตนไม่ดีไม่เจริญ มักใช้กับการตำหนิคนที่ไม่สร้างความดีงามหรือประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่น เปรียบเสมือนถ่านที่มีประโยชน์สูง สามารถก่อไฟเพื่อปรุงอาหารและดำรงชีพ ฯลฯ แต่บางคนกลับไม่เห็นค่าของมันและไม่เลือกที่จะเก็บไว้ใช้ ซึ่งสื่อถึงการไม่เห็นคุณค่าของความดีงามหรือความเจริญในชีวิต กล่าวคือ “คนที่ไม่สนใจการงาน เหลวไหล ไม่รักดี” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากคุณสมบัติของถ่าน ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสำคัญในครัวเรือนไทยมาตั้งแต่โบราณ กระบวนการเผาไม้ในเตาไฟ และการเลือกเก็บผลผลิตโดยปกติแล้ว ไม้ที่ถูกเผาไหม้อย่างดีจะเหลือเป็น “ถ่าน” ซึ่งมีคุณค่าสูงและสามารถนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงต่อได้ ถ่านจึงเปรียบเสมือน แก่นสารหรือความดีงาม ที่หลงเหลืออยู่ ดังนั้น เมื่อกล่าวว่า “ไม่เอาถ่าน” จึงหมายถึงการที่ ไม่เลือกที่จะเก็บส่วนที่เป็นประโยชน์ (ถ่าน) ไว้เป็นเพื่อก่อไฟ เพื่อปรุงอาหาร ดำรงชีพ ฯลฯ ทั้ง ๆ ที่ถ่านมีประโยชน์ขนาดนี้แต่บางคนกลับไม่เห็นค่าของมัน หรืออาจเป็นไม้ที่ถูกเผาไหม้แล้ว โดยปกติแล้วไม้ที่ถูกเผาอย่างสมบูรณ์จนหมดเชื้อไฟควรจะเหลือเป็นถ่าน ซึ่งยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้ (เช่น ใช้เป็นเชื้อเพลิง หรือใช้ทำความสะอาด) แต่ “ไม้ไม่เอาถ่าน”…

  • รู้จักสำนวนแม่สายบัวแต่งตัวค้าง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ม. แม่สายบัวแต่งตัวค้าง แม่สายบัวแต่งตัวค้าง หมายถึง สำนวน “แม่สายบัวแต่งตัวค้าง” หมายถึง หญิงสาวที่แต่งตัวสวยงามรอชายหนุ่มมารับออกบ้านไปเที่ยวหรือออกงาน แต่ต้องรอเก้อเพราะเขาไม่มาตามนัด เปรียบเสมือนสายบัวที่ถูก “แต่งตัว” (เตรียม) จนสวยงามพร้อมแกงแล้ว แต่ต้องถูกทิ้งไว้ “ค้าง” เพราะยังหาวัตถุดิบหลัก เช่น เนื้อสัตว์ มาปรุงอาหารไม่ได้ ทำให้การเตรียมการนั้นเสียเปล่า กล่าวคือ “หญิงสาวที่แต่งตัวรอให้ผู้อื่นออกมารับออกนอกบ้าน หรือแต่งตัวรับแขกแล้วเขาไม่มาตามนัด” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากชีวิตในครัวเรือนไทยโบราณ โดยอ้างอิงจากการเตรียมผักชนิดหนึ่งคือ “สายบัว” ในสมัยก่อน หากจะนำสายบัวมาแกงส้มหรือทำอาหารอื่น ๆ แม่บ้านจะต้องนำสายบัวมา “แต่งตัว” ก่อน ซึ่งหมายถึงกระบวนการล้าง หัก และลอกเอาส่วนที่เป็นสีดำหรือส่วนที่ไม่ดีออกอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ได้สายบัวที่สวยงามเขียวใส พร้อมสำหรับการปรุงอาหาร การเตรียมสายบัวนี้จึงเปรียบเสมือนการแต่งตัวรอท่า อย่างตั้งใจ แต่เนื่องจากอาหารจานอร่อยต้องมีวัตถุดิบหลักอย่างปลากุ้งหรือเนื้อสัตว์ หากวันใดที่แม่บ้านได้แต่งสายบัวจนเสร็จสวยงามแล้ว แต่กลับหาวัตถุดิบหลักที่ตั้งใจไว้ไม่ได้ ตามที่คาดหวัง การเตรียมสายบัวนั้นก็จะ ค้างคา อยู่ในครัว ยังไม่ถูกนำไปปรุงอาหาร ด้วยเหตุนี้ ภาพของการเตรียมการอย่างงดงามแต่ต้องหยุดชะงักและไร้ประโยชน์ เพราะขาดองค์ประกอบสำคัญ (คือวัตถุดิบหลัก) จึงถูกนำมาเปรียบเปรยถึง…

  • รู้จักสำนวนไม้เบื่อไม้เมา ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนไม้เบื่อไม้เมา ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ม. ไม้เบื่อไม้เมา ไม้เบื่อไม้เมา หมายถึง สำนวน “ไม้เบื่อไม้เมา” หมายถึง คนที่มักจะขัดแย้ง ทะเลาะ หรือไม่ลงรอยกันอยู่เสมอ เมื่ออยู่ใกล้กันก็มักจะมีเรื่องกระทบกระทั่งกันตลอดเวลา เปรียบเสมือนคู่ของพืชสมุนไพรหรือสิ่งของตามธรรมชาติที่มีฤทธิ์เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้วเข้ากันไม่ได้ กล่าวคือ “คนที่ขัดแย้งกันตลอด ไม่ลงรอยกัน” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากความเชื่อและภูมิปัญญาพื้นบ้านของไทยโบราณ เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพรและเรื่องไสยศาสตร์เป็นสำคัญ สำนวนนี้ไม่ได้เจาะจงถึงไม้ชนิดใดชนิดหนึ่ง แต่มาจากแนวคิดเกี่ยวกับพืชที่มีฤทธิ์เป็นพิษหรือทำให้มึนเมา ซึ่งในอดีตมีการใช้พืชบางชนิดที่มีคุณสมบัติทางเคมีที่สามารถ “เบื่อ” (ทำให้เป็นพิษหรือวางยา) หรือ “เมา” (ทำให้มึนงง ขาดสติ) ซึ่งคำเหล่านี้เป็นคำที่ใช้กันทั่วไปในภาษาไทยโบราณ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าพืชบางชนิดมีคุณสมบัติเป็น “ของแก้กัน” หรือเป็น “ศัตรูกัน” โดยธรรมชาติ เช่น พืชชนิดหนึ่งอาจเป็นพิษต่อสัตว์บางชนิดอย่างรุนแรง หรือพืชบางคู่หากนำมาอยู่ใกล้กันจะทำให้ฝ่ายหนึ่งเฉาตาย หรือสามารถนำพืชชนิดหนึ่งมาใช้เพื่อลบล้างฤทธิ์ของอีกชนิดหนึ่งได้ ดังนั้นลักษณะความสัมพันธ์ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันโดยธรรมชาติของพืชเหล่านั้น ถูกนำมาใช้เป็นสำนวนเปรียบเปรยถึงความสัมพันธ์ของคนสองคนที่มักจะขัดแย้ง ทะเลาะเบาะแว้ง หรือไม่ถูกกันอยู่เสมอ เหมือนกับพืชที่เป็นคู่ปรับ หรือเป็น “ของแสลง” ต่อกัน ซึ่งสะท้อนถึงการสังเกตธรรมชาติและการใช้ภาษาเชิงเปรียบเทียบของคนไทยในสมัยก่อนนั่นเอง ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนไม้นอกกอ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนไม้นอกกอ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ม. ไม้นอกกอ ไม้นอกกอ หมายถึง สำนวน “ไม้นอกกอ” หมายถึง คนที่ประพฤตินอกแบบแผนของวงศ์ตระกูล คนที่ทำตัวไม่เหมือนญาติพี่น้อง ไม่ยอมอยู่ในกฎระเบียบ ขนบธรรมเนียม หรือแนวทางการใช้ชีวิตที่ครอบครัวหรือวงศ์ตระกูลปฏิบัติสืบต่อกันมา (มักใช้ในทางไม่ดี) เปรียบเสมือนต้นไม้ที่งอกขึ้นมาในที่ที่ไม่ใช่บริเวณของกอเดิม หรือต้นไม้/หน่อไม้ที่งอกแยกออกไปจากกลุ่มกอหลัก กล่าวคือ “คนที่ประพฤตินอกแบบแผนของวงศ์ตระกูล, คนนอกคอก, แกะดำ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการผิดวิสัยในการงอกของกอไม้ โดยในธรรมชาติของพืชที่ขึ้นเป็นกอ ไม่ว่าจะเป็นกอไผ่ กอกล้วย หรือพืชอื่น ๆ ล้วนมีการเจริญเติบโตอย่างมีระบบระเบียบ โดยหน่ออ่อนจะแตกออกมาจากเหง้าเดียวกันใต้พื้นดิน และเบียดเสียดรวมกันอย่างแน่นหนาเพื่อเป็นกลุ่มก้อนที่แข็งแรง ซึ่งแสดงถึงการมีรากฐานร่วมกันและความเป็นเอกภาพ แต่ในบางครั้ง หน่อหรือลำต้นใหม่บางต้นกลับไม่ได้แทงขึ้นมาในบริเวณกอหลักที่รวมกันอยู่ แต่กลับ งอกแยกตัวออกไปเติบโตอยู่ห่างไกล จากกลุ่มอย่างเห็นได้ชัด การเติบโตนอกพื้นที่กลุ่มนี้จึงถือเป็น ความผิดปกติวิสัย ของพืชชนิดนั้น ๆ เพราะเป็นการแยกตัวออกจากความคุ้มครองและทรัพยากรของกลุ่มหลัก และดูโดดเดี่ยว ด้วยเหตุนี้ คนโบราณจึงนำภาพความแปลกแยกที่เกิดขึ้นในธรรมชาติมาเปรียบเปรยกับชีวิตคนในสังคม โดยให้ “กอ” เป็นตัวแทนของวงศ์ตระกูล หรือ ครอบครัว ที่มีเกียรติ มีระเบียบ มีแบบแผนการประพฤติที่ดีงามสืบทอดกันมา และ “ไม้” คือสมาชิกในตระกูล เมื่อใดก็ตามที่สมาชิกคนใดคนหนึ่ง…

  • รู้จักสำนวนไม้หลักปักเลน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนไม้หลักปักเลน ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ม. ไม้หลักปักเลน ไม้หลักปักเลน หมายถึง สำนวน “ไม้หลักปักเลน” หมายถึง คนที่ไม่มั่นคง เปลี่ยนแปลงง่าย หรือไม่หนักแน่น ในความคิด การตัดสินใจ หรือความเชื่อ ถือเป็นบุคคลที่ยึดถืออะไรมากไม่ได้ เปรียบเสมือนไม้หลักที่ปักในเลน (โคลนตม หรือดินที่เหลวอยู่ในที่ชื้นแฉะหรือมีน้ำขัง) เพราะพื้นดินไม่มั่นคง ไม้จึงโยกไปมาได้ง่าย เปรียบถึงคนที่ไม่หนักแน่นและเปลี่ยนแปลงง่าย กล่าวคือ “โลเล, ไม่แน่นอน, กลับไป กลับมา” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากไม้หลักหรือเสาหลักที่ปักลงในเลน (โคลนตม ดินที่เหลวอยู่ในที่ชื้นแฉะหรือมีน้ำขัง เช่น ท้องร่องสวน บ่อ บึง สระ คู คลอง แม่น้ำ ในท้องร่องสวนถ้ามีเลนสะสมอยู่มาก จะทำให้ท้องร่องสวนตื้นเขิน ชาวสวนมักใช้พลั่วโกยหรือตักสาดขึ้นไปบนหลังร่องสวน) หากปักลงในดินแข็งแน่น ไม้หลักจะยืนมั่นคง ทำหน้าที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวสิ่งอื่นได้ เช่น ยึดเชือก กั้นเขต หรือรองรับโครงสร้าง แต่ถ้าไม้หลักปักลงในโคลนตมที่อ่อนนุ่มหรือไม่มั่นคง ไม้ก็จะโยกไปมา ไม้หลักนั้นไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมั่นคง สำนวนนี้จึงถูกนำมาเปรียบเทียบกับบุคคลที่ไม่หนักแน่น เปลี่ยนแปลงง่าย และไม่มั่นคง ไม่ว่าจะในความคิด ความเชื่อ…

  • รู้จักสำนวนไม้ใกล้ฝั่ง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนไม้ใกล้ฝั่ง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ม. ไม้ใกล้ฝั่ง ไม้ใกล้ฝั่ง หมายถึง สำนวน “ไม้ใกล้ฝั่ง” หมายถึง คนแก่ที่ชรามากแล้ว อายุมากใกล้จะตาย อยู่ได้อีกไม่นาน ผ่านอะไรมามาก และไม่สามารถทำอะไรได้มากแล้ว ใกล้ถึงจุดจบของตน เปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่ริมตลิ่งที่รากถูกน้ำกัดเซาะจนหลุดและล้มลงน้ำในที่สุด แสดงถึงความใกล้สิ้นอายุขัยและไม่สามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ กล่าวคือ “อายุมากใกล้จะตายแล้ว” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบกับต้นไม้ใหญ่ริมตลิ่งที่ถูกน้ำกัดเซาะจนรากลอยและโค่นลงน้ำในที่สุด ต้นไม้ใหญ่ที่ยืนอยู่ริมฝั่ง แม้เคยแข็งแรงมั่นคง แต่เมื่อถูกกระแสน้ำกัดเซาะเรื่อย ๆ รากเริ่มหลุดจากดิน จนในที่สุดไม้ล้มลงสู่แม่น้ำ ไม่สามารถเติบโตต่อไปได้ สำนวนนี้เปรียบเสมือนคนสูงอายุหรือผู้ที่ชรามากแล้ว ซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย อายุใกล้สิ้นสุดชีวิต เหมือนต้นไม้ที่รากไม่มั่นคง ถูกน้ำกัดเซาะเรื่อย ๆ ทุกวัน กาลเวลาค่อย ๆ ลดทอนกำลัง ความสามารถ และความมั่นคงในชีวิต จนใกล้ถึงจุดจบ ดังนั้น สำนวนนี้จึงใช้กับคนแก่ที่ชรามาก ใกล้จะตาย และอยู่ได้อีกไม่นาน สะท้อนถึงความใกล้สิ้นอายุขัยอย่างชัดเจน ผ่านภาพเปรียบเทียบที่เห็นภาพของต้นไม้ริมฝั่งที่กำลังล้มลงน้ำ ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนไม่ได้เบี้ยเอาข้าว ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนไม่ได้เบี้ยเอาข้าว ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ม. ไม่ได้เบี้ยเอาข้าว ไม่ได้เบี้ยเอาข้าว หมายถึง สำนวน “ไม่ได้เบี้ยเอาข้าว” หมายถึง สถานการณ์ที่แม้ไม่ได้สิ่งที่หวังหรือสิ่งที่ต้องการเต็ม ๆ แต่ก็ยังต้องหาทางได้สิ่งอื่นมาทดแทน ไม่ยอมกลับมือเปล่า เปรียบเสมือนลูกหนี้ที่ไม่มีเงินจ่ายเจ้าหนี้ แม้จะไม่ได้เบี้ย (เงิน) ก็ต้องเอาสิ่งอื่น เช่น ข้าว หรือทรัพย์สินมีค่ามาชดเชย แสดงถึงการไม่ยอมกลับบ้านแบบเสียเปล่าและหาทางได้ประโยชน์กลับคืนบ้าง กล่าวคือ “เมื่อไม่ได้อย่างหนึ่งก็ต้องเอาอีกอย่างหนึ่ง ไม่ยอมกลับมือเปล่า” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากบริบทของชีวิตและการเงินในอดีต โดยเฉพาะกรณีการทวงหนี้ ของนายทุนเงินกู้ เมื่อผู้กู้ไม่มีเงินสด (เบี้ย) มาจ่ายชำระหนี้ เจ้าหนี้จะบีบบังคับให้เอาทรัพย์สินหรือสิ่งของมีค่าอื่นมาแทน เช่น ข้าว หรือของมีค่าอื่น ๆ แทนการจ่ายเป็นเงิน คำว่า “ไม่ได้เบี้ย” หมายถึง ไม่ได้รับเงินสดตามที่ควรได้ ส่วน “เอาข้าว” หมายถึง ต้องใช้ทรัพย์สินอื่นมาทดแทนในที่นี้หมายถึงข้าว แม้จะไม่ได้ตามหวัง แต่ก็ยังได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งกลับคืนมา ไม่ยอมกลับมือเปล่า สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้ในความหมายเชิงเปรียบเทียบ เพื่อสื่อถึงสถานการณ์ที่แม้ไม่ได้สิ่งที่หวังหรือสิ่งที่ต้องการเต็ม ๆ แต่ก็ยังหาทางได้ประโยชน์หรือสิ่งทดแทนมาได้ แสดงถึงความไม่ยอมเสียเปล่าและการหาทางได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งกลับคืนมาเสมอ ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนไม่ได้เบี้ยออกข้าว ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนไม่ได้เบี้ยออกข้าว ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ม. ไม่ได้เบี้ยออกข้าว ไม่ได้เบี้ยออกข้าว หมายถึง สำนวน “ไม่ได้เบี้ยออกข้าว” หมายถึง ไม่ได้อะไรเลย หรือแม้จะมีส่วนร่วมก็ไม่ได้ประโยชน์ แถมบางครั้งยังต้องเสียทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ไปอีก เปรียบเสมือน เหมือนการไปทำนาแล้วข้าวเสียหาย ได้น้อย หรือไม่ได้คุณภาพตามที่หวังก็ไม่ได้เบี้ย (เงินในสมัยก่อน) หรือได้เบี้ยน้อยมาก แถมเสียข้าวเสียแรงและเบี้ยลงทุนไปฟรี ๆ กล่าวคือ “ไม่มีส่วนได้เลย แต่ยังต้องเสียผลประโยชน์อีก” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากจากวิถีชีวิตของชาวนาในอดีตที่ต้องลงทุนลงแรงทำไร่ทำนาตลอดทั้งปีเพื่อให้ได้ผลผลิต อย่างข้าวนำไปขายแลกเบี้ย (เงินในสมัยก่อน) สำหรับใช้จ่ายเลี้ยงครอบครัว แต่บางปีกลับประสบปัญหาไม่คาดคิด ไม่ว่าจะเป็นฝนแล้ง น้ำท่วม ศัตรูพืช หรือโรคระบาดในนาข้าว ทำให้ผลผลิตเสียหาย ไม่ได้ขายข้าว ได้เงินก็ไม่ได้ ข้าวก็ไม่เหลือพอจะกิน เมื่อไม่ได้เบี้ยจากการขายผลผลิต ชาวนายังอาจต้อง “ออกข้าว” คือ นำข้าวที่เก็บไว้ในยุ้งฉาง หรือข้าวที่มีอยู่น้อยนิดออกมาใช้สอยหรือแลกเปลี่ยนเพื่อให้ครอบครัวอยู่รอดต่อไป กลายเป็นสภาพที่ไม่ได้ประโยชน์จากสิ่งที่ลงทุนลงแรงไป แถมต้องเสียข้าวหรือทรัพยากรที่มีอยู่น้อยนิดไปอีก กล่าวคือเสียทั้งแรง เสียทั้งข้าว และเสียทั้งเบี้ย (เงิน) จึงเกิดสำนวนว่านี้เพื่อเปรียบถึงการทำบางสิ่งแล้วไม่เพียงไม่ได้ประโยชน์หรือผลตอบแทน แต่ยังต้องเสียทรัพย์สิน แรง หรือเวลาเพิ่มขึ้นไปอีก ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนมัดมือชก ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนมัดมือชก ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ม. มัดมือชก มัดมือชก หมายถึง สำนวน “มัดมือชก” หมายถึง การทำให้คนใดคนหนึ่งไม่มีทางเลือกหรือไม่สามารถปฏิเสธได้ ถูกบังคับให้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยไม่มีโอกาสต่อรอง เปรียบเสมือนคนที่ถูกบังคับให้จำยอมทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งว่าเหมือนคนถูกมัดมืออยู่ คือไม่สามารถปัดป้อง ต่อสู้ หรือทำอะไรได้ เมื่อถูกชกก็ต้องยอมให้ฝ่ายตรงข้ามชกไปฝ่ายเดียว กล่าวคือ “การถูกบังคับให้ต้องยอมจำนน หรือใช้วิธีการใด ๆ ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งจำยอม แล้วจัดการเอาตามใจชอบ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบคนที่ถูกบังคับให้จำยอมทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งกับคนที่ถูกมัดมืออยู่ เมื่อตัวถูกมัดมือ จะไม่สามารถใช้มือปัดป้อง ต่อสู้ หรือทำอะไรได้ หากถูกชกหรือบังคับอะไรให้รับผลจากการกระทำของผู้อื่นก็ต้องยอมไปฝ่ายเดียว ดังนั้น การพูดว่ามีคนถูกมัดมือชก จึงสื่อถึงว่าเขาไม่มีทางเลือกหรือไม่สามารถปฏิเสธได้ ต้องยอมทำหรือรับสิ่งที่ถูกบังคับโดยไม่มีโอกาสต่อรอง สำนวนนี้จึงถูกใช้ในบริบทที่เกี่ยวกับการถูกบังคับหรือถูกจำกัดทางเลือกอย่างเด็ดขาด ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนมีตาแต่หามีแววไม่ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนมีตาแต่หามีแววไม่ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ม. มีตาแต่หามีแววไม่ มีตาแต่หามีแววไม่ หมายถึง สำนวน “มีตาแต่หามีแววไม่” หมายถึง คนที่ไม่รู้จักพิจารณาให้ลึกซึ้ง มองไม่ออกถึงความดีความชั่ว คุณประโยชน์หรืออันตรายอย่างแท้จริง ทำให้ประเมินสถานการณ์หรือผู้คนผิดพลาดได้ง่าย เปรียบเสมือนคนที่มีดวงตาแต่ไม่มีแววในการมอง คือสามารถเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้แต่ ไม่เข้าใจสาระสำคัญหรือคุณค่าแท้จริงของสิ่งนั้น แสดงถึงความ เซ่อ ขาดวิจารณญาณ หรือไม่รู้จักแยกแยะให้รอบคอบ กล่าวคือ “ดูแต่ไม่ลึกซึ้ง, ดูแต่เพียงผิวเผิน, เซ่อ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการมองมุมมองสิ่งต่าง ๆ ผ่านดวงตา บางตนแม้จะมีตา แต่ไม่รู้จักพิจารณาให้ลึกซึ้ง โดยดวงตาของคนโดยปกติใช้สำหรับมองสิ่งต่าง ๆ รอบตัว แต่สำหรับผู้ที่มีตาแต่หามีแววไม่ พวกเขามองสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวได้เพียงผิวเผิน ไม่สามารถเห็นความดีหรือความเลว คุณประโยชน์หรือโทษที่แท้จริง ของสิ่งเหล่านั้นได้ คนสมัยก่อนใช้สำนวนนี้เพื่อเตือนสติว่า การมีตาอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องมีวิจารณญาณและสติปัญญา เพื่อให้สามารถมองเห็นและตัดสินสิ่งต่าง ๆ อย่างถูกต้อง หากขาดการพิจารณาอย่างรอบคอบ คนก็จะเหมือน “ตาไร้แวว” คือมองแต่ไม่รู้เห็นสาระสำคัญ หรือประเมินค่าอะไรผิดพลาดได้ง่าย ภาพพฤติกรรมที่สำนวนนี้สื่อถึงคือ คนที่ถูกหลอกง่าย มองคนหรือเหตุการณ์ไม่ออก ทำอะไรโดยไม่ระวัง และพลาดโอกาสหรือประเมินความเสี่ยงผิดพลาด จึงกลายเป็นคำเตือนให้…

  • รู้จักสำนวนมืดแปดด้าน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนมืดแปดด้าน ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ม. มืดแปดด้าน มืดแปดด้าน หมายถึง สำนวน “มืดแปดด้าน” หมายถึง สถานการณ์ที่สับสน งงงวย ไม่รู้จะทำอย่างไร หรือไม่รู้ทางออก ในปัญหาหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เปรียบเสมือนอยู่ท่ามกลางความมืดรอบด้านทั้งแปดทิศ มองไม่เห็นทางออกใด ๆ จึงไม่รู้จะไปทางไหนหรือหาทางแก้ไขอย่างไร กล่าวคือ “นึกไม่เห็น, คิดไม่ออก, จนปัญญาไม่รู้จะหาทางออกได้อย่างไร” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากแนวคิดเรื่องทิศทั้งแปด ได้แก่ ความหมายของสำนวนปรากฏในมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี ขณะที่พระมัทรีออกไปหาผลไม้ในป่า เกิดลางร้ายขึ้น พระมัทรีรู้สึกหวาดหวั่นและสับสนมาก เพราะทิศทั้งแปดรอบตัวมืดมิด เหมือนไม่มีทางออก ขอบฟ้าก็ดูแดงเป็นสายเลือด เหตุการณ์นี้สื่อถึงความกลัวและความสับสนจนไม่รู้ว่าจะหาทางแก้ไขอย่างไร จากเหตุการณ์นี้ สำนวน “มืดแปดด้าน” จึงถูกใช้ในความหมายว่าสับสน งงงวย หรือไม่รู้จะทำอย่างไรในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ตัวอย่างการใช้สำนวน