Tag: สำนวนไทย ม.

  • รู้จักสำนวนมือสั้นตีนสั้น ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนมือสั้นตีนสั้น ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ม. มือสั้นตีนสั้น มือสั้นตีนสั้น หมายถึง สำนวน “มือสั้นตีนสั้น” หมายถึง คนที่ขาดความสามารถหรือกำลังสนับสนุน ทำให้ไม่สามารถทำสิ่งใดให้สำเร็จตามเป้าหมายได้ งานหรือกิจการจึงไม่ราบรื่นหรือไม่สำเร็จตามที่ตั้งใจ เปรียบเสมือนคนที่มือและเท้าที่สั้นกว่าปกติ ทำให้ไม่สามารถหยิบจับหรือก้าวเดินไปยังเป้าหมายได้ลำบากกว่าปกติ มือเท้าสั้นสื่อถึงความสามารถและแรงสนับสนุนที่จำกัด ในการทำงานหรือปฏิบัติภารกิจ กล่าวคือ “การขาดกำลังช่วยเหลือที่จะทำให้กิจการสำเร็จด้วยดี” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบมือและเท้าที่สั้นกว่าปกติ ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญในการทำงานและปฏิบัติภารกิจ มือใช้ทำสิ่งต่าง ๆ และเท้าก้าวเดินพามือไปทำงาน หากมือและเท้าสั้น จะทำให้ความสามารถในการลงมือทำไม่ดีและการสนับสนุนลดลง จึงสื่อถึงคนที่ทำอะไรไม่สำเร็จตามเป้าหมาย เพราะขาดกำลังช่วยเหลือ หรือมีทรัพยากรจำกัด ทำให้กิจการหรืองานที่รับผิดชอบไม่ราบรื่น ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนไม่ดูตาม้าตาเรือ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนไม่ดูตาม้าตาเรือ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ม. ไม่ดูตาม้าตาเรือ ไม่ดูตาม้าตาเรือ หมายถึง สำนวน “ไม่ดูตาม้าตาเรือ” หมายถึง การทำอะไรโดยไม่ระมัดระวังและขาดรอบคอบ ขาดการสังเกตหรือพิจารณารายละเอียด จนเสี่ยงเกิดความผิดพลาดหรือเสียโอกาส เปรียบเสมือนผู้เล่นหมากรุกที่ไม่ดูตาที่ม้าหรือเรือของอีกฝ่ายหนึ่งจะเดินมาได้ อาจจะต้องถูกม้าหรือเรือกิน ทำให้เสียตัวหมากรุกไป กล่าวคือ “คนที่ไม่ระวังและขาดความรอบคอบ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเล่นหมากรุกไทย โดยตา หมายถึง ช่องบนกระดานหมากรุก ซึ่งมีทั้งหมด 64 ตา ส่วนม้าและเรือเป็นตัวหมากที่มีลักษณะการเดินเฉพาะตัว เพราะม้าและเรือมีความสำคัญต่อกลยุทธ์การชนะของหมากรุก การไม่สังเกตตาม้าตาเรือของคู่ต่อสู้ หมายถึงการไม่ระวัง ไม่พิจารณา หรือไม่คาดการณ์ทิศทางการเคลื่อนไหวของหมาก ทำให้ตัวเองเสี่ยงถูกม้าหรือเรือกิน จนเสียตัวหมากหรือเสียโอกาสในการวางกลยุทธ์ ดังนั้นสำนวนนี้จึงสื่อถึงการทำอะไรโดยไม่รอบคอบ ขาดการตรวจสอบรายละเอียด หรือไม่ระมัดระวังความเสี่ยง ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนมือห่างตีนห่าง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนมือห่างตีนห่าง ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ม. มือห่างตีนห่าง มือห่างตีนห่าง หมายถึง สำนวน “มือห่างตีนห่าง” หมายถึง การกระทำที่ไม่รอบคอบ ละเลยรายละเอียด ทำสิ่งต่าง ๆ แบบสุรุ่ยสุร่าย เลินเล่อ หรือสะเพร่า เปรียบเหสมือนมือที่ห่างทำให้ทำงานโดยไม่ละเอียดรอบคอบ และการเดินตีนห่างก็ไม่ได้ก้าวพาให้มือทำงานได้ดี จึงทำให้สิ่งที่ทำออกมาสุรุ่ยสุร่าย เลินเล่อ และไม่เรียบร้อย กล่าวคือ “ผู้ที่ชอบทำอะไรอย่างสุรุ่ยสุร่าย หรือเลินเล่อ สะเพร่า ไม่ระมัดระวังอะไรเลย” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากความหมายของคำว่า “มือห่าง” ซึ่งหมายถึง มือที่ทำงานไม่ละเอียดรอบคอบ การทำอะไรแบบไม่รอบคอบนี้จึงสื่อถึงคนที่สุรุ่ยสุร่าย, เลินเล่อ, สะเพร่า หรือไม่ระมัดระวัง ส่วนคำว่า “ตีนห่าง” เป็นสร้อยคำที่เติมเข้ามาเพื่อให้สละสลวย แต่ก็มีนัยเชิงอธิบายว่า ตีนเป็นส่วนสำคัญที่พามือไปทำงาน หากตีนห่างหรือก้าวไม่รอบคอบ การทำงานด้วยมือก็จะสุรุ่ยสุร่าย เลินเล่อ หรือสะเพร่าเหมือนกับมือที่ห่างไม่ละเอียด ดังนั้นสำนวนนี้จึงสื่อถึงการทำงานหรือการกระทำที่ไม่ระมัดระวังและไม่ละเอียดรอบคอบ ตัวอย่างการใช้สำนวน สำนวนที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสำนวนมุ่งร้ายหมายขวัญ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนมุ่งร้ายหมายขวัญ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ม. มุ่งร้ายหมายขวัญ มุ่งร้ายหมายขวัญ หมายถึง สำนวน “มุ่งร้ายหมายขวัญ” หมายถึง การคิดปองร้ายหรือคิดร้ายต่อผู้อื่น มีเจตนากลั่นแกล้งหรือทำให้เกิดความเสียหาย เปรียบเสมือนการมุ่งเป้าตั้งใจให้ขวัญหรือจิตใจของอีกฝ่ายหวาดกลัวหรือเสียขวัญ กล่าวคือ “การคิดปองร้าย” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากจากคำว่า “การมุ่งร้าย” ที่หมายถึงตั้งใจทำร้ายหรือคิดร้าย และ “การหมายขวัญ” ที่หมายถึงมุ่งไปทำให้ขวัญหรือจิตใจของอีกฝ่ายหวาดกลัว รวมกันจึงหมายถึงการคิดร้ายอย่างตั้งใจเพื่อให้เกิดความเสียหายหรือทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัว เป็นสำนวนที่ใช้ตรงตัว ไม่ได้มีการเปรียบเทียบกับสิ่งอื่น ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนม้าดีดกะโหลก ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนม้าดีดกะโหลก ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ม. ม้าดีดกะโหลก ม้าดีดกะโหลก หมายถึง สำนวน “ม้าดีดกะโหลก” หมายถึง ผู้หญิงที่มีท่าทางกระโดกกระเดก ไม่เรียบร้อย หรือทำตัวเอาแต่ใจ ไม่สนใจมารยาท เปรียบเสมือนม้าที่กำลังพยศ ดีดหัวและขยับตัวไปมาอย่างแรง แสดงถึงความดื้อรั้นและควบคุมยาก กล่าวคือ “คนที่มีกิริยากระโดกกระเดกลุกลนหรือไม่เรียบร้อย (มักใช้แก่ผู้หญิง)” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากคำเดิมว่า “ม้าดีดโขก” ซึ่งเป็นอาการของม้าที่พยศ เมื่อม้าไม่เชื่อฟัง จะดีดโขก โขยกหน้าโขยกหลังไปมาอย่างแรง คำว่า “โขก” และ “โขยก” ถูกแผลงเสียงเป็น “กะโหลก” ทำให้เกิดสำนวน ม้าดีดกระโหลก ขึ้นมา ใช้เปรียบเปรยลักษณะของผู้หญิงที่มีท่าทางกระโดกกระเดก ไม่เรียบร้อย หรือประพฤติตัวเอาแต่ใจ ราวกับม้าที่พยศ ดีดหัวไปมาไม่หยุด สื่อถึงความดื้อรั้นและความไม่เหมาะสมทางกิริยามารยาท ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนมาเหนือเมฆ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนมาเหนือเมฆ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ม. มาเหนือเมฆ มาเหนือเมฆ หมายถึง สำนวน “มาเหนือเมฆ” หมายถึง ผู้ที่มีความคิดหรือชั้นเชิงเหนือผู้อื่น และมาหรือปรากฏขึ้นโดยไม่คาดหมาย คาดไม่ถึง เปรียบเสมือนเครื่องบินรบที่โฉบลงมาจากเหนือเมฆ พรางตัวอยู่ในชั้นเมฆแล้วโจมตีศัตรูทันที โดยที่ฝ่ายตรงข้ามไม่รู้ตัวจนกระทั่งทุกอย่างเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว กล่าวคือ “คนที่มีความคิดหรือชั้นเชิงเหนือผู้อื่น, หรือคนที่มาหรือปรากฏขึ้นโดยไม่คาดหมาย” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากยุคเริ่มต้นของการรบทางอากาศ ในสมัยก่อน เทคโนโลยีตรวจจับ เช่น เรดาร์หรือเซ็นเซอร์ความร้อน ยังไม่ก้าวหน้า นักบินต้องพึ่งพาทักษะและความชำนาญของตัวเอง การบินเหนือเมฆเป็นกลยุทธ์หนึ่งเพื่อพรางตัว นักบินจะล่องเครื่องผ่านชั้นเมฆ โฉบลงโจมตีศัตรูโดยที่ฝ่ายตรงข้ามแทบไม่ทันตั้งตัว จึงเกิดความหมายเชิงเปรียบเทียบว่า สิ่งใดที่ “มาเหนือเมฆ” คือสิ่งที่เกิดขึ้นแบบไม่ให้ตั้งตัว รู้ตัวอีกทีก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนมากหมอมากความ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนมากหมอมากความ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ม. มากหมอมากความ มากหมอมากความ หมายถึง สำนวน “มากหมอมากความ” หมายถึง การที่มีคนหลายคนเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องเดียวกัน ทำให้เกิดความเห็นแตกต่างกันมากจนยากที่จะหาข้อสรุป เปรียบเสมือนมีหมอความหรือทนายความหลายคน มาปรึกษาเรื่องเดียวกันหรือทำคดี กฏหมาย ฯลฯ แต่ละคนเสนอเหตุผลและคำแนะนำต่างกันไป จนเกิดความสับสนและทำให้การตัดสินใจไม่ง่าย กล่าวคือ “มากคนก็มากเรื่องเพราะมีความเห็นแตกต่างกันไป” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบในสมัยก่อน เมื่อมีหมอความหลายคน (ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ว่าต่างแก้ต่างคู่ความในเรื่องอรรถคดี หรือเรียกว่าทนายความนั่นแหละ) เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องเดียวกัน มักจะมีความเห็นหรือวิธีการแก้ไขที่แตกต่างกันไป คนหนึ่งว่าแบบนี้ อีกคนเห็นต่าง คนที่สามก็มีวิธีคิดอีกแบบ ผลลัพธ์คือเกิดการถกเถียงมากมาย วุ่นวาย ซับซ้อน และหาข้อสรุปไม่ได้ง่าย ๆ แม้จะเป็นเรื่องเดียวกัน เรื่องราวเดียวกัน แต่เพราะมีหลายความคิดเห็นเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้การตัดสินใจล่าช้า หรือบางครั้งก็ทำให้เกิดความสับสนตามมา ภาพของหมอหรือทนายหลายคนที่เถียงกันไม่จบสิ้น จึงถูกนำมาเปรียบเทียบกับคนที่มีความเห็นมากเกินไป หรือหลายคนเข้ามายุ่งในเรื่องเดียวกัน จนทำให้เกิดความซับซ้อนและความวุ่นวาย สำนวนนี้จึงสื่อถึงความไม่จำเป็นของการมีความคิดเห็นหลาย ๆ แบบในเวลาเดียวกัน และเป็นการเตือนให้รู้จักคัดเลือกหรือฟังเฉพาะคนที่เหมาะสมที่สุด ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสำนวนมะนาวไม่มีน้ำ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสำนวนมะนาวไม่มีน้ำ ที่มาและความหมาย

    สำนวนไทยหมวดหมู่ ม. มะนาวไม่มีน้ำ มะนาวไม่มีน้ำ หมายถึง สำนวน “มะนาวไม่มีน้ำ” หมายถึง ลักษณะการพูดที่พูดห้วน ๆ ไม่ไพเราะ ไม่น่าฟัง พูดจาแข็งกระด้างไม่มีความนุ่มนวล หรือพูดตรงไปตรงมาจนคนฟังอาจจะรับไม่ได้ เปรียบเสมือนมะนาวที่ถูกบีบจนแห้งไม่มีน้ำ ไม่มีรสเปรี้ยว ไม่มีรสชาติอะไรเหลืออยู่ พูดจึงออกมาแบบขาดชีวิตชีวาและไม่มีความนุ่มนวลใด ๆ กล่าวคือ “คนที่พูดจาแข็งกระด้าง ห้วน ๆ ไม่น่าฟัง ไม่มีน้ำเสียงอ่อนโยนหรือไพเราะ” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากการเปรียบเทียบลักษณะของมะนาวผลไม่มีน้ำหรือถูกบีบจนแห้ง เหลือแต่เปลือก ไม่มีน้ำ ไม่มีรสเปรี้ยวหรือรสชาติใด ๆ เหลืออยู่ ภาพของมะนาวที่แห้งและหมดรสชาตินี้จึงถูกนำมาเปรียบเทียบกับลักษณะการพูดหรือพฤติกรรมของคน เมื่อพูดถึงคนที่ “มะนาวไม่มีน้ำ” หมายถึงผู้ที่พูดจาแข็งกระด้าง ห้วน ๆ ขาดความอ่อนโยน ขาดชีวิตชีวา และไม่มีความนุ่มนวลใด ๆ ในคำพูด น้ำเสียงของพวกเขาฟังแล้วไม่เป็นมิตร ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าการสื่อสารนั้นแห้งแล้ง ขาดรสชาติ และไม่สามารถสร้างความอบอุ่นหรือความเข้าใจได้ เสมือนมะนาวที่เคยมีรสชาติและน้ำ แต่ถูกบีบจนแห้งหมด ทุกคำพูดจากปากของคนเหล่านี้จึงไร้ชีวิตชีวา ขาดสีสัน และไม่สามารถ “เติมรส” ให้กับบทสนทนาได้…