Tag: สุภาษิตไทย ก.
-
รู้จักสุภาษิตแก่มะพร้าว เฒ่ามะละกอ ที่มาและความหมาย
สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. แก่มะพร้าว เฒ่ามะละกอ แก่มะพร้าว เฒ่ามะละกอ หมายถึง สุภาษิต “แก่มะพร้าว เฒ่ามะละกอ” หมายถึง คนที่มีอายุมาก แต่กลับไม่มีวุฒิภาวะ ความคิด หรือคุณสมบัติที่สมกับวัย พูดหรือกระทำสิ่งที่ไม่สร้างสรรค์ ขาดความลุ่มลึก ไม่เป็นที่เคารพนับถือ แม้จะดูเป็นผู้ใหญ่ภายนอกก็ตาม เปรียบเสมือนมะพร้าวที่ดูแก่แต่ไม่มีน้ำ หรือมะละกอที่แก่แต่เน่า ไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้จริง สื่อถึงผู้ใหญ่ที่ขาดคุณค่าในตัวตน ทั้งวาจาและการกระทำ กล่าวคือ “ผู้ที่มีอายุมากแต่ไม่มีแก่นสาร” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากการเปรียบเปรยพืชผลในครัวเรือนที่คนไทยโบราณคุ้นเคยเป็นอย่างดี คื มะพร้าว และมะละกอ ซึ่งทั้งสองชนิดเมื่อ “แก่” แล้ว หากไม่มีคุณภาพ เช่น มะพร้าวแก่แต่น้ำเสีย หรือมะละกอเฒ่าแต่เน่า ก็จะไม่มีประโยชน์ ไม่น่ารับประทาน และนำไปใช้ไม่ได้จริง จึงนำมาเปรียบกับคนที่มีอายุหรือดูภายนอกว่าโตแล้ว แต่กลับไม่มีวุฒิภาวะ หรือไม่มีคุณค่าในความคิด การกระทำ และการดำรงตน ทำตัวไม่เหมาะสมกับวัย ไม่เป็นตัวอย่างที่ดี หรือขาดสาระในคำพูด สุภาษิตนี้จึงใช้เตือนหรือเหน็บแนม คนที่แก่แต่ “ไม่มีแก่น” หรือพูดง่าย ๆ…
-
สุภาษิตโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ที่มาและความหมาย
สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. โกรธคือโง่ โมโหคือบ้าน โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า หมายถึง สุภาษิต “โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า” หมายถึง การควบคุมอารมณ์โกรธและความโมโหไม่ให้ครอบงำจิตใจ เพราะเมื่อคนโกรธหรือโมโห มักจะขาดสติและทำสิ่งที่ไม่สมควร ทำให้เกิดผลเสียต่อทั้งตัวเองและผู้อื่น สุภาษิตนี้สอนให้ระงับความโกรธและความโมโห เพราะถือว่าเป็นอารมณ์ที่ทำให้เราขาดความยั้งคิด เปรียบคนที่โกรธว่า “โง่” เพราะขาดสติ และคนที่โมโหว่า “บ้า” เพราะแสดงอารมณ์เกินควบคุมจนทำสิ่งไม่เหมาะสม กล่าวคือ “คนที่มีอารมณ์โกรธและโมโหจนไม่สามารถควบคุมสติและอารมณ์ได้” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มีที่มาจากคำสอนในวิถีชีวิตไทยที่เน้นเรื่องการควบคุมอารมณ์และใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะในศาสนาพุทธที่สอนเรื่องการระงับโทสะ (ความโกรธ) ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งใน “อกุศลมูล” หรือรากเหง้าของความไม่ดี คนโบราณใช้สุภาษิตนี้เพื่อสอนให้คนรู้จักระงับความโกรธและความโมโห การเปรียบคนโกรธว่า “โง่” หมายถึง การที่ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำจนขาดสติปัญญา และคนโมโหว่า “บ้า” หมายถึงการแสดงอารมณ์อย่างรุนแรงเกินควบคุมจนทำให้ผู้อื่นมองว่าไม่เหมาะสม สุภาษิตนี้จึงสะท้อนความเชื่อเรื่องการมีสติและความอดทนในการใช้ชีวิต ไม่ให้ตกเป็นทาสของอารมณ์ที่อาจนำมาซึ่งปัญหาหรือความเสียหาย ตัวอย่างการใช้สุภาษิต สุภาษิตที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสุภาษิตกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ที่มาและความหมาย
สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. กลืนไม่เข้าคายไม่ออก กลืนไม่เข้าคายไม่ออก หมายถึง สุภาษิต “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” หมายถึง การตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากใจหรืออึดอัดใจ ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป เปรียบเหมือนการกินอาหารที่กลืนก็ลำบาก และคายออกก็ไม่ได้ สื่อถึงการเผชิญกับปัญหาหรือสถานการณ์ที่ทั้งสองทางเลือกต่างก็ไม่เป็นผลดีหรือสร้างความลำบากใจทั้งคู่ กล่าวคือ “อาการที่รู้สึกพะอืดพะอมไม่รู้จะเลือกอย่างไรดี” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มีที่มาจากการเปรียบเทียบกับการรับประทานอาหารที่ติดคอหรือไม่เหมาะสมกับการกลืน หากกลืนลงไปก็ลำบากหรือเจ็บ แต่หากคายออกมาก็เสียมารยาทหรือสร้างปัญหาในสถานการณ์นั้น ในวิถีชีวิตของคนไทยสมัยก่อน การกินถือเป็นเรื่องสำคัญที่สะท้อนถึงความเหมาะสมและมารยาท การที่ต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะ “กลืน” หรือ “คาย” เปรียบได้กับสถานการณ์ที่อยู่ในจุดที่ลำบากใจ ทำอะไรก็ดูจะไม่เหมาะสมหรือไม่มีทางออกที่ดีทั้งสองทาง สำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เพื่อแสดงถึงความอึดอัดใจหรือภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในสถานการณ์ที่ยากจะตัดสินใจ ตัวอย่างการใช้สุภาษิต
-
รู้จักสุภาษิตกลับหน้ามือเป็นหลังมือ ที่มาและความหมาย
สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. กลับหน้ามือเป็นหลังมือ กลับหน้ามือเป็นหลังมือ หมายถึง สุภาษิตไทย “กลับหน้ามือเป็นหลังมือ” หมายถึง การเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงหรือเปลี่ยนไปในทิศทางตรงกันข้าม โดยมักใช้ในบริบทที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกผัน ไม่ว่าจะในด้านพฤติกรรม ความคิด สถานการณ์ หรือผลลัพธ์ เช่น จากดีเป็นร้าย หรือจากร้ายกลายเป็นดี เปรียบเหมือนการพลิกหน้ามือที่แตกต่างจากหลังมือโดยสิ้นเชิง กล่าวคือ “เปลี่ยนแปลงหรือทำให้ผิดไปจากเดิมอย่างตรงกันข้าม, พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ก็ว่า” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มีที่มาจากการเปรียบเทียบลักษณะของมือมนุษย์ที่ ด้านหน้า (ฝ่ามือ) และ ด้านหลัง (หลังมือ) ซึ่งมีลักษณะต่างกันอย่างสิ้นเชิง หากพลิกเปลี่ยนจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน การเปรียบเทียบนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสถานการณ์หรือพฤติกรรมของบุคคลที่แปรผันไปในทางตรงข้าม ไม่ว่าจะในทางดีหรือร้าย สุภาษิตนี้จึงถูกนำมาใช้เพื่อแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกผันหรือขัดแย้งกับสภาพเดิมอย่างชัดเจน ตัวอย่างการใช้สุภาษิต
-
รู้จักสุภาษิตกำขี้ดีกว่ากำตด ที่มาและความหมาย
สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. กำขี้ดีกว่ากำตด กำขี้ดีกว่ากำตด หมายถึง สุภาษิต “กำขี้ดีกว่ากำตด” หมายถึง การเลือกสิ่งที่ถึงแม้จะมีค่าหรือประโยชน์น้อย แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย เปรียบเสมือนการมีกำขี้ที่ถึงจะไม่ดีนักแต่ก็ยังมีอะไรอยู่บ้าง ดีกว่ากำตดที่ไม่มีอะไรเลย สุภาษิตนี้สอนให้เห็นคุณค่าของสิ่งเล็กน้อยที่ยังพอมีประโยชน์ มากกว่าการไม่เหลืออะไรให้ถือไว้เลย กล่าวคือ “การที่ได้บ้างดีกว่าไม่ได้อะไรเลย” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากการเปรียบเทียบเปรียบเปรยในชีวิตประจำวันที่สื่อถึงการมีสิ่งที่อาจจะดูไม่มีคุณค่า หรือมีน้อยมาก แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย คำว่า “ขี้” หมายถึงสิ่งที่แม้จะดูสกปรกหรือไม่มีคุณค่า แต่ยังเป็นสิ่งที่จับต้องได้ ในขณะที่ “ตด” เป็นอากาศหรือกลิ่นที่ไม่สามารถจับต้องหรือเก็บรักษาไว้ได้เลย สุภาษิตนี้สะท้อนแนวคิดของคนไทยที่ให้ความสำคัญกับการมีบางสิ่ง แม้จะดูไม่สำคัญหรือมีค่าน้อย แต่ก็ยังดีกว่าการไม่มีอะไรเลย ซึ่งบ่งบอกถึงความรู้สึกที่ควรพอใจในสิ่งที่มีอยู่มากกว่าการยึดติดกับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือว่างเปล่า ตัวอย่างการใช้สุภาษิต
-
รู้จักสุภาษิตกรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง ที่มาและความหมาย
สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง หมายถึง สุภาษิต “กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง” หมายถึง การกระทำทุกอย่างของเราจะส่งผลตอบสนองกลับมาหาเราในภายหลัง ไม่ว่าจะเป็นการกระทำที่ดีหรือไม่ดี หากใครกระทำสิ่งใดไว้ ผลกรรมนั้นก็จะย้อนกลับมาให้ผลตามที่ได้ทำไว้ สะท้อนหลักการของ “กฎแห่งกรรม” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ว่า การกระทำทุกอย่างย่อมมีผลลัพธ์เสมอ เช่น การทำดีจะนำมาซึ่งสิ่งดี ๆ ส่วนการทำชั่วหรือเบียดเบียนผู้อื่นก็จะนำความทุกข์หรือผลร้ายกลับมาหาตนเองในที่สุด กล่าวคือ “กระทำเช่นใด ก็ได้ผลเช่นนั้น” นั่นเอง สุภาษิตนี้เตือนใจให้คนระมัดระวังในการกระทำของตน ไม่ให้ทำสิ่งที่ก่อให้เกิดความทุกข์แก่ผู้อื่น เพราะเมื่อทำสิ่งใดแล้ว ผลกรรมนั้นจะติดตามมาเสมอ เหมือนการหว่านพืชเช่นไร ย่อมเก็บเกี่ยวผลแบบนั้น ที่มาของสุภาษิต มาจากแนวคิดเรื่อง “กฎแห่งกรรม” ซึ่งมีรากฐานมาจากศาสนาพุทธและความเชื่อของคนไทยเกี่ยวกับผลของการกระทำ โดยคำว่า “กรรม” ในภาษาบาลีหมายถึง การกระทำ ทั้งทางกาย วาจา และใจ และเชื่อว่าทุกการกระทำจะนำมาซึ่งผลที่ตามมา ไม่ว่าจะเป็นผลดีหรือผลร้าย คำว่า “กรรมใดใครก่อ” หมายถึงการกระทำที่เราได้ทำขึ้นเอง ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ และ “กรรมนั้นตามสนอง” หมายถึงผลลัพธ์หรือผลกรรมที่จะตามมาในภายหลัง เปรียบได้กับการหว่านพืชชนิดใดก็ย่อมได้ผลเช่นนั้น เช่น…
-
รู้จักสุภาษิตการกินการอยู่ใครไม่สู้พ่อ การพายการถ่อพ่อไม่สู้ใคร ที่มาและความหมาย
สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. การกินการอยู่ใครไม่สู้พ่อ การพายการถ่อพ่อไม่สู้ใคร การกินการอยู่ใครไม่สู้พ่อ การพายการถ่อพ่อไม่สู้ใคร หมายถึง สุภาษิต “การกินการอยู่ใครไม่สู้พ่อ การพายการถ่อพ่อไม่สู้ใคร” หมายถึง คนที่ไม่เอาการเอางาน ทำแต่สิ่งที่สบายและเป็นประโยชน์ต่อตนเอง เช่น กินอยู่หรือนอน โดยไม่ยอมทำงานหนักหรือช่วยเหลือผู้อื่น คำว่า “การกินการอยู่“ หมายถึงเรื่องการใช้ชีวิตที่สะดวกสบาย แต่ “การพายการถ่อ“ หมายถึงงานหนักที่ต้องใช้แรง สุภาษิตนี้เตือนถึงพฤติกรรมของคนที่ขาดความรับผิดชอบและไม่ยอมทำงานที่เหนื่อยยาก เหมือนเพียงกินเสร็จแล้วก็นอน กล่าวคือ “คนไม่เอาการเอางาน กินเสร็จแล้วก็นอน” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากวิถีชีวิตและสังคมของคนไทยในอดีต ซึ่งมีความสำคัญต่อบทบาทหน้าที่ของสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะบทบาทของ “พ่อ” ในฐานะหัวหน้าครอบครัวที่ควรเป็นแบบอย่างในทุกด้าน สุภาษิตนี้ออกแนวประชดชันว่า “การกินการอยู่ใครไม่สู้พ่อ” สื่อถึงการกินที่ไม่มีใครสู้ได้ เก่งมากเรื่องกิน คำว่า “การพายการถ่อพ่อไม่สู้ใคร” เปรียบเทียบถึงการหลีกเลี่ยงการทำงานหนัก เช่น การพายเรือหรือถ่อเรือ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ต้องใช้แรงและความอดทนสูง ในสมัยก่อน การพายและการถ่อเรือเป็นสัญลักษณ์ของการทำงานหนักและการแบกรับภาระ ซึ่งสะท้อนถึงหน้าที่และความรับผิดชอบที่ต้องใช้ความมานะบากบั่น การที่สุภาษิตนี้ใช้คำว่า “พาย” และ “ถ่อ” จึงเป็นการสื่อถึงงานที่ยากและเหน็ดเหนื่อย ในขณะที่การกินอยู่กลับถูกมองว่าเป็นเรื่องง่ายหรือเป็นการหาความสุขให้ตัวเอง สุภาษิตนี้จึงใช้ในการกล่าวถึงคนที่เก่งในเรื่องที่สบายและง่ายสำหรับตัวเอง แต่เลี่ยงงานหนักหรือการทำเพื่อผู้อื่น…
-
รู้จักสุภาษิตใกล้น้ำรู้ปลา ใกล้ป่ารู้นก ที่มาและความหมาย
สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. ใกล้น้ำรู้ปลา ใกล้ป่ารู้นก ใกล้น้ำรู้ปลา ใกล้ป่ารู้นก หมายถึง สุภาษิต “ใกล้น้ำรู้ปลา ใกล้ป่ารู้นก” หมายถึง การรู้และเข้าใจเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่างๆ ได้ดีจากการอยู่ใกล้หรือคลุกคลีกับสิ่งนั้นๆ เป็นเวลานาน การสัมผัสกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยตรงทำให้เกิดความรู้และความชำนาญในเรื่องนั้น ๆ กล่าวคือ “คนเราต้องอยู่ใกล้ชิดกันถึงจะรู้จักนิสัยใจคอกัน” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากการสังเกตธรรมชาติและการเรียนรู้จากสภาพแวดล้อมใกล้ตัว หมายถึงเมื่อเราอยู่ใกล้หรือคลุกคลีกับสิ่งใด เรามักจะเข้าใจและรู้เรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งนั้นได้ดี เช่น คนที่อยู่ใกล้น้ำย่อมรู้ว่ามีปลาอะไรอยู่บ้าง หรือคนที่อยู่ใกล้ป่าก็ย่อมเข้าใจว่านกชนิดใดอาศัยอยู่ในป่านั้น คนที่เป็นชาวประมงหรืออยู่ใกล้ชิดกับน้ำย่อมมีความรู้เกี่ยวกับสัตว์น้ำและจับสัตว์น้ำได้ชำนาญ ส่วนนายพรานก็เช่นกัน หากินอยู่ในป่าย่อมมีความรู้เกี่ยวกับสัตว์ป่า จึงเปรียบกับคนที่อยู่ใกล้กันย่อมจะรู้นิสัยใจคอกันนั่นเอง กล่าวคือ “อยู่ใกล้สิ่งใดย่อมรู้จักสิ่งนั้น” นั่นเอง ตัวอย่างการใช้สุภาษิต สุภาษิตที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสุภาษิตกินข้าวร้อนนอนตื่นสาย ที่มาและความหมาย
สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. กินข้าวร้อนนอนตื่นสาย กินข้าวร้อนนอนตื่นสาย หมายถึง สุภาษิต “กินข้าวร้อนนอนตื่นสาย” หมายถึงการใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย มีอิสระในด้านเวลาและการกระทำ เป็นการสะท้อนถึงวิถีชีวิตที่ไม่ต้องพบกับความลำบากหรือข้อจำกัดในชีวิตประจำวัน เหมือนเจ้าขุนมูลนายในอดีตที่มีสิทธิ์ในการเลือกทำสิ่งต่าง ๆ ได้ตามใจตนเอง กล่าวคือ “อยู่อย่างสะดวกสบายไม่ลำบาก อยู่ไปเฉย ๆ นอนตื่นสายไม่ทำอะไรก็มีอยู่มีกินมีใช้ เปรียบคนที่มีข้าวร้อน ๆ กินทุกวัน คนที่นอนตื่นสายได้ทุกวัน อะไรมันจะสบายแบบนี้ไม่มีแล้ว” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิตนี้ ที่มาของสุภาษิตคือสะท้อนถึงชีวิตของเจ้าขุนมูลนายหรือชนชั้นสูงในสมัยก่อน ที่สามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย มีอิสระในการเลือกที่จะรับประทานอาหารสดใหม่ร้อน ๆ ที่ปรุงอย่างดีและทันทีที่ต้องการ รวมถึงการมีสิทธิ์ที่จะนอนตื่นสายได้ ต่างจากคนทั่วไปหรือชนชั้นล่างที่ต้องปฏิบัติงานตามเวลาอย่างเคร่งครัดและอาจไม่มีโอกาสได้กินอาหารอย่างสะดวกสบาย สุภาษิตนี้จึงเปรียบเทียบถึงการใช้ชีวิตอย่างสุขสบายและไม่ต้องเผชิญกับข้อจำกัดหรือความยากลำบากเหมือนคนอื่น ตัวอย่างการใช้สุภาษิต
-
รู้จักสุภาษิตไก่ได้พลอย ที่มาและความหมาย
สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. ไก่ได้พลอย ไก่ได้พลอย หมายถึง สุภาษิต “ไก่ได้พลอย” หมายถึง การได้รับสิ่งที่มีคุณค่าหรือประโยชน์ แต่ไม่รู้จักใช้ให้เกิดคุณค่า หรือไม่เข้าใจถึงความสำคัญของสิ่งนั้น เปรียบเหมือนไก่ที่ได้พลอยแต่ไม่รู้จักคุณค่าของมัน จึงไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ กล่าวคือ “การที่ได้ของมีค่ามาแต่ไม้รู้คุณค่าของสิ่งนั้น” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากการเปรียบเปรยถึงเหตุการณ์ที่ไก่พบพลอยหรืออัญมณีที่มีค่า แต่ไม่เข้าใจถึงคุณค่าของมัน เพราะไก่ไม่รู้จักว่า “พลอย” มีค่าแค่ไหนสำหรับมนุษย์ ทำให้พลอยกลายเป็นเพียงสิ่งไร้ความหมายสำหรับไก่ สำนวนนี้สะท้อนถึงการที่บุคคลได้รับของมีค่าหรือสิ่งที่มีคุณค่า แต่ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ประโยชน์ได้ บ้างก็ว่า สุภาษิตนี้มีรากฐานมาจากนิทานอีสปเรื่อง “ไก่กับไข่มุก” โดยในนิทานนี้ ไก่ค้นหาอาหารและบังเอิญพบไข่มุก แต่ไก่กลับไม่เห็นคุณค่าของมันเพราะไข่มุกไม่ใช่อาหารที่มันต้องการ ไก่จึงทิ้งไข่มุกไว้อย่างไม่ใยดี ความคล้ายคลึงกันนี้สะท้อนถึงการที่คนได้รับสิ่งของหรือโอกาสที่มีคุณค่า แต่ไม่สามารถเข้าใจหรือนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ตัวอย่างการใช้สุภาษิต
-
รู้จักสุภาษิตไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ที่มาและความหมาย
สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ สุภาษิตไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ หมายถึง สุภาษิตไทย “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่” นี้มีความหมายเปรียบเปรยถึงสถานการณ์ที่สองฝ่ายต่างรู้ความลับของกันและกัน แต่ไม่มีใครพูดออกไป เป็นการแสดงให้เห็นว่าความลับหรือข้อบกพร่องที่ซ่อนอยู่ของคนหนึ่ง อีกฝ่ายก็รู้และเข้าใจอยู่เหมือนกัน การรู้แต่ไม่พูดออกมาสะท้อนถึงความเข้าใจกันในทางลึกซึ้ง โดยไม่จำเป็นต้องเผยแพร่ให้คนอื่นรู้ สุภาษิตนี้จึงแฝงความหมายของการรู้กันภายในและเก็บงำความลับต่อกัน กล่าวคือ “ต่างฝ่ายต่างรู้ความลับของกันและกัน” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต สุภาษิตนี้มีที่มาจากการสังเกตลักษณะทางกายภาพของไก่และงูที่แท้จริงแล้ว ตามวิสัยแล้วไก่ไม่มีนมและงูไม่มีตีน แต่การใช้คำว่า “นมไก่” และ “ตีนงู” ในสุภาษิตนี้เป็นการเปรียบเทียบถึงสิ่งที่ซ่อนเร้นหรือไม่เปิดเผยอย่างชัดเจน การที่ไก่มองเห็น “ตีนงู” และงูเห็น “นมไก่” จึงเปรียบเสมือนการรู้สิ่งที่ไม่ควรเห็นหรือสิ่งที่ไม่เปิดเผยอย่างชัดเจนระหว่างกัน สุภาษิตนี้จึงถูกใช้เพื่อสื่อถึงการรู้เรื่องซึ่งกันและกันในลักษณะที่เป็นความลับหรือไม่ชัดเจนต่อผู้อื่น ตัวอย่างการใช้สุภาษิต
-
รู้จักสุภาษิตไก่ดีตีหล้า ๆ ไก่ขี้ข้าตีเอา ๆ ที่มาและความหมาย
สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. ไก่ดีตีหล้า ๆ ไก่ขี้ข้าตีเอา ๆ สุภาษิตไก่ดีตีหล้า ๆ ไก่ขี้ข้าตีเอา ๆ หมายถึง สุภาษิตไทย “ไก่ดีตีหล้า ๆ ไก่ขี้ข้าตีเอา ๆ” หมายถึง การกระทำที่บ่งบอกถึงความแตกต่างระหว่างคนที่มีปัญญาและความสามารถในการวางแผน กับคนที่ไม่มีทักษะและมักใช้เพียงความพยายามอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงวิธีการหรือผลที่จะตามมา คนเก่งจะคิดวางแผนก่อนลงมือทำสิ่งต่าง ๆ อย่างเป็นระบบและมีชั้นเชิง ในขณะที่คนด้อยความสามารถจะทำสิ่งต่าง ๆ อย่างไม่คิดไตร่ตรอง เน้นทำไปเรื่อย ๆ หวังให้เสร็จโดยขาดการคำนึงถึงผลลัพธ์ในระยะยาว กล่าวคือ “คนที่มีความสามารถจะลงมือทำในจังหวะที่เหมาะสม แต่คนไร้ความสามารถจะทำอย่างไม่ระมัดระวัง” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต สุภาษิตนี้มีที่มาจากวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนไทยในสมัยก่อนที่เลี้ยงไก่ชนเป็นกีฬาและความบันเทิง การชนไก่ไม่ใช่เพียงแค่การต่อสู้ แต่ยังสะท้อนถึงทักษะและชั้นเชิง ไก่ที่ดีหรือไก่ชนเก่งจะสู้ด้วยกลยุทธ์และความมั่นคง มีความสง่างามในการออกท่าทาง เรียกว่าการ “ตีหล้า ๆ” ซึ่งหมายถึงการต่อสู้ด้วยวิธีที่เฉียบขาดและมีแบบแผน ในทางตรงกันข้าม “ไก่ขี้ข้า” หมายถึงไก่ที่ด้อยฝีมือ ไม่มีทักษะในการต่อสู้ และสู้ไปอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง เพียงใช้แรงกายตีไปโดยไม่คำนึงถึงชั้นเชิงหรือผลลัพธ์ ไก่ประเภทนี้เน้นจำนวนและความถี่ในการโจมตี โดยไม่มีการวางแผนหรือตัดสินใจที่ดี สุภาษิตนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการคิดวางแผน การใช้กลยุทธ์ และการกระทำที่มีแบบแผนในชีวิตจริง เปรียบเทียบกับวิถีชีวิตของไก่ชนที่คนไทยรู้จักดี ผู้ที่มีฝีมือจะทำสิ่งต่าง…