Tag: สุภาษิตไทย ก.

  • รู้จักสุภาษิตไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง หมายถึง สุภาษิตไทย “ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง” หมายถึง การที่คนดูดีและมีบุคลิกภาพที่น่าประทับใจได้ด้วยการแต่งกายและดูแลตัวเองให้เหมาะสม เช่นเดียวกับไก่ที่จะสวยก็ต้องมีขนสวยงาม สุภาษิตนี้เน้นถึงการพัฒนาบุคลิกภาพ การแต่งตัว การดูแลรูปลักษณ์ และการให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ภายนอก กล่าวคือ “ความสวยงามเกิดขึ้นได้จากการปรุงแต่ง” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต สุภาษิตนี้มีที่มาจากการสังเกตลักษณะของไก่ในวิถีชีวิตของคนไทยสมัยก่อน ซึ่งไก่ถือเป็นสัตว์ที่คนไทยคุ้นเคยและเลี้ยงไว้ในครัวเรือน การมีขนที่สวยงามเป็นสิ่งที่ทำให้ไก่ดูงดงามและสง่างาม โดยเฉพาะไก่ชนหรือไก่พื้นเมืองที่มีสีสันสดใส ขนของไก่จึงเปรียบเสมือนเครื่องสำอางหรือเสื้อผ้าของคน ที่ช่วยเสริมให้ดูดีและน่าชื่นชม สำหรับคนไทยสมัยก่อน การแต่งกายและการดูแลตนเองถือเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งในด้านความสะอาดเรียบร้อยและการสร้างบุคลิกภาพที่ดี เช่นเดียวกับไก่ที่งดงามเพราะมีขนสวย คนก็ต้องอาศัยการแต่งกายให้เหมาะสม สุภาษิตนี้จึงสะท้อนถึงการดูแลตัวเองทั้งภายนอกและภายในเพื่อสร้างความประทับใจ การดูแลรูปลักษณ์ไม่ได้หมายถึงแค่การใส่เสื้อผ้าที่ดีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสะอาด ความเรียบร้อย การใช้เครื่องสำอาง หรือการแต่งตัวอย่างมีสไตล์ ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความใส่ใจในการดูแลตนเอง ไม่ต่างจากการที่ไก่มีขนที่เงางาม ทำให้ดูมีสง่าราศี สุภาษิตนี้จึงเป็นเครื่องเตือนใจให้เรารู้จักดูแลตนเองทั้งในเรื่องการแต่งกาย การดูแลรูปลักษณ์ และบุคลิกภาพให้เหมาะสม เพื่อสร้างความงดงามที่มาจากการพัฒนาและปรับปรุงตัวเอง ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตแกงจืดจึงรู้คุณเกลือ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตแกงจืดจึงรู้คุณเกลือ ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. แกงจืดจึงรู้คุณเกลือ สุภาษิตแกงจืดจึงรู้คุณเกลือ หมายถึง สุภาษิตไทย “แกงจืดจึงรู้คุณเกลือ” หมายถึง การที่คนเรามักไม่เห็นคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ หรือบุคคลที่มีอยู่รอบตัวในขณะที่เรายังมีเขาหรือสิ่งนั้น แต่เมื่อขาดหายไป หรือเมื่อเกิดความเดือดร้อน เราจึงเริ่มตระหนักถึงคุณค่าที่แท้จริง ดั่งแกงจืดที่ขาดซึ่งเกลือย่อมไร้รสชาติที่ดีได้ ซึ่งคล้ายกับแนวคิดของเพลง “วันใดขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก” ที่สื่อถึงการรับรู้ความสำคัญของบางสิ่งหลังจากที่ขาดไป กล่าวคือ “จะรู้คุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ที่เรามองข้าม ไม่สนใจ ก็ต่อเมื่อไม่มีของสิ่งนั้นแล้ว” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต สุภาษิตนี้มีที่มาจากการเปรียบเปรยถึงการทำอาหารประเภทแกง โดยเกลือเป็นเพียงเครื่องปรุงเล็ก ๆ แต่สำคัญมากในการปรุงรสให้กลมกล่อม เมื่อแกงขาดเกลือจะทำให้จืดชืดไร้รสชาติ ซึ่งสื่อถึงการที่สิ่งที่ดูธรรมดาหรือถูกมองข้ามนั้น กลับมีคุณค่าและความสำคัญที่ไม่อาจละเลยได้ ทำให้คนเริ่มตระหนักถึงคุณค่าของเกลือเมื่อแกงจืดขึ้นมา ในสมัยโบราณ การทำแกงหรืออาหารนั้นไม่ได้มีเครื่องปรุงหลากหลายเหมือนปัจจุบัน เกลือจึงเป็นส่วนประกอบสำคัญในการปรุงรส มันสะท้อนถึงบทบาทของเกลือในวิถีชีวิตและวัฒนธรรมการกินของคนไทย ซึ่งมีการใช้เกลือเป็นเครื่องปรุงพื้นฐานที่สำคัญตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็นการปรุงอาหาร รักษาความสดใหม่ของอาหาร หรือถนอมอาหาร เกลือจึงถือเป็นสิ่งจำเป็นและมีค่า แม้จะดูธรรมดาหรือเรียบง่าย แต่มีบทบาทสำคัญต่อรสชาติของอาหาร โดยเฉพาะแกงจืดซึ่งหากขาดเกลือจะทำให้จืดชืดไร้รสชาติ ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตเกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตเกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง หมายถึง สุภาษิตไทย “เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง” หมายถึง คนที่แสดงออกว่ารังเกียจหรือไม่ชอบบางสิ่งบางอย่าง แต่กลับยังยินดีที่จะได้รับประโยชน์จากสิ่งที่เกี่ยวข้องหรือเกิดขึ้นจากสิ่งนั้น สะท้อนถึงความย้อนแย้งในความคิดและการกระทำ กล่าวคือ “เกลียดตัวเขา แต่อยากได้ผลประโยชน์จากเขา” เช่น การแสดงออกว่าไม่ชอบคนหนึ่งคน แต่ยังต้องการใช้ผลประโยชน์จากสิ่งที่คนนั้นทำไว้ ที่มาของสุภาษิต สุภาษิตนี้มาจากการเปรียบเปรยพฤติกรรมของคนที่แสดงออกว่ารังเกียจสิ่งหนึ่ง แต่กลับชอบหรือได้ประโยชน์จากสิ่งที่มาจากสิ่งนั้น เช่น การที่คนเกลียดไก่ แต่ยังยินดีที่จะกินไข่ของมัน หรือเกลียดปลาไหลแต่ยังชอบทานน้ำแกงที่ใช้ปลาไหลปรุง ซึ่งแสดงถึงความขัดแย้งในความคิดหรือการกระทำของคนคนหนึ่ง สำนวนนี้มีที่มาจากวิถีชีวิตของคนในสังคมเกษตรกรรมในอดีต ที่คนมักมีสัตว์เลี้ยงอย่างไก่หรือหาอาหารจากธรรมชาติ เช่น ปลาไหล การรังเกียจสัตว์บางชนิด แต่กลับไม่รังเกียจสิ่งที่มาจากสัตว์นั้น ๆ เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดในชีวิตประจำวัน สำนวนนี้จึงถูกใช้เพื่อสะท้อนถึงความย้อนแย้งในพฤติกรรมและความคิดของคนในสังคม ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตกว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตกว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ หมายถึง สุภาษิต “กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้” หมายถึง การที่คนพยายามทำบางสิ่งบางอย่างให้สำเร็จ แต่ในขณะเดียวกันกลับทำให้สิ่งอื่น ๆ เกิดความเสียหายเพราะความล่าช้าหรือการจัดการที่ไม่ดีพอ สุภาษิตนี้จึงเตือนให้ผู้คนรู้จักจัดสรรเวลาและจัดการงานให้สมดุล เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียที่ไม่จำเป็น กล่าวคือ “กว่าจะได้ผลดังประสงค์ ก็ต้องเสียอย่างใดอย่างหนึ่งไป ดุจเอาถั่วกับงามาคั่วพร้อมกัน กว่าจะคั่วจนถั่วสุก งาก็จะไหม้หมดไปก่อน” นั่นเอง ในแง่การปฏิบัติ สุภาษิตนี้สะท้อนถึงความสำคัญของการจัดการเวลาและการทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยความระมัดระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายจากการละเลยหรือการพยายามทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป จนทำให้เกิดการสูญเสียสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ที่มาของสุภาษิต มาจากการปรุงอาหารพื้นบ้านของไทย ซึ่งเป็นการเตือนถึงความแตกต่างของเวลาที่ใช้ในการปรุงสุกระหว่างถั่วและงา ในการทำอาหาร บางเมนูใช้ถั่วและงาเป็นส่วนผสม ถั่วจะต้องใช้เวลาปรุงสุกนานกว่างา ถ้าหากปรุงถั่วจนสุกพอดี งาซึ่งสุกเร็วกว่าอาจจะถูกละเลยจนไหม้ไปก่อนแล้ว การควบคุมเวลาและการปรุงอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สิ่งหนึ่งสำเร็จ ขณะเดียวกันอีกสิ่งหนึ่งเกิดความเสียหายไป สำนวนนี้สอดคล้องกับวิถีชีวิตในอดีต ที่การทำสิ่งใด ๆ มักต้องใช้ความระมัดระวัง และมีความคิดรอบคอบ ไม่ควรละเลยบางอย่างหรือมุ่งเน้นสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไปจนเกิดผลเสียกับสิ่งอื่นที่สำคัญเท่า ๆ กันหรือมากกว่า ตัวอย่างการใช้สุภาษิต สุภาษิตที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสุภาษิตกินบนเรือน ขี้บนหลังคา ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตกินบนเรือน ขี้บนหลังคา ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. กินบนเรือน ขี้บนหลังคา กินบนเรือน ขี้บนหลังคา หมายถึง สุภาษิต “กินบนเรือน ขี้บนหลังคา” หมายถึง การทำความชั่วหรือทรยศต่อผู้ที่เคยช่วยเหลือ หรือทำสิ่งไม่ดีต่อผู้อื่นในขณะที่ตัวเองได้รับประโยชน์จากเขา สุภาษิตนี้ใช้เพื่อวิจารณ์หรือเตือนถึงพฤติกรรมของคนที่ไม่รู้คุณหรือทำตัวไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่ได้รับการสนับสนุนหรือดูแล กล่าวคือ “คนเนรคุณ ไม่รู้จักบุญคุณ” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิตนี้ สุภาษิตนี้มีที่มาจากการเปรียบเทียบพฤติกรรมที่ไม่ซื่อตรงและไม่สำนึกในบุญคุณ โดยใช้บ้านเรือนเป็นสัญลักษณ์ของที่อยู่อาศัยและการดูแล หากมีคนที่ได้รับการช่วยเหลือจากผู้อื่น โดยเฉพาะในบ้านเรือนที่ตัวเองอยู่ แต่กลับทำสิ่งที่ไม่ดีหรือทรยศต่อเจ้าของบ้าน ก็เหมือนกับการทำความผิดหรือเสียมารยาทบนที่ที่ตัวเองได้รับประโยชน์จากนั้น เปรียบเสมือนการกินอาหารในบ้านของคนอื่นแต่กลับไปทำสิ่งไม่ดีต่อพวกเขา สุภาษิตนี้จึงใช้เป็นการเตือนใจไม่ให้เนรคุณหรือทำร้ายคนที่ให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนเรา เปรียบเหมือนการกินอาหารในบ้านเรือนที่เราได้รับการดูแล แต่กลับทำสิ่งเลวร้ายโดยไม่สำนึกบุญคุณ ตัวอย่างการใช้สุภาษิตนี้ สุภาษิตที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสุภาษิตกล้านักมักบิ่น ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตกล้านักมักบิ่น ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. กล้านักมักบิ่น กล้านักมักบิ่น หมายถึง สุภาษิต “กล้านักมักบิ่น” หมายถึง คนที่มีความกล้ามากเกินไป หรือมักทำสิ่งต่าง ๆ โดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยง อาจได้รับความเสียหายหรือความเดือดร้อนในภายหลัง สุภาษิตนี้เตือนให้รู้จักใช้ความกล้าอย่างพอดีและระมัดระวังในทุกการกระทำ เพราะความกล้าที่มากเกินไปมักจะนำไปสู่ผลเสียได้ กล่าวคือ “กล้าเกินไปมักจะเป็นอันตราย” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต สุภาษิตนี้มีที่มาจากการเปรียบเทียบการใช้เครื่องมือ เช่น มีดหรือดาบที่หากใช้บ่อยๆ หรือนำไปใช้อย่างหักโหมเกินไป ก็อาจทำให้คมมีดบิ่นหรือเสียหายได้ เปรียบได้กับคนที่มีความกล้ามากเกินพอดี หรือนำความกล้ามาใช้โดยไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วน อาจนำไปสู่ความเสียหายแก่ตนเองในภายหลัง สุภาษิตนี้ถูกใช้เพื่อเตือนใจให้คนรู้จักความพอดีและระมัดระวังในการทำสิ่งใด ๆ โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับความท้าทายหรือสถานการณ์ที่เสี่ยง เพราะการใช้ความกล้าเกินไปโดยไม่มีความระมัดระวัง อาจทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่ดีตามมา ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตกงเกวียนกำเกวียน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตกงเกวียนกำเกวียน ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ก. กงเกวียนกำเกวียน กงเกวียนกำเกวียน หมายถึง สุภาษิต “กงเกวียนกำเกวียน” หมายถึง การกระทำของคนที่ไม่ว่าจะเป็นดีหรือไม่ดี ย่อมมีผลตามมาในภายหลัง สิ่งที่เราทำต่อผู้อื่นจะย้อนกลับมาหาเรา เช่น หากทำดี ผลดีก็จะเกิดขึ้นกับเรา หากทำไม่ดี ผลร้ายก็จะย้อนกลับมาหาเราในรูปแบบของกรรม สุภาษิตนี้มักใช้เพื่อเตือนใจให้ผู้คนระมัดระวังในการกระทำและพฤติกรรมของตน เพราะทุกการกระทำย่อมมีผลลัพธ์ที่ต้องรับผิดชอบ กล่าวคือ “การกระทำใด ๆ ที่มีผลต่อผู้กระทำนั้น ๆ” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิตนี้ สุภาษิตนี้เป็นคำที่เปรียบเทียบกับการหมุนของล้อเกวียนในสมัยก่อน ซึ่ง “กงเกวียน” หมายถึงส่วนของล้อเกวียนที่หมุนไปเรื่อย ๆ โดยที่ “กำเกวียน” หมายถึงล้อส่วนหน้าที่นำทางเกวียน สุภาษิตนี้จึงเปรียบเทียบกับการกระทำของคนเราที่เหมือนกับล้อเกวียนที่หมุนไป หากทำดี สิ่งดีก็จะหมุนกลับมาหา หากทำไม่ดี ผลกรรมก็จะหมุนกลับมาส่งผลในภายหลัง เป็นแนวคิดเรื่องกฎแห่งกรรมที่สิ่งที่คนทำไว้จะย้อนกลับมาหาตัวเองในที่สุด สุภาษิตนี้สอดคล้องกับความเชื่อทางศาสนาและวัฒนธรรมที่สอนให้คนทำดีเพื่อให้ได้ผลดี และเตือนให้ระมัดระวังในการทำสิ่งไม่ดี เพราะผลของการกระทำจะส่งผลย้อนกลับมาเสมอ ตัวอย่างการใช้สุภาษิตนี้ สุภาษิตที่ความหมายคล้ายกัน