Tag: สุภาษิตไทย ข.

  • รู้จักสุภาษิตข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ข. ข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย ข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย หมายถึง สุภาษิต “ข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย” หมายถึง คนที่รับใช้นายหรือผู้บังคับบัญชาสองฝ่ายพร้อมกัน ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้ง เพราะไม่สามารถทำหน้าที่ได้ดีหรือถูกใจทั้งสองฝ่าย เปรียบถึงคนที่ไม่มีความมั่นคงในหน้าที่หรือความจงรักภักดี กล่าวคือ “คนที่รับใช้นายสองคนพร้อมกัน โดยเฉพาะเมื่อเจ้านายทั้งสองเป็นศัตรูกัน” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากวรรณกรรมจีนเรื่องสามก๊ก ซึ่งมีตัวละครที่เปลี่ยนข้างหรือรับใช้ผู้มีอำนาจสองฝ่าย เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว เช่น การเปลี่ยนฝักฝ่ายทางการเมืองหรือความจงรักภักดี ซึ่งสะท้อนถึงความขัดแย้งในการรับใช้เจ้านายสองคน โดยเฉพาะเมื่อเจ้านายทั้งสองเป็นศัตรูกัน เนื้อความสำคัญคือ “ไม่มีใครเป็นข้าสองเจ้า บ่าวสองนายได้ เพราะว่าเขาจะชังนายข้างหนึ่ง และรักนายอีกข้างหนึ่ง หรือเขาจะนับถือนายฝ่ายหนึ่ง และดูหมิ่นนายอีกฝ่ายหนึ่ง ท่านทั้งหลายจะรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้” สุภาษิตนี้สื่อถึงคนที่พยายามรับใช้นายสองคนในเวลาเดียวกัน ซึ่งเจ้านายทั้งสองนั้นมีเป้าหมายหรือผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกัน การกระทำเช่นนี้มักนำไปสู่ปัญหา เช่น ความไม่ไว้วางใจ ความขัดแย้ง หรือการถูกมองว่าขาดความซื่อสัตย์ต่อนายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง สุภาษิตนี้จึงสะท้อนถึงความยากลำบากและผลเสียจากการพยายามแบ่งความภักดีระหว่างเจ้านายสองฝ่าย ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตขิงก็ราข่าก็แรง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตขิงก็ราข่าก็แรง ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ข. ขิงก็ราข่าก็แรง ขิงก็ราข่าก็แรง หมายถึง สุภาษิต “ขิงก็ราข่าก็แรง” หมายถึง ต่างฝ่ายต่างมีนิสัยหรือท่าทีจัดจ้านพอ ๆ กัน หรือมีอารมณ์ร้อนพอ ๆ กัน จึงไม่ยอมลดละให้กัน ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งหรือสถานการณ์ที่ยากจะแก้ไข เปรียบเสมือนขิงที่เผ็ดร้อนและข่าที่มีกลิ่นฉุน ต่างฝ่ายต่างจัดจ้านและรุนแรงจนยากจะเข้ากันได้ กล่าวคือ “คนที่ต่างก็จัดจ้านพอ ๆ กัน, ต่างก็มีอารมณ์ร้อนพอ ๆ กัน, ต่างไม่ยอมลดละกัน” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากการเปรียบเทียบลักษณะของขิงและข่า ซึ่งเป็นสมุนไพรไทยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ขิงมีรสเผ็ดร้อน ส่วนข่ามีกลิ่นฉุนและรสชาติจัดจ้าน เมื่อสมุนไพรทั้งสองชนิดนี้รวมกัน ความจัดจ้านและความร้อนแรงจะยิ่งเพิ่มขึ้น เปรียบได้กับคนสองคนที่มีนิสัยรุนแรงหรือไม่ยอมใครพอ ๆ กัน เมื่อต้องเผชิญหน้าหรืออยู่ร่วมกัน ย่อมทำให้เกิดความขัดแย้งและปัญหาที่รุนแรงยิ่งขึ้น สุภาษิตนี้จึงสอนให้รู้จักอ่อนโยนและประนีประนอมเพื่อลดความขัดแย้ง ตัวอย่างการใช้สภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตขัดฝาแตะเกิดผล ขัดคอคนเกิดโทษ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตขัดฝาแตะเกิดผล ขัดคอคนเกิดโทษ ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ข. ขัดฝาแตะเกิดผล ขัดคอคนเกิดโทษ ขัดฝาแตะเกิดผล ขัดคอคนเกิดโทษ หมายถึง สุภาษิต “ขัดฝาแตะเกิดผล ขัดคอคนเกิดโทษ” หมายถึง การขัดแย้งหรือขัดขวางผู้อื่นอยู่เสมอจะนำมาซึ่งผลเสียต่อตนเอง ไม่ได้ประโยชน์อะไรเหมือนกับการขัดแตะ (ขัดแตะ คือไม้ไผ่ที่ผ่าเป็นซีก ๆ แล้วนำมาขัดสานกันเป็นแผง นำมาใช้ทำรั้วหรือฝาเรือนได้) การกระทำดังกล่าวอาจสร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้อื่นและส่งผลให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์หรือความขัดแย้งในสังคม สุภาษิตนี้จึงเป็นคำเตือนให้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดปัญหา และควรรู้จักรักษาความสงบเพื่อประโยชน์ร่วมกัน กล่าวคือ “การพูดขัดแย้งหรือขัดขวางคนอื่นอยู่เสมอจะทำให้เกิดผลเสีย” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มีที่มาจากการเปรียบเทียบกับฝาบ้านฝารั้วในสมัยก่อน โดยคำว่า “ขัดฝาแตะ” หมายถึง ฝาบ้านที่ทำจากไม้ไผ่ซีก ซึ่งถูกนำมาขัดแตะกับลูกตั้งหรือโครงสร้างเพื่อสร้างฝาบ้าน การทำฝาในลักษณะนี้จะต้องทำอย่างประณีตและถูกวิธี เพื่อให้บ้านมีความแข็งแรงและใช้งานได้ดี ส่วนที่มาของคำเปรียบเทียบนี้ นำมาใช้ในเชิงสุภาษิตว่า “ขัดฝาแตะเกิดผล” ซึ่งหมายถึงการทำสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสม ย่อมก่อให้เกิดผลดี เช่นเดียวกับการขัดแตะฝาบ้านที่ถูกวิธีจนสร้างบ้านได้แข็งแรง แต่ในทางกลับกัน “ขัดคอคนเกิดโทษ” เปรียบเทียบกับการกระทำที่ไม่เหมาะสม เช่น การพูดหรือขัดแย้งกับผู้อื่นในเวลาที่ไม่ควร ย่อมก่อให้เกิดปัญหาและผลเสียต่อตนเอง ดังนั้น สุภาษิตนี้จึงสะท้อนวิธีคิดเรื่องความเหมาะสมของการกระทำในบริบทสังคมและการอยู่ร่วมกัน ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตแข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งไม่ได้ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตแข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งไม่ได้ ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ข. แข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งไม่ได้ แข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งไม่ได้ หมายถึง สุภาษิต “แข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งไม่ได้” หมายถึง จงรู้จักตัวเองและเข้าใจขอบเขตความสามารถของตน อย่าพยายามทำสิ่งที่เกินกำลังหรือเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นในเรื่องที่เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่น บุญวาสนา หรือโชคชะตา กล่าวคือ “การรู้จักประมาณความสามารถของตนไม่อาจเอื้อมเกินตัว” นั่นเอง สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของโชคชะตาและผลจากการกระทำในอดีตที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงหรือแข่งขันกันได้ สุภาษิตนี้สอนให้ยอมรับในความแตกต่างของบุญวาสนาและบารมี และมุ่งมั่นทำสิ่งที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของตนเอง อย่าไปแข่งขันบุญวาสนาบารมีกับผู้อื่น เพราะบุญวาสนาหรือบารมีของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน ที่มาของสุภาษิต มาจากวิถีชีวิตและความเชื่อของคนไทยในอดีตที่สะท้อนถึงการยอมรับเรื่องบุญวาสนาและโชคชะตาแต่ละคนไม่เหมือนกัน ซึ่งเป็นผลมาจากการกระทำในอดีต สิ่งที่สามารถแข่งขันกันได้ เช่น ทักษะ ความสามารถ หรือกำลังกาย สามารถตัดสินกันด้วยความพยายามและฝึกฝน แต่เรื่องบุญวาสนา โชคชะตา หรือพรหมลิขิต เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยของแต่ละคน ซึ่งไม่สามารถแข่งขันหรือเปรียบเทียบกันได้ ในสุภาษิตใช้การ “แข่งเรือแข่งพาย” หมายถึงกิจกรรมที่ต้องอาศัยทักษะ ความพยายาม และการฝึกฝนที่สามารถวัดผลและตัดสินได้ชัดเจน และการแข่งเรือพายเป็นกีฬาที่นิยมในสมัยก่อน ส่วน “แข่งบุญแข่งวาสนา” เปรียบเปรยถึงสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงได้ เพราะบุญวาสนาและบารมีเป็นผลของกรรมดีในอดีตที่แต่ละคนสั่งสมมา เปรียบเสมือนเรือที่สามารถเร่งพายให้ถึงเส้นชัยได้ด้วยกำลังคน แต่กระแสน้ำที่ไหลช่วยหรือขวางนั้นเหมือนวาสนา ที่ขึ้นอยู่กับโชคชะตาและสิ่งที่เกินควบคุม สุภาษิตนี้เกิดจากการสังเกตความแตกต่างของคนในสังคม บางคนแม้จะพยายามมากแค่ไหน แต่หากขาดบุญวาสนาก็อาจไม่ประสบความสำเร็จในระดับเดียวกับคนที่มีบุญวาสนามากกว่า เป็นคำสอนให้คนเข้าใจและยอมรับในโชคชะตาของตัวเอง…

  • รู้จักสุภาษิตข้างในไฟคลอก ข้างนอกวันทา ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตข้างในไฟคลอก ข้างนอกวันทา ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ข. ข้างในไฟคลอก ข้างนอกวันทา ข้างในไฟคลอก ข้างนอกวันทา หมายถึง สุภาษิต “ข้างในไฟคลอก ข้างนอกวันทา” หมายถึง การเก็บความโกรธ ความไม่พอใจ หรือความคับแค้นไว้ภายใน โดยไม่แสดงออกให้ผู้อื่นรับรู้ และยังคงแสดงท่าทีที่สุภาพหรือเป็นมิตรต่อภายนอก กล่าวคือ “การเก็บความโกรธไว้มิให้ผู้อื่นรู้” นั่นเอง เปรียบได้กับคนที่แม้จะรู้สึกเดือดดาลหรือไม่สบายใจในใจ แต่ก็สามารถควบคุมอารมณ์และแสดงออกอย่างสงบเพื่อรักษาความสัมพันธ์หรือสถานการณ์ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ สุภาษิตนี้สะท้อนถึงการอดกลั้นและการควบคุมอารมณ์ในสถานการณ์ที่อาจทำให้เกิดความขัดแย้ง ที่มาของสุภาษิต มาจากการเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่คนเก็บความโกรธ ความไม่พอใจ หรือความคับแค้นไว้ภายในจิตใจ แต่ยังคงแสดงท่าทีสุภาพและนอบน้อมภายนอก คำว่า “ข้างในไฟคลอก” เปรียบเหมือนอารมณ์ภายในที่เดือดดาลหรือร้อนแรงดั่งไฟ แต่ไม่ได้แสดงออกมา ส่วน “ข้างนอกวันทา” หมายถึง การแสดงความเคารพการไหว้ นอบน้อมหรือความสุภาพต่อภายนอก สะท้อนถึงความสามารถในการควบคุมอารมณ์และการปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ สุภาษิตนี้มาจากแนวคิดในสังคมไทยที่ให้ความสำคัญกับ การอดกลั้น และ การรักษามารยาท แม้จะเกิดความขัดแย้งหรือความไม่พอใจในใจ ก็ยังคงแสดงออกอย่างสงบเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหรือความขัดแย้งที่อาจลุกลาม ตัวอย่างการใช้สุภาษิต สุภาษิตที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสุภาษิตข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ข. ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง หมายถึง สุภาษิต “ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง” หมายถึง สิ่งที่ดูภายนอกแล้วดูสวยงามดูดี แต่แท้จริงแล้วภายในนั้นดูแย่และไม่ดีเอาเสียเลย หรือลักษณะภายนอกดูสวยงาม เป็นของดีมีคุณค่า แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ใช่ของดีมีคุณค่าอย่างที่คิด กล่าวคือ “สิ่งที่ดูดีหรือสวยงามจากภายนอก แต่ภายในกลับไม่มีคุณค่า เต็มไปด้วยข้อบกพร่อง หรือไร้แก่นสาร” นั่นเอง สุภาษิตนี้มักใช้เปรียบเปรยถึงคนหรือสิ่งของที่ดูดีเฉพาะรูปลักษณ์ภายนอก แต่กลับไม่มีคุณภาพ ความจริงใจ หรือคุณธรรมที่ควรมี เป็นคำเตือนให้ระมัดระวังการตัดสินสิ่งต่าง ๆ เพียงแค่จากภายนอกโดยไม่พิจารณาเนื้อแท้ภายใน ที่มาของสุภาษิต มาจากการเปรียบเทียบกับผลไม้บางชนิด เช่น มะพร้าวแก่หรือผลไม้ที่ดูสวยงามจากภายนอก แต่เมื่อเปิดออกกลับพบว่าข้างในกลวงหรือเสียหาย เป็นการสะท้อนถึงสิ่งที่ดูดีเพียงเปลือกนอก แต่ขาดคุณค่าเนื้อแท้ภายใน ในบริบททางสังคม สุภาษิตนี้ถูกใช้เพื่อเตือนให้คนพิจารณาสิ่งต่าง ๆ อย่างรอบคอบ ไม่หลงเชื่อหรือตัดสินคนหรือสิ่งของเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก เพราะอาจพบว่าข้างในกลับไม่มีคุณภาพ หรือมีข้อบกพร่องที่ซ่อนอยู่ เป็นคำเตือนให้คำนึงถึงเนื้อแท้ของสิ่งต่าง ๆ มากกว่าความงดงามที่เห็นจากภายนอก ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตข้าพึ่งเจ้า บ่าวพึ่งนาย ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตข้าพึ่งเจ้า บ่าวพึ่งนาย ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ข. ข้าพึ่งเจ้า บ่าวพึ่งนาย ข้าพึ่งเจ้า บ่าวพึ่งนาย หมายถึง สุภาษิต “ข้าพึ่งเจ้า บ่าวพึ่งนาย” หมายถึง ความสัมพันธ์ของการพึ่งพากันระหว่างผู้ที่มีสถานะสูงกว่าและผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา โดยฝ่ายที่ต่ำกว่าจะพึ่งพาความช่วยเหลือ การดูแล หรือการสนับสนุนจากผู้ที่มีอำนาจ ส่วนฝ่ายที่สูงกว่าก็ต้องพึ่งพาความซื่อสัตย์ การทำงาน หรือความช่วยเหลือจากฝ่ายที่ต่ำกว่า เป็นการสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ต้องเกื้อกูลกันทั้งสองฝ่ายเพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปได้อย่างราบรื่น กล่าวคือ “คนที่มีฐานะหรือสถานะต่างกัน แต่พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากโครงสร้างสังคมไทยในสมัยโบราณที่มีระบบเจ้าขุนมูลนาย ซึ่งเป็นความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ระหว่างเจ้านายกับผู้ใต้บังคับบัญชา เจ้านายมีหน้าที่ให้ความคุ้มครอง ปกป้อง และดูแลลูกน้องหรือบ่าวไพร่ ส่วนลูกน้องหรือบ่าวไพร่ก็มีหน้าที่ตอบแทนด้วยความซื่อสัตย์และการทำงานรับใช้ สุภาษิตนี้เปรียบถึง ความสัมพันธ์ที่พึ่งพาอาศัยกันระหว่างทั้งสองฝ่าย โดยแต่ละฝ่ายมีบทบาทและหน้าที่ของตน หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งละเลยหน้าที่ ความสัมพันธ์นั้นก็จะไม่สมดุลและเกิดปัญหาตามมา สุภาษิตนี้ยังแฝงแนวคิดเรื่องความสำคัญของการเกื้อกูลกันในสังคมเพื่อให้ทุกคนสามารถดำรงชีวิตได้อย่างราบรื่น ตัวอย่างการใช้สุภาษิต สุภาษิตที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสุภาษิตเขียนด้วยมือลบด้วยเท้า ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตเขียนด้วยมือลบด้วยเท้า ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ข. เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า หมายถึง สุภาษิต “เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า” หมายถึง การกระทำที่ขัดแย้งกับคำพูดหรือสิ่งที่ตัวเองทำไว้ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะการทำลายหรือย้อนแย้งในสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้น สื่อถึงคนที่เคยทำดีจนได้รับความเชื่อถือและไว้วางใจจากผู้อื่น แต่กลับทำสิ่งไม่ดีในภายหลังจนลบล้างความดีที่เคยสร้างไว้ เปรียบเสมือนการเขียนบางสิ่งด้วยมืออย่างตั้งใจ แต่กลับใช้เท้าลบสิ่งนั้นทิ้งไปอย่างง่ายดาย สุภาษิตนี้มักใช้เตือนหรือวิจารณ์คนที่ทำลายสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้น หรือพูดสิ่งหนึ่งแต่ทำอีกสิ่งหนึ่งที่ตรงข้ามกัน กล่าวคือ “ยกย่องแล้วกลับทำลายในภายหลัง” นั่นเอง สุภาษิตนี้ยังพูดได้อีกแบบหนึ่งคือ “เขียนด้วยมือลบด้วยตีน” ที่มาของสุภาษิต มาจากการเปรียบเทียบกับการกระทำของคนที่สร้างหรือทำสิ่งหนึ่งขึ้นอย่างตั้งใจ เปรียบเสมือนการเขียนข้อความหรือสิ่งสำคัญด้วยมือ แต่ภายหลังกลับลบสิ่งนั้นทิ้งด้วยเท้า ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดแย้งและทำลายสิ่งที่ตัวเองสร้างไว้ สร้างขึ้นด้วยมือแต่กลับทำลายด้วยตีน ในบริบททางสังคม สุภาษิตนี้สะท้อนถึงพฤติกรรมของคนที่เคยทำความดีหรือสร้างความไว้วางใจจนได้รับความเชื่อถือ แต่กลับทำสิ่งที่ไม่ดีหรือผิดศีลธรรมในภายหลังจนลบล้างความดีนั้นไปอย่างง่ายดาย เหมือนการทำลายความพยายามและความตั้งใจเดิมด้วยการกระทำที่ไม่ยั้งคิดหรือไม่เหมาะสม สุภาษิตนี้จึงเป็นคำเตือนให้รักษาความดีและความน่าเชื่อถือที่ได้สร้างไว้ อย่าทำลายมันด้วยการกระทำที่ไม่ถูกต้องในภายหลัง ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตเข้าเถื่อนอย่าลืมพร้า ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตเข้าเถื่อนอย่าลืมพร้า ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ข. เข้าเถื่อนอย่าลืมพร้า เข้าเถื่อนอย่าลืมพร้า หมายถึง สุภาษิต “เข้าเถื่อนอย่าลืมพร้า” หมายถึง ให้มีความรอบคอบและไม่ประมาทในทุกสถานการณ์ เช่นเดียวกับการเข้าป่าทึบที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและความเสี่ยง เราจำเป็นต้องเตรียมพร้าหรือเครื่องมือสำคัญติดตัวไว้อย่างมีดพร้า การเตรียมพร้อมเช่นนี้สะท้อนถึงความระมัดระวังในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคยหรือเสี่ยงต่อความลำบาก การมีความรอบคอบและอุปกรณ์หรือความรู้ที่เพียงพอจะช่วยให้เราผ่านพ้นปัญหาได้อย่างปลอดภัยและมั่นใจ สุภาษิตนี้สอนให้เรารู้จักเตรียมพร้อมทั้งทางกายและใจ รวมถึงอุปกรณ์หรือความรู้ที่จำเป็น เพื่อให้สามารถรับมือกับปัญหาและสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย กล่าวคือ “การให้มีความรอบคอบอย่าประมาท เช่นเดียวกับเวลาจะเข้าป่าจะต้องหามีดติดตัวไปด้วย” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยโบราณที่ต้องเดินทางผ่านป่าทึบหรือพื้นที่ที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและอันตราย เช่น กิ่งไม้หนาม เถาวัลย์ หรือสัตว์ป่า ซึ่งการพก พร้า (มีดขนาดใหญ่สำหรับตัดฟืนหรือถางป่า) ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้สามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัย คำว่า “เถื่อน” ในบริบทของสุภาษิต “เข้าเถื่อนอย่าลืมพร้า” หมายถึง สถานที่ที่เป็นป่าทึบหรือพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา มักเต็มไปด้วยอุปสรรค เช่น ต้นไม้หนาแน่น เถาวัลย์ หรือสิ่งที่อาจเป็นอันตราย เช่น สัตว์ป่า หรือพื้นที่ที่ยากต่อการเดินทาง ในความหมายเชิงเปรียบเทียบ “เถื่อน” ยังสื่อถึงสถานการณ์ที่ ยากลำบาก ซับซ้อน หรือเต็มไปด้วยความเสี่ยง ซึ่งต้องอาศัยความระมัดระวังและการเตรียมตัวอย่างดี เช่นเดียวกับการเดินทางในป่าที่ต้องพกพร้าเพื่อความปลอดภัยและสะดวกในการเคลื่อนที่ สุภาษิตนี้จึงเตือนให้เราเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนหรืออันตราย ไม่ว่าจะเป็นในชีวิตประจำวันหรือในบริบทที่สำคัญ…

  • รู้จักสุภาษิตขุนนางใช่พ่อแม่ หินแง่ใช่ตายาย ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตขุนนางใช่พ่อแม่ หินแง่ใช่ตายาย ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ข. ขุนนางใช่พ่อแม่ หินแง่ใช่ตายาย ขุนนางใช่พ่อแม่ หินแง่ใช่ตายาย หมายถึง สุภาษิต “ขุนนางใช่พ่อแม่ หินแง่ใช่ตายาย” หมายถึง การไม่ควรไว้วางใจใครง่าย ๆ หากบุคคลนั้นไม่ใช่คนในครอบครัวที่แท้จริง เช่น พ่อ แม่ หรือปู่ย่าตายาย เพราะคนอื่นอาจไม่ได้มีความหวังดีหรือผูกพันกับเราจริง ๆ สอนให้ระมัดระวังและพึ่งพาตนเองเป็นหลัก โดยไม่ฝากความไว้วางใจไว้กับผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผลที่เพียงพอ กล่าวคือ “ถ้าไม่ใช่ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยายของตน ก็ไม่ควรไว้วางใจใคร” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากการเปรียบเทียบในวิถีชีวิตและสังคมไทยโบราณ ซึ่งมีความเชื่อและประสบการณ์เกี่ยวกับผู้มีอำนาจ เช่น ขุนนาง หรือสิ่งที่ดูมั่นคงแข็งแรงอย่างหินแง่ ขุนนางแม้จะมีอำนาจและดูเหมือนจะช่วยเหลือเราได้ในบางครั้ง แต่พวกเขาไม่ได้มีความผูกพันกับเราเหมือนพ่อแม่ ที่มีหน้าที่ดูแลและปกป้องเราโดยแท้จริงหินแง่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงและแข็งแรง แต่ก็ไม่ได้เป็นตายาย ที่มีความรักและความเมตตาต่อเรา สุภาษิตนี้จึงเกิดขึ้นจากการสอนลูกหลานให้ตระหนักว่า ไม่ควรฝากความไว้วางใจหรือความหวังไว้กับผู้ที่ไม่ได้มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเรา เพราะอาจไม่ได้รับความช่วยเหลือหรือความจริงใจอย่างที่เราคาดหวัง เป็นคำเตือนให้ระมัดระวัง และรู้จักพึ่งพาตนเองมากกว่าพึ่งพาผู้อื่น ตัวอย่างการใช้สุภาษิต