รู้จักสุภาษิตขิงก็ราข่าก็แรง ที่มาและความหมาย

สุภาษิตหมวดหมู่ ข. ขิงก็ราข่าก็แรง

ขิงก็ราข่าก็แรง หมายถึง

สุภาษิต “ขิงก็ราข่าก็แรง” หมายถึง ต่างฝ่ายต่างมีนิสัยหรือท่าทีจัดจ้านพอ ๆ กัน หรือมีอารมณ์ร้อนพอ ๆ กัน จึงไม่ยอมลดละให้กัน ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งหรือสถานการณ์ที่ยากจะแก้ไข เปรียบเสมือนขิงที่เผ็ดร้อนและข่าที่มีกลิ่นฉุน ต่างฝ่ายต่างจัดจ้านและรุนแรงจนยากจะเข้ากันได้ กล่าวคือ “คนที่ต่างก็จัดจ้านพอ ๆ กัน, ต่างก็มีอารมณ์ร้อนพอ ๆ กัน, ต่างไม่ยอมลดละกัน” นั่นเอง

ที่มาและความหมายขิงก็ราข่าก็แรง

ที่มาของสุภาษิตนี้

มาจากการเปรียบเทียบลักษณะของขิงและข่า ซึ่งเป็นสมุนไพรไทยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ขิงมีรสเผ็ดร้อน ส่วนข่ามีกลิ่นฉุนและรสชาติจัดจ้าน เมื่อสมุนไพรทั้งสองชนิดนี้รวมกัน ความจัดจ้านและความร้อนแรงจะยิ่งเพิ่มขึ้น เปรียบได้กับคนสองคนที่มีนิสัยรุนแรงหรือไม่ยอมใครพอ ๆ กัน เมื่อต้องเผชิญหน้าหรืออยู่ร่วมกัน ย่อมทำให้เกิดความขัดแย้งและปัญหาที่รุนแรงยิ่งขึ้น สุภาษิตนี้จึงสอนให้รู้จักอ่อนโยนและประนีประนอมเพื่อลดความขัดแย้ง

ตัวอย่างการใช้สภาษิตนี้

  • ในที่ประชุมของบริษัท นายเอกและนายสมชายต่างโต้เถียงกันอย่างดุเดือด เพราะไม่มีใครยอมลดละความคิดเห็นของตัวเอง จนหัวหน้าต้องเข้ามาห้ามและกล่าวว่า “นี่มันชัดเจนว่าขิงก็ราข่าก็แรง อย่าปล่อยให้ความร้อนแรงทำให้งานสะดุด” (การไม่ยอมกันของทั้งสองฝ่ายทำให้สถานการณ์ตึงเครียด)
  • สองครอบครัวเพื่อนบ้านมักมีปัญหาเรื่องการใช้พื้นที่ร่วมกัน โดยทั้งคู่ยืนยันสิทธิ์ของตัวเองอย่างแข็งกร้าว ไม่เคยประนีประนอมกัน (ต่างฝ่ายต่างขิงก็ราข่าก็แรง ทำให้ความสัมพันธ์ยิ่งห่างเหิน)
  • ในการแข่งขันกีฬา ทีมของนายบอลกับทีมของนายดำต่างไม่ยอมแพ้ และใช้วิธีการเล่นที่ดุดันต่อกันจนกรรมการต้องคอยตักเตือนอยู่หลายครั้ง (การแข่งขันที่ทั้งสองฝ่ายมีท่าทีร้อนแรง ไม่ต่างจากขิงก็ราข่าก็แรง)
  • เพื่อนร่วมงานสองคนโต้แย้งกันเรื่องวิธีการทำงาน โดยต่างฝ่ายต่างไม่ยอมฟังความเห็นของอีกฝ่าย จนงานล่าช้ากว่ากำหนด (การไม่อ่อนข้อของทั้งสองฝ่าย สะท้อนให้เห็นว่าขิงก็ราข่าก็แรง)
  • พี่ชายกับน้องสาวทะเลาะกันบ่อย เพราะทั้งคู่ต่างเป็นคนอารมณ์ร้อนและไม่ยอมลงให้กัน พ่อจึงกล่าวว่า “หากยังขิงก็ราข่าก็แรงแบบนี้ บ้านเราก็ไม่มีวันสงบสุขหรอก” (การมีนิสัยร้อนแรงทั้งสองฝ่ายทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวไม่ราบรื่น)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายกัน

  • ลิ้นกับฟัน หมายถึง: การกระทบกระทั่งกันบ้างแต่ไม่รุนแรงของคนที่ใกล้ชิดกัน เช่น ระหว่างสามีกับภรรยาหรือคนที่ทำงานร่วมกัน

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก Longdo Dict

รู้จักสุภาษิตขัดฝาแตะเกิดผล ขัดคอคนเกิดโทษ ที่มาและความหมาย

สุภาษิตหมวดหมู่ ข. ขัดฝาแตะเกิดผล ขัดคอคนเกิดโทษ

ขัดฝาแตะเกิดผล ขัดคอคนเกิดโทษ หมายถึง

สุภาษิต “ขัดฝาแตะเกิดผล ขัดคอคนเกิดโทษ” หมายถึง การขัดแย้งหรือขัดขวางผู้อื่นอยู่เสมอจะนำมาซึ่งผลเสียต่อตนเอง ไม่ได้ประโยชน์อะไรเหมือนกับการขัดแตะ (ขัดแตะ คือไม้ไผ่ที่ผ่าเป็นซีก ๆ แล้วนำมาขัดสานกันเป็นแผง นำมาใช้ทำรั้วหรือฝาเรือนได้) การกระทำดังกล่าวอาจสร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้อื่นและส่งผลให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์หรือความขัดแย้งในสังคม สุภาษิตนี้จึงเป็นคำเตือนให้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดปัญหา และควรรู้จักรักษาความสงบเพื่อประโยชน์ร่วมกัน กล่าวคือ “การพูดขัดแย้งหรือขัดขวางคนอื่นอยู่เสมอจะทำให้เกิดผลเสีย” นั่นเอง

ที่มาและความหมายขัดฝาแตะเกิดผล ขัดคอคนเกิดโทษ

ที่มาของสุภาษิตนี้

มีที่มาจากการเปรียบเทียบกับฝาบ้านฝารั้วในสมัยก่อน โดยคำว่า “ขัดฝาแตะ” หมายถึง ฝาบ้านที่ทำจากไม้ไผ่ซีก ซึ่งถูกนำมาขัดแตะกับลูกตั้งหรือโครงสร้างเพื่อสร้างฝาบ้าน การทำฝาในลักษณะนี้จะต้องทำอย่างประณีตและถูกวิธี เพื่อให้บ้านมีความแข็งแรงและใช้งานได้ดี

ส่วนที่มาของคำเปรียบเทียบนี้ นำมาใช้ในเชิงสุภาษิตว่า “ขัดฝาแตะเกิดผล” ซึ่งหมายถึงการทำสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสม ย่อมก่อให้เกิดผลดี เช่นเดียวกับการขัดแตะฝาบ้านที่ถูกวิธีจนสร้างบ้านได้แข็งแรง

แต่ในทางกลับกัน “ขัดคอคนเกิดโทษ” เปรียบเทียบกับการกระทำที่ไม่เหมาะสม เช่น การพูดหรือขัดแย้งกับผู้อื่นในเวลาที่ไม่ควร ย่อมก่อให้เกิดปัญหาและผลเสียต่อตนเอง ดังนั้น สุภาษิตนี้จึงสะท้อนวิธีคิดเรื่องความเหมาะสมของการกระทำในบริบทสังคมและการอยู่ร่วมกัน

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตนี้

  • เมื่อแม่แนะนำให้ลูกสาวช่วยล้างจาน ลูกตอบว่า “ล้างทีหลังได้ แม่ไม่ต้องสั่งหรอก” ทำให้แม่รู้สึกไม่พอใจและเตือนว่า “ขัดฝาแตะเกิดผล ขัดคอคนเกิดโทษ หากลูกทำสิ่งที่ควรทำจะเกิดผลดี แต่ถ้าขัดแย้งหรือขัดคำพูดผู้อื่นโดยไม่เหมาะสม จะนำผลเสียมาให้ตัวเอง” (สอนว่าการทำในสิ่งที่เหมาะสม ย่อมนำมาซึ่งผลดี มากกว่าการแสดงความขัดแย้งโดยไม่จำเป็น)
  • ในการประชุมงาน นายเอกมักพูดแทรกและขัดคอความคิดเห็นของหัวหน้าอยู่เสมอ จนหัวหน้าเริ่มไม่พอใจและตำหนิเขาอย่างรุนแรงต่อหน้าทีมงาน (การขัดแย้งหัวหน้าในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม อาจทำลายภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของตัวเอง)
  • เพื่อนในกลุ่มช่วยกันเสนอไอเดียงาน แต่พิมพ์มักพูดขัดแย้งกับทุกความเห็นโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน ทำให้เพื่อนในกลุ่มเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายและไม่อยากทำงานด้วย (คำพูดที่ขัดคอหรือขัดแย้งโดยไม่มีเหตุผล นอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้วยังสร้างความไม่พอใจให้กับผู้อื่น)
  • ขณะที่พี่ชายกำลังตั้งใจสอนการบ้านให้น้องชาย เพื่อนบ้านเข้ามาแทรกแซงด้วยคำแนะนำที่ไม่ถูกต้อง พี่ชายจึงรู้สึกไม่พอใจและเสียสมาธิ (การกระทำที่ขัดจังหวะและไม่สร้างสรรค์ อาจทำให้เกิดความไม่พอใจและผลเสียต่อการช่วยเหลือกัน)
  • ในระหว่างเทศน์ในงานบุญ พระสงฆ์กล่าวกับญาติโยมว่า “การทำสิ่งที่เหมาะสมและถูกต้อง เช่น การช่วยเหลือกันหรือพูดจาสุภาพ ย่อมนำมาซึ่งผลดีต่อทุกคนในสังคม เปรียบเสมือนขัดฝาแตะเกิดผล แต่หากมัวแต่ขัดแย้งหรือพูดจาไม่เหมาะสม เช่น การวิจารณ์ผู้อื่นโดยไม่จำเป็น ก็เหมือนขัดคอคนเกิดโทษ ที่ทำให้เกิดปัญหาและสร้างความขัดแย้ง จำไว้นะญาติโยม เราควรรักษาความสงบและเลือกทำในสิ่งที่ดี” (พระสอนญาติโยมให้ระมัดระวังคำพูดและการกระทำเพื่อความสงบสุขในสังคม

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจากบ้านกลอนน้อย

รู้จักสุภาษิตข้างในไฟคลอก ข้างนอกวันทา ที่มาและความหมาย

สุภาษิตหมวดหมู่ ข. ข้างในไฟคลอก ข้างนอกวันทา

ข้างในไฟคลอก ข้างนอกวันทา หมายถึง

สุภาษิต “ข้างในไฟคลอก ข้างนอกวันทา” หมายถึง การเก็บความโกรธ ความไม่พอใจ หรือความคับแค้นไว้ภายใน โดยไม่แสดงออกให้ผู้อื่นรับรู้ และยังคงแสดงท่าทีที่สุภาพหรือเป็นมิตรต่อภายนอก กล่าวคือ “การเก็บความโกรธไว้มิให้ผู้อื่นรู้” นั่นเอง

เปรียบได้กับคนที่แม้จะรู้สึกเดือดดาลหรือไม่สบายใจในใจ แต่ก็สามารถควบคุมอารมณ์และแสดงออกอย่างสงบเพื่อรักษาความสัมพันธ์หรือสถานการณ์ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ สุภาษิตนี้สะท้อนถึงการอดกลั้นและการควบคุมอารมณ์ในสถานการณ์ที่อาจทำให้เกิดความขัดแย้ง

ที่มาและความหมายข้างในไฟคลอก ข้างนอกวันทา

ที่มาของสุภาษิตนี้

มาจากการเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่คนเก็บความโกรธ ความไม่พอใจ หรือความคับแค้นไว้ภายในจิตใจ แต่ยังคงแสดงท่าทีสุภาพและนอบน้อมภายนอก

คำว่า “ข้างในไฟคลอก” เปรียบเหมือนอารมณ์ภายในที่เดือดดาลหรือร้อนแรงดั่งไฟ แต่ไม่ได้แสดงออกมา ส่วน “ข้างนอกวันทา” หมายถึง การแสดงความเคารพการไหว้ นอบน้อมหรือความสุภาพต่อภายนอก สะท้อนถึงความสามารถในการควบคุมอารมณ์และการปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับสถานการณ์

สุภาษิตนี้มาจากแนวคิดในสังคมไทยที่ให้ความสำคัญกับ การอดกลั้น และ การรักษามารยาท แม้จะเกิดความขัดแย้งหรือความไม่พอใจในใจ ก็ยังคงแสดงออกอย่างสงบเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหรือความขัดแย้งที่อาจลุกลาม

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตนี้

  • สมชายได้รับคำวิจารณ์จากหัวหน้าในที่ประชุมเรื่องงานที่เขารับผิดชอบ แม้หัวหน้าจะพูดในลักษณะตัดพ้อและตำหนิแรงเกินไปจนทำให้สมชายรู้สึกโกรธ เขาเลือกที่จะเก็บอารมณ์ไว้ภายในและยังคงแสดงความสุภาพในคำพูดและท่าทีต่อหน้าทุกคน (แม้ในใจจะเดือดดาล แต่เขาเลือกที่จะควบคุมอารมณ์เพื่อรักษาบรรยากาศในที่ประชุม)
  • นิดาถูกเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเหน็บแนมและประชดประชันเรื่องความล่าช้าของงานในระหว่างการพูดคุยในทีม แม้เธอจะรู้สึกไม่พอใจและมองว่าคำพูดนั้นไม่ยุติธรรม เธอก็ยังยิ้มและตอบกลับอย่างสุภาพเพื่อให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปได้ (แสดงออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่ในใจโกรธมาก)
  • คำปันจับได้ว่าลูกชายแอบเล่นเกมระหว่างเวลาอ่านหนังสือที่สัญญาไว้ แม้เขาจะรู้สึกโกรธและผิดหวัง แต่เลือกที่จะไม่ดุด่าลูกทันที เขาเรียกลูกมาพูดคุยด้วยน้ำเสียงที่สงบเพื่อให้ลูกยอมรับผิดและแก้ไขพฤติกรรม (เก็บความโมโหไว้และเลือกพูดอย่างมีสติ)
  • หวานถูกเพื่อนในกลุ่มตำหนิเรื่องที่เธอไม่ช่วยงานส่วนกลางในกิจกรรมของโรงเรียน แม้เธอจะรู้สึกว่าคำตำหนินั้นไม่ยุติธรรมเพราะเธอมีเหตุผลของตัวเอง แต่เธอก็ยังยิ้มและขอโทษโดยไม่ได้โต้เถียง (เลือกแสดงออกอย่างสงบเพื่อหลีกเลี่ยงการทะเลาะ)
  • นายคำมูลเข้าร่วมประชุมชุมชนและไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของผู้ใหญ่บ้านเรื่องการจัดสรรที่ดิน แม้ในใจเขาจะรู้สึกว่าความคิดของผู้ใหญ่บ้านไม่ถูกต้อง เขาก็ยังคงแสดงความคิดเห็นอย่างสุภาพและระมัดระวังคำพูดเพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างความขัดแย้งในที่ประชุม (อดกลั้นความไม่พอใจเพื่อรักษาความสงบในชุมชน)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายกัน

  • น้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก หมายถึง: แม้จะไม่พอใจก็ยังแสดงสีหน้ายิ้มแย้ม เป็นการอดทนอดกลั้น เก็บความโกรธไม่พอใจไว้ภายใน แล้วแสดงสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นมิตร

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก Spb Knowledge

รู้จักสุภาษิตข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง ที่มาและความหมาย

สุภาษิตหมวดหมู่ ข. ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง

ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง หมายถึง

สุภาษิต “ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง” หมายถึง สิ่งที่ดูภายนอกแล้วดูสวยงามดูดี แต่แท้จริงแล้วภายในนั้นดูแย่และไม่ดีเอาเสียเลย หรือลักษณะภายนอกดูสวยงาม เป็นของดีมีคุณค่า แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ใช่ของดีมีคุณค่าอย่างที่คิด

กล่าวคือ “สิ่งที่ดูดีหรือสวยงามจากภายนอก แต่ภายในกลับไม่มีคุณค่า เต็มไปด้วยข้อบกพร่อง หรือไร้แก่นสาร” นั่นเอง

สุภาษิตนี้มักใช้เปรียบเปรยถึงคนหรือสิ่งของที่ดูดีเฉพาะรูปลักษณ์ภายนอก แต่กลับไม่มีคุณภาพ ความจริงใจ หรือคุณธรรมที่ควรมี เป็นคำเตือนให้ระมัดระวังการตัดสินสิ่งต่าง ๆ เพียงแค่จากภายนอกโดยไม่พิจารณาเนื้อแท้ภายใน

ที่มาและความหมายข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง

ที่มาของสุภาษิตนี้

มาจากการเปรียบเทียบกับผลไม้บางชนิด เช่น มะพร้าวแก่หรือผลไม้ที่ดูสวยงามจากภายนอก แต่เมื่อเปิดออกกลับพบว่าข้างในกลวงหรือเสียหาย เป็นการสะท้อนถึงสิ่งที่ดูดีเพียงเปลือกนอก แต่ขาดคุณค่าเนื้อแท้ภายใน

ในบริบททางสังคม สุภาษิตนี้ถูกใช้เพื่อเตือนให้คนพิจารณาสิ่งต่าง ๆ อย่างรอบคอบ ไม่หลงเชื่อหรือตัดสินคนหรือสิ่งของเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก เพราะอาจพบว่าข้างในกลับไม่มีคุณภาพ หรือมีข้อบกพร่องที่ซ่อนอยู่ เป็นคำเตือนให้คำนึงถึงเนื้อแท้ของสิ่งต่าง ๆ มากกว่าความงดงามที่เห็นจากภายนอก

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตนี้

  • สมชายดูเป็นคนสุภาพและมีความรู้ในสายตาของเพื่อนร่วมงาน แต่เมื่อถึงเวลารับผิดชอบงานสำคัญ เขากลับทำผิดพลาดหลายครั้งจนงานล้มเหลว เพื่อนร่วมงานจึงพูดว่า สมชายเหมือนข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง (ภายนอกดูดีแต่ขาดความสามารถที่แท้จริง)
  • ร้านอาหารแห่งหนึ่งตกแต่งภายนอกอย่างหรูหราและสวยงาม แต่เมื่อเข้าไปพบว่ารสชาติอาหารไม่อร่อยและบริการแย่ ลูกค้าจึงรู้สึกผิดหวังและเปรียบร้านนี้เหมือนข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง (การเน้นความสวยงามภายนอกแต่ขาดคุณภาพภายใน)
  • นิดาแต่งตัวดูดีและมีบุคลิกน่าประทับใจในที่ทำงาน แต่เมื่อเพื่อนสนิทมากขึ้นกลับพบว่าเธอเป็นคนเห็นแก่ตัวและไม่จริงใจ เพื่อน ๆ จึงเริ่มมองว่าเธอเป็นเหมือนข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง (ภายนอกดูดีแต่ขาดความจริงใจภายใน)
  • บริษัทใหญ่แห่งหนึ่งโฆษณาภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือและประสบความสำเร็จ แต่เมื่อสืบค้นข้อมูลกลับพบว่ามีปัญหาด้านการบริหารและทุจริตภายใน เหตุการณ์นี้ทำให้หลายคนเปรียบบริษัทเหมือนข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง (องค์กรที่เน้นภาพลักษณ์แต่ขาดความมั่นคงภายใน)
  • บ้านหลังหนึ่งดูสวยงามและตกแต่งอย่างดีจากภายนอก แต่เมื่อเจ้าของใหม่เข้ามาอาศัยกลับพบว่าภายในมีปัญหาโครงสร้างและการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้บ้านนี้เหมือนข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง (ความงามภายนอกที่ซ่อนข้อบกพร่องภายใน)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายกัน

  • มือถือสาก ปากถือศีล หมายถึง: แสดงตัวให้คนอื่นเห็นว่าตนเป็นคนดีมีศีลธรรม แต่ตนเองกลับประพฤติชั่วเสียเอง หรือคนที่ภายนอกดูประพฤติตนเป็นคนดีมีคุณธรรม แต่การกระทำกลับตรงกันข้าม

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก Youtube

รู้จักสุภาษิตข้าพึ่งเจ้า บ่าวพึ่งนาย ที่มาและความหมาย

สุภาษิตหมวดหมู่ ข. ข้าพึ่งเจ้า บ่าวพึ่งนาย

ข้าพึ่งเจ้า บ่าวพึ่งนาย หมายถึง

สุภาษิต “ข้าพึ่งเจ้า บ่าวพึ่งนาย” หมายถึง ความสัมพันธ์ของการพึ่งพากันระหว่างผู้ที่มีสถานะสูงกว่าและผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา โดยฝ่ายที่ต่ำกว่าจะพึ่งพาความช่วยเหลือ การดูแล หรือการสนับสนุนจากผู้ที่มีอำนาจ ส่วนฝ่ายที่สูงกว่าก็ต้องพึ่งพาความซื่อสัตย์ การทำงาน หรือความช่วยเหลือจากฝ่ายที่ต่ำกว่า เป็นการสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ต้องเกื้อกูลกันทั้งสองฝ่ายเพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปได้อย่างราบรื่น กล่าวคือ “คนที่มีฐานะหรือสถานะต่างกัน แต่พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน” นั่นเอง

ที่มาและความหมายข้าพึ่งเจ้า บ่าวพึ่งนาย

ที่มาของสุภาษิตนี้

มาจากโครงสร้างสังคมไทยในสมัยโบราณที่มีระบบเจ้าขุนมูลนาย ซึ่งเป็นความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ระหว่างเจ้านายกับผู้ใต้บังคับบัญชา เจ้านายมีหน้าที่ให้ความคุ้มครอง ปกป้อง และดูแลลูกน้องหรือบ่าวไพร่ ส่วนลูกน้องหรือบ่าวไพร่ก็มีหน้าที่ตอบแทนด้วยความซื่อสัตย์และการทำงานรับใช้

สุภาษิตนี้เปรียบถึง ความสัมพันธ์ที่พึ่งพาอาศัยกันระหว่างทั้งสองฝ่าย โดยแต่ละฝ่ายมีบทบาทและหน้าที่ของตน หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งละเลยหน้าที่ ความสัมพันธ์นั้นก็จะไม่สมดุลและเกิดปัญหาตามมา สุภาษิตนี้ยังแฝงแนวคิดเรื่องความสำคัญของการเกื้อกูลกันในสังคมเพื่อให้ทุกคนสามารถดำรงชีวิตได้อย่างราบรื่น

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตนี้

  • สมชายเป็นลูกจ้างที่ทำงานขยันขันแข็งและซื่อสัตย์ต่อนายจ้าง ส่วนเจ้านายก็ดูแลสมชายด้วยความเป็นธรรมและให้ผลตอบแทนที่เหมาะสม ทั้งสองฝ่ายจึงอยู่ร่วมกันได้อย่างราบรื่น เหมือนข้าพึ่งเจ้า บ่าวพึ่งนาย (การเกื้อกูลกันระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง)
  • ในงานเกษตรกรรม คำปันเป็นชาวนาที่ได้รับการสนับสนุนเมล็ดพันธุ์และอุปกรณ์การเกษตรจากเจ้าของที่ดิน ส่วนคำปันก็ตอบแทนด้วยการปลูกข้าวอย่างตั้งใจและแบ่งส่วนผลผลิตให้เจ้าของที่ดินตามข้อตกลง แสดงถึงความสัมพันธ์แบบข้าพึ่งเจ้า บ่าวพึ่งนาย (การช่วยเหลือซึ่งกันและกันในระบบเศรษฐกิจชุมชน)
  • หัวหน้าทีมดูแลลูกทีมด้วยการสนับสนุนอุปกรณ์และแก้ปัญหาให้เมื่อมีอุปสรรค ขณะที่ลูกทีมก็ตั้งใจทำงานตามเป้าหมายเพื่อความสำเร็จของทีม สถานการณ์นี้แสดงถึงข้าพึ่งเจ้า บ่าวพึ่งนาย ที่ทำให้ทีมงานก้าวหน้าไปได้ (การทำงานร่วมกันด้วยความสัมพันธ์ที่สมดุล)
  • ในระบบราชการ ผู้บังคับบัญชาคอยผลักดันและสนับสนุนผลงานของลูกน้อง ส่วนลูกน้องก็ทำงานอย่างเต็มความสามารถและส่งเสริมชื่อเสียงของหน่วยงาน สถานการณ์นี้สะท้อนถึงข้าพึ่งเจ้า บ่าวพึ่งนาย ที่ทั้งสองฝ่ายต้องพึ่งพาและเกื้อกูลกัน (การสนับสนุนซึ่งกันและกันในองค์กร)
  • ระหว่างการทำธุรกิจร่วมกัน เจ้านายคนหนึ่งให้ทุนสนับสนุนการทำงานของหุ้นส่วน ในขณะที่หุ้นส่วนก็ทุ่มเทความรู้และแรงงานเพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ การพึ่งพากันเช่นนี้แสดงถึงข้าพึ่งเจ้า บ่าวพึ่งนาย ที่ช่วยให้ความสัมพันธ์และธุรกิจเดินหน้าไปได้ (การพึ่งพาในความร่วมมือทางธุรกิจ)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายกัน

  • น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า หมายถึง: สิ่งทั้งหลายนั้นย่อมต้องพึ่งพาอาศัยกัน เอื้อประโยชน์แก่กัน

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจากรักษ์ภาษาไทย

รู้จักสุภาษิตเขียนด้วยมือลบด้วยเท้า ที่มาและความหมาย

สุภาษิตหมวดหมู่ ข. เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า

เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า หมายถึง

สุภาษิต “เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า” หมายถึง การกระทำที่ขัดแย้งกับคำพูดหรือสิ่งที่ตัวเองทำไว้ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะการทำลายหรือย้อนแย้งในสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้น สื่อถึงคนที่เคยทำดีจนได้รับความเชื่อถือและไว้วางใจจากผู้อื่น แต่กลับทำสิ่งไม่ดีในภายหลังจนลบล้างความดีที่เคยสร้างไว้ เปรียบเสมือนการเขียนบางสิ่งด้วยมืออย่างตั้งใจ แต่กลับใช้เท้าลบสิ่งนั้นทิ้งไปอย่างง่ายดาย สุภาษิตนี้มักใช้เตือนหรือวิจารณ์คนที่ทำลายสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้น หรือพูดสิ่งหนึ่งแต่ทำอีกสิ่งหนึ่งที่ตรงข้ามกัน กล่าวคือ “ยกย่องแล้วกลับทำลายในภายหลัง” นั่นเอง

สุภาษิตนี้ยังพูดได้อีกแบบหนึ่งคือ “เขียนด้วยมือลบด้วยตีน”

ที่มาและความหมายเขียนด้วยมือลบด้วยเท้า

ที่มาของสุภาษิตนี้

มาจากการเปรียบเทียบกับการกระทำของคนที่สร้างหรือทำสิ่งหนึ่งขึ้นอย่างตั้งใจ เปรียบเสมือนการเขียนข้อความหรือสิ่งสำคัญด้วยมือ แต่ภายหลังกลับลบสิ่งนั้นทิ้งด้วยเท้า ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดแย้งและทำลายสิ่งที่ตัวเองสร้างไว้ สร้างขึ้นด้วยมือแต่กลับทำลายด้วยตีน

ในบริบททางสังคม สุภาษิตนี้สะท้อนถึงพฤติกรรมของคนที่เคยทำความดีหรือสร้างความไว้วางใจจนได้รับความเชื่อถือ แต่กลับทำสิ่งที่ไม่ดีหรือผิดศีลธรรมในภายหลังจนลบล้างความดีนั้นไปอย่างง่ายดาย เหมือนการทำลายความพยายามและความตั้งใจเดิมด้วยการกระทำที่ไม่ยั้งคิดหรือไม่เหมาะสม สุภาษิตนี้จึงเป็นคำเตือนให้รักษาความดีและความน่าเชื่อถือที่ได้สร้างไว้ อย่าทำลายมันด้วยการกระทำที่ไม่ถูกต้องในภายหลัง

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตนี้

  • สมชายเคยเป็นหัวหน้างานที่ลูกน้องทุกคนชื่นชม เพราะเขาเป็นคนยุติธรรมและตั้งใจทำงาน แต่เมื่อเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น เขากลับใช้อำนาจในทางที่ผิด จนลูกน้องหมดศรัทธา (จากที่เคยเป็นที่เคารพ กลับกลายเป็นคนที่ไม่มีใครไว้ใจ)
  • นิดาเคยเป็นนักเรียนตัวอย่างที่ครูและเพื่อน ๆ ชื่นชมในความตั้งใจเรียน แต่ภายหลังกลับเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการลอกข้อสอบ ทำให้ความดีที่เคยทำมาถูกลบล้างไปหมด (การกระทำผิดเพียงครั้งเดียว ทำลายภาพลักษณ์ที่ดีทั้งหมด)
  • นายจ้างคนหนึ่งเคยได้รับการยกย่องว่าเป็นคนที่ดูแลลูกจ้างดี แต่เมื่อธุรกิจประสบปัญหา เขากลับเลิกจ่ายเงินเดือนลูกจ้างโดยไม่ชี้แจงหรือรับผิดชอบใด ๆ จนลูกจ้างรู้สึกผิดหวังในตัวเขา (ความเชื่อมั่นของลูกจ้างที่เคยมีต่อเขาถูกทำลายลง)
  • นักการเมืองที่เคยสร้างชื่อเสียงด้วยนโยบายที่โปร่งใสและจริงใจ แต่เมื่อได้รับตำแหน่งกลับพัวพันกับคดีทุจริต ทำให้ประชาชนหมดความเชื่อมั่น (จากที่เคยได้รับการสนับสนุน กลายเป็นเป้าหมายของคำวิจารณ์)
  • แม่บ้านที่เคยซื่อสัตย์และทำงานอย่างดีในบ้านเจ้านาย แต่ต่อมากลับขโมยของมีค่า ทำให้ความไว้ใจที่เจ้านายเคยมีต่อเธอหมดไปอย่างสิ้นเชิง (ความน่าเชื่อถือที่สะสมมาหายไปเพราะการกระทำผิดเพียงครั้งเดียว)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสุภาษิตเข้าเถื่อนอย่าลืมพร้า ที่มาและความหมาย

สุภาษิตหมวดหมู่ ข. เข้าเถื่อนอย่าลืมพร้า

เข้าเถื่อนอย่าลืมพร้า หมายถึง

สุภาษิต “เข้าเถื่อนอย่าลืมพร้า” หมายถึง ให้มีความรอบคอบและไม่ประมาทในทุกสถานการณ์ เช่นเดียวกับการเข้าป่าทึบที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและความเสี่ยง เราจำเป็นต้องเตรียมพร้าหรือเครื่องมือสำคัญติดตัวไว้อย่างมีดพร้า การเตรียมพร้อมเช่นนี้สะท้อนถึงความระมัดระวังในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคยหรือเสี่ยงต่อความลำบาก การมีความรอบคอบและอุปกรณ์หรือความรู้ที่เพียงพอจะช่วยให้เราผ่านพ้นปัญหาได้อย่างปลอดภัยและมั่นใจ

สุภาษิตนี้สอนให้เรารู้จักเตรียมพร้อมทั้งทางกายและใจ รวมถึงอุปกรณ์หรือความรู้ที่จำเป็น เพื่อให้สามารถรับมือกับปัญหาและสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย กล่าวคือ “การให้มีความรอบคอบอย่าประมาท เช่นเดียวกับเวลาจะเข้าป่าจะต้องหามีดติดตัวไปด้วย” นั่นเอง

ที่มาและความหมายเข้าเถื่อนอย่าลืมพร้า

ที่มาของสุภาษิตนี้

ที่มาของสุภาษิต “เข้าเถื่อนอย่าลืมพร้า” มาจากวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยโบราณที่ต้องเดินทางผ่านป่าทึบหรือพื้นที่ที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและอันตราย เช่น กิ่งไม้หนาม เถาวัลย์ หรือสัตว์ป่า ซึ่งการพก พร้า (มีดขนาดใหญ่สำหรับตัดฟืนหรือถางป่า) ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้สามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัย

คำว่า “เถื่อน” ในบริบทของสุภาษิต “เข้าเถื่อนอย่าลืมพร้า” หมายถึง สถานที่ที่เป็นป่าทึบหรือพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา มักเต็มไปด้วยอุปสรรค เช่น ต้นไม้หนาแน่น เถาวัลย์ หรือสิ่งที่อาจเป็นอันตราย เช่น สัตว์ป่า หรือพื้นที่ที่ยากต่อการเดินทาง

ในความหมายเชิงเปรียบเทียบ “เถื่อน” ยังสื่อถึงสถานการณ์ที่ ยากลำบาก ซับซ้อน หรือเต็มไปด้วยความเสี่ยง ซึ่งต้องอาศัยความระมัดระวังและการเตรียมตัวอย่างดี เช่นเดียวกับการเดินทางในป่าที่ต้องพกพร้าเพื่อความปลอดภัยและสะดวกในการเคลื่อนที่ สุภาษิตนี้จึงเตือนให้เราเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนหรืออันตราย ไม่ว่าจะเป็นในชีวิตประจำวันหรือในบริบทที่สำคัญ

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตนี้

  • สมชายกำลังจะเริ่มต้นธุรกิจใหม่โดยไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน เพื่อนเตือนเขาว่าเข้าเถื่อนอย่าลืมพร้า ต้องศึกษาตลาดและวางแผนการเงินให้รอบคอบก่อนลงมือ เพื่อป้องกันความผิดพลาด (การเตรียมตัวก่อนเริ่มต้นสิ่งใหม่ที่เสี่ยง)
  • นิดากำลังจะเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรก เธอเตรียมเอกสารสำคัญและข้อมูลเกี่ยวกับประเทศนั้นอย่างครบถ้วน เพื่อนพูดว่าเธอทำได้ดีเพราะเข้าเถื่อนอย่าลืมพร้า การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยให้การเดินทางราบรื่น (การเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย)
  • เจ้านายของสมปองสั่งงานโปรเจกต์ใหญ่ที่มีความซับซ้อน สมปองจึงต้องวางแผนล่วงหน้าและเตรียมทีมงานให้พร้อมก่อนเริ่มลงมือ เพราะเขารู้ว่าการเข้าเถื่อนอย่าลืมพร้า จะช่วยให้โปรเจกต์สำเร็จได้ง่ายขึ้น (การเตรียมตัวสำหรับงานที่ท้าทาย)
  • ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย หวานตั้งใจอ่านหนังสือและทำความเข้าใจกับเนื้อหาที่อาจออกสอบ เพราะรู้ว่าการสอบเป็นเสมือนการเข้าเถื่อน และการเตรียมพร้อมคือพร้า ที่จะช่วยให้เธอผ่านไปได้ (การเตรียมตัวสำหรับการสอบที่ยาก)
  • คำปันต้องไปเจรจาธุรกิจครั้งสำคัญ เขาเตรียมข้อมูล ข้อเสนอ และวางแผนรับมือคำถามจากคู่ค้าอย่างรอบคอบ เพราะเขาเชื่อว่าเข้าเถื่อนอย่าลืมพร้า การเตรียมพร้อมคือกุญแจสู่ความสำเร็จ (การเตรียมตัวก่อนการเจรจาหรือการเผชิญสถานการณ์ที่สำคัญ)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายกัน

  • จอดเรือไม่ดูท่า ขี่ม้าไม่ดูทาง หมายถึง: การจะทำอะไรต้องพิจารณาให้ดี คิดให้รอบคอบก่อนลงมือทำ จะได้ไม่เกิดข้อผิดพลาด
  • ปลูกเรือนผิด คิดจนเรือนทลาย หมายถึง: การลงมือกระทำการใดลงไป โดยไม่คิดพิจารณาให้ละเอียดรอบคอบตั้งแต่แรก จะทำให้ได้รับความเสียหายอย่างหนักในภายหลัง

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสุภาษิตขุนนางใช่พ่อแม่ หินแง่ใช่ตายาย ที่มาและความหมาย

สุภาษิตหมวดหมู่ ข. ขุนนางใช่พ่อแม่ หินแง่ใช่ตายาย

ขุนนางใช่พ่อแม่ หินแง่ใช่ตายาย หมายถึง

สุภาษิต “ขุนนางใช่พ่อแม่ หินแง่ใช่ตายาย” หมายถึง การไม่ควรไว้วางใจใครง่าย ๆ หากบุคคลนั้นไม่ใช่คนในครอบครัวที่แท้จริง เช่น พ่อ แม่ หรือปู่ย่าตายาย เพราะคนอื่นอาจไม่ได้มีความหวังดีหรือผูกพันกับเราจริง ๆ สอนให้ระมัดระวังและพึ่งพาตนเองเป็นหลัก โดยไม่ฝากความไว้วางใจไว้กับผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผลที่เพียงพอ กล่าวคือ “ถ้าไม่ใช่ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยายของตน ก็ไม่ควรไว้วางใจใคร” นั่นเอง

ที่มาและความหมายขุนนางใช่พ่อแม่ หินแง่ใช่ตายาย

ที่มาของสุภาษิตนี้

มาจากการเปรียบเทียบในวิถีชีวิตและสังคมไทยโบราณ ซึ่งมีความเชื่อและประสบการณ์เกี่ยวกับผู้มีอำนาจ เช่น ขุนนาง หรือสิ่งที่ดูมั่นคงแข็งแรงอย่างหินแง่

ขุนนาง แม้จะมีอำนาจและดูเหมือนจะช่วยเหลือเราได้ในบางครั้ง แต่พวกเขาไม่ได้มีความผูกพันกับเราเหมือน พ่อแม่ ที่มีหน้าที่ดูแลและปกป้องเราโดยแท้จริง
หินแง่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงและแข็งแรง แต่ก็ไม่ได้เป็น ตายาย ที่มีความรักและความเมตตาต่อเรา

สุภาษิตนี้จึงเกิดขึ้นจากการสอนลูกหลานให้ตระหนักว่า ไม่ควรฝากความไว้วางใจหรือความหวังไว้กับผู้ที่ไม่ได้มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเรา เพราะอาจไม่ได้รับความช่วยเหลือหรือความจริงใจอย่างที่เราคาดหวัง เป็นคำเตือนให้ระมัดระวัง และรู้จักพึ่งพาตนเองมากกว่าพึ่งพาผู้อื่น

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตนี้

  • สมชายคาดหวังว่าหัวหน้าที่เขาเพิ่งรู้จักจะช่วยให้เขาได้เลื่อนตำแหน่ง แต่เมื่อถึงเวลา หัวหน้ากลับเลือกสนับสนุนคนอื่นแทน ทำให้เขารู้สึกเสียใจและบอกตัวเองว่า “ขุนนางใช่พ่อแม่ หินแง่ใช่ตายาย” ไม่มีใครที่เราจะพึ่งพาได้จริง ๆ นอกจากตัวเราเอง (การฝากความหวังไว้กับผู้อื่นที่ไม่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิด)
  • นิดาตัดสินใจยืมเงินจากเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งโดยหวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจปัญหาของเธอ แต่เพื่อนกลับปฏิเสธและบอกว่าไม่อยากยุ่งเกี่ยว ทำให้นิดาเรียนรู้ว่า “ขุนนางใช่พ่อแม่ หินแง่ใช่ตายาย” ต้องรู้จักพึ่งพาตัวเองมากกว่า (การหวังพึ่งคนอื่นแล้วผิดหวัง)
  • เมื่อเกิดปัญหาในที่ประชุม เจ้านายของสมปองที่ดูเหมือนจะเข้าข้างเขากลับนิ่งเงียบและไม่สนับสนุน ทำให้สมปองรู้สึกว่าขุนนางใช่พ่อแม่ หินแง่ใช่ตายาย สิ่งที่ดูเหมือนมั่นคงอาจไม่ใช่สิ่งที่ช่วยเราได้ในยามลำบาก (การผิดหวังในผู้มีอำนาจ)
  • หลังจากที่หวังให้เพื่อนบ้านช่วยปกป้องพื้นที่จากการถูกบุกรุก นายคำปันพบว่าเพื่อนบ้านเลือกที่จะไม่ยุ่งเกี่ยว ทำให้เขาต้องจัดการปัญหาเอง และตระหนักว่าขุนนางใช่พ่อแม่ หินแง่ใช่ตายาย คนอื่นอาจไม่ช่วยเหลือเราเหมือนครอบครัวแท้จริง (การหวังพึ่งคนอื่นในเรื่องสำคัญแต่ไม่ได้รับความช่วยเหลือ)
  • เมื่อเกิดความขัดแย้งในหมู่ญาติ หวานหวังว่าผู้ใหญ่บ้านจะช่วยไกล่เกลี่ยให้ แต่กลับพบว่าผู้ใหญ่บ้านไม่อยากยุ่งเกี่ยวเพราะกลัวเสียประโยชน์ หวานจึงเข้าใจว่าขุนนางใช่พ่อแม่ หินแง่ใช่ตายาย เรื่องของเรา เราต้องแก้เอง อย่าหวังให้คนอื่นมาช่วย (การคาดหวังในผู้อื่นแต่ได้รับความเฉยเมย)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายกัน

  • ฝนตกอย่าเชื่อดาว หมายถึง: อย่าไว้วางใจใครหรืออะไรจนเกินไป หรืออย่าไว้ใจและเชื่อมั่นสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป เพราะบางอย่างอาจจะผิดพลาดได้
  • เลือดข้นกว่าน้ำ หมายถึง: เครือญาติย่อมดีกว่าคนนอก ญาติพี่น้องนั้นสำคัญกว่าคนอื่น โดยเราจะสามารถไว้ใจ หรือเชื่อใจญาติพี่น้องได้มากกว่าคนอื่นๆ ที่เราไม่รู้จัก เพราะว่าเราและพี่น้องของเราอย่างน้อยก็มีความเกี่ยวพันทางสายเลือด
  • อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง หมายถึง: ไม่ควรไว้วางใจใครมากจนเกินไป เพราะจะทำให้เราเดือดร้อนในภายหลังได้

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT

รู้จักสุภาษิตของกินแมวอย่าเอาไว้ใกล้ฝา ของกินหมาอย่าเอาไว้ต่ำ ที่มาและความหมาย

สุภาษิตหมวดหมู่ ข. ของกินแมวอย่าเอาไว้ใกล้ฝา ของกินหมาอย่าเอาไว้ต่ำ

ของกินแมวอย่าเอาไว้ใกล้ฝา ของกินหมาอย่าเอาไว้ต่ำ หมายถึง

สุภาษิต “ของกินแมวอย่าเอาไว้ใกล้ฝา ของกินหมาอย่าเอาไว้ต่ำ” หมายถึง การวางสิ่งของหรือทำสิ่งใด ควรระมัดระวังและจัดการอย่างเหมาะสมกับสถานการณ์หรือสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันปัญหาหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะสิ่งของที่มีค่า ควรเก็บไว้ในที่ปลอดภัยและมิดชิด ไม่วางไว้ในตำแหน่งที่เสี่ยงต่อการสูญหาย หรือเป็นสิ่งล่อตาล่อใจให้คนอื่นขโมยไป กล่าวคือ “การจัดวางข้าวของให้เป็นระเบียบต้องพิจารณาว่า ควรเอาไว้ตรงไหนจึงจะเหมาะสม ของที่มีค่าหรอืมีราคาควรระมัดระวังเก็บไว้ให้มิดชิด อย่าวางให้เป็นเครื่องล่อใจขโมย” นั่นเอง

ที่มาและความหมายของกินแมวอย่าเอาไว้ใกล้ฝา ของกินหมาอย่าเอาไว้ต่ำ

ที่มาของสุภาษิตนี้

มาจากวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวล้านนา ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับธรรมชาติและสัตว์เลี้ยงในบ้านเรือน โดยเฉพาะในอดีตที่บ้านเรือนของคนล้านนามักเป็นเรือนไม้ยกสูง มีการจัดพื้นที่ใช้งานอย่างเป็นระบบ เช่น ฝาเรือนที่ใช้เก็บสิ่งของหรือของกิน และพื้นล่างที่เป็นที่อยู่ของสัตว์เลี้ยง เช่น หมาหรือแมว

คนสมัยก่อนสังเกตพฤติกรรมของสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ว่าแมวมักกระโดดขึ้นไปบนที่สูง เช่น ฝาเรือน หรือโต๊ะ เพื่อหาอาหาร ส่วนหมาจะคอยดมและกินของที่วางไว้ต่ำหรือบนพื้น สุภาษิตนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อเตือนให้เจ้าของบ้านระมัดระวังการจัดเก็บของกินให้เหมาะสม ไม่ให้เป็นที่ล่อตาล่อใจสัตว์เลี้ยง ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายหรือสูญเสียทรัพย์สินได้

สุภาษิตนี้ยังสะท้อนถึงวัฒนธรรมล้านนาที่ให้ความสำคัญกับความเป็นระเบียบ ความรอบคอบ และการจัดการสิ่งของให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงการใช้คำพูดที่เรียบง่ายและมีภาพเปรียบเทียบจากชีวิตประจำวันเพื่อสอนใจคนรุ่นหลัง

ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้

  • นางแสงดาวนำอาหารที่ปรุงเสร็จวางไว้บนโต๊ะใกล้หน้าต่าง แมวของเธอปีนขึ้นมากินจนหมด เธอจึงบ่นว่าของกินแมวอย่าเอาไว้ใกล้ฝา พร้อมบอกลูกหลานให้ระวังและเก็บของกินให้มิดชิดกว่านี้ (การเตือนถึงความสำคัญของการจัดเก็บอาหารให้เหมาะสม)
  • นายคำปันเตือนลูกชายว่า อย่าทิ้งเศษอาหารไว้บนพื้นใกล้บ้าน เพราะหมาของเพื่อนบ้านอาจมาแอบกินจนเลอะเทอะและทำให้พื้นสกปรก พร้อมพูดว่าของกินหมาอย่าเอาไว้ต่ำ เพื่อให้ลูกจำไว้จัดการสิ่งของให้เหมาะสม (การใช้สุภาษิตเพื่อให้ข้อคิดในชีวิตประจำวัน)
  • แม่จันทร์เตือนหลานสาวว่า อย่าวางถุงขนมไว้บนหลังตู้ เพราะแมวอาจกระโดดขึ้นไปแทะจนขนมเสียหาย และอาจทำให้ตู้ล้มได้ พร้อมย้ำด้วยสุภาษิตของกินแมวอย่าเอาไว้ใกล้ฝา (การเตือนให้ระวังพฤติกรรมของแมวที่อาจก่อให้เกิดปัญหา)
  • ในงานเลี้ยงที่บ้าน นางปิ่นแก้ววางจานอาหารไว้บนโต๊ะเตี้ย ๆ ที่หมาสามารถเข้าถึงได้ หมาของเธอแอบมากินจนอิ่ม เธอหัวเราะพร้อมพูดติดตลกว่า “ของกินหมาอย่าเอาไว้ต่ำ” เพราะรู้ว่าตัวเองไม่ระวังพอ (การสื่อถึงความผิดพลาดจากการไม่ระมัดระวัง)
  • ครูใหญ่เตือนนักเรียนในชั้นว่า หากมีของมีค่า เช่น โทรศัพท์มือถือ ควรเก็บไว้ในกระเป๋าหรือที่ปลอดภัย ไม่ควรวางไว้บนโต๊ะเรียนหรือในที่เปิดเผย เพราะอาจล่อตาล่อใจคนที่คิดไม่ดี พร้อมยกสุภาษิตของกินแมวอย่าเอาไว้ใกล้ฝา ของกินหมาอย่าเอาไว้ต่ำ มาเตือนใจ (การใช้สุภาษิตเพื่อให้ข้อคิดในสถานการณ์ที่เกี่ยวกับความปลอดภัย)

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก Chiangrai Focus

รู้จักสุภาษิตของหายตะพายบาป ที่มาและความหมาย

สุภาษิตหมวดหมู่ ข. ของหายตะพายบาป

ของหายตะพายบาป หมายถึง

สุภาษิต “ของหายตะพายบาป” หมายถึง การสูญเสียทรัพย์สินหรือของสำคัญ แล้วกลับกล่าวหาผู้อื่นโดยไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด อาจเป็นการกล่าวหาโดยความเข้าใจผิดหรือความลำเอียง ทำให้ผู้อื่นต้องรับความผิดโดยไม่เป็นธรรม สะท้อนถึงพฤติกรรมที่รีบร้อนกล่าวโทษผู้อื่นโดยไม่ได้ไตร่ตรอง กล่าวคือ “การที่ของหายหรือเข้าใจว่าหายแล้วเที่ยวโทษผู้อื่น” นั่นเอง

ที่มาและความหมายของหายตะพายบาป

ที่มาของสุภาษิตนี้

มาจากวิถีชีวิตในสังคมไทยโบราณ เมื่อมีการสูญเสียทรัพย์สินหรือของสำคัญ มักเกิดความวิตกกังวลและความไม่พอใจ ทำให้เจ้าของของหายรีบกล่าวโทษหรือสงสัยผู้อื่นโดยไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด คำว่า “ตะพายบาป” สื่อถึงการแบกบาปหรือทำให้ผู้อื่นต้องรับความผิดที่ไม่ได้ก่อ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ยุติธรรมและอาจทำให้เกิดความบาดหมางในสังคม

คำว่า “ตะพายบาป” มาจากคำว่า “ตะพาย” ซึ่งหมายถึง การแบกหรือสะพายสิ่งของไว้บนบ่า หรือการรับภาระบางอย่างไว้ ส่วนคำว่า “บาป” หมายถึง ความผิดหรือผลแห่งการกระทำที่ไม่ถูกต้องในทางศีลธรรม

เมื่อนำมารวมกัน “ตะพายบาป” จึงหมายถึง การต้องรับผิดในสิ่งที่ไม่ได้กระทำ หรือการถูกกล่าวหาให้ต้องรับภาระความผิดโดยไม่เป็นธรรม เปรียบเสมือนการต้องแบกความผิดติดตัวไว้ ทั้งที่ตนเองไม่ได้เป็นผู้ก่อ

สุภาษิตนี้จึงถูกใช้เป็นคำเตือนให้คนไม่รีบด่วนตัดสินหรือกล่าวโทษผู้อื่นโดยปราศจากหลักฐาน เพราะอาจสร้างความเสียหายต่อความสัมพันธ์และก่อให้เกิดบาปแก่ตนเอง

ตัวอย่างการใช้สุภาษิตนี้

  • คุณยายทำเงินหล่นหายระหว่างเดินตลาด เมื่อกลับถึงบ้าน เธอกล่าวหาหลานชายว่าเป็นคนขโมยเงินไป เพราะหลานเคยหยิบเงินไปซื้อขนมโดยไม่บอก แต่เมื่อค้นพบว่าเงินอยู่ในกระเป๋าอีกใบ เธอจึงรู้สึกผิดที่ทำให้หลานต้องตะพายบาปโดยไม่จำเป็น (การกล่าวโทษโดยไม่มีหลักฐานจนทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน)
  • เมื่อโทรศัพท์ของสมชายหาย เขากล่าวหาว่าพนักงานร้านกาแฟที่เขาเพิ่งไปอาจเป็นคนหยิบไป แต่ต่อมาพบว่าโทรศัพท์ตกอยู่ในรถของตัวเอง เหตุการณ์นี้ทำให้เขารู้สึกผิดที่ทำให้พนักงานต้องตะพายบาปโดยไม่มีความผิด (การรีบด่วนกล่าวโทษผู้อื่นโดยไม่ตรวจสอบให้แน่ชัด)
  • นิดทำสร้อยคอหายแล้วรีบกล่าวหาว่าเพื่อนสนิทเป็นคนขโมยไป ทั้งที่ไม่มีหลักฐาน ต่อมาเธอพบว่าสร้อยคอหล่นอยู่ใต้เตียง เธอจึงต้องขอโทษเพื่อนที่ทำให้ต้องตะพายบาปทั้งที่ไม่ได้ทำผิด (การกล่าวโทษเพื่อนโดยไม่พิจารณาให้รอบคอบ)
  • ครูประจำชั้นกล่าวโทษนักเรียนกลุ่มหนึ่งว่าขโมยสมุดบัญชีโรงเรียนไป เพราะเห็นว่าพวกเขาอยู่ใกล้ ๆ ในเวลานั้น แต่ภายหลังพบว่าสมุดบัญชีตกอยู่ในห้องเก็บของ เหตุการณ์นี้ทำให้นักเรียนกลุ่มนั้นรู้สึกเสียใจที่ต้องตะพายบาปจากความเข้าใจผิดของครู (การกล่าวโทษโดยไม่สอบสวนให้ถี่ถ้วน)
  • นายจ้างคนหนึ่งกล่าวหาคนงานว่าเป็นคนขโมยเครื่องมือช่างไปขาย แต่หลังจากตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่าเครื่องมือนั้นถูกลืมไว้ในรถขนส่งของบริษัท นายจ้างจึงต้องขอโทษคนงานที่ทำให้พวกเขาต้องตะพายบาปจากข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นความจริง (การกล่าวโทษที่เกิดจากการเข้าใจผิดและการไม่ตรวจสอบให้ดี)

สำนวน, สุภาษิต, คำพังเพย ที่คล้ายสุภาษิตนี้

  • ขี้ราดโทษล่อง หมายถึง: การทำผิดหรือก่อปัญหาด้วยตัวเอง แต่กลับโยนความผิดหรือกล่าวโทษคนอื่นแทน
  • รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง หมายถึง: การกระทำใด ๆ ของตนที่ได้ผลออกมาไม่ดี แต่กลับโทษคนอื่นหรือสิ่งอื่น แทนที่จะโทษตัวเอง

รู้จักสำนวน, สุภาษิต, อื่น ๆ ได้ที่ goodproverb.com

อ้างอิงความหมายจาก LONGDO DICT