Tag: สุภาษิตไทย ค.

  • รู้จักสุภาษิตคนในอยากออก คนนอกอยากเข้า ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตคนในอยากออก คนนอกอยากเข้า ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ค. คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า หมายถึง สุภาษิต “คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า” หมายถึง คนที่อยู่ในสถานการณ์หนึ่งอาจรู้สึกอึดอัดหรือไม่พอใจและต้องการออกไป แต่คนภายนอกที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงกลับอยากเข้ามาแทน เพราะคิดว่าสิ่งนั้นดี มักใช้เปรียบเปรยถึงเรื่องงาน ชีวิตคู่ หรือสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ดูเหมือนดีจากภายนอก แต่ผู้ที่อยู่ในนั้นอาจไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกัน กล่าวคือ “ไม่พอใจภาวะที่เป็นอยู่ ขณะที่คนอื่นต้องการจะมาอยู่ในภาวะนั้น” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากสะท้อนถึงธรรมชาติของมนุษย์ที่มักมองว่าสิ่งที่ตนเองไม่มีหรือยังไม่ได้ครอบครองดีกว่าสิ่งที่มีอยู่ โดยมีรากฐานมาจากสังคมไทยในอดีตที่ให้ความสำคัญกับ ชีวิตครอบครัว ชีวิตสมรส และฐานะทางสังคม ในอดีต คนที่อยู่ในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง เช่น การแต่งงาน ชีวิตในวัง อาชีพที่ทำงาน หรือการทำงานในตำแหน่งสูง ฯลฯ อาจพบเจอปัญหา ความอึดอัด หรือแรงกดดันที่คนนอกมองไม่เห็น จึงอยากหลุดพ้นจากสภาพนั้น ขณะที่คนภายนอกที่มองเข้ามา เห็นแต่ด้านดี เช่น ความมั่นคง หรือความหรูหรา กลับอยากเข้ามาอยู่แทน แต่สุภาษิตนี้นิยมใช้กับคนที่แต่งงานแล้วอยากจะกลับไปเป็นโสด แต่คนที่ยังไม่ได้แต่งงานก็อยากมีชีวิตคู่ สุภาษิตนี้จึงเป็นคำเตือนให้พิจารณาสิ่งต่าง ๆ อย่างรอบคอบ ไม่ใช่เพียงแค่เปลือกนอก เพราะสิ่งที่ดูดีจากภายนอก…

  • รู้จักสุภาษิตคนผิดเสียหน้า คนบ้าเสียจริต ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตคนผิดเสียหน้า คนบ้าเสียจริต ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ค. คนผิดเสียหน้า คนบ้าเสียจริต คนผิดเสียหน้า คนบ้าเสียจริต หมายถึง สุภาษิต “คนผิดเสียหน้า คนบ้าเสียจริต” หมายถึง คนที่มีสิ่งบกพร่องหรือมีความผิด ย่อมแสดงพิรุธออกมาให้เห็น เปรียบได้กับคนที่ทำผิดแล้วย่อมมีอาการลุกลี้ลุกลน ไม่สามารถปกปิดความผิดได้ เช่นเดียวกับคนเสียสติที่มักแสดงพฤติกรรมผิดปกติออกมาอย่างชัดเจน กล่าวคือ “คนที่มีอะไรบกพร่องไม่ปกติ ย่อมมีร่องรอยพิรุธออกมาเสมอ” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต สุภาษิตนี้มีต้นกำเนิดจากภูมิปัญญาชาวใต้ สะท้อนแนวคิดที่ว่าคนที่มีสิ่งบกพร่องหรือกระทำผิด ย่อมแสดงพิรุธออกมาโดยไม่รู้ตัว เปรียบได้กับคนที่ทำผิดแล้วย่อมรู้สึกอับอายเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความจริง หรือพยายามหลีกเลี่ยงการถูกจับผิด เช่นเดียวกับคนเสียจริตที่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ย่อมแสดงพฤติกรรมแปลกประหลาดออกมาให้เห็น กล่าวคือ คนที่ไม่ปกติย่อมแสดงออกไม่ปกตินั่นเอง สุภาษิตนี้มักใช้เพื่อเตือนสติว่า หากใครมีบางสิ่งที่ปิดบังไว้ ความจริงย่อมปรากฏผ่านพฤติกรรมหรือคำพูดของเขาเสมอ และยังสามารถใช้ในสถานการณ์ที่ต้องการสังเกตบุคคลที่มีความผิดปกติในท่าทางหรือการกระทำ ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการปกปิดความผิดบางอย่าง ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตไทยคนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตไทยคนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ค. คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย หมายถึง สุภาษิต “คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย” หมายถึง การทำสิ่งใดเพียงลำพังอาจเกิดอันตรายหรือไม่สำเร็จได้ง่าย แต่หากมีเพื่อนหรือผู้ช่วยร่วมมือกัน จะช่วยให้ผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ มักใช้เตือนให้เห็นความสำคัญของการมีเพื่อนหรือทีมงานในการทำงานหรือเผชิญสถานการณ์ต่าง ๆ กล่าวคือ “การคนเดียวทำอะไรก็อาจเป็นอันตรายได้ ถ้ามีเพื่อนร่วมคิดร่วมปรึกษาก็จะดีขึ้น” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากการสะท้อนแนวคิดของสังคมไทยในอดีตที่ให้ความสำคัญกับความสามัคคีและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะในยุคที่การเดินทางและการใช้ชีวิตมักเต็มไปด้วยอันตราย เช่น การเดินป่า การออกศึก หรือการทำมาหากินร่วมกัน คำว่า “คนเดียวหัวหาย” หมายถึง การอยู่ลำพังอาจเสี่ยงต่ออันตรายหรือความล้มเหลว ส่วน “สองคนเพื่อนตาย” สื่อถึงการมีเพื่อนหรือคู่หูที่ช่วยเหลือกันจนถึงที่สุด ทำให้สามารถผ่านพ้นสถานการณ์ยากลำบากไปได้ สุภาษิตนี้จึงเป็นคำเตือนให้เห็นความสำคัญของความร่วมมือ ความสามัคคี และมิตรภาพ ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการเอาตัวรอดและประสบความสำเร็จในชีวิต ตัวอย่างการใช้สุภาษิต สุภาษิตที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสุภาษิตคนล้มอย่าข้าม ไม้ล้มจึงข้าม ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตคนล้มอย่าข้าม ไม้ล้มจึงข้าม ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ค. คนล้มอย่าข้าม ไม่ล้มจึงข้าม คนล้มอย่าข้าม ไม้ล้มจึงข้าม หมายถึง สุภาษิต “คนล้มอย่าข้าม ไม้ล้มจึงข้าม” หรือ “ไม้ล้มข้ามได้ คนล้มอย่าข้าม” หมายถึง อย่าดูถูกหรือซ้ำเติมคนที่กำลังตกต่ำ เพราะเขาอาจกลับมาลุกขึ้นได้อีกในอนาคต เปรียบกับ ไม้ล้มที่สามารถข้ามไปได้ เพราะมันไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก แต่คนที่ล้มยังมีโอกาสลุกขึ้นมาใหม่ จึงควรให้โอกาสและเมตตาแทนการเหยียบย่ำหรือดูแคลน กล่าวคือ คนสมัยก่อนมักใช้สุภาษิตนี้กับ “ผู้ที่เคยมีอำนาจและวาสนา แต่เมื่อตกต่ำลงก็ไม่ควรรีบดูถูกหรือเหยียบย่ำ เพราะเขาอาจกลับมาฟื้นตัวได้ ต่างจากไม้ที่ไม่มีชีวิต ซึ่งเมื่อล้มลงแล้วจะถูกข้ามหรือเหยียบอย่างไรก็ได้” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต สุภาษิตนี้มาจากสะท้อนแนวคิดของคนโบราณเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของชีวิต และหลักเมตตาธรรม โดยเปรียบเทียบ “คนล้ม” กับ “ไม้ล้ม” และยังบ่งบอกถึงแนวคิดของคนไทยในอดีตที่ให้ความสำคัญกับความเมตตาและการไม่ซ้ำเติมผู้ที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก สุภาษิตนี้สะท้อนแนวคิดที่คล้ายกับหลักคำสอนของพุทธศาสนา ซึ่งกล่าวว่า “สรรพสิ่งไม่เที่ยง” ความรุ่งเรืองและความตกต่ำเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา การดูถูกคนที่ล้ม อาจทำให้เราต้องเผชิญกับสถานการณ์เดียวกันในอนาคต ดังนั้น สุภาษิตนี้จึงเป็นคำเตือนมีน้ำใจและความเมตตาต่อกัน ไม่ซ้ำเติมผู้ที่กำลังลำบาก และให้โอกาสพวกเขาได้กลับมาสู่เส้นทางที่ดี คนโบราณที่เตือนให้มีความเห็นใจต่อผู้ที่ล้มเหลวหรือกำลังเผชิญปัญหาในชีวิต แม้ว่าเราอาจไม่สามารถช่วยเหลือได้ แต่อย่างน้อยก็ควรหลีกเลี่ยงการซ้ำเติมหรือดูถูก จนทำให้เขาหมดกำลังใจที่จะลุกขึ้นสู้ใหม่ เพราะชีวิตคนสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตความลับไม่มีในโลก ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตความลับไม่มีในโลก ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ค. ความลับไม่มีในโลก ความลับไม่มีในโลก หมายถึง สุภาษิต “ความลับไม่มีในโลก” หมายถึง ไม่มีสิ่งใดที่สามารถปกปิดได้ตลอดไป ไม่ว่าเรื่องราวจะถูกเก็บเป็นความลับเพียงใด สักวันหนึ่งก็อาจถูกเปิดเผยออกมา เปรียบเสมือนสิ่งที่ถูกซ่อนไว้ ย่อมมีโอกาสถูกค้นพบหรือเปิดโปงในที่สุด กล่าวคือ “ความลับทุกอย่างบนโลกไม่สามารถปกปิดได้ตลอด” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต สุภาษิตนี้มาจากสะท้อนแนวคิดเกี่ยวกับธรรมชาติของความลับและความจริง ที่ไม่สามารถถูกปกปิดได้ตลอดไป ไม่ว่าความลับนั้นจะถูกซ่อนเร้นไว้อย่างแน่นหนาเพียงใด สักวันหนึ่งก็อาจถูกเปิดเผยขึ้นมา แนวคิดนี้มีรากฐานจากปรัชญาการดำเนินชีวิตและคำสอนในหลายวัฒนธรรม รวมถึงคำสอนของพุทธศาสนาที่กล่าวถึง “อสัตถธรรม 4 ประการ” ซึ่งหมายถึงสิ่งที่ปกปิดไม่ได้ ได้แก่ สุภาษิตนี้ยังเกี่ยวข้องกับหลักความยุติธรรมและศีลธรรม ที่เตือนให้ผู้คนดำรงตนอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริต เพราะสิ่งที่กระทำไปในทางที่ผิด แม้จะไม่มีใครรู้ในขณะนั้น ก็อาจถูกเปิดเผยในภายหลัง เปรียบเสมือนเงาที่ตามตัวไปตลอด ดังนั้นความลับไม่มีในโลก จึงเป็นคำเตือนให้ระวังในการกระทำ เพราะสิ่งที่คิดว่าปิดบังได้ อาจไม่สามารถเก็บเป็นความลับไปตลอดชีวิต ตัวอย่างการใช้สุภาษิต สุภาษิตที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสุภาษิตความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ค. ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด หมายถึง สุภาษิต “ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด” หมายถึง คนที่มีความรู้มาก แต่ไม่สามารถนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตจริง หรือขาดไหวพริบในการแก้ปัญหา ทำให้ไม่สามารถเอาตัวรอดได้ เปรียบถึงคนที่มีความรู้เชิงทฤษฎีแต่ขาดความสามารถในการปฏิบัติหรือปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์จริง กล่าวคือ “คนมีความรู้มากแต่ไม่รู้จักใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต สุภาษิตนี้สะท้อนแนวคิดของคนโบราณที่มองว่าความรู้เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอสำหรับการดำเนินชีวิต หากปราศจากไหวพริบ ปฏิภาณ และความสามารถในการนำไปใช้จริง คำว่า “ความรู้ท่วมหัว” เปรียบเปรยถึงคนที่มีความรู้มากมาย เรียนสูง หรือมีข้อมูลจำนวนมาก ในขณะที่ “เอาตัวไม่รอด” หมายถึง การที่บุคคลนั้นไม่สามารถนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ หรือแก้ไขปัญหาในชีวิตจริงได้ สุภาษิตนี้py’สะท้อนถึงความสำคัญของการนำความรู้มาปฏิบัติจริง (ปัญญา) ไม่ใช่เพียงการท่องจำหรือมีความรู้เชิงทฤษฎีเพียงอย่างเดียว แนวคิดนี้คล้ายกับคำสอนในพุทธศาสนาที่กล่าวว่า “ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ” ซึ่งหมายถึง การเรียนรู้ การปฏิบัติ และการเข้าถึงผลของความรู้ หากขาดการปฏิบัติ ความรู้ก็จะไม่มีประโยชน์ สุภาษิตนี้จึงเป็นคำเตือนว่าแม้มีความรู้มากเพียงใด หากขาดไหวพริบและความสามารถในการปรับตัว ก็ไม่สามารถเอาตัวรอดในชีวิตจริงได้ และยังเป็นคำตำหนิ สำหรับผู้ที่มีความรู้สูง แต่ไม่สามารถปรับใช้ความรู้นั้นให้เกิดประโยชน์ในชีวิตจริง หรือหลงอยู่กับตำราจนละเลยทักษะที่จำเป็นในการดำเนินชีวิต เช่น ไม่สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้า คิดวิเคราะห์หรือตัดสินใจได้ดี ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตคดในข้องอในกระดูก ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตคดในข้องอในกระดูก ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ค. คดในข้องอในกระดูก คดในข้องอในกระดูก หมายถึง สุภาษิต “คดในข้องอในกระดูก” หมายถึง คนที่มีสันดานคดโกง ไม่ซื่อสัตย์โดยธรรมชาติ ซึ่งแก้ไขได้ยาก เปรียบเสมือนความคดโกงที่ไม่ดีที่ฝังลึกถึงข้อต่อและกระดูกโดยธรรมชาติ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ยังคงแสดงพฤติกรรมทุจริตเสมอ กล่าวคือ “คนมีสันดานคดโกง” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต สุภาษิตนี้มีที่มาจากการเปรียบเทียบลักษณะทางกายภาพของมนุษย์กับนิสัยที่ฝังลึกจนแก้ไขได้ยาก “ข้อต่อ” ของร่างกายมีลักษณะคดงอโดยธรรมชาติ และ “กระดูก” นั้นแม้จะแข็งแรงแต่ก็มีความโค้งงอในโครงสร้างของมันเอง ซึ่งไม่สามารถทำให้ตรงได้ คนโบราณจึงเปรียบนิสัยของคนที่คดโกงและไม่ซื่อสัตย์ตั้งแต่กำเนิด หรือฝังรากลึกในสันดานถึงในกระดูก ไม่ว่าจะแก้ไขอย่างไร ก็มักจะกลับไปสู่พฤติกรรมเดิมเสมอ คำสอนนี้มีรากฐานมาจากแนวคิดของคนโบราณที่เชื่อว่าสันดานของคนบางคนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แม้จะได้รับโอกาสหรือการอบรมสั่งสอนก็ตาม สุภาษิตนี้จึงเป็นคำเตือนให้ระวังคนที่มีพฤติกรรมไม่ซื่อสัตย์ เพราะแม้ว่าภายนอกอาจดูดี แต่แท้จริงแล้วนิสัยที่ฝังลึกอาจทำให้พวกเขากลับมาทำสิ่งที่ไม่ดีซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตคนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ ที่มาและความหมมาย

    รู้จักสุภาษิตคนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ ที่มาและความหมมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ค. คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ หมายถึง สุภาษิต “คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ” หมายถึง จำนวนของคนที่รักและเกลียดเรานั้นแตกต่างกันอย่างมาก คนที่รักเรามักมีจำนวนน้อย เปรียบเหมือนผืนหนังที่มีขนาดเล็ก แต่คนที่ไม่ชอบหรือเกลียดเรามักมีจำนวนมาก เปรียบเหมือนผืนเสื่อที่กว้างใหญ่กว่า สุภาษิตนี้เตือนให้ตระหนักว่าในชีวิตเราไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ และต้องยอมรับว่ามีทั้งคนที่รักและไม่รักเราเสมอ กล่าวคือ “คนรักมีน้อย คนชังมีมาก” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต สุภาษิตนี้สะท้อนแนวคิดเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์และสังคม ที่มักมีทั้งคนรักและคนเกลียด ซึ่งจำนวนของทั้งสองฝ่ายมักไม่เท่ากัน โดยคนที่รักเรามักมีน้อย เปรียบได้กับ “ผืนหนัง” ซึ่งมีขนาดเล็กและหายาก ในขณะที่คนที่ชังหรือไม่พอใจเรามักมีมาก เปรียบเสมือน “ผืนเสื่อ” ที่มีขนาดใหญ่กว่าและพบได้ทั่วไป แนวคิดนี้สอดคล้องกับคำสอนของพุทธศาสนาและปรัชญาการดำเนินชีวิตที่สอนให้ยอมรับความเป็นจริงของโลกว่าเราไม่สามารถทำให้ทุกคนรักหรือพอใจได้ เพราะแต่ละคนมีมุมมอง ความคิด และอคติที่แตกต่างกัน ดังนั้น สุภาษิตนี้จึงเตือนให้เราไม่ยึดติดกับคำชมหรือคำติเตียนมากเกินไป และดำเนินชีวิตด้วยความมั่นคงในสิ่งที่ถูกต้อง ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตคนดีเห็นนาน คนพาลเห็นเร็ว ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตคนดีเห็นนาน คนพาลเห็นเร็ว ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ค. คนดีเห็นนาน คนพาลเห็นเร็ว คนดีเห็นนาน คนพาลเห็นเร็ว หมายถึง สุภาษิต “คนดีเห็นนาน คนพาลเห็นเร็ว” หมายถึง ความดีต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ คนดีมักแสดงออกอย่างค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้เวลาจึงจะเห็นคุณค่าและความจริงใจของเขา ในขณะที่ คนพาลหรือคนไม่ดีมักเผยธาตุแท้ออกมาอย่างรวดเร็ว เพราะพฤติกรรมที่ไม่ดีมักถูกสังเกตเห็นได้ง่ายและปรากฏชัดเจนในเวลาไม่นาน กล่าวคือ “การจะรู้ว่าใครเป็นคนดีต้องใช้เวลานาน ส่วนคนชั่วรู้ได้โดยเร็ว” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต สุภาษิตนี้สะท้อนแนวคิดเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ที่มีทั้งคนดีและคนพาล ซึ่งมีพฤติกรรมแตกต่างกันอย่างชัดเจน แนวคิดนี้สอดคล้องกับคำสอนของพุทธศาสนา ที่กล่าวถึงความแตกต่างระหว่างคนมีศีลธรรมและคนไร้ศีลธรรม โดยเปรียบเทียบว่า “คนดีเหมือนน้ำใสในบ่อ ต้องค่อย ๆ มองถึงจะเห็นความลึก ส่วนคนพาลเหมือนน้ำขุ่นในโคลนตม ที่เผยให้เห็นความสกปรกได้ทันที” สุภาษิตนี้จึงเป็นคำเตือนให้พิจารณาคนอย่างรอบคอบ อย่าด่วนตัดสินใครเร็วเกินไป เพราะคนดีต้องใช้เวลาพิสูจน์ตนเอง ขณะที่คนไม่ดีมักเผยธาตุแท้ออกมาได้ง่าย ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตคบเด็กสร้างบ้าน คบหัวล้านสร้างเมือง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตคบเด็กสร้างบ้าน คบหัวล้านสร้างเมือง ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ค. คบเด็กสร้างบ้าน คบหัวล้านสร้างเมือง คบเด็กสร้างบ้าน คบหัวล้านสร้างเมือง หมายถึง สุภาษิต “คบเด็กสร้างบ้าน คบหัวล้านสร้างเมือง” หมายถึง การร่วมงานใหญ่กับคนที่ไม่เหมาะสมอาจไม่เป็นผลและนำมาซึ่งปัญหา เช่น คบเด็กที่ขาดประสบการณ์มาสร้างบ้าน อาจทำให้บ้านไม่แข็งแรง ส่วนการคบหัวล้านที่เปรียบถึงคนใจน้อยหรือโกรธง่ายมาสร้างเมือง อาจนำมาซึ่งปัญหาความขัดแย้งและความล้มเหลวในภายหลัง กล่าวคือ “การทำงานใหญ่ร่วมกับคนหัวล้านมักไม่เป็นผล เพราะคนหัวล้านมักใจน้อย โกรธง่าย และการทำงานใหญ่ร่วมกับเด็กมักไม่เป็นผล” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต สุภาษิตนี้มีรากฐานมาจากการเปรียบเทียบในวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนไทยในการมองคนสมัยก่อน ซึ่งมองว่า “เด็ก” มักขาดประสบการณ์และความรอบคอบ หากมอบหมายให้ทำงานสำคัญ เช่น การสร้างบ้าน อาจทำให้เกิดปัญหาหรือผลลัพธ์ที่ไม่มั่นคง ขณะที่คำว่า “หัวล้าน” ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายถึงรูปลักษณ์ภายนอกโดยตรง แต่เปรียบถึงคนที่มีลักษณะใจน้อย โกรธง่าย จะทำอะไรก็มัวแต่กังวลว่าจะกระทบศีรษะตนเอง หรือมีอารมณ์ที่อ่อนไหว หากได้รับมอบหมายงานใหญ่ เช่น การสร้างเมือง อาจก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งหรือการบริหารที่ไม่สำเร็จ สุภาษิตนี้จึงเป็นคำเตือนให้พิจารณาความเหมาะสมของคนก่อนมอบหมายงานหรือความรับผิดชอบ เพราะการเลือกคนผิดอาจนำมาซึ่งความล้มเหลวและปัญหาในภายหลัง ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตคบคนจรนอนหมอนหมิ่น ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตคบคนจรนอนหมอนหมิ่น ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ค. คบคนจรนอนหมอนหมิ่น คบคนจรนอนหมอนหมิ่น หมายถึง สุภาษิต “คบคนจรนอนหมอนหมิ่น” หมายถึง การคบหาคนที่ไม่มีหลักแหล่งหรือไม่น่าไว้วางใจ อาจนำมาซึ่งปัญหาหรืออันตราย เปรียบเสมือนการนอนบนหมอนที่วางไม่มั่นคง เสี่ยงต่อการตกหมอนและเกิดอันตราย เช่น คอเคล็ดหรือบาดเจ็บ สะท้อนถึงความไม่ปลอดภัยในการคบหาคนที่ไม่น่าเชื่อถือ กล่าวคือ “การคบคนหลักลอยอาจเกิดโทษได้” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต สุภาษิตนี้มีที่มาจากคำสอนในภาษิตที่จารึกไว้ที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งกล่าวว่า: “คนนอนหมอนหมิ่นโอ้ อาดูรจักพลาดจักแพลงพูล ทุกข์ให้คิดการแต่หมิ่นมูล มักพลาดควรคิดสุขุมได้ มั่นไม้มือดี ด้วย” คำสอนนี้เปรียบเทียบการคบหาผู้คนที่ไม่มีความมั่นคงหรือหลักแหล่งไว้กับการนอนบนหมอนที่วางไม่มั่นคง การนอนเช่นนี้เสี่ยงต่อการตกหมอนหรือเกิดอาการคอเคล็ด เช่นเดียวกับการคบคนหลักลอยหรือคนไม่น่าไว้วางใจ ที่อาจนำมาซึ่งปัญหา ความลำบาก หรืออันตรายที่คาดไม่ถึง ข้อความสำคัญของสุภาษิตนี้ยังเตือนให้ระมัดระวังการคบหาคน โดยเลือกคบคนที่มีความมั่นคงในความคิดและการกระทำ เพราะการคบคนผิดอาจส่งผลเสียต่อชีวิตของเราได้ในอนาคต สุภาษิตนี้จึงเปรียบเปรยว่าการละเลยในเรื่องเล็ก ๆ หรือการประมาทในความสัมพันธ์ อาจทำให้เกิดผลเสียใหญ่หลวง เปรียบได้กับหมอนหมิ่นที่ดูไม่สำคัญ แต่หากประมาทก็อาจนำมาซึ่งความทุกข์ได้ ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตคบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตคบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ค. คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล หมายถึง สุภาษิต “คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล” หมายถึง การเลือกคบคนมีผลต่อชีวิตของเรา หากคบคนพาลหรือคนไม่ดี ก็จะพาเราไปสู่ความเสื่อมเสีย แต่หากคบบัณฑิตหรือคนดี มีปัญญา ก็จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จและสิ่งที่ดีในชีวิต กล่าวคือ “การเลือกคบคนต้องพิจารณาให้ดี หากคบคนชั่วจะถูกชักนำไปในทางไม่ดี แต่หากคบคนดีจะพาเราไปสู่สิ่งที่ดี” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต สุภาษิตนี้มีรากฐานมาจากหลักคำสอนในพระพุทธศาสนาและคำสอนของคนโบราณที่ให้ความสำคัญกับการเลือกคบหาคนรอบตัว เพราะผู้คนที่เราเกี่ยวข้องจะมีอิทธิพลต่อชีวิต ความคิด และการกระทำของเรา คำว่า “คนพาล” หมายถึง คนที่ไม่มีปัญญา ไร้ศีลธรรม และมักชักนำไปสู่การกระทำที่ไม่ถูกต้อง เช่น การทำผิดกฎหมาย การประพฤติผิด หรือการใช้ชีวิตที่ไร้จุดมุ่งหมาย หากเราเลือกคบหากับคนพาล ก็เหมือนเดินตามเส้นทางที่มืดมนและเสี่ยงต่อความผิดพลาดในชีวิต ส่วนคำว่า “บัณฑิต” หมายถึง คนที่มีปัญญา มีคุณธรรม และดำเนินชีวิตในแนวทางที่ถูกต้อง หากเราเลือกคบหากับบัณฑิต เราจะได้รับคำแนะนำ ความรู้ และการสนับสนุนที่ช่วยพัฒนาตนเองให้เจริญก้าวหน้า คำสอนของคนโบราณยังย้ำเตือนว่า การคบคนดีหรือคนเลวสามารถกำหนดชะตาชีวิตได้ คนดีจะช่วยยกระดับชีวิตและนำพาเราไปสู่ความสำเร็จ แต่คนเลวจะดึงเราลงสู่ความล้มเหลว เปรียบได้กับน้ำที่ไหลลงต่ำเสมอ สุภาษิตนี้จึงเป็นคำเตือนที่ยังทันสมัยในทุกยุคทุกสมัย…