Tag: สุภาษิตไทย ช.

  • รู้จักสุภาษิตชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ ที่มาและความหมมาย

    รู้จักสุภาษิตชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ ที่มาและความหมมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ช. ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ หมายถึง สุภาษิต “ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้” หมายถึง การคล้อยตามผู้ที่มีอำนาจมากกว่า โดยที่ทำเพราะกลัวหรือต้องการประจบ ไม่ได้ทำตามเพราะมีความคิด ความเห็น หรือความต้องการที่จะทำในสิ่งนั้น เปรียบเสมือนเมื่อผู้มีอำนาจบอกว่าสิ่งใดเป็นอะไร จะชี้นกก็ต้องเป็นนก จะชี้ไม้ก็ต้องเป็นไม้ ห้ามขัด ผู้น้อยก็ต้องเห็นตามไปด้วย แม้ว่าความจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้น สุภาษิตนี้สะท้อนถึงระบบที่อำนาจอยู่เหนือเหตุผล หรือการที่บางคนต้องยอมตามเพื่อความอยู่รอด กล่าวคือ “ไม่ว่าผู้มีอำนาจจะว่าอย่างใด ผู้น้อยก็ต้องคล้อยตามไปอย่างนั้นเพราะกลัวหรือประจบ” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากสำนวนสุภาษิตจีนโบราณ “指鹿为马” (จื่อลู่เหวยหม่า) หรือ “ชี้กวางเป็นม้า” ซึ่งมีต้นกำเนิดจากยุคราชวงศ์ฉิน เมื่อจ้าวเกา (赵高) ขุนนางผู้มีอำนาจต้องการทดสอบความภักดีของข้าราชบริพาร จึงนำกวางมาตัวหนึ่งแล้วบอกจักรพรรดิว่ามันคือม้า ขุนนางที่กลัวอำนาจของจ้าวเกาจึงต้องคล้อยตาม แม้รู้ว่าคำพูดนั้นผิด แนวคิดนี้สะท้อนถึง การใช้อำนาจกดดันให้คนยอมรับสิ่งที่ไม่จริง หรือการที่ผู้น้อยต้องเห็นด้วยกับผู้มีอำนาจ แม้จะไม่เป็นความจริง เมื่อแนวคิดนี้แพร่เข้าสู่สังคมไทยก็เกิดสุภาษิต “ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้” ซึ่งมีความหมายในลักษณะเดียวกัน โดยสะท้อนถึงระบบสังคมที่ผู้น้อยต้องเชื่อฟังคำของผู้ใหญ่หรือผู้มีอำนาจ แม้ว่าสิ่งนั้นจะผิดก็ตาม อาจเกิดจากความกลัว หรือเพราะต้องการเอาใจเพื่อประโยชน์ส่วนตัว สุภาษิตนี้จึงเป็นคำเตือนเกี่ยวกับ อิทธิพลของอำนาจและการที่ผู้คนต้องคล้อยตามโดยไม่กล้าคัดค้าน…

  • รู้จักสุภาษิตช้างสารงูเห่า ข้าเก่าเมียรัก ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตช้างสารงูเห่า ข้าเก่าเมียรัก ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ช. ช้างสารงูเห่า ข้าเก่าเมียรัก ช้างสารงูเห่า ข้าเก่าเมียรัก หมายถึง สุภาษิต “ช้างสารงูเห่า ข้าเก่าเมียรัก” หมายถึง สิ่งใกล้ตัวที่เคยให้ความไว้วางใจ อาจกลับกลายมาเป็นภัยได้หากไม่ระมัดระวัง เปรียบเสมือนช้างสารที่ดุร้ายเมื่อเติบโต งูเห่าที่แม้เลี้ยงดูแต่ยังมีพิษ ข้าเก่าที่อาจทรยศ และเมียรักที่อาจเปลี่ยนใจ สุภาษิตนี้เตือนให้ระวังคนหรือสิ่งที่ดูใกล้ชิดและคุ้นเคย เพราะอาจเป็นอันตรายได้ในอนาคต กล่าวคือ “สิ่งที่ไม่น่าไว้วางใจ ซึ่งอาจนำภัยมาสู่ชีวิตตนได้” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากวรรณคดีไทยเรื่องโคลงโลกนิติ ซึ่งเป็นวรรณคดีคำสอนที่สะท้อนถึง สิ่งที่อยู่ใกล้ตัว อาจกลายเป็นภัยร้ายแรงได้หากไม่ระมัดระวัง โดยมีข้อความว่า: “ช้างสารหกศอกไซ้ เสียงางูเห่ากลายเป็นปลา อย่าต้องข้าเก่าเกิดแต่ตา ตนปู่ ก็ดีเมียรักนอนร่วมท้อง อย่าไว้วางใจ” สุภาษิตนี้เปรียบเปรยถึง สิ่งที่มนุษย์ไว้วางใจมากที่สุด แต่หากเกิดการเปลี่ยนแปลง ก็อาจกลายเป็นอันตรายร้ายแรง สุภาษิตนี้จึงเป็นคำเตือนให้ อย่าไว้วางใจสิ่งใดหรือผู้ใดอย่างหมดใจ เพราะวันหนึ่งสิ่งเหล่านั้นอาจนำภัยมาสู่ตัวเอง ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวมาปิด ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวมาปิด ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ช. ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวมาปิด ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวมาปิด หมายถึง สุภาษิต “ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวมาปิด” หมายถึง เรื่องที่ใหญ่หรือความผิดร้ายแรง ไม่อาจปกปิดหรือปฏิเสธได้ แม้จะพยายามปิดบังอย่างไร คนก็ย่อมล่วงรู้ในที่สุด เปรียบเสมือนช้างที่มีขนาดใหญ่ เมื่อตายลง แม้จะใช้ใบบัวปิดก็ไม่สามารถซ่อนร่างอันมหึมาได้ สะท้อนให้เห็นว่า ความจริงย่อมปรากฏเสมอ ไม่อาจปกปิดได้นาน กล่าวคือ “ความชั่วหรือความผิดร้ายแรงที่คนรู้ทั่วกันแล้ว จะปิดอย่างไรก็ไม่มิด” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากการเปรียบเทียบกับขนาดของช้างและใบบัว ซึ่งแตกต่างกันอย่างมาก ช้างเป็นสัตว์ใหญ่ เมื่อตายลง ร่างของมันก็ใหญ่โตเกินกว่าที่จะใช้ใบบัวเล็ก ๆ ปกปิดได้ เปรียบเสมือนเรื่องราวที่ใหญ่โตหรือความผิดร้ายแรง ที่ไม่อาจปิดบังจากสายตาผู้คน แม้จะพยายามอย่างไรก็ไม่สามารถซ่อนความจริงไว้ได้ สุภาษิตนี้จึงใช้เตือนว่า หากกระทำสิ่งใดที่สำคัญหรือมีผลกระทบมาก ย่อมหลีกเลี่ยงการถูกเปิดเผยไม่ได้ เพราะความจริงมักปรากฏเสมอ ตัวอย่างการใช้สุภาษิต สุภาษิตที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสุภาษิตช้าเป็นการ นานเป็นคุณ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตช้าเป็นการ นานเป็นคุณ ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ช. ช้าเป็นการ นานเป็นคุณ ช้าเป็นการ นานเป็นคุณ หมายถึง สุภาษิต “ช้าเป็นการ นานเป็นคุณ” หมายถึง การทำสิ่งใดอย่างใจเย็นและรอบคอบค่อยคิดค่อยทำ แม้จะใช้เวลานาน แต่ย่อมนำมาซึ่งผลดีในระยะยาว เปรียบเสมือนการวางแผนและดำเนินการอย่างมีสติ ย่อมให้ผลสำเร็จที่มั่นคงกว่าการทำอย่างเร่งรีบ กล่าวคือ “การค่อยคิดค่อยทำย่อมดีกว่าด่วนตัดสินใจทำ” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากการสะท้อนแนวคิดของคนไทยที่ให้ความสำคัญกับความรอบคอบและความอดทน ในการทำงานหรือดำเนินชีวิต โดยมีรากฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมที่ต้องใช้เวลาและความละเอียดถี่ถ้วนในการทำสิ่งต่าง ๆ เช่น การสร้างบ้าน การเพาะปลูก หรือการทำเครื่องมือเครื่องใช้ หากทำด้วยความเร่งรีบ อาจเกิดข้อผิดพลาดและต้องเสียเวลาแก้ไขภายหลัง เป็นคำสอนให้อดทน รอบคอบ และไม่ด่วนตัดสินใจทำสิ่งใดโดยไม่คิดให้รอบด้าน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในอนาคต ตัวอย่างการใช้สุภาษิต สุภาษิตที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสุภาษิตช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ช. ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม หมายถึง สุภาษิต “ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม” หมายถึง การทำสิ่งใดก็ตาม หากมีความรอบคอบ ไม่เร่งรีบ ย่อมได้ผลลัพธ์ที่ดีและมีคุณภาพมากกว่าการทำอย่างเร่งด่วน เปรียบเสมือนการเลือกพร้า หากค่อย ๆ ดูและเลือกอย่างละเอียด ก็จะได้พร้าที่ดีและคมกว่าการรีบหยิบแบบไม่พิจารณา สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าของความใจเย็นและความรอบคอบในการทำงาน กล่าวคือ “การค่อย ๆ คิดค่อย ๆ ทำด้วยความรอบคอบ จะได้ผลดีและสำเร็จผลในที่สุด” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากวิถีชีวิตของชาวไทยในอดีตซึ่งใช้พร้า และกระบวนการตีพร้า ซึ่งเป็นมีดชนิดหนึ่งที่ใช้ในงานเกษตรกรรม การตีพร้าต้องใช้เวลานานและต้องค่อย ๆ ตีเหล็กร้อนทีละน้อย เพื่อให้ใบมีดบาง คม และแข็งแรง หากรีบร้อนเกินไป พร้าอาจออกมาไม่สมบูรณ์หรือไม่แข็งแรงพอ เปรียบเสมือน การทำสิ่งใดก็ตาม หากทำด้วยความรอบคอบและอดทน ย่อมได้ผลลัพธ์ที่ดีและมีคุณภาพกว่า นอกจากนี้สุภาษิตนี้ยังปรากฏในวรรณคดีไทยเรื่อง “ขุนช้างขุนแผน” ตอนกำเนิดพลายงาม โดยมีข้อความว่า “ว่าช้าช้าจะได้พร้าสองเล่มงาม หรือเนื้อความขวางไว้ให้นางแขวน มิใช่ไม้ปักเลนเอนคลอนแคลน…

  • รู้จักสุภาษิตชาติคางคก ยางหัวไม่ตกไม่รู้จักสำนึก ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตชาติคางคก ยางหัวไม่ตกไม่รู้จักสำนึก ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ช. ชาติคางคก ยางหัวไม่ตกไม่รู้จักสำนึก, ชาติคางคก ยางหัวไม่ตกก็ไม่รู้สึก ชาติคางคก ยางหัวไม่ตกไม่รู้จักสำนึก หมายถึง สุภาษิต “ชาติคางคก ยางหัวไม่ตกไม่รู้จักสำนึก” หมายถึง คนที่ดื้อรั้นทำอะไรนอกลู่นอกทาง ทำในสิ่งไม่ดี แม้จะมีคนตักเตือนแต่ก็ไม่เชื่อฟังยังดื้อรั้นที่จะทำให้ได้ จนคนที่เตือนต้องปล่อยให้ทำไปจนกว่าจะรู้สึกด้วยตัวเอง เปรียบเสมือนคางคกที่ถูกต้มในน้ำร้อน แต่ไม่รู้สึกร้อนจนกว่ายางที่หัวจะหลุด สะท้อนถึงคนที่ไม่ใส่ใจหรือไม่เรียนรู้จากคำเตือน จนกว่าจะเจอปัญหาด้วยตัวเอง กล่าวคือ “คนที่อวดดีชอบกระทำนอกลู่นอกทาง เมื่อถูกทักท้วงก็ไม่เชื่อฟัง เขาเลยปล่อยให้ลองทำเพื่อจะให้รู้สึกตัว” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต สุภาษิตนี้มาจากลักษณะของคางคก ซึ่งมียางหรือเมือกเคลือบหัว ช่วยปกป้องมันจากความร้อนหรืออันตรายภายนอก เมื่อถูกต้มในน้ำร้อน คางคกจะไม่รู้สึกเจ็บปวดในทันที จนกว่ายางที่หัวจะหลุดออกไป เปรียบกับคนที่ดื้อรั้นหรือไม่สำนึกในความผิดของตนเอง จนกว่าจะได้รับผลกระทบโดยตรง จึงจะรู้สึกตัวและยอมรับความจริง สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของคนที่ไม่ฟังคำเตือน จนกระทั่งเผชิญปัญหาด้วยตัวเอง ตัวอย่างการใช้สุภาษิต สุภาษิตที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสุภาษิตชาดไม่ดีสีก็ไม่แดง ชาดจะดีไม่ทาสีก็แดง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตชาดไม่ดีสีก็ไม่แดง ชาดจะดีไม่ทาสีก็แดง ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ช. ชาดไม่ดีสีก็ไม่แดง ชาดจะดีไม่ทาสีก็แดง ชาดไม่ดีสีก็ไม่แดง ชาดจะดีไม่ทาสีก็แดง หมายถึง สุภาษิต “ชาดไม่ดีสีก็ไม่แดง ชาดจะดีไม่ทาสีก็แดง” หมายถึง นิสัยและสันดานของคน หากไม่ดีแล้ว ย่อมแสดงออกมาให้เห็นเสมอ แม้พยายามปกปิดก็ยากจะซ่อนเร้น ในทางกลับกัน หากเป็นคนดีจริง ก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง เพราะความดีจะแสดงออกมาเองโดยธรรมชาติ เปรียบเสมือนผ้าที่หยาบกระด้าง ต่อให้ย้อมสีสวยแค่ไหนก็ยังคงหยาบอยู่ หรือผ้าที่ดี แม้ไม่ย้อมสีก็ยังดูงาม กล่าวคือ “นิสัยแท้จริงปิดไม่มิด คนดีไม่ต้องเสแสร้ง คนไม่ดีแสร้งอย่างไรก็เห็นตัวตน” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากการใช้ “ชาด” ซึ่งเป็นสารสีแดงสำหรับย้อมหรือทาเครื่องไม้เครื่องมือในสมัยโบราณ หากชาดไม่มีคุณภาพ สีที่ได้ก็ไม่สดใส ในทางกลับกัน หากชาดดี แม้ไม่ต้องพยายามมาก สีที่ได้ก็ยังคงแดงสด สะท้อนให้เห็นถึงธรรมชาติของคนว่านิสัยและสันดานที่แท้จริง ไม่สามารถปกปิดได้ คนดีแม้ไม่เสแสร้งก็ยังคงเป็นที่ยอมรับ ขณะที่คนไม่ดี ต่อให้พยายามปรุงแต่งอย่างไร ก็ยากจะปิดบังตัวตนที่แท้จริง ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตชายข้าวเปลือก หญิงข้าวสาร ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตชายข้าวเปลือก หญิงข้าวสาร ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ช. ชายข้าวเปลือก หญิงข้าวสาร ชายข้าวเปลือก หญิงข้าวสาร หมายถึง สุภาษิต “ชายข้าวเปลือก หญิงข้าวสาร” หมายถึง ผู้ชายสามารถปรับตัวและเริ่มต้นใหม่ได้ไม่ว่าอยู่ที่ไหน แต่ผู้หญิงหากพลาดพลั้งไปแล้ว มักกลับคืนสู่สถานะเดิมได้ยาก การเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างชายและหญิงในแง่ของผลกระทบจากการกระทำ โดยผู้ชายสามารถไปที่ไหนก็ไม่เสียหายหรือยังมีโอกาสเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ แต่ผู้หญิงหากพลาดพลั้งไปแล้วจะยากที่จะกลับคืนสู่สภาพเดิม มักใช้เตือนให้หญิงรักษาตัวและระมัดระวังในความสัมพันธ์ และสอนให้ผู้หญิงไทยทั้งหลายรู้จักรักนวลสงวนตัวอยู่ร่ำไป เปรียบกับค่านิยมในอดีตที่มองว่าผู้หญิงต้องรักษาความบริสุทธิ์และชื่อเสียงของตน เพราะหากผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจถูกสังคมตีตราหรือมองในแง่ลบ สะท้อนถึงค่านิยมที่ให้ความสำคัญกับบทบาทของหญิงชายแตกต่างกัน กล่าวคือ “ผู้ชายนั้นเปรียบเสมือนข้าวเปลือกตกไปที่ไหนก็สามารถเจริญงอกงามได้ แต่ผู้หญิงกลับเป็นเพียงข้าวสารที่ไม่อาจงอกงามบนพื้นดินได้อีก หรือผู้ชายก็เหมือนข้าวเปลือกไปที่ไหนก็สามารถสืบพันธุ์ได้ แต่ผู้หญิงนั้นเหมือนข้าวสารเมื่อผิดพลาดเสียหายตกที่ไหนก็เน่า” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากวิถีชีวิตของคนไทยที่ผูกพันกับการทำนาและการบริโภคข้าว ซึ่งเป็นพืชหลักของประเทศ ไทยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตข้าวรายใหญ่ของโลก และข้าวมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คน สุภาษิตนี้สะท้อนแนวคิดที่เปรียบเปรยชายหญิงผ่านลักษณะของข้าว ซึ่งคนไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดี: สุภาษิตนี้จึงเกิดขึ้นจากการสังเกตธรรมชาติของข้าว ผสมผสานกับค่านิยมของสังคมไทยในอดีตที่มองว่าผู้หญิงควรรักษาตัวเพื่อไม่ให้เสียชื่อเสียง ขณะที่ผู้ชายมีอิสระมากกว่า สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของการเกษตรที่มีต่อวิธีคิดและค่านิยมของคนไทย ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตชายสามโบสถ์ หญิงสามผัว ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตชายสามโบสถ์ หญิงสามผัว ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ช. ชายสามโบสถ์ หญิงสามผัว ชายสามโบสถ์ หญิงสามผัว หมายถึง สุภาษิต “ชายสามโบสถ์ หญิงสามผัว” หมายถึง คนที่ไม่น่าไว้วางใจ ขาดความมั่นคง และคบไม่ได้ เปรียบถึงชายที่บวชเรียนบ่อยครั้ง ซึ่งในอดีตการบวชเป็นโอกาสในการศึกษาและยกระดับตนเอง แต่หากบวชแล้วสึกหลายครั้ง ย่อมถูกมองว่าเป็นคนเหลวไหล ไร้จุดหมาย หรือใช้วัดเป็นที่พักพิงชั่วคราวเพื่อหลีกหนีปัญหาชีวิต เช่นเดียวกับหญิงที่เปลี่ยนคู่ครองหลายครั้ง หรือมีพฤติกรรมเจ้าชู้ ทำให้ถูกมองว่าไม่มีความจริงใจในความสัมพันธ์ ไม่น่าไว้วางใจ และไม่มีความมั่นคงในชีวิต สำนวนนี้จึงใช้ตำหนิคนที่ขาดความแน่วแน่ในสิ่งที่เลือก ทั้งด้านศาสนาและชีวิตคู่ ทำให้ผู้อื่นไม่อาจวางใจหรือเชื่อถือได้ กล่าวคือ “ชายที่บวชและสึกหลายครั้ง หรือหญิงที่เปลี่ยนคู่ครองหลายคน สื่อถึงคนที่ไม่มีความมั่นคงแน่วแน่ ไม่น่าคบและไว้วางใจ” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากคติความเชื่อของสังคมไทยในอดีต ที่ให้ความสำคัญกับความมั่นคงและความแน่วแน่ ทั้งในด้านศาสนาและชีวิตคู่ สุภาษิตนี้จึงเป็นคำตำหนิหรือวิจารณ์คนที่ไม่มีความแน่วแน่ มั่นคง หรือไม่น่าไว้วางใจในสิ่งที่ตนเลือก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศาสนาหรือความสัมพันธ์ส่วนตัว ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ช. ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน หมายถึง สุภาษิต “ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน” หมายถึง การนำปัญหาหรือภัยอันตรายเข้ามาสู่ตนเองหรือบ้าน, ครอบครัวโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือขาดการไตร่ตรอง เปรียบเสมือนการดึงน้ำเข้ามาให้ท่วมสูงจนกลายเป็นอันตรายต่อตนเอง หรือการนำศัตรูเข้ามาในบ้านโดยไม่ระวัง สุดท้ายกลับสร้างความเดือดร้อนให้กับตัวเองและคนรอบข้าง กล่าวคือ “การนำศัตรูเข้าบ้าน” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์กุมาร ซึ่งเป็นตอนที่ชูชก ต้องการขอพระกุมารกัณหาชาลี ไปเป็นทาสของตน ชูชกเป็นพราหมณ์เฒ่าที่ต้องการ นำกัณหาชาลีไปเป็นทาสให้ภรรยาของตน แต่ รู้ว่าหากขอตรง ๆ อาจถูกปฏิเสธ เขาจึงใช้วิธีพูดจาหว่านล้อม ยกย่องสรรเสริญพระเวสสันดร ว่าเป็นกษัตริย์ผู้มีพระเมตตา เสียสละทุกอย่างเพื่อการให้ทาน พระเวสสันดรซึ่งเป็นผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารีและยึดมั่นในการบำเพ็ญทานบารมี เมื่อถูกชูชกขอเช่นนั้น ก็ยอมมอบพระโอรสและพระธิดาให้ โดยไม่ได้เฉลียวใจว่าสิ่งที่ทำไปอาจทำให้เด็กทั้งสองต้องทนทุกข์ทรมาน ในที่นี้พระเวสสันดรเปรียบได้กับคนที่ “ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน” เพราะแม้จะมีเจตนาดีในการให้ทาน แต่กลับมอบลูกของตนเองให้กับคนที่มีเจตนาไม่ดี ทำให้เกิดความเดือดร้อนตามมา แยกเป็นสองประโยค โดยคำว่า “ชักน้ำเข้าลึก” คือการที่ชาวนาทดน้ำเข้านาเข้าสวนของตนเอง แต่ถ้าน้ำเข้ามามากจนลึกเกินไป ก็จะเป็นผลเสียต่อไร่นา ส่วน “ชักศึกเข้าบ้าน” คือการชี้ทางให้ศัตรูเข้ามาทำลายบ้านเมืองของตนเอง…