Tag: สุภาษิตไทย ต.

  • รู้จักสุภาษิตตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ต. ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน หมายถึง สุภาษิต “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” หมายถึง การพึ่งพาตนเองในการดำเนินชีวิต ไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่นในการแก้ไขปัญหาหรือทำสิ่งต่าง ๆ โดยการพัฒนาความสามารถและความมั่นคงในตัวเอง ช่วยให้สามารถจัดการกับอุปสรรคต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง เปรียบเสมือนการที่เราสามารถแก้ไขปัญหาด้วยการใช้ความคิดและการกระทำของตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพาใคร เมื่อเรามีความสามารถและความมั่นใจในตนเอง ก็สามารถเผชิญกับชีวิตได้อย่างมั่นคง กล่าวคือ “การกระทำการใด ๆ ที่ต้องเริ่มพยายามด้วยตนเองก่อน โดยไม่ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต สุภาษิตนี้มีที่มาจากหลักคำสอนในศาสนาพุทธ ซึ่งพระพุทธเจ้าสอนให้ พึ่งพาตนเองเป็นหลัก การพึ่งพาผู้อื่นในบางครั้งอาจทำให้เราพลาดโอกาสในการเรียนรู้หรือเติบโต ดังนั้นพระองค์จึงสอนให้ การพึ่งพาตนเองเป็นหลักการที่สำคัญในการดำเนินชีวิต โดยการฝึกฝนตนเองให้สามารถรับมือกับทุกสถานการณ์และปัญหาด้วยความมั่นคงและความสามารถของตัวเอง สุภาษิตนี้จึงสะท้อนถึงการไม่หวังพึ่งคนอื่นเกินไป แต่ต้องพึ่งพาตัวเองในการหาทางแก้ไขปัญหาและสร้างความสำเร็จในชีวิต ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตต่อความยาว สาวความยืด ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตต่อความยาว สาวความยืด ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ต. ต่อความยาว สาวความยืด ต่อความยาว สาวความยืด หมายถึง สุภาษิต “ต่อความยาว สาวความยืด” หมายถึง การพูดหรือทำเรื่องที่ไม่จำเป็นให้ยืดเยื้อหรือยาวนานเกินความจำเป็น โดยมักจะเกิดจากการพูดมากไป หรือเพิ่มรายละเอียดที่ไม่จำเป็น ทำให้เรื่องที่ควรจบลงแล้วกลับยืดเยื้อออกไปจนไม่จบสิ้น เปรียบเสมือนการพูดเรื่องเดิมซ้ำ ๆ หรือการทำเรื่องง่ายให้ซับซ้อนมากขึ้น กล่าวคือ “การพูดกันไปพูดกันมาให้มากเรื่องเกินสมควร” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต สุภาษิตนี้มีที่มาจากวิธีการพูดหรือการดำเนินการที่ยืดเยื้อ โดยเฉพาะในการพูดคุยหรือเจรจาในสมัยโบราณที่คนมักพูดถึงเรื่องเดียวกันซ้ำ ๆ หรือเพิ่มรายละเอียดที่ไม่จำเป็นเข้าไป ทำให้เรื่องที่ควรจบลงกลายเป็นยืดเยื้อออกไป สิ่งนี้ถูกใช้เป็นคำเตือนเกี่ยวกับการพูดหรือการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ให้เหมาะสมและไม่ทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นซับซ้อน “ต่อความยาว” หมายถึง การพูดหรือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ยืดเวลาออกไป หรือ ขยายความออกไป โดยเพิ่มเรื่องราวหรือรายละเอียดที่ไม่จำเป็น ซึ่งบางครั้งอาจทำให้สถานการณ์หรือเรื่องราวที่ควรจะจบไปแล้ว กลับยืดเยื้อออกไปโดยไม่มีประโยชน์ “สาวความยืด” หมายถึง การทำให้เรื่องราวหรือสถานการณ์ยืดเยื้อไปมากขึ้น โดยการเพิ่มความซับซ้อน หรือทำให้สิ่งที่ควรจะง่ายกลับกลายเป็นเรื่องที่ยาวนานหรือซับซ้อนเกินความจำเป็น ซึ่งการเพิ่มการพูดหรือการทำให้ยืดเยื้อโดยไม่จำเป็นจะทำให้เรื่องจบได้ยากขึ้นและอาจทำให้เกิดปัญหาหรือความสับสนมากขึ้น สุภาษิตนี้สะท้อนถึงการใช้คำพูดหรือการดำเนินการให้พอดีไม่ยืดเยื้อจนเกินไป เพราะมันอาจนำไปสู่การทำให้เรื่องที่ไม่จำเป็นกลายเป็นเรื่องใหญ่ หรือทำให้สถานการณ์นั้นเลวร้ายลง ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตตาดีได้ ตาร้ายเสีย ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตตาดีได้ ตาร้ายเสีย ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ต. ตาดีได้ ตาร้ายเสีย ตาดีได้ ตาร้ายเสีย หมายถึง สุภาษิต “ตาดีได้ ตาร้ายเสีย” หมายถึง การตัดสินใจหรือการกระทำในแต่ละจังหวะ หากโชคดีหรือทำได้ถูกต้อง ก็จะได้รับผลดีทันที แต่หากโชคร้ายหรือตัดสินใจพลาด ก็อาจสูญเสียหรือเสียโอกาสไป เปรียบเสมือนการวางเดิมพันพนันในแต่ละตา ที่ผลแพ้ชนะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน หากตานั้นดวงดี อ่านเกมขาด ก็ได้กำไร แต่หากพลาดแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจขาดทุนทันที สุภาษิตนี้จึงสอนว่าในหลายเรื่องของชีวิต ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับจังหวะ ไหวพริบ และโชคในช่วงเวลานั้น กล่าวคือ “ถ้าโชคดีก็ได้ ถ้าโชคร้ายก็เสีย” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต สุภาษิตนี้มีที่มาจากวงการพนันและการเล่นเกมพื้นบ้านหรือกีฬาของไทย โดยคำว่า “ตา” หมายถึง รอบการเล่นหรือรอบการเดิมพัน เช่น ตาไพ่ ตาไฮโล ตาลูกเต๋า ซึ่งในแต่ละ “ตา” ผู้เล่นจะต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วว่าจะลงเดิมพันแบบใด หากตัดสินใจถูกจังหวะหรือมองเกมขาด ก็จะได้ “ตาดีได้” แต่หากอ่านเกมพลาด หรือตัดสินใจผิด ก็จะเสีย “ตาร้ายเสีย” สุภาษิตนี้จึงสะท้อนหลักคิดเรื่องโอกาส จังหวะ และไหวพริบในแต่ละรอบของชีวิตหรือการแข่งขัน ซึ่งกลายมาเป็นคำเปรียบเปรยที่ใช้ได้ในหลายบริบท…

  • รู้จักสุภาษิตตาต่อตา ฟันต่อฟัน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตตาต่อตา ฟันต่อฟัน ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ต. ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ตาต่อตา ฟันต่อฟัน หมายถึง สุภาษิต “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” หมายถึง การตอบโต้หรือเอาคืนอย่างเท่าเทียมกันแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน มักใช้ในกรณีที่มีการแก้แค้นหรือโต้กลับด้วยความรุนแรงหรือเด็ดขาดเท่าที่อีกฝ่ายทำมา เปรียบเสมือนหากใครทำร้ายเราจนเสียตา เราก็จะทำให้เขาเสียตาเช่นกัน เป็นแนวคิดของการตอบแทนด้วยความรุนแรงเท่าที่ได้รับมา ไม่ใช่การให้อภัยหรือละเว้น กล่าวคือ “บุคคลที่ทำร้ายบุคคลอื่นต้องได้รับการทำร้ายแบบเดียวกันเป็นการตอบแทน หรือล้างแค้นให้สาสมกับที่โดนกระทำมา” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต สุภาษิตนี้มีที่มาจากหลักกฎหมายโบราณที่ปรากฏในพระคัมภีร์ฮีบรู (Hebrew Bible) และ ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี โดยวลีดั้งเดิมในภาษาฮีบรูคือ “עַיִן תַּחַת עַיִן” (อายิน ทาฮัท อายิน) แปลว่า “ตาแทนตา” และ “שֵׁן תַּחַת שֵׁן” (เชน ทาฮัท เชน) แปลว่า “ฟันแทนฟัน” ซึ่งปรากฏในหนังสืออพยพ 21:23–27 ในพระคัมภีร์ หลักการนี้ใช้เพื่อกำหนดขอบเขตของการลงโทษและการตอบโต้ในสังคมโบราณ โดยเน้นว่า การแก้แค้นต้องมีขอบเขตพอสมควร ไม่เกินกว่าโทษที่ได้รับ เช่น…

  • รู้จักสุภาษิตตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงา ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงา ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ต. ตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงา ตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงา หมายถึง สุภาษิต “ตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงา” หมายถึง การรู้จักฐานะของตนเองและเจียมตัว ไม่ทำตัวสูงส่งหรือทะเยอทะยานเกินกว่าที่ควร เปรียบเสมือนผู้ที่ไม่มีภาชนะดี ก็ยังรู้จักใช้กะโหลกตนเองตักน้ำและส่องเงาอย่างพอเพียง ไม่อวดตัว ไม่เกินฐานะ สุภาษิตนี้จึงสอนให้ ถ่อมตน ยืนอยู่ในที่ที่เหมาะกับตนเอง และไม่หลงลืมตัว กล่าวคือ “การให้รู้จักฐานะของตนและเจียมตัว” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต สุภาษิตนี้มาจากวิถีชีวิตของคนไทยโบราณ ที่ใช้ภาชนะต่าง ๆ ในการตักน้ำเพื่อส่องเงาหรือใช้งานทั่วไป ผู้ที่มีฐานะดีก็ใช้ขันหรือภาชนะสะอาดเงางาม แต่ผู้ที่ยากไร้ บางครั้งต้องใช้แม้แต่กะโหลกศีรษะของสัตว์ (เช่น หมา หรือวัวควาย) หรือกะลามะพร้าวมาเป็นภาชนะชั่วคราว การที่บุคคลหนึ่งรู้จักใช้เพียงกะโหลกเพื่อส่องเงาตัวเอง แสดงถึงความถ่อมตนและรู้จักฐานะของตน ไม่อวดโอ้หรือพยายามเป็นสิ่งที่ตนไม่ใช่ สุภาษิตนี้จึงกลายเป็นคำสอนทางวัฒนธรรมให้รู้จักเจียมตัว มีสติ และไม่ทำตัวเกินฐานะของตนเอง ซึ่งเป็นคุณธรรมสำคัญในสังคมไทยดั้งเดิม บางกรณีมักใช้เป็นคำดูถูกคนที่ต้อยต่ำกว่า หรือดูถูกผู้ชายที่มีฐานะต่ำต้อยกว่าที่ไปชอบหญิงที่มีฐานะดีกว่านั่นเอง ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ต. ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก หมายถึง สุภาษิต “ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก” หมายถึง คนที่แสดงออกอย่างหนึ่งต่อหน้า พูดจาดี ทำตัวดี เหมือนมีไมตรีจิต แต่พอลับหลังก็เปลี่ยนท่าที กลับกลายเป็นอีกคนหนึ่ง เช่น พูดร้าย ลอบนินทา หรือใส่ร้ายผู้อื่น เป็นคนไม่จริงใจ ไว้ใจไม่ได้ เปรียบเสมือนผลไม้สองชนิดที่ดูคล้ายกันมะพลับรสหวานหอม แต่ ตะโกรสฝาดไม่น่ากิน คนประเภทนี้จึงเสแสร้งต่อหน้า แต่แท้จริงแล้วซ่อนความคิดลึก ๆ ที่ไม่บริสุทธิ์ไว้เบื้องหลัง กล่าวคือ “ผู้ที่ต่อหน้าทำเป็นดี แต่พอลับหลังก็นินทาหรือหาทางทำร้าย” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากนิทานพื้นบ้านไทยเรื่องต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก เล่าว่ากาลครั้งหนึ่งพระราชาองค์หนึ่งเสด็จเข้าไปในป่าพร้อมข้าราชบริพาร ที่นั่นมีต้นตะโกมากมาย เทวดาซึ่งทราบข่าวเสด็จ จึงเนรมิตต้นตะโกต้นหนึ่งให้กลายเป็นต้นมะพลับที่เต็มไปด้วยผลสุกเหลืองทอง กลิ่นหอมชวนกิน เมื่อพระราชาทอดพระเนตรเห็น จึงมีรับสั่งให้มหาดเล็กไปเก็บลูกมะพลับมาเสวย และทรงแจกจ่ายให้บริพารกินด้วย ทุกคนต่างก็ชื่นชอบในรสชาติอันหวานอร่อยนั้น ต่อมา เมื่อเสด็จกลับวัง พระราชาทรงติดใจในรสลูกมะพลับ จึงสั่งให้มหาดเล็กกลับไปเก็บมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เทวดาคลายฤทธิ์ ต้นมะพลับหายไป กลับกลายเป็นต้นตะโกตามเดิม ซึ่งแม้รูปลักษณ์จะคล้ายกัน แต่ลูกตะโกมีรสฝาด…

  • รู้จักสุภาษิตตบหัวกลางศาลา ขอขมาที่บ้าน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตตบหัวกลางศาลา ขอขมาที่บ้าน ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ต. ตบหัวกลางศาลา ขอขมาที่บ้าน ตบหัวกลางศาลา ขอขมาที่บ้าน หมายถึง สุภาษิต “ตบหัวกลางศาลา ขอขมาที่บ้าน” หมายถึง การคนที่ทำให้ผู้อื่นอับอายต่อหน้าสาธารณะ แล้วค่อยไปขอโทษเป็นการส่วนตัวในภายหลัง ซึ่งแม้จะขอโทษก็ไม่อาจลบล้างความอับอายที่เกิดขึ้นได้ เปรียบเสมือน การลงโทษหรือตำหนิคนอื่นอย่างรุนแรงในที่แจ้ง แต่กลับแสดงความเสียใจลับหลัง ซึ่งไม่สมเหตุสมผลและไม่เป็นธรรมกับผู้ถูกกระทำ กล่าวคือ “ผู้ที่ยอมรับผิดที่ไม่สมกับความผิดที่ทำไว้” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากความหมายที่สะท้อนถึงการกระทำที่ไม่ยุติธรรม โดยการทำให้ผู้อื่นอับอายหรือเสียเกียรติในที่สาธารณะ เช่น การตำหนิหรือทำโทษอย่างรุนแรงต่อหน้าคนจำนวนมาก และเมื่อผู้กระทำรู้ตัวแล้ว ก็ไปขอโทษหรือแสดงความเสียใจในภายหลังที่บ้าน ซึ่งไม่สามารถลบล้างความอับอายหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ สุภาษิตนี้จึงเป็นคำเตือนให้หลีกเลี่ยงการกระทำที่ทำให้ผู้อื่นเสียหน้า หรือขอโทษในที่ที่ไม่เหมาะสม เพราะบางครั้งการขอโทษทีหลังอาจไม่เพียงพอที่จะทำให้ผู้ที่ถูกกระทำรู้สึกดีขึ้น ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ต. ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ หมายถึง สุภาษิต “ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้” หมายถึง คนตกอยู่ในที่คับขันอย่างไรก็ไม่เป็นอันตราย โดยไม่ถูกทำลายหรือได้รับผลกระทบ อยู่ที่ไหนก็ไม่ลำบาก ไม่มีภัยอันตราย เปรียบเสมือนคนดีที่สามารถอยู่รอดได้ในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย ทั้งในสถานการณ์ที่อันตรายหรือยากลำบาก กล่าวคือ “ผู้ที่ตกอยู่ในที่คับขันอย่างไรก็ไม่เป็นอันตราย” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากแนวคิดทางพุทธศาสนา ที่สอนเกี่ยวกับความบริสุทธิ์และความดีของบุคคล โดยกล่าวถึง คนที่มีคุณธรรมและความดี แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากหรือเผชิญกับอุปสรรค เช่น การตกน้ำหรือการตกไฟ ก็จะไม่ถูกทำลายหรือได้รับผลกระทบจากสิ่งเหล่านั้น เนื่องจากความดีของเขาจะช่วยปกป้องให้ไม่ถูกหล่อหลอมด้วยอิทธิพลที่ไม่ดี ในทางพุทธศาสนาบุคคลที่ทำดีด้วยจิตใจบริสุทธิ์ จะสามารถยืนหยัดได้แม้ในสถานการณ์ที่ท้าทายหรือคับขัน เปรียบเสมือนกับการตกน้ำแต่ไม่ไหลไปตามกระแสน้ำ น้ำในที่นี้อาจหมายถึงกระแสต่าง ๆ ที่ไม่ดี เช่น กระแสสังคม ฯลฯ หรือการตกไฟแต่ไม่ไหม้ ไฟในที่นี้หมายถึงไฟกิเลสต่าง ๆ เช่น ไฟแห่งความโลภ ฯลฯ เนื่องจากความดีที่มีในตัวทำให้สามารถหลีกเลี่ยงอันตรายหรือปัญหาต่าง ๆ ได้ ตัวอย่างการใช้สุภาษิต