Tag: สุภาษิตไทย ท.

  • รู้จักสุภาษิตทางเตียนเวียนลงนรก ทางรกวกขึ้นสวรรค์ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตทางเตียนเวียนลงนรก ทางรกวกขึ้นสวรรค์ ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ท. ทางเตียนเวียนลงนรก ทางรกวกขึ้นสวรรค์ ทางเตียนเวียนลงนรก ทางรกวกขึ้นสวรรค์ หมายถึง สุภาษิต “ทางเตียนเวียนลงนรก ทางรกวกขึ้นสวรรค์” หมายถึง คนที่เลือกเส้นทางสะดวกสบาย ไม่ลำบาก มักจะพบจุดจบที่เลวร้ายหรือผิดศีลธรรม ในขณะที่ผู้ที่เลือกทำความดีแม้ยากลำบาก มักได้ผลลัพธ์ที่ดีงามในภายหลัง หรือความหมายอีกนัยหนึ่งคือการทำความชั่วนั้นทำได้ง่าย แต่สุดท้ายก็จะส่งผลให้ต้องไปรับกรรมได้รับความลำบาก ส่วนการทำความดีนั้นทำยากกว่าแต่สุดท้ายก็จะได้รับผลดี เปรียบเสมือนการเดินทางที่ดูง่ายและราบรื่นอาจพาไปสู่ความพินาศ ในขณะที่เส้นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรค หากอดทนเดินไปอย่างถูกต้อง ก็จะนำพาไปสู่ความสำเร็จและความสงบสุขในที่สุด กล่าวคือ “ทางที่ง่ายอาจพาไปสู่สิ่งไม่ดี ส่วนทางที่ยากอาจนำไปสู่สิ่งดี” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะเรื่องมรรค 8 (อริยมรรคมีองค์ 8) และ หลักกรรม (กัมมะ) ซึ่งสอนให้มนุษย์ประพฤติชอบด้วยกาย วาจา และใจ แม้เส้นทางแห่งความดีจะยากลำบากและต้องอดทน แต่จะนำไปสู่ผลดีในภายหน้า เช่นเดียวกับอริยมรรคที่เป็นทางสายเอกไปสู่ความพ้นทุกข์ ตรงกันข้าม เส้นทางที่สะดวก สบาย ลุ่มหลงในกิเลส แม้จะง่ายในตอนต้น แต่หากผิดศีล ผิดธรรม ก็ย่อมนำไปสู่อบายภูมิหรือนรก ตามหลักแห่งกรรมที่สอนว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ท. ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ หมายถึง สุภาษิต “ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ” หมายถึง คนหรือสิ่งที่มีคุณค่าจริง ย่อมไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคหรือการทดสอบ เพราะคุณค่าที่แท้จริงจะคงอยู่ไม่ว่าจะถูกพิสูจน์หรือถูกทดสอบอย่างไร เปรียบเสมือนทองแท้ที่แม้ถูกไฟเผาแรงเพียงใด ก็ไม่เสียคุณค่า กลับยิ่งเปล่งประกายความบริสุทธิ์และความแข็งแกร่งให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น กล่าวคือ “คนที่ยึดมั่น ตั้งมั่นในความดี อดทนต่อการพิสูจน์ความจริง ก็จะสามารถผ่านพ้นอุปสรรคหรืออันตรายต่าง ๆ ได้” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต สุภาษิตมีรากฐานมาจากสุภาษิตจีนแต้จิ๋วโบราณว่า “จิง กิม ปุก พ่า ห้วย เหลี่ยง จิง ลี่ ปุก พ่า ฉ่ำ งั้ง” ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า “ทองแท้ไม่แพ้ไฟ สัจธรรมไม่กลัวคำติฉินนินทา” สะท้อนแนวคิดว่าทองคำแท้ เมื่อผ่านไฟก็ยังคงความบริสุทธิ์ ไม่สูญเสียคุณค่า เช่นเดียวกับสัจธรรม หรือความจริงแท้ ที่ไม่หวั่นไหวต่อเสียงตำหนิติเตียนหรือคำนินทาจากผู้อื่น คนไทยรับแนวคิดนี้มาสืบทอดและกลั่นกรองเป็นสุภาษิตไทย เพื่อสื่อถึงคนที่มีคุณงามความดีแท้จริง ย่อมไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคหรือแรงกดดันใด ๆ และจะยังคงคุณค่าของตนเองไว้ได้อย่างมั่นคง ตัวอย่างการใช้สุภาษิต สุภาษิตที่ความหมายคล้ายกัน

  • รู้จักสุภาษิตทรัพย์ในดิน สินในน้ำ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตทรัพย์ในดิน สินในน้ำ ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ท. ทรัพย์ในดิน สินในน้ำ ทรัพย์ในดิน สินในน้ำ หมายถึง สุภาษิต “ทรัพย์ในดิน สินในน้ำ” หมายถึง ทรัพย์สมบัติและสิ่งมีค่าที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เช่น แร่ธาตุในพื้นดิน สัตว์น้ำในแม่น้ำ เป็นทรัพยากรที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตและเศรษฐกิจ หากรู้จักใช้และอนุรักษ์ไว้ย่อมสร้างความมั่นคงให้แก่สังคมและประเทศชาติ เปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่าที่มีอยู่รอบตัวเรา หากรู้จักเห็นคุณค่าและใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม ก็จะนำมาซึ่งความเจริญและความอุดมสมบูรณ์ในชีวิต กล่าวคือ “สิ่งที่มีอยู่หรือเกิดตามธรรมชาติ อันอาจนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากวิถีชีวิตของคนไทยในอดีตที่ผูกพันกับธรรมชาติเป็นหลัก การทำเกษตรกรรม พายเรือหาปลา และการดำรงชีวิตอยู่กับป่าไม้และแม่น้ำทำให้คนไทยมองเห็นว่าทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้ คือแหล่งทรัพย์สินที่สำคัญ ทั้งพืชผลในดิน (เช่น ข้าว พืชผัก) และสัตว์น้ำในลำคลองรวมถึงทะเล (เช่น ปลา กุ้ง) จึงเกิดการเปรียบเปรยขึ้นเป็นสุภาษิตว่า “ทรัพย์ในดิน สินในน้ำ” เพื่อเน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้ประโยชน์และการดูแลทรัพยากรเหล่านี้อย่างรู้คุณค่า ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ท. ทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน ทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน หมายถึง สุภาษิต “ทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน” หมายถึง ชายหญิงหรือคู่ชีวิตที่เคยสร้างบุญร่วมกันมาในอดีตชาติ เมื่อถึงกาลอันควรในชาตินี้ ก็จะได้มาพบกัน รักกัน และได้เป็นคู่ครองกันต่อไป เปรียบเสมือนผู้ที่มีสายบุญเกี่ยวโยงกันมาแต่ก่อน เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม บุญนั้นจะดลบันดาลให้มาอยู่เคียงคู่กันอีกครั้ง กล่าวคือ “ชาย-หญิง ได้เคยทำบุญร่วมกันมาก่อนแล้วย่อมได้พบกัน-รักกัน และเป็นคู่ครองของกันและกันต่อไปในอนาคต” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต สุภาษิตนี้มีที่มาจากแนวคิดเรื่องกรรมและบุญสัมพันธ์ในพระพุทธศาสนา ซึ่งเชื่อว่าคนเราหากเคยสร้างบุญร่วมกันในอดีตชาติ เช่น เคยช่วยเหลือกัน เคยทำทาน เคยทำความดีร่วมกัน เมื่อต่างเวียนว่ายตายเกิด ก็มีโอกาสได้กลับมาพบเจอกันอีกในชาติต่อ ๆ ไป และความเชื่อในพุทธศาสนาเรื่องบุพเพสันนิวาส ชายหญิงที่ได้พบรักและครองคู่กันในชาตินี้ ส่วนใหญ่มักเคยทำบุญ ทำกุศล หรือร่วมสร้างความดีงามร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อน เมื่อถึงกาลเหมาะสมในภพนี้ บุญเก่าจะส่งผลให้ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง การเปรียบเปรยว่า “ตักบาตรร่วมขัน” ก็สื่อถึงการร่วมบุญร่วมกุศลอย่างใกล้ชิดเป็นหนึ่งเดียวกันในอดีตชาติ คล้ายกับการใส่บาตรด้วยขันเดียวกัน หมายถึงการมีความผูกพันทางบุญมาแต่เดิม ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ สุภาษิตนี้จึงสะท้อนให้เห็นว่า ความรักหรือชีวิตคู่ที่เกิดขึ้นอย่างลงตัวในชาตินี้ เป็นผลสืบเนื่องจากบุญเก่าและการทำความดีร่วมกันมาก่อน ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตทำนาออมกล้า ทำปลาออมเกลือ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตทำนาออมกล้า ทำปลาออมเกลือ ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ท. ทำนาออมกล้า ทำปลาออมเกลือ ทำนาออมกล้า ทำปลาออมเกลือ หมายถึง สุภาษิต “ทำนาออมกล้า ทำปลาออมเกลือ” หมายถึง การทำสิ่งใดถ้ากลัวหมดเปลืองมากเกินไป ย่อมไม่ได้ผลสมบูรณ์เต็มที่ เพราะการทำงานต้องลงทุน ต้องใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม ถ้ามัวแต่หวงหรือออมจนเกินเหตุ ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะไม่ดีเท่าที่ควร เปรียบเสมือนทำนาแต่กลัวเปลืองกล้า ไม่กล้าปลูกเต็มที่ หรือต้องทำปลาเค็มแต่กลัวเปลืองเกลือ จึงใส่เกลือน้อยไป ทำให้ปลาไม่เค็มพอที่จะเก็บรักษาได้นาน สุดท้ายงานที่ทำก็ล้มเหลว กล่าวคือ “การทำการสิ่งใดถ้ากลัวหมดเปลืองย่อมไม่ได้ผลสมบูรณ์” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต สุภาษิตนี้มีที่มาจากวิถีชีวิตของชาวนาและชาวประมงไทยในอดีต ที่ต้องพึ่งพาธรรมชาติและแรงงานของตนเองในการดำรงชีวิต และสอนผู้คนในสมัยก่อน เช่น ชาวบ้านจึงเปรียบเทียบไว้ว่าถ้ามัวแต่หวง ไม่กล้าลงทุนหรือใส่ทรัพยากรอย่างเต็มที่ งานที่ทำก็จะไม่ได้ผลสมบูรณ์ สุภาษิตนี้สั่งสอนให้รู้ว่าการทำสิ่งใดควรลงทุนให้เหมาะสม อย่ากลัวเปลืองจนเกินไป มิฉะนั้นจะไม่เกิดผลดีตามที่หวัง ตัวอย่างการใช้สุภาษิต